คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ผู้ชนะสิบทิศ
นวนิยายไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ผู้ชนะสิบทิศ เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ งานประพันธ์ของ ยาขอบ กล่าวถึงเรื่องราวของนักรบผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้ชนะสิบทิศ" นั่นคือ พระเจ้าบุเรงนองแห่งกรุงหงสาวดี นวนิยายได้รับความนิยมมากและดัดแปลงเป็นละครเวที ละครโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ หลายครั้ง ตลอดจน ละครวิทยุ รวมถึงมีการประพันธ์เพลง ผู้ชนะสิบทิศ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายด้วย
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ผู้ชนะสิบทิศ เป็นนิยายที่ยาขอบ หรือโชติ แพร่พันธุ์ ประพันธ์ ครั้งแรกใช้ชื่อว่า "ยอดขุนพล" เริ่มเขียนใน พ.ศ. 2474 จบลงใน พ.ศ. 2475 ในหนังสือพิมพ์ "สุริยา" และเริ่มเขียน "ผู้ชนะสิบทิศ" ในหนังสือพิมพ์ "ประชาชาติ" เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จบภาคหนึ่งเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 ในตอน "ความรักครั้งแรก" รวมเล่มพิมพ์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 ฉบับพิมพ์รวมเล่มใช้ชื่อ "ลูกร่วมนม" สร้างชื่อเสียงให้ยาขอบ[1] เขียนรวมทั้งหมด 3 ภาค เมื่อ พ.ศ. 2482 แต่ยังไม่จบ เนื่องจากขาดข้อมูลบางอย่างที่จะต้องใช้ประกอบการเขียน ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงราชวงศ์ตองอูตอนต้น เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าเมงจีโย ไปจนถึงพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ หรือ มังตราราชบุตร โดยคำว่าผู้ชนะสิบทิศนั้น มาจากคำที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึง พระเจ้าบุเรงนองว่าเป็น The Conqueror of Ten Directions แต่สำหรับชื่อนิยาย จากหนังสือประวัติยาขอบ อ้างอิงว่า มาลัย ชูพินิจ เป็นผู้ตั้งให้[2]
ผู้ชนะสิบทิศได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งยุคของจอมพลแปลก พิบูลสงครามเป็นช่วงที่รัฐบาลไทยมีนโยบายสร้างสหรัฐไทยเดิม โดยการส่งทหารไทยเข้ารุกรานดินแดนพม่าของอังกฤษร่วมกับญี่ปุ่น มีการปลุกระดมชาตินิยม ปี พ.ศ. 2485 ทางรัฐบาลได้มีการเข้าควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ทุกอย่าง นิยายผู้ชนะสิบทิศได้ถูกพิจารณาว่ามีเนื้อหาที่ยกย่องศัตรูของชาติ มีการใช้เรื่องราวที่ในนิยายไม่ได้กล่าวไว้ เช่นเรื่องการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งมาใช้การปลุกระดมชาตินิยม ทำให้นิยายผู้ชนะสิบทิศในสมัยนั้นถูกสั่งห้ามพิมพ์จำหน่ายหรือมีไว้ครอบครองอย่างเด็ดขาด[ต้องการอ้างอิง]
Remove ads
โครงเรื่อง
สรุป
มุมมอง
มหาราชพม่าพระองค์หนึ่งมีพื้นตระกูลกำเนิดสามัญชน "จะเด็ด" เป็นลูกพระนมหลวง จึงพลอยได้สมาคมกับพระราชวงศ์นับแต่ร่วมน้ำนมกับมังตราราชบุตร และตะละแม่จันทรา ต่อมาเป็นดั่งดวงใจ จะเด็ด ฉากของเรื่องมีสามเมืองใหญ่ที่เหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกันด้วยการเมือง การรบ ความแค้น และความรัก คือตองอู เมืองพม่าอันมีจะเด็ดเป็นหนึ่งในตองอู กับเมืองแปร และเมืองหงสาวดี อันเป็นเมืองมอญ ตองอูนั้นสร้างด้วยสามเกลอร่วมใจกัน คือ มังสินธุ ขุนพลผู้ออกบวช ภายหลังเป็นมหาเถรกุโสดออาจารย์ของจะเด็ด, ทะกะยอดิน ขุนพลผู้พอใจเป็นขุนวัง และเมงกะยินโย ขุนพลผู้เป็นกษัตริย์เมืองตองอู มีพระราชธิดาเกิดแต่พระอัครมเหสีนามว่า ตะละแม่จันทรา มีพระราชโอรสเกิดด้วยพระมหาเทวีเป็นรัชทายาทนามว่า มังตรา ส่วนจะเด็ดเป็นลูกคนปาดตาลที่แม่ชื่อ นางเลาชี ซึ่งมหาเถรกุโสดอถวายคำแนะนำกษัตริย์ตองอู รับเป็นพระนมของมังตราและจันทรา
ฝ่ายเมืองแปร หญิงผู้เป็นแสนรักของจะเด็ดอีกคนเกิดที่นี่ นามตะละแม่กุสุมา พระธิดาพระเจ้าเมืองแปรหรือพระเจ้านรบดี พระเจ้าแปรเป็นพระอนุชาของผู้ครองหงสาวดีคือพระยาราม มีราชบุตรชื่อสอพินยา ซึ่งมีบริวารนามว่าไขลู ตัวละครนี้ยาขอบรักที่สุด เพราะจะสร้างพระเอกอย่างจะเด็ดสร้างได้ไม่ยากนัก แต่จะสร้างคนชั่วช้าแบบไขลูสร้างได้ยากยิ่ง ตัวละครในผู้ชนะสิบทิศมีมากและกินเวลายาว กระนั้นการที่คนอ่านไม่เพียงตราตรึงบทของตัวละครเอก แต่ยังแผ่ใจจดจำตัวประกอบรองๆ ไม่สับสนหลงลืม เพราะผู้ประพันธ์กำหนดบทบาทและบุคลิกภาพของตัวละครชัดเจน เป็นกระพี้ที่สำคัญต่อการประสมประสานเป็นองค์เอกภาพเดียวกัน
จะเด็ดเจ้าชู้และเป็นชายชาตรีลูกคนธรรมดา เกือบจะพิมพ์เดียวกับขุนแผน ขณะที่ขุนแผนใช้เวทมนตร์และวิ่งหาความรัก ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตรักโดยเฉพาะชีวิตครอบครัว ส่วนบทบาทของขุนแผนในทางสังคมก็เพียงขุนนางชาวบ้านผู้จงรักภักดี แต่จะเด็ดหนุ่มรูปงามคารมดี มิได้ใช้เวทมนตร์ใด หากกิริยาวาจานั้นกำใจทั้งสาวๆ ในตัวละครและทั้งคนอ่าน แม้ผู้หญิงตามปกติไม่เห็นใจชายเจ้าชู้ ทว่าจะเด็ดดูว่าเป็นข้อยกเว้น เพราะด้วยความเคลิ้มอยากเป็นตะละแม่สักนางหนึ่ง เมื่อจะเด็ดอ้อนรำพัน "ข้าพเจ้ารักจันทราด้วยใจภักดิ์ แต่รักกุสุมาด้วยใจปอง" ซึ่งหัวใจจะเด็ดยังกว้างเหมือนมหาสมุทรที่ไม่เลือกเรือสำหรับหญิงอื่นๆ อีกด้วย ในความเป็นสามัญชนของจะเด็ดยังแตกต่างจากขุนแผน ที่เป็นเพียงข้าผู้ภักดีในฐานะขุนนาง ทว่าจะเด็ดไม่เพียงเด็ดดอกฟ้าโดยเป็นสวามีพระพี่นางของมังตรา หลังสิ้นมังตรายังขึ้นเป็นกษัตริย์ของคนทั้งแผ่นดิน[ต้องการอ้างอิง]
Remove ads
การดัดแปลง
สรุป
มุมมอง
ผู้ชนะสิบทิศ ถูกนำไปสร้างเป็น ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ละครเวที ละครวิทยุ[3]มาแล้วหลายครั้ง ได้แก่
ภาพยนตร์
ในระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2509–2510 ผู้ชนะสิบทิศสร้างครั้งแรกเป็นภาพยนตร์ไตรภาค ในระบบถ่ายทำ 16 มม. สร้างโดย เจ้าพระยาภาพยนตร์ อำนวยการสร้างโดย เฑียรร์ กรรณสูต กำกับการแสดงโดย เนรมิต[4][5] บทภาพยนตร์โดย พงศ์ อำมาตย์, อนุมาศ บุนนาค, เจน จำรัสศิลป์ ถ่ายภาพโดย อนันต์ อินละออ เนื้อเรื่องแบ่งเป็น 3 ภาค ดังนี้
- นักแสดง
ร่วมด้วย อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา, มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา, สมควร กระจ่างศาสตร์, สาหัส บุญหลง, ถนอม อัครเศรณี, ชาลี อินทรวิจิตร, เชาว์ แคล่วคล่อง, สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม, เมืองเริง ปัทมินทร์, สิงห์ มิลินทราศัย[6]
ในการฉายเป็นภาพยนตร์นั้น มีเพลงประกอบที่เป็นที่รู้จักและยังติดอยู่ในความทรงจำตราบจนปัจจุบัน 2 เพลง คือ "บุเรงนองลั่นกลองรบ" ขับร้องโดย สุเทพ วงศ์กำแหง และ "ผู้ชนะสิบทิศ" ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร ส่วนเพลงบุเรงนองลั่นกลองรบนั้นภายหลังได้ทำดนตรีใหม่ให้เป็นดนตรีร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงเนื้อร้องเดิมอยู่ โดย กษาปณ์ จำปาดิบ ในปี พ.ศ. 2538 และยืนยง โอภากุล ในปี พ.ศ. 2549
ภาพยนตร์ไตรภาคผู้ชนะสิบทิศได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติจากหอภาพยนตร์ ในปี พ.ศ. 2556[7][8][9]
ละครโทรทัศน์
ผู้ชนะสิบทิศมีการสร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง และเมื่อต้นปี พ.ศ. 2549 โมเดิร์นไนน์ทีวี มีโครงการสร้างเป็นละครอีกครั้ง โดยประกาศหานักแสดงนำฝ่ายชายสำหรับบทจะเด็ดแต่ยกเลิกไป เนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ หลังเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[10]
อย่างไรก็ดี ผู้ชนะสิบทิศ เป็นนิยายที่ว่าถึงกษัตริย์พม่าองค์ที่สามารถชนะเอกราชของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เสมอ ๆ เมื่อจะสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์แต่ละครั้ง[11]
- รายชื่อนักแสดงและการสร้าง
ละครเวที
อาจารย์เสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ ได้ถอดความบทประพันธ์เรื่องผู้ชนะสิบทิศมาดัดแปลงเป็นละครเวทีในลักษณะของละครพันทาง จำนวนทั้งสิ้น 56 ตอน โดยจบเนื้อหาที่การสถาปนาพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ขึ้นเป็นจักรพรรดิราชหลังจากพิชิตกรุงหงสาวดีได้สำเร็จ คัดเลือกและบรรจุเพลงสำหรับใช้ในการแสดงโดยสมชาย ทับพร และกัญญา โรหิตาจล ทำการแสดงโดยคณะนักแสดงจากสำนักการสังคีต กรมศิลปากร เปิดการแสดงครั้งแรกที่เวทีกลางแจ้งสังคีตศาลา ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เมื่อปี พ.ศ. 2528 ต่อมาละครพันทางเรื่องนี้ได้รับความนิยมจากผู้ชมมากขึ้น จึงได้ย้ายไปเปิดการแสดงในโรงละครแห่งชาติ ในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2530 และสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ยังคงจัดให้มีโปรแกรมการแสดงละครพันทางเรื่องดังกล่าวเป็นระยะ ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ละครวิทยุ
- รายการ วรรณกรรมทางอากาศ จัดโดย อาคม ธรรม์นิเทศ ทางสถานีวิทยุ 01 มีนบุรี เอเอ็ม 945 ราว พ.ศ. 2530 - 2540
- ละครวิทยุ เอเอ็ม พ.ศ. 2554
- คณะสยาม 81 ทางสถานีวิทยุ วพท.เอเอ็ม 792 เวลา 8.30 - 9.00 น. เริ่มเดือนกันยายน พ.ศ. 2555
เพลงประกอบละคร
Remove ads
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads