คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ภาษาเขมรถิ่นไทย
ภาษาย่อยของภาษาเขมร พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ภาษาเขมรถิ่นไทย[3] บ้างเรียก ภาษาเขมรเหนือ หรือ ภาษาเขมรสุรินทร์ เป็นภาษาย่อยของภาษาเขมร พูดโดยชาวไทยเชื้อสายเขมรในประเทศไทยที่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด รวมทั้งที่อพยพไปสู่ประเทศกัมพูชา โดยจังหวัดสุรินทร์มีผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด หรือประมาณ 8 แสนคน
ภาษาเขมรถิ่นไทยต่างจากภาษาเขมรสำเนียงพนมเปญซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐาน ในด้านจำนวนและความต่างของหน่วยเสียงสระ การใช้พยัญชนะ รากศัพท์ และไวยากรณ์ ทำให้แยกสำเนียงเขมรถิ่นไทยออกจากสำเนียงอื่น ๆ ได้ง่าย ผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยจะเข้าใจภาษาเขมรทุกสำเนียง แต่ผู้พูดสำเนียงพนมเปญจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจภาษาเขมรถิ่นไทย ทำให้นักภาษาศาสตร์บางคนแยกภาษาเขมรถิ่นไทยออกเป็นภาษาใหม่ต่างหากจากภาษาเขมร โดยถือเป็นภาษาใกล้เคียงกัน[4]ความต่างด้านการออกเสียง เช่น ตัวสะกด ร.เรือ เขมรถิ่นไทยจะออกเสียง แต่เขมรกัมพูชาไม่ออกเสียง เช่น คำว่า “เขมร” “การ” (งาน) ฝั่งไทยออกเสียง “ขแมรฺ(รึ)” “การฺ(รึ) แต่ฝั่งกัมพูชาออกเสียง “ขแม” “กา” (ไม่ออกเสียง ร.เรือ)การออกเสียงสระก็ต่างกันเล็กน้อย เช่น คำว่า “ไม่” ฝั่งไทย “มัน” ฝั่งกัมพูชา “มึน,เมิน”เขมรถิ่นไทยมีการรวบคำให้สั้นลง เช่น “นิยาย” (พูด) เขมรกัมพูชา “นิเยียย” ฝั่งไทย “นฺยาย” > “ไญ” ด้านคำศัพท์ ภาษาเขมรถิ่นไทยจะทับศัพท์ภาษาไทยและภาษาอีสานเยอะกว่า และยังมีคำเขมรโบราณอยู่มากกว่ากัมพูชา เช่น คำเรียกแทนตัวเองของผู้ชาย (ผม) เขมรถิ่นไทยพูดว่า “ขมาต” แต่ฝั่งกัมพูชาใช้คำเดียวกับของผู้หญิงคือ “ขญม”
Remove ads
สถานะ
ผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยส่วนใหญ่สามารถพูดได้สองภาษา ทั้งภาษาไทยในฐานะภาษาทางการศึกษาและสื่อสารมวลชนภาษาเดียว และภาษาเขมรในเขตหมู่บ้านและบ้านของตน ในอดีต ภาษานี้เคยถูกห้ามใช้ (เช่นห้ามพูดภาษาเขมรถิ่นไทยในห้องเรียน) เพื่อส่งเสริมความชำนาญในภาษาประจำชาติ[5] นั่นทำให้มีผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยไม่กี่คน (ประมาณ 1,000 คน) ที่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาเขมรได้[6]
ประชากร
Remove ads
สัทวิทยา
สรุป
มุมมอง
พยัญชนะ
- หน่วยเสียงที่เป็นได้ทั้งพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายมี 14 หน่วยเสียง ได้แก่ /m/, /n/, /ɲ/, /ŋ/, /p/, /t/, /c/, /k/, /ʔ/, /h/, /r/, /l/, /w/ และ /j/
- หน่วยเสียง /k/ ในตำแหน่งท้ายพยางค์มีหน่วยเสียงย่อย 2 เสียง คือ [k] และ [ʔ] เช่น /tɨk/ 'น้ำ' อาจออกเสียงเป็น [tɨk] หรือ [tɨʔ]
- หน่วยเสียง /c/ และ /cʰ/ ในบางตำรากล่าวว่าเป็นหน่วยเสียง /t͡ɕ/ และ /t͡ɕʰ/
- หน่วยเสียง /f/ เป็นหน่วยเสียงที่ยืมมาจากภาษาไทยมาตรฐาน
- กลุ่มพยัญชนะที่มีตัวแรกเป็นเสียงนาสิกและตัวถัดมาเป็นพยัญชนะที่เกิดจากฐานเดียวกัน พยัญชนะตัวแรกนั้นอาจกลายเป็นพยัญชนะท้ายของ /ʔa/ หรืออาจกลายเป็นพยางค์นาสิก /m̩/, /n̩/, /ɲ̍/, /ŋ̍/
สระ
สระเดี่ยว
สระประสม
หน่วยเสียงสระประสมภาษาเขมรถิ่นไทยมี 6 หน่วยเสียง[17] ได้แก่ /iə/, /iːə/, /ɨə/, /ɨːə/, /uə/ และ /uːə/ โดยหน่วยเสียง /ɨːə/ จะปรากฏเฉพาะในคำยืมภาษาไทย เช่น /kɨːək/ 'รองเท้า'
ไวยากรณ์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลำดับคำในภาษาเขมรถิ่นไทยมักจะเป็นแบบประธาน–กริยา–กรรม ประกอบด้วยคำเดี่ยวเป็นหลัก แต่อาจจะมีสลับกันบ้างเป็นแบบประธาน–กรรม–กริยาและแบบกรรม–กริยา
ระบบการเขียน
สรุป
มุมมอง
นักภาษาศาสตร์ได้คิดค้นระบบการเขียนภาษาเขมรถิ่นไทยด้วยตัวอักษรไทยหลายระบบ โดยมีทั้งระบบของมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ท้ายที่สุดมีระบบราชบัณฑิตยสถาน[18] ซึ่งดัดแปลงจากระบบก่อน ๆ เป็นมาตรฐานโดยปริยาย
ตัวเขียนภาษาเขมรถิ่นไทยอักษรไทยตามที่คณะกรรมการจัดทำระบบเขียนภาษาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอักษรไทย ราชบัณฑิตยสถาน (ปัจจุบันคือสำนักงานราชบัณฑิตยสภา) ได้กำหนดไว้ มีดังนี้
- ภาษาเขมรถิ่นไทยไม่มีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ ในการเขียนเป็นอักษรไทยจึงเลือกใช้พยัญชนะไทยที่เป็นอักษรกลางและอักษรต่ำเท่านั้น ไม่ใช้อักษรสูงเพราะจะมีเสียงวรรณยุกต์จัตวาเข้ามาเกี่ยวข้อง
- หน่วยเสียง /t/ และ /p/ มีรูปพยัญชนะต้นและพยัญชนะท้ายแตกต่างกันดังที่แสดงในตาราง โดยการใช้พยัญชนะเสียงก้องมาแทนพยัญชนะท้ายเสียงไม่ก้องนั้นนำแบบอย่างมาจากภาษาไทย
- หน่วยเสียง /ʔ/ เมื่อเป็นพยัญชนะท้ายจะไม่มีรูปเขียน แต่ให้แสดงด้วยสระเสียงสั้นที่ไม่มีตัวสะกด (สระยาวที่ลงท้ายด้วยเสียงนี้ไม่ได้กำหนดไว้ในมาตรฐาน อาจใช้ อ์ แทน)
- คำบางคำที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัวเรียงกัน บางครั้งอาจออกเสียงสระแทรกกลาง (แสดงด้วย /ᵊ/ หรือ /a/) และบางครั้งอาจออกเสียงคล้ายพยัญชนะควบ ให้เขียนตามแบบคำที่มีพยัญชนะต้นควบ เช่น ซดํา, ซอ็อฺบ, รเต็ฮ
- เสียงสระที่ไม่มีในภาษาไทยจะเขียนแทนด้วยรูปสระไทยที่ออกเสียงใกล้เคียงกันและใช้เครื่องหมายพินทุ (ฺ) กำกับ เพื่อแสดงเสียงที่ต่างออกไป หากเป็นรูปสระที่ไม่มี อ ประกอบ ให้ใส่พินทุกำกับใต้พยัญชนะต้น เช่น เบฺิก หากเป็นรูปสระที่มี อ ประกอบ ให้ใส่พินทุกำกับใต้ อ เช่น ซอฺ ยกเว้นสระ –ือ ให้ใส่พินทุกำกับใต้พยัญชนะต้น เช่น ลฺือ เพราะ อ ในกรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของรูปสระอย่างแท้จริง
- รูปสระที่ซ้อนกันหลายตัวตามแนวดิ่ง ในการพิมพ์ทางคอมพิวเตอร์ให้พิมพ์จากล่างขึ้นบน เช่น สระ /ʌ/ ที่มีพยัญชนะท้าย กดพยัญชนะต้น กดพินทุ ตามด้วย –ิ แล้วตามด้วยไม้ไต่คู้
Remove ads
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads