คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์

ประมุขแห่งรัฐของประเทศเนเธอร์แลนด์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์
Remove ads

พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Koning der Nederlanden) หรือเรียก พระมหากษัตริย์ฮอลแลนด์ (ดัตช์: Rey di Hulanda) เป็นประมุขแห่งรัฐของประเทศเนเธอร์แลนด์ ตามระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญได้อธิบายกลไกการสืบราชสมบัติ การขึ้นครองราชย์ การสละราชสมบัติ บทบาทและหน้าที่ ระเบียบการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ และบทบาทในการบัญญัติกฎหมาย

ข้อมูลเบื้องต้น พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์, อยู่ในราชสมบัติ ...

มณฑลต่าง ๆ ในเนเธอร์แลนด์ของสเปนเคยถูกปกครองโดยสมาชิกของราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซาเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ปี 2102 เมื่อพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปนทรงแต่งตั้ง วิลเลิมผู้เงียบขรึม (วิลเลิมแห่งออเรนจ์) เป็นสตัดเฮาเดอร์ แต่ต่อมา วิลเลิมได้กลายเป็นผู้นำของการปฏิวัติดัตช์ส่งผลให้เกิดสาธารณรัฐดัตช์ที่เป็นอิสระจากสเปน ภายหลังลูกหลานของวิลเลิมบางคนยังคงได้รับแต่งตั้งให้เป็นสตัดเฮาเดอร์ของมณฑลต่าง ๆ และในปี 2290 ตำแหน่งนี้ก็ถูกกำหนดให้มีการสืบทอดโดยสายเลือดในทุกมณฑล ทำให้สาธารณรัฐดัตช์มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบอบราชาธิปไตย จนกระทั่งปี 2338 วิลเลิมที่ 5 เจ้าชายแห่งออเรนจ์สตัดเฮาเดอร์พระองค์สุดท้าย ต้องลี้ภัยออกจากประเทศ ระบบสตัดเฮาเดอร์ที่มีความคล้ายคลึงกับระบอบราชาธิปไตยจึงสิ้นสุดลง

หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์สละราชสมบัติ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ จึงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์พระองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ตระกูลออเรนจ์-นัสเซามีต้นกำเนิดจาก Diez ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นที่ตั้งของหนึ่งในมณฑลของนัสเซา ตำแหน่งเจ้าชายแห่งออเรนจ์ถูกสืบทอดมาจากราชรัฐออเรนจ์บริเวณทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ในปี 2087 วิลเลิมที่ 1 แห่งออเรนจ์ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปนให้เป็นสตัดเฮาเดอร์แห่งออเรนจ์-นัสเซาคนแรก เขาเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากสเปน Johann VI, Count of Nassau-Dillenburg สตัดเฮาเดอร์แห่งยูเทรกต์น้องชายของเขา เป็นต้นตระกูลสายตรงของสตัดเฮาเดอร์ในแคว้นฟรีสลันด์และโกรนิงเงิน ซึ่งในที่สุดก็เป็นต้นตระกูลของพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์แรก

หลังจากสงครามแปดสิบปี ซึ่งทำให้เนเธอร์แลนด์ได้รับเอกราชจากสเปน โดยในช่วงนี้สาธารณรัฐดัตช์มีการบริหารจัดการโดยสตัดเฮาเดอร์ ซึ่งแต่ละมณฑลมีสตัดเฮาเดอร์เป็นผู้นำ แต่หลังจากปี 2290 มีการกำหนดให้มีสตัดเฮาเดอร์เพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่นำในแต่ละมณฑล และตำแหน่งนี้กลายเป็นตำแหน่งที่สามารถสืบทอดได้ในตระกูลออเรนจ์-นัสเซา ซึ่งเป็นระบบการสืบทอดแบบทางการในลักษณะการสืบทอดตามลำดับหรือการสืบทอดตามลำดับชั้นของทายาท อย่างไรก็ตาม เนเธอร์แลนด์ในช่วงนั้นยังคงเป็นสาธารณรัฐที่ประกอบขึ้นจากมณฑลหลายแห่งที่มีอำนาจปกครองตนเอง และรวมตัวกันเป็นพันธมิตรทางกฎหมายภายใต้กฎระเบียบของสาธารณรัฐดัตช์จนกระทั่งการการปฏิวัติบาตาเวียในปี 2338 ระบบนี้ก็ถูกยกเลิก และเนเธอร์แลนด์เปลี่ยนไปใช้ระบบสาธารณรัฐรวมศูนย์มากขึ้น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติฝรั่งเศส

ราชวงศ์ปัจจุบันก่อตั้งขึ้นในปี 2356 เมื่อฝรั่งเศสถูกขับไล่ออกไป รัฐบาลใหม่ถูกนำโดย William Frederick, Prince of Nassau-Dietz บุตรชายของสตัดเฮาเดอร์คนสุดท้าย เขาครองอำนาจในอาณาเขตของสาธารณรัฐก่อนหน้าในฐานะเจ้าชายผู้มีอำนาจ ในปี 2358 หลังจากที่นโปเลียนหนีออกจากเกาะเอลบา William Frederick ก็ยกระดับเนเธอร์แลนด์ให้กลายเป็นราชอาณาจักรและขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 ในส่วนของการจัดระเบียบใหม่ของยุโรปที่การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งเวียนนา ตระกูลออเรนจ์-นัสเซาได้รับการยืนยันให้เป็นผู้ปกครองของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ซึ่งขยายไปยังเบลเยียมและลักเซมเบิร์ก ในเวลาเดียวกัน วิลเลิมกลายเป็นดยุกแห่งลักเซมเบิร์กโดยแลกกับการสละที่ดินมรดกของตระกูลในเยอรมนีให้กับ Nassau-Weilburg และปรัสเซีย ลักเซมเบิร์กเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ (จนถึงปี 2382) ขณะเดียวกันก็เป็นรัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐเยอรมัน โดยได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในปี 2382 แต่ยังคงอยู่ในรัฐร่วมประมุขกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์จนถึงปี 2433[1][2][3][4]

การสละราชสมบัติกลายเป็นประเพณีที่ไม่ได้กำหนดของราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาและสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา ทั้งคู่สละราชสมบัติให้แก่บุตรสาวของพระองค์ และพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 สละราชสมบัติให้แก่พระโอรสคนโตของพระองค์ มีพระมหากษัตริย์เพียง 2 พระองค์ที่สิ้นพระชนม์บนบัลลังก์คือ พระเจ้าวิลเลิมที่ 2 และพระเจ้าวิลเลิมที่ 3

เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ก็สละราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์

Remove ads

อำนาจหน้าที่

สรุป
มุมมอง

บทบาททางการเมือง

แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีบทบาทและหน้าที่ในทุกส่วนของรัฐบาลและในหลายภาคส่วนสำคัญของสังคม แต่บทบาทหลักของพระองค์อยู่ในฝ่ายบริหารของรัฐบาล โดยพระมหากษัตริย์เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล

รัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ มาตรา 42 ได้กำหนดบทบาทของพระมหากษัตริย์ไว้ดังนี้[Cons 1]

1. รัฐบาลประกอบด้วยพระมหากษัตริย์และรัฐมนตรี

2. พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการตำหนิ ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ

มาตรานี้เป็นพื้นฐานของอำนาจและอิทธิพลทั้งหมดของพระมหากษัตริย์ ทำให้พระองค์ทรงอยู่เหนือการตำหนิตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็จำกัดอำนาจโดยพฤตินัย เพราะพระองค์ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของรัฐบาลได้

วรรคแรก ของมาตรา 42 กำหนดว่า รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกอบด้วยพระมหากษัตริย์และรัฐมนตรี ซึ่งหมายความว่าพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ประมุขฝ่ายบริหาร และรัฐมนตรีไม่ได้ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ภายในรัฐบาล[Cons 2][Cons 3] ทั้งสองฝ่ายเป็นองค์ประกอบของรัฐบาลโดยไม่มีการแยกอำนาจ หรือแบ่งแยกบทบาท พระมหากษัตริย์และรัฐมนตรีรวมกันเป็นรัฐบาลเดียวกัน และรัฐบาลเป็นเอกภาพ[ext 1] ข้อเท็จจริงข้อนี้มีผลทางปฏิบัติ คือ พระมหากษัตริย์และรัฐมนตรีไม่สามารถมีความเห็นขัดแย้งกันได้ รัฐบาลต้องมีจุดยืนเดียวกันและตัดสินใจในฐานะองค์กรเดียว เมื่อตรัสในฐานะฝ่ายบริหาร พระมหากษัตริย์ทรงเป็นตัวแทนของรัฐบาลโดยรวม และเมื่อรัฐบาลตัดสินใจ พระมหากษัตริย์ก็ถือว่าทรงเห็นพ้องด้วย (แม้ว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยโดยส่วนพระองค์ก็ตาม) ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถปฏิเสธการลงพระปรมาภิไธยในร่างกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเห็นชอบและลงนามแล้ว หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น จะถือเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญโดยอัตโนมัติ[ext 1]

วรรคที่สอง ของมาตรา 42 คือส่วนที่ทำให้พระมหากษัตริย์แทบไม่มีอำนาจโดยพฤตินัย วรรคนี้ระบุว่า "พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการตำหนิ" ซึ่งหมายความว่า พระองค์ไม่สามารถถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดี (ทั้งอาญาและอื่น ๆ) จากการกระทำใด ๆ ที่ทรงกระทำในฐานะพระมหากษัตริย์ หากมีข้อผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบต้องเป็นผู้รับผิดชอบแทน ข้อกำหนดนี้อาจดูเหมือนเปิดทางให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นตรงกันข้าม เนื่องจากรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ พวกเขาจึงเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจโดยแท้จริง พวกเขากำหนดทิศทางของรัฐบาลและประเทศ ตัดสินใจเชิงบริหารและบริหารกิจการของรัฐ และเนื่องจากรัฐบาลเป็นหนึ่งเดียว พระมหากษัตริย์จึงต้องปฏิบัติตามมติของรัฐมนตรี

ในทางปฏิบัติ พระมหากษัตริย์แทบไม่เคยมีพระราชโองการที่เป็นการตัดสินใจทางบริหารโดยพระองค์เอง และแทบไม่เคยตรัสในที่สาธารณะเกี่ยวกับประเด็นใด ๆ นอกเหนือจากคำแถลงการณ์ที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เตรียมให้ เนื่องจากหากพระองค์ตรัสโดยไม่ได้เตรียมการไว้ อาจส่งผลกระทบทางการเมืองต่อรัฐมนตรี ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของข้อจำกัดนี้ คือ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถมีพระราชโองการใด ๆ โดยลำพังได้ ทุกการตัดสินใจและพระราชโองการ ต้องได้รับการลงนามรับรองจากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเสมอ[ext 1]

แม้ว่าอำนาจของพระมหากษัตริย์จะถูกจำกัด แต่พระองค์ไม่ได้มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์เพียงอย่างเดียว พระมหากษัตริย์ยังคงมีบทบาทเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังจากการเลือกตั้งรัฐสภา อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยตรงไว้ในรัฐธรรมนูญ[ext 1]

หลังการเลือกตั้งรัฐสภา จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้นำพรรคการเมืองในรัฐสภาจะพยายามจัดตั้งรัฐบาลผสมที่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภาชุดใหม่ได้ ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อทั่วประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผนวกกับเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต่ำมากในการได้รับที่นั่ง (เพียง 2 ใน 3 ของร้อยละ 1 ของคะแนนเสียงทั้งหมด) ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะชนะการเลือกตั้งแบบเด็ดขาด ดังนั้น การเจรจาเพื่อตั้งรัฐบาลผสมจึงมีความสำคัญพอ ๆ กับการเลือกตั้งเอง

กระบวนการเจรจานี้อาจใช้เวลาตั้งแต่ 2 ถึง 4 เดือน (หรืออาจนานกว่านั้นในบางกรณี) โดยในช่วงแรกจะมีอินฟอร์มาทูร์หนึ่งคนหรือมากกว่าทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานถึงแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่เป็นไปได้ เมื่อพบการรวมพรรคที่มีแนวโน้มมากที่สุดแล้ว ฟอร์มาทูร์จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำเนินการเจรจาร่วมรัฐบาลอย่างเป็นทางการและจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ฟอร์มาทูร์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี) หากการเจรจาล้มเหลว วงจรนี้จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งอินฟอร์มาทูร์และฟอร์มาทูร์ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยโดยพิจารณาจากคำแนะนำของผู้นำพรรคการเมืองในรัฐสภา ตลอดจนบุคคลสำคัญอื่น ๆ (เช่น ประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภา)[ext 1]

ในช่วงเวลาของการเจรจา มักมีการถกเถียงกันในสังคมเกี่ยวกับอำนาจของพระมหากษัตริย์ในกระบวนการนี้ควรถูกจำกัดหรือไม่ และรัฐสภาชุดใหม่ควรเป็นผู้แต่งตั้งบุคคลเหล่านี้แทนพระมหากษัตริย์หรือไม่ การถกเถียงเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่าการตัดสินใจของพระมหากษัตริย์อาจไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีการกำกับดูแลจากรัฐสภา จึงอาจนำไปสู่การที่พระมหากษัตริย์ใช้อิทธิพลในการสนับสนุนรัฐบาลที่พระองค์โปรดปราน

ในทางกลับกัน ก็มีข้อโต้แย้งว่าพระมหากษัตริย์แทบไม่มีโอกาสที่จะใช้อำนาจนี้เพื่อแทรกแซงทางการเมืองได้จริง อินฟอร์มาทูร์ทำหน้าที่เพียงตรวจสอบและรายงานแนวทางรัฐบาลผสมที่เป็นไปได้ แม้ทางทฤษฎีแล้วอินฟอร์มาทูร์อาจเลือกแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่โดยทั่วไปพรรคการเมืองแต่ละพรรคมักมีจุดยืนที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางร่วมรัฐบาล และตัวเลือกแรกของรัฐบาลผสมแทบทุกครั้งก็คือแนวทางที่พรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐสภาเป็นผู้เสนอ นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ในอดีตโดยเฉพาะพระราชินีนาถ มักเลือกแต่งตั้งอินฟอร์มาทูร์ที่ไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง โดยมักเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับและเป็นกลางในแวดวงการเมือง (รองประธาน คณะมนตรีแห่งรัฐ มักได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้)

เมื่อรัฐบาลผสมที่เป็นไปได้ถูกระบุแล้ว พระมหากษัตริย์มีอิสระในการเลือกฟอร์มาทูร์ อย่างไรก็ตาม ฟอร์มาทูร์แทบทุกครั้งก็คือหัวหน้าพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาลผสมที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น และตามหลักปฏิบัติแล้ว รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นต้องได้รับการสนับสนุนจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้สามารถบริหารประเทศได้ ดังนั้น ฟอร์มาทูร์จึงเป็นหัวหน้าพรรคของพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาลผสมโดยปริยาย[ext 1]

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 สภาแห่งรัฐ ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการของตนเอง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตดำเนินไปโดยไม่มีอิทธิพลจากพระมหากษัตริย์อีกต่อไป[ext 2] ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น รัฐบาลผสมล่มสลาย[ext 3] ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 ในตอนแรกมีความกังวลว่ากระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากไม่มีขั้นตอนที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการหากไม่มีบทบาทของพระมหากษัตริย์[ext 2] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลผสมชุดใหม่ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใน 54 วัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่ามาตรฐานของเนเธอร์แลนด์อย่างมาก[ext 4]

แทนที่พระมหากษัตริย์จะเป็นผู้แต่งตั้งอินฟอร์มาทูร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ทำหน้าที่นี้แทน โดยเปลี่ยนชื่อของอินฟอร์มาทูร์เป็นผู้ตรวจสอบ [ext 5] หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้น พิธีสาบานตนของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน้าที่เดียวที่ยังเหลืออยู่ของพระมหากษัตริย์ในกระบวนการนี้ ก็ถูกจัดขึ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์[ext 6]

สาขาหนึ่งของรัฐบาลที่พระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจควบคุมคือ สภาแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา[Cons 4] เช่นเดียวกับประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในหลาย ๆ ประเทศ รัฐสภาของเนเธอร์แลนด์มีบทบาทในการควบคุมดูแลการทำงานของรัฐบาลในด้านการบริหารและการอนุมัติร่างกฎหมายก่อนที่จะกลายเป็นกฎหมาย ทั้งนี้รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับสภาผู้แทนราษฎร และตามหลักพระมหากษัตริย์ก็มีส่วนในการพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ด้วย (แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงพูดกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องนโยบายเนื่องจากเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรี)[ต้องการอ้างอิง]

ในทางรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์มีความเกี่ยวข้องกับรัฐสภา 3 ด้าน ได้แก่ การออกกฎหมาย การกำหนดนโยบายในช่วงเปิดปีการประชุมรัฐสภา และการยุบสภา ในการกำหนดนโยบาย เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาที่สุด ปีการประชุมรัฐสภาเริ่มต้นในวันอังคารที่ 3 ของเดือนกันยายน โดยการประชุมร่วมของทั้ง 2 สภา[Cons 5] ในโอกาสนี้ พระมหากษัตริย์จะทรงแถลงพระราชดำรัสต่อที่ประชุมร่วม โดยสรุปนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการในปีถัดไป (ซึ่งพระราชดำรัสนี้ถูกเตรียมโดยรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐบาล โดยผ่านการตรวจสอบและอนุมัติโดยนายกรัฐมนตรี) เหตุการณ์นี้ถือเป็นข้อบังคับในรัฐธรรมนูญตามมาตรา 65 อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ วันเปิดปีการประชุมรัฐสภานี้ได้กลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิธีการ โดยเป็นงานที่สำคัญในวัน Prinsjesdag ซึ่งมีการรวมตัวของรัฐสภาและหน่วยงานรัฐบาลอื่น ๆ ณ Ridderzaal เพื่อฟังพระราชดำรัสจากพระมหากษัตริย์หลังจากพระองค์เสด็จมาจาก Noordeinde Palace ด้วยรถม้าทองคำ ทั้งในแง่รัฐธรรมนูญและพิธีการ เหตุการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับการเปิดประชุมรัฐสภาของสหราชอาณาจักรและการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา

Thumb
บัลลังก์ใน Ridderzaal ซึ่งพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์จะทรงประกาศพระราชดำรัสประจำปีในวัน Prinsjesdag

ในเรื่องการออกกฎหมาย พระมหากษัตริย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐสภาบ่อยที่สุด (แม้ว่าในทางปฏิบัติจะมีบทบาทน้อยมาก) กฎหมายในเนเธอร์แลนด์จะได้รับการเสนอโดยรัฐบาลโดยหรือในนามของพระมหากษัตริย์ (วลีนี้ถูกกล่าวซ้ำในรัฐธรรมนูญ)[Cons 6] โดยเทคนิคแล้ว หมายความว่าพระมหากษัตริย์อาจจะเสนอร่างกฎหมายได้ด้วยตัวเอง ซึ่งย้อนกลับไปในสมัยพระมหากษัตริย์ในเนเธอร์แลนด์ที่พระองค์สามารถออกกฎหมายได้จริง แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีกำหนดความรับผิดชอบของรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์ในปัจจุบันจะหลีกเลี่ยงการเสนอร่างกฎหมายด้วยพระองค์เอง โดยปกติพระมหากษัตริย์จะทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นการเคารพตามประเพณีที่กฎหมายทุกฉบับต้องได้รับการเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์

แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะไม่มีส่วนในการออกกฎหมายในทางปฏิบัติ แต่การติดต่อสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาก็ยังคงแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ โดยการติดต่อสื่อสารจากรัฐสภาไปยังรัฐบาลจะถูกส่งถึงพระมหากษัตริย์ และเอกสารที่ออกจากพระมหากษัตริย์ก็จะมีพระปรมาภิไธยของพระองค์โดยไม่ต้องมีการลงนามร่วมจากรัฐมนตรี (เนื่องจากไม่ถือเป็นการตัดสินใจหรือพระราชกฤษฎีกา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการลงนามร่วมจากรัฐมนตรี) การใช้ภาษาที่เป็นทางการยังคงแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ เช่นเมื่อสภาผู้แทนราษฎรปฏิเสธร่างกฎหมาย จะกล่าวว่า "ขอให้พระมหากษัตริย์ทบทวนร่างกฎหมายนั้น" ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด[Cons 7] หากรัฐบาลยอมรับร่างกฎหมายและลงนามให้มีผลบังคับใช้ จะใช้ภาษาว่า "พระมหากษัตริย์ยอมรับร่างกฎหมาย" หากรัฐบาลปฏิเสธร่างกฎหมาย จะใช้ภาษาว่า "พระมหากษัตริย์จะพิจารณาร่างกฎหมายนั้น" กฎหมายที่ได้รับการอนุมัติแล้วจะถูกจัดทำในรูปแบบที่พระมหากษัตริย์ประกาศให้ใช้

สุดท้ายคือการยุบสภา ตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลมีอำนาจในการยุบสภาใดสภาหนึ่งของรัฐสภาโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งหมายความว่ารัฐมนตรี (โดยปกติคือนายกรัฐมนตรี) จะทำการตัดสินใจ และพระมหากษัตริย์จะลงพระปรมาภิไธยในการประกาศพระราชกฤษฎีกา พระราชกฤษฎีกานี้จะส่งผลให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 3 เดือนหลังจากการยุบสภา[Cons 8]

รัฐธรรมนูญกำหนดกรณีต่าง ๆ ที่อาจทำให้ต้องมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร (โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ) และกรณีเหล่านี้จะต้องใช้พระราชกฤษฎีกาเสมอ นอกจากนี้ตามประเพณี การล่มสลายของรัฐบาลมักจะนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งใหม่ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 การจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังจากการเลือกตั้งใหม่จะไม่เป็นเรื่องปกติ และจะเกิดขึ้นจากเวลาที่คณะรัฐมนตรีต้องเผชิญหน้ากับรัฐสภาที่ไม่เป็นมิตร เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีมักจะพยายามแก้ไขโดยการยุบสภาในนามของพระมหากษัตริย์ ด้วยความหวังว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่และรัฐสภาใหม่ที่อาจเป็นมิตรต่อรัฐบาลมากขึ้น แต่บางครั้งก็อาจย้อนกลับมาเป็นเรื่องที่ล้มเหลว ทำให้รัฐสภาใหม่ที่มีความไม่พอใจมากขึ้นและยังขัดขวางการทำงานของรัฐบาล

แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะไม่สนทนากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ แต่จนถึงปี 2542 การเข้าเฝ้าฯ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นประจำหลายครั้งต่อปีเพื่อสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปของประเทศก็เป็นประเพณี ซึ่งการพูดคุยเหล่านี้จะเป็นความลับอย่างเคร่งครัดตามหลักความรับผิดชอบของรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามประเพณีนี้ถูกระงับในปี 2542 หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยเนื้อหาการสนทนาเหล่านั้น ต่อมาในปี 2552 มีความพยายามที่จะเริ่มต้นประเพณีนี้ใหม่ แต่ก็ล้มเหลวหลังจาก Arend Jan Boekestijn เปิดเผยเนื้อหาการสนทนาของพระมหากษัตริย์กับเขาในสื่อ โดย Boekestijn ได้ลาออกหลังจากถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้เผยแพร่บทสนทนา[ext 7]

ในการออกกฎหมายพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจอย่างเป็นทางการชัดเจน ตัวอย่างเช่น ร่างกฎหมายใด ๆ จะไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะได้รับการลงพระปรมาภิไธย แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่บังคับให้พระมหากษัตริย์ต้องทรงลงพระปรมาภิไธยก็ตาม[Cons 6] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ พระมหากษัตริย์จะทรงให้ความเห็นชอบเสมอ เนื่องจากร่างกฎหมายส่วนใหญ่ถูกเสนอขึ้นโดยหรือในนามของพระมหากษัตริย์[Cons 9]

ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าร่างกฎหมายจะต้องได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่การบริหารประเทศในทางปฏิบัติส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านพระราชกฤษฎีกา ซึ่งถูกใช้ในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่การแต่งตั้งข้าราชการและนายทหาร ไปจนถึงการกำหนดแนวทางปฏิบัติของนโยบายสาธารณะ และการกำหนดรายละเอียดของกฎหมายบางฉบับ ผ่านพระราชกฤษฎีกานี้ กระทรวงถูกจัดตั้งขึ้น[Cons 10] สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสามารถถูกยุบได้[Cons 8] และรัฐมนตรีสามารถได้รับการแต่งตั้งหรือปลดออกจากตำแหน่งได้[Cons 11]

อย่างไรก็ตาม พระราชกฤษฎีกาทั้งหมดออกโดยรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยก่อนที่กฎหมายและพระราชกฤษฎีกาจะมีผลบังคับใช้ แต่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการที่รับผิดชอบต้องลงนามร่วมด้วย[Cons 12] ซึ่งระบบนี้ทำให้แม้พระมหากษัตริย์จะทรงมีบทบาทตามพิธีการ แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองยังคงอยู่ที่รัฐมนตรี

ในทางปฏิบัติ รัฐมนตรีเป็นผู้ร้องขอให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ซึ่งถือเป็นการแสดงอำนาจของราชบัลลังก์ และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยเป็นลำดับแรกในฐานะผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ก่อนที่รัฐมนตรีจะลงนามรับรองเพื่อยืนยันความรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์ แม้ว่าตามทฤษฎีแล้ว รัฐบาลอาจปฏิเสธที่จะลงนามในร่างกฎหมายที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา แต่เหตุการณ์เช่นนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้น และการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิเสธลงพระปรมาภิไธยโดยลำพังแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอาจนำไปสู่วิกฤตทางรัฐธรรมนูญ[ext 8]

มีกรณีหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจน้อยลงไปอีก นั่นคือ การแต่งตั้งรัฐมนตรี แม้ว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีจะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องมีลายเซ็นของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แต่ในกรณีนี้ พระราชกฤษฎีกาต้องมีลายเซ็นของรัฐมนตรีสองคน คือรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งและนายกรัฐมนตรี[Cons 13]

บทบาททางการทูต

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูตของเนเธอร์แลนด์ทำหน้าที่แทนพระมหากษัตริย์ ขณะที่เอกอัครราชทูตต่างชาติประจำอยู่ต่อพระองค์ พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นผู้แทนของประเทศในการเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ และพระสาทิสลักษณ์หรือพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ปรากฏอยู่บนแสตมป์และเหรียญยูโรของเนเธอร์แลนด์

บทบาททางศาสนา

ราชวงศ์เนเธอร์แลนด์เป็นสมาชิกของนิกาย Dutch Reformed Church มาโดยตลอด ซึ่งภายหลังได้รวมเข้ากับโปรเตสแตนต์แห่งเนเธอร์แลนด์เมื่อปี 2547 อย่างไรก็ตาม สมาชิกบางคนของราชวงศ์นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในเนเธอร์แลนด์ไม่มีบทบัญญัติทางกฎหมายกำหนดว่าพระมหากษัตริย์ต้องนับถือศาสนาใด แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะเคยระบุไว้จนถึงปี 2526 ว่าการสมรสกับผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกจะทำให้สูญเสียสิทธิ์ในราชบัลลังก์ (แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2526 ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนี้ โดยกำหนดให้ทายาทที่มีสิทธิ์สืบราชสมบัติต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนแต่งงานเพื่อรักษาสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์)

ค่าตอบแทน

มาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญระบุว่า พระมหากษัตริย์จะได้รับเงินประจำปีจากราชอาณาจักร (หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเงินเดือน แต่ไม่สามารถเรียกเช่นนั้นได้โดยตรง เนื่องจากไม่ได้หมายความว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นลูกจ้างของรัฐบาล แต่เป็นตรงกันข้าม) กฎเกณฑ์ที่แน่นอนเกี่ยวกับเงินประจำปีเหล่านี้จะถูกกำหนดโดยกฎหมาย รวมถึงรายชื่อสมาชิกของราชวงศ์ที่มีสิทธิ์ได้รับเงินประจำปีด้วย[Cons 14]

ภายใต้กฎหมายเนเธอร์แลนด์ปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ได้รับเงินประจำปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณประจำปี เช่นเดียวกับรัชทายาท (หากบรรลุนิติภาวะ) พระราชสวามีหรือพระมเหสี พระสวามีหรือพระชายาของรัชทายาท อดีตพระมหากษัตริย์ และพระราชสวามีหรือพระมเหสีของอดีตพระมหากษัตริย์[Law 1] ในทางปฏิบัติ ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 ผู้ได้รับเงินประจำปี ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ สมเด็จพระราชินีมักซิมา และเจ้าหญิงเบียทริกซ์ โดยที่พระมหากษัตริย์ทรงได้รับเงินนี้ตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ ส่วนสมาชิกพระราชวงศ์อื่น ๆ ได้รับเงินเนื่องจากตำแหน่งของพวกเขาไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพอื่นได้

ตัวอย่างเงินประจำปีในช่วงต่าง ๆ มีดังนี้:

  • ปี 2552:
    • สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ 813,000 ยูโร
    • เจ้าฟ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ 241,000 ยูโร
    • เจ้าหญิงมักซิมา 241,000 ยูโร[Law 2]
  • ปี 2560:
    • สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ 888,000 ยูโร
    • สมเด็จพระราชินีมักซิมา 352,000 ยูโร
    • เจ้าหญิงเบียทริกซ์ 502,000 ยูโร

นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ยังได้รับงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับค่าใช้จ่ายทางการ ได้แก่ 4.6 ล้านยูโรสำหรับพระมหากษัตริย์ 606,000 ยูโรสำหรับพระราชินี และมากกว่า 1 ล้านยูโรสำหรับเจ้าหญิงเบียทริกซ์[5]

เงินประจำปีนี้เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างข้าราชการเนเธอร์แลนด์ กล่าวคือ หากเงินเดือนข้าราชการเพิ่มขึ้น เงินประจำปีของราชวงศ์ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น ในปี 2552 ข้าราชการได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นร้ายละ 1 ซึ่งทำให้พระราชินีนาถเบียทริกซ์ได้รับเงินเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดข้อถกเถียงในรัฐสภา

สิทธิพิเศษของราชวงศ์

Thumb
ขบวนรถไฟของราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ในปี 2560

ภาษี

ตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกพระราชวงศ์ที่ได้รับเงินประจำปีได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้[Cons 14] นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับการยกเว้นภาษีทรัพย์สินและทรัพย์สินส่วนตัวที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึง ภาษีมรดก ที่ได้รับจากสมาชิกพระราชวงศ์[Cons 14]

พระราชวัง

พระมหากษัตริย์มีสิทธิ์ใช้พระราชวัง Huis ten Bosch เป็นที่ประทับ และ Noordeinde Palace เป็นพระราชวังสำหรับทรงงาน พระราชวังอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์ ได้แก่ พระราชวังหลวงอัมสเตอร์ดัม ซึ่งใช้สำหรับการเยือนรัฐและเปิดให้ประชาชนเข้าชมเมื่อไม่มีการใช้งาน และพระราชวัง Soestdijk ซึ่งปัจจุบันเปิดให้สาธารณชนเข้าชมและไม่มีการใช้เป็นทางการแล้ว[Law 3]

พระราชยานพาหนะ

พระมหากษัตริย์ทรงมีรถยนต์ส่วนพระองค์ (ซึ่งสามารถประดับธงประจำพระองค์ได้) นอกจากนี้ยังมี ขบวนรถไฟพระที่นั่งพิเศษ ซึ่งเป็นขบวนรถไฟสามตู้[ext 9] รวมถึงห้องรับรองพิเศษสำหรับพระมหากษัตริย์ที่สถานีรถไฟหลัก 3 แห่ง ได้แก่ Den Haag HS railway station Amsterdam Centraal station และ Baarn railway station[6]

นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ยังมี Boeing 737 Business Jet สำหรับการเดินทางอย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถใช้ได้โดยรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ทั้งหมด พระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ทรงมีใบอนุญาตนักบินและสามารถขับเครื่องบินลำนี้ได้เอง[7]

กฎหมายคุ้มครอง

ก่อนปี 2563 กฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์จากการหมิ่นพระเดชานุภาพ ทำให้ผู้ที่ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ถูกดำเนินคดี ซึ่งเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศสุดท้ายในยุโรปที่ยังคงใช้กฎหมายนี้อยู่[8][9][10] จาก ปี 2543 ถึง 2555 มีการฟ้องร้องคดีหมิ่นพระเดชานุภาพ 18 คดี ซึ่งครึ่งหนึ่งนำไปสู่คำตัดสินว่ามีความผิด[11] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 กฎหมายนี้ถูกยกเลิกไป ปัจจุบันการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ได้รับโทษในระดับเดียวกับการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับเงิน หรือทั้งจำทั้งปรับ[12]

สมาชิกและครอบครัวราชวงศ์

ครอบครัวราชวงศ์มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมากตั้งแต่การเกิดของบุตรหลานของสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา ทำให้ราชวงศ์ (โดยปกติหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์และคู่สมรสของพวกเขา) ขยายตัวไปมาก จนกระทั่งมีการจำกัดการเป็นสมาชิกในราชวงศ์ โดยมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกและตำแหน่งของราชวงศ์ในปี 2545 [Law 4]

ถึงแม้จะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ แต่ครอบครัวนี้โดยรวมมีบทบาทอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลหรือการบริหารประเทศน้อยมาก ตามรัฐธรรมนูญบทบาทที่สำคัญอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ได้รับการพิจารณาว่ากำลังเตรียมตัวสำหรับการขึ้นครองราชย์ในอนาคต ดังนั้นจึงมีหน้าที่จำกัดบางประการและมีข้อจำกัดหลายประการ (โดยเฉพาะไม่สามารถทำงานที่มีค่าตอบแทนได้ เนื่องจากอาจนำไปสู่ความยุ่งยากในอนาคต) เนื่องจากทั้งพระมหากษัตริย์และผู้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่สามารถถือครองตำแหน่งงานได้ พวกเขาจะได้รับเงินทุนจากรัฐบาล คู่สมรสของพวกเขาก็ถูกห้ามไม่ให้มีรายได้เช่นกันและได้รับเงินทุนเช่นกัน แต่ตามรัฐธรรมนูญ นี่คือบทบาททั้งหมดของครอบครัวราชวงศ์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล โดยเฉพาะสมาชิกราชวงศ์ที่ไม่ใช่พระมหากษัตริย์และผู้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่มีหน้าที่ทางการภายในรัฐบาลและไม่ได้รับเงินทุน พวกเขามีความรับผิดชอบต่อการกระทำและรายได้ของตนเอง พวกเขาอาจถูกขอให้แทนที่ในบางครั้ง เช่น การไปเยือนต่างประเทศกับพระมหากษัตริย์หากพระชายาติดขัด แต่นี่จะเป็นการโปรดเกล้าฯ ส่วนบุคคลและไม่ใช่หน้าที่ทางการ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ได้รับการยกเว้นจากการเก็บภาษี

สมาชิกหลายคนในครอบครัวราชวงศ์ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในสังคมพลเรือน (หรือเคยดำรงตำแหน่ง) โดยมักทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือโฆษกขององค์กรการกุศลหลายแห่ง ผู้สนับสนุนศิลปะ และความพยายามในลักษณะอื่น ๆ สมาชิกบางคนของครอบครัวราชวงศ์ยังเป็น (หรือเคยเป็น) ผู้สนับสนุนการดำเนินการของสาเหตุส่วนตัว เช่น เจ้าชายแบร์นฮาร์ทแห่งลิพเพอ-บีสเทอร์เฟ็ลท์ ซึ่งมักมีความหลงใหลในการดูแลทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเจ้าหญิงมาร์ครีต (ผู้ที่ประสูติในแคนาดา) มีความสัมพันธ์พิเศษกับทหารผ่านศึกชาวแคนาดาโดยเฉพาะ โดยทั่วไป สมาชิกครอบครัวราชวงศ์ในรัชสมัยของเจ้าหญิงเบียทริกซ์มักจะดำรงตำแหน่งในสังคมพลเรือนเป็นอาชีพหลัก ในขณะที่สมาชิกในรุ่นเยาว์ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ร่วมกับการทำงานที่ได้รับค่าจ้างอาชีพหนึ่ง ข้อยกเว้นที่โดดเด่นในข้อนี้คือปีเตอร์ ฟัน โฟลเลินโฮเฟิน (พระสวามีของเจ้าหญิงมาร์ครีต) ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานของคณะกรรมการความปลอดภัยจนกระทั่งเกษียณ

ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ คู่สมรสของพระมหากษัตริย์และผู้สืบทอดราชบัลลังก์ถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนหรือมีภาระหน้าที่ในรัฐบาล เพื่อป้องกันความยุ่งยากทางการเงินหรืออิทธิพลที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันและในอนาคต ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัญหามากนักเมื่อมีการนำมาใช้ในพุทธศตวรรษที่ 24 เพราะเนเธอร์แลนด์มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ชาย และถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะดูแลบ้านและเลี้ยงครอบครัว และไม่ต้องดำรงตำแหน่งใด ๆ นอกบ้าน ข้อจำกัดนี้เริ่มเป็นปัญหามากขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 25 เมื่อพระมหากษัตริย์เปลี่ยนเป็นผู้หญิงและคู่สมรสกลายเป็นผู้ชาย ซึ่งเริ่มต้นจากดยุกไฮน์ริชแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีนในปี 2444 คู่สมรสชายตั้งแต่นั้นมาได้ถูกจับตาด้วยความคาดหวังเกี่ยวกับความรับผิดชอบในรัฐบาล (เหมือนดยุกไฮน์ริชแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเวรีน) หรือมีอาชีพของตนเองก่อนแต่งงานกับพระมหากษัตริย์ในอนาคต (เหมือนเจ้าชายแบร์นฮาร์ทและเจ้าชายเคลาส์) เมื่อแต่งงานกับครอบครัวราชวงศ์ พวกเขาพบว่าตนเองถูกจำกัดอย่างรุนแรงในการกระทำและการใช้ความสามารถของตน คู่สมรสชายทุกคนได้เผชิญกับความยากลำบากในรูปแบบต่าง ๆ (เหตุการณ์อื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับการนอกใจและการเงินในกรณีของดยุกไฮน์ริชและเจ้าชายแบร์นฮาร์ท หรือภาวะซึมเศร้าในกรณีของเจ้าชายเคลาส์) และมีการคาดเดาอย่างกว้างขวาง (และยอมรับกันโดยทั่วไป) ว่าความเบื่อหน่ายอาจมีส่วนในความยากลำบากเหล่านี้

ตลอดเวลา ข้อจำกัดเกี่ยวกับคู่สมรสของราชวงศ์มีการผ่อนปรนบ้าง ดยุกไฮน์ริชไม่ได้รับอนุญาตให้มีบทบาทใดในเนเธอร์แลนด์เลย ในขณะที่เจ้าชายแบร์นฮาร์ทได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการทหารของกองทัพเนเธอร์แลนด์ (แม้ว่าตำแหน่งนี้จะถูกจัดตั้งขึ้นสำหรับเขา) และเป็นทูตไม่เป็นทางการของเนเธอร์แลนด์ที่ใช้ประโยชน์จากการติดต่อในช่วงสงครามเพื่อช่วยอุตสาหกรรมดัตช์ แต่ทั้งหมดนี้หยุดลงในปี 2519 หลังจาก Lockheed bribery scandals เจ้าชายเคลาส์ได้รับอนุญาตให้มีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้นหลังจากที่เขาได้สร้างตัวในสังคมเนเธอร์แลนด์ (เขาไม่เป็นที่นิยมในตอนแรก เนื่องจากเขาเป็นคนเยอรมันที่แต่งงานเข้ามาในครอบครัวราชวงศ์หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2) เขาได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาภายในกระทรวงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเกี่ยวกับแอฟริกา โดยใช้ประสบการณ์ของเขาในฐานะนักการทูตเยอรมันในทวีปนั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งเจ้าชายแบร์นฮาร์ทและเจ้าชายเคลาส์ ไม่เคยสามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดที่มีกับการแต่งงานในฐานะคู่สมรสของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากมีข้อจำกัดที่ไม่อนุญาตให้พวกเขาทำหน้าที่หรือมีอาชีพอื่น ๆ ที่มีผลต่อการปฏิบัติตามบทบาททางการเมืองของราชวงศ์ ในขณะที่การจัดพิธีแต่งงานของราชวงศ์ในปี 2545 (เมื่อสมเด็จพระราชินีมักซิมาแต่งงานกับสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์) รัฐบาลเห็นพ้องว่า สมเด็จพระราชินีมักซิมาที่มีประสบการณ์ในอาชีพธนาคารมาก่อนการแต่งงาน ควรได้รับอิสระมากขึ้นในการทำสิ่งที่เธอต้องการ

Remove ads

การสืบราชสันตติวงศ์

สรุป
มุมมอง

ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต้องเป็นทายาทของพระเจ้าวิลเลิมที่ 1[Cons 15] และถูกกำหนดผ่าน 2 กลไก ได้แก่ การสืบทอดแบบญาติสายตรงและความใกล้ชิดทางสายเลือด ในปี 2526 เนเธอร์แลนด์ได้กำหนดให้ใช้หลักญาติสายตรงแทนการให้สิทธิชายมากกว่าหญิง

ความใกล้ชิดทางสายเลือด จำกัดสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์เฉพาะบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันภายใน 3 ชั้นลำดับเครือญาติ ตัวอย่างเช่น หลานของเจ้าหญิงมาร์ครีต (พระขนิษฐาของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์) ไม่มีสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติ เพราะพวกเขามีระดับเครือญาติที่ห่างออกไปเป็นชั้นที่ 4 (กล่าวคือ เจ้าหญิงเบียทริกซ์เป็นบุตรของปู่ย่าของพวกเขา) การสืบราชสมบัติจำกัดเฉพาะทายาทที่ ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหมายความว่า บุตรที่เกิดนอกสมรสไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์[Cons 16]

หากพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์ขณะที่พระมเหสีทรงพระครรภ์ บุตรในครรภ์จะถูกถือว่าเป็นรัชทายาททันที เว้นแต่จะเป็นการแท้งบุตร ซึ่งในกรณีนั้นจะถือว่าบุตรไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ดังนั้น หากพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์ขณะที่พระมเหสีทรงพระครรภ์กับพระโอรสหรือพระธิดาพระองค์แรก บุตรในครรภ์จะถือว่าประสูติและเป็นพระมหากษัตริย์โดยทันที หากการตั้งครรภ์สิ้นสุดด้วยการแท้งบุตร ชื่อของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นจะถูกลบออกไป (เนื่องจากการมีอยู่ของพระมหากษัตริย์ที่เป็นทารกในครรภ์อาจเพิ่มระดับเครือญาติและทำให้บุคคลถัดไปในลำดับสืบราชสมบัติถูกตัดสิทธิ์)[Cons 17]

หากพระมหากษัตริย์ยังทรงพระเยาว์ จะต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งจนกว่าพระมหากษัตริย์จะทรงบรรลุนิติภาวะ[Cons 18][Cons 19] โดยปกติผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มักเป็นพระราชบิดาหรือพระราชมารดาของพระมหากษัตริย์ แต่รัฐธรรมนูญระบุว่า อำนาจปกครองและอำนาจผู้ปกครองของพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงพระเยาว์จะถูกกำหนดโดยกฎหมาย ซึ่งหมายความว่า บุคคลใด ๆ อาจได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือเป็นผู้ปกครองทางกฎหมาย หรืออาจดำรงทั้งสองตำแหน่ง[Cons 20]

หากไม่มีรัชทายาทเมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต รัฐสภาสามารถแต่งตั้งพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ตามข้อเสนอของรัฐบาล ข้อเสนอนี้สามารถทำได้ ก่อนที่พระมหากษัตริย์จะสวรรคต แม้กระทั่งทำโดยพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นเอง หากแน่ชัดว่าจะไม่มีรัชทายาท[Cons 21]

รัชทายาทที่สมรสโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภา จะถูกตัดสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติ[Cons 22] บุคคลที่ไม่เหมาะสมหรือไม่มีความสามารถในการเป็นพระมหากษัตริย์ อาจถูกปลดออกจากลำดับสืบราชสมบัติโดยรัฐสภา ตามข้อเสนอของพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน[Cons 23] มาตรานี้ไม่เคยถูกใช้งานจริง และถูกมองว่าเป็นทางออกฉุกเฉิน ตัวอย่างของกรณีที่อาจนำมาใช้ได้ ได้แก่ รัชทายาทที่ก่อกบฏหรือได้รับบาดเจ็บจนไร้ความสามารถ

การขึ้นครองราชย์

เช่นเดียวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ส่วนใหญ่ เนเธอร์แลนด์ไม่สามารถอยู่ในสภาพที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ได้ โดยรัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ไม่ยอมรับสถานการณ์ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ เนื่องจากจะต้องมีประมุขแห่งรัฐเพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินงานได้ และจะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่ตามบทบาทของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงขึ้นครองราชย์ทันทีที่รัชสมัยพระมหากษัตริย์องค์ก่อนสิ้นสุดการดำรงตำแหน่ง ข้อยกเว้นเพียงประการเดียวคือ หากไม่มีรัชทายาทเลย ซึ่งในกรณีนั้น คณะองคมนตรีจะทำหน้าที่แทนพระมหากษัตริย์ชั่วคราว จนกว่าจะมีการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[Cons 24]

พระมหากษัตริย์ทรงมีหน้าที่ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของชาติ ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณว่าจะรักษารัฐธรรมนูญและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต พระองค์ต้องเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณโดยเร็วที่สุดหลังจากขึ้นครองราชย์ พิธีนี้จัดขึ้นในการประชุมร่วมของรัฐสภาที่จัดขึ้นในอัมสเตอร์ดัม มาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ระบุถึงพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณใน "เมืองหลวงอัมสเตอร์ดัม" ซึ่งถือเป็นข้อความเดียวในรัฐธรรมนูญที่ระบุอย่างชัดเจนว่าอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักร[Cons 25] พิธีนี้เรียกว่าพิธีราชาภิเษก

พระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์ไม่ได้รับการสวมมงกุฎ แม้ว่ามงกุฎลูกโลกทองคำ และคทา จะปรากฏในพิธี แต่การถวายสัตย์ปฏิญาณของพระองค์ถือเป็นการยอมรับราชบัลลังก์ นอกจากนี้ พิธีนี้ไม่ได้หมายถึงการขึ้นครองราชย์ในทางกฎหมาย เนื่องจากจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพระมหากษัตริย์พระองค์เก่ากับพระองค์ใหม่ ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระบบกฎหมายของเนเธอร์แลนด์ พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นครองราชย์ทันทีที่พระมหากษัตริย์องค์ก่อนสิ้นสุดรัชกาล ขณะที่พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเพียงการประกาศยืนยันต่อสาธารณชน

การสิ้นสุดรัชกาล

รัชสมัยของพระมหากษัตริย์จะสิ้นสุดลง เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคตหรือสละราชสมบัติ ทั้งสองกรณีนี้ส่งผลให้กลไกสืบราชสันตติวงศ์ตามปกติมีผลบังคับใช้[Cons 26] แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้ระบุถึงความเป็นไปได้ทั้งสองโดยตรง แต่ก็มีการกำหนดไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากพระมหากษัตริย์สวรรคตหรือสละราชสมบัติ

การสละราชสมบัติเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ผู้ที่สละราชสมบัติไม่สามารถกลับขึ้นครองราชย์ได้อีก และบุตรที่เกิดจากพระมหากษัตริย์หลังจากมีการสละราชสมบัติแล้วจะไม่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์[Cons 26]

ตามกฎหมาย พระมหากษัตริย์ที่สละราชสมบัติจะยังคงดำรงพระอิสริยศเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงแห่งเนเธอร์แลนด์ และเจ้าชายหรือเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา อย่างไรก็ตาม หลังจากสวรรคตแล้ว ไม่ว่าพระมหากษัตริย์จะเคยสละราชสมบัติหรือไม่ จะไม่มีพระอิสริยศตามกฎหมายอีกต่อไป แต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระมหากษัตริย์ที่สละราชสมบัติมักจะได้รับการเรียกขานเป็นกษัตริย์หรือราชินีอีกครั้งหลังจากสิ้นพระชนม์ ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2491 และกลับมาเป็นเจ้าหญิงอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 หลังจากสละราชสมบัติ แต่หลังจากสวรรคตเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2547 พระองค์ยังคงได้รับการเรียกขานว่าสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา[13]

การสูญเสียพระราชอำนาจชั่วคราว

พระมหากษัตริย์สามารถถูกปลดจากพระราชอำนาจได้โดยที่ยังคงสถานะเป็นพระมหากษัตริย์อยู่มี 2 กรณี ได้แก่ การระงับพระราชอำนาจโดยสมัครใจ พระมหากษัตริย์ทรงยุติการปฏิบัติพระราชกรณียกิจชั่วคราว และการปลดออกจากพระราชอำนาจ รัฐบาลปลดพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชอำนาจเนื่องจากทรงถูกพิจารณาว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ทั้งสองกรณีถือเป็นเพียงภาวะชั่วคราว (แม้ว่าพระมหากษัตริย์จะสวรรคตขณะที่ยังอยู่ในภาวะนี้ ก็ยังถือเป็นสถานะชั่วคราว) และรัฐธรรมนูญได้ระบุรายละเอียดของสถานการณ์เหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน พระมหากษัตริย์สามารถยุติการครองราชย์ชั่วคราวได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจเป็นไปตามพระราชประสงค์ หรือเนื่องจากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าพระองค์ไม่สามารถปฏิบัติพระราชภารกิจได้[Cons 27][Cons 28]

แม้ว่าสาเหตุของการระงับหรือปลดพระราชอำนาจอาจมีได้หลายประการ แต่ทั้งพระมหากษัตริย์และคณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ และไม่ควรปล่อยให้ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ว่างลงโดยไม่จำเป็น มาตรการเหล่านี้มีไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น พระมหากษัตริย์ทรงไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้เนื่องจากภาวะทางร่างกายหรือจิตใจ

การปลดพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชอำนาจต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภารวม กรณีการระงับพระราชอำนาจโดยสมัครใจ ต้องตราเป็นกฎหมาย ซึ่งต้องได้รับการลงพระปรมาภิไธยจากพระมหากษัตริย์ กรณีการปลดพระมหากษัตริย์ออกจากพระราชอำนาจ ต้องเป็นคำประกาศของรัฐสภารวม ซึ่งไม่ต้องได้รับพระปรมาภิไธย (เนื่องจากในกรณีที่พระมหากษัตริย์ถูกปลดจากพระราชอำนาจ พระองค์อาจไม่ยินยอมลงพระปรมาภิไธย หรืออาจไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากภาวะทางกายหรือจิตใจ) เนื่องจากการระงับหรือปลดพระราชอำนาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราว จึงไม่มีการเปลี่ยนรัชกาล แต่รัฐสภารวมจะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งโดยปกติจะต้องเป็นรัชทายาทโดยตรง หากมีพระชนมายุเพียงพอ[Cons 19]

หากพระมหากษัตริย์ต้องการกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจอีกครั้ง ต้องตราเป็นกฎหมาย ซึ่งลงนามโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระมหากษัตริย์จะได้รับพระราชอำนาจคืนทันทีเมื่อกฎหมายดังกล่าวถูกประกาศใช้[Cons 27][Cons 28]

Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads