คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ภาษาไทดั้งเดิม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ภาษาไทดั้งเดิม[1] (อังกฤษ: Proto-Tai language) เป็นภาษาดั้งเดิม (proto-language) หรือภาษาบรรพบุรุษที่ได้รับการสืบสร้างขึ้นของกลุ่มภาษาไททั้งมวล ซึ่งได้แก่ ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาคำเมือง ภาษาไทใหญ่ ภาษาไทลื้อ ภาษาไทดำ เป็นต้น ทั้งนี้ ภาษาไทดั้งเดิมมิได้ปรากฏเป็นหลักฐานในเอกสารใด ๆ ที่หลงเหลืออยู่โดยตรง แต่ได้รับการสืบสร้างตามระเบียบวิธีเปรียบเทียบ (comparative method) โดยนักภาษาศาสตร์หลี่ ฟางกุ้ย ใน พ.ศ. 2520[2] และพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ ใน พ.ศ. 2552[3][4]
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
Remove ads
ระบบเสียง
สรุป
มุมมอง
ภาษาไทดั้งเดิมมีหน่วยเสียงพยัญชนะที่หลากหลายกว่าภาษาตระกูลไทในปัจจุบัน แต่มีเสียงวรรณยุกต์ที่น้อยกว่าภาษาปัจจุบัน
พยัญชนะเดี่ยว
ตารางด้านล่างนี้แสดงระบบพยัญชนะของภาษาไทดั้งเดิม ตามการสืบสร้างของ หลี่ ฟางกุ้ย ในหนังสือ คู่มือภาษาศาสตร์เชิงเปรียบเทียบตระกูลไท (A Handbook of Comparative Tai). พยัญชนะในฐานเพดานแข็ง ซึ่งระบุในหนังสือดังกล่าวด้วยสัญลักษณ์ [č, čh, ž] ถูกจัดเป็นหยัญชนะกักเสียดแทรก (affricate consonant) ในที่นี้จะใช้สัญลักษณ์ [tɕ, tɕʰ and dʑ] ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบสัทอักษรสากล
ระบบเสียงดังกล่าวนี้ได้รับการสืบสร้างใหม่โดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ ในปี พ.ศ. 2552 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นเพียงการตีความที่แตกต่างกันเท่านั้น ได้แก่ พยัญชนะฐานเพดานแข็งถูกจัดใหม่ให้เป็นพยัญชนะกัก (stop) แทนที่จะเป็นพยัญชนะกักเสียดแทรก (affricate) ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับพยัญชนะอื่น ๆ ภายในระบบเสียงภาษาไทดั้งเดิม และสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสัทศาสตร์ได้โดยใช้หลักเดียวกันกับพยัญชนะกักตัวอื่น ๆ (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเสียงพยัญชนะเหล่านี้ไม่ได้มีลักษณะของการกักเสียดแทรก) การตีความอีกอย่างที่ต่างกันคือ พยัญชนะที่มีเสียงกักเส้นเสียงนำมาก่อน (pre-glottalized consonant) [ˀb, ˀd] ถูกตีความใหม่ให้เป็นเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosive consonant) [ɓ, ɗ] แทน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ได้แก่
- พยัญชนะกักพ่นลมถูกตัดออก โดยจัดให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง หลังจากที่ภาษาไทดั้งเดิมได้แยกออกเป็นสาขาย่อยต่าง ๆ
- ตัดพยัญชนะเสียดแทรกริมฝีปาก (/f/ และ /v/) ออก โดยจัดให้เป็นการแปรเสียงที่เกิดขึ้นในภายหลังแทน
- เพิ่มเสียงพยัญชนะฐานลิ้นไก่ (uvular consonant) ออกมาต่างหาก (*/q/, */ɢ/, and */χ/) โดยเป็นหน่วยเสียงแยกจากพยัญชนะฐานเพดานอ่อน (velar) โดยมีที่มาจากความไม่สอดคล้องกันระหว่างการแปรเสียงพยัญชนะในกลุ่ม /kʰ/, /x/ และ /h/ ในภาษาภายในตระกูลไทภาษาต่าง ๆ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาษาพวน และภาษาผู้ไทกะป๋อง ความแตกต่างของเสียง /kʰ/ และ /x/ สามารถสืบสร้างได้จากภาษาไทขาว อย่างไรก็ตาม พบว่าคำที่มีเสียงพยัญชนะต้น /x/ ในภาษาไทขาว สอดคล้อง (มีเชื้อสายร่วม) กันกับคำที่มีเสียงพยัญชนะต้นในภาษาพวนและภาษาผู้ไทกะป๋องได้ถึง 3 แบบ บางคำขึ้นต้นด้วยเสียง /kʰ/ ในทั้งสองภาษา, บางคำขึ้นต้นด้วย /h/ ในทั้งสองภาษา และบางคำขึ้นต้นด้วย /kʰ/ ในภาษาพวน แต่กลับเป็นเสียง /h/ ในภาษาผู้ไทกะปง แสดงว่าในภาษาไทดั้งเดิมควรจะมีหน่วยเสียงในกลุ่มนี้แตกต่างกันได้ถึง 3 หน่วยเสียง ไม่ใช่มีเพียงเสียง /x/ ตามการสืบสร้างแบบเดิม ดังนั้นพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ จึงสืบสร้างหน่วยเสียงใหม่สำหรับความสอดคล้องทั้ง 3 แบบเป็น /x/, /χ/ and /q/ ตามลำดับ
ตารางด้านล่างนี้แสดงระบบเสียงหยัญชนะในภาษาไทดั้งเดิม ตามการสืบสร้างของพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์
ภาษาตระกูลไทในปัจจุบันมีเสียงพยัญชนะท้าย (ตัวสะกด) เพียงไม่กี่เสียงเมื่อเทียบกับเสียงพยัญชนะต้น โดยมีลักษณะการเกิดเสียง (manner of articulation) ที่เป็นไปได้เพียง 3 แบบได้แก่ เสียงกัก, เสียงนาสิก และเสียงเปิดเท่านั้น และไม่มีการแยกระหว่างก้องหรือไม่ก้อง ทำให้หลี่ ฟางกุ้ย ได้สืบสร้างระบบเสียงพยัญชนะท้าย ซึ่งเหมือนกันกับในภาษาไทยปัจจุบัน
ในเวลาต่อมามีการศึกษาภาษาแสกเพิ่มขึ้น พบว่ามีคำที่มีเสียงพยัญชนะท้าย /-l/ อยู่ในภาษาดังกล่าว ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ได้เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาอื่น พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ จึงสันนิษฐานว่าภาษาไทดั้งเดิมควรจะมีเสียงพยัญชนะท้าย *-l อยู่ในระบบเสียง และยังพบว่ามีการแปรเสียงพยัญชนะท้ายที่แตกต่างกันระกหว่างภาษาแสกกับภาษาไทอื่น ๆ ได้แก่ คำที่ลงท้ายด้วย /-k/ บางคำในภาษาแสก กลับลงท้ายด้วย /-t/ ในภาษาไทอื่น คำเหล่านี้เดิมเคยถูกสืบสร้างให้ลงท้ายด้วย *-t ซึ่งไม่พบว่ามีเงื่อนไขใดสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงจาก *-t ไปเป็น *-k ได้ จึงได้สืบสร้างเสียงใหม่สำหรับการแปรเสียงดังกล่าวเป็น *-c แทน
นอกจากนี้หน่วยเสียงพยัญชนะท้ายอีกตัวที่อาจเป็นไปได้คือ /*-ɲ/ ซึ่งยังมีหลักฐานไม่มาก แต่สังเกตได้จากการที่คำว่า กิน /kinA1/ ในภาษาไทย เทียบได้กับภาษาในสาขาไทเหนือว่า /kɯnA1/ ซึ่งเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วเสียงพยัญชนะท้ายของคำนี้ในภาษาไทดั้งเดิมควรจะเป็น *-ɲ (ซึ่งสืบสร้างคำนี้ได้เป็น *kɯɲA) ซึ่งต่อมาเกิดการเลื่อนฐานกรณ์ไปข้างหน้า (fronting) ของทั้งสระและพยัญชนะ กลายเป็น /kinA1/ ในภาษาไทย แต่เป็น /kɯnA1/ ในภาษากลุ่มไทเหนือ
พยัญชนะควบ
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ได้สืบสร้างพยัญชนะต้นควบต่อไปนี้
การสืบสร้างภาษาไทดั้งเดิมของหลี่ ฟางกุ้ย ยังมีปัญหาที่อธิบายไม่ได้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือความไม่สอดคล้องกันระหว่างการแปรเสียงพยัญชนะต้น เช่น คำว่า (มีด)พร้า /phra:C2/ ซึ่งร่วมเชื้อสายกับคำว่า /tha:C2/ ในภาษาแสกซึ่งหลี่ ฟางกุ้ย เคยสืบสร้างให้ขึ้นต้นด้วย *vr- นอกจากนี้ยังมีคำอื่น ๆ พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) เห็นว่าการแปรเสียงดังกล่าวไม่สามารถอธิบายได้จากการสืบสร้างเดิม แต่จะอธิบายได้ถ้าให้ภาษาไทดั้งเดิมมีพยางค์ย่อย (sesquisyllable หรือ minor syllable) ที่นอกเหนือจากพยางหลักด้วย จากนั้นจึงอธิบายการแปรเสียงดังกล่าวได้ว่าเป็นการกร่อนของพยัญชนะควบทั้งพยางค์หลักและย่อยที่คนละตำแหน่งกัน ดังนั้นจึงแบ่งพยัญชนะควบออกได้เป็น
- ควบพยางค์เดี่ยว (Tautosyllabic clusters) – พิจารณาเป็นพยางค์เดียว
- ควบพยางค์ครึ่ง (Sesquisyllabic clusters) – ประกอบด้วยพยางค์ย่อย (อาจมองว่าเป็น "ครึ่งพยางค์") และพยางค์หลัก
พยัญชนะควบกล้ำพยางค์ครึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกส่วนใหญ่ เช่นภาษาเขมร แต่ในภาษาตระกูลไทในปัจจุบันไม่พบว่ามีพยัญชนะควบกล้ำพยางค์ครึ่งหลงเหลืออยู่เลย ได้สันนิษฐานว่าภาษาไทดั้งเดิมเพิ่งเข้าสู่ระยะ "ควบกล้ำพยางค์ครึ่ง" (sesquisyllabic stage) เท่านั้น (ซึ่งกร่อนมาจาก ภาษาขร้าไทดั้งเดิม ที่สันนิษฐานว่ามีสองพยางค์เป็นอย่างต่ำ) ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ระยะ "พยางค์เดียว" (monosyllabic stage) ต่อไป ดังที่พบในภาษาตระกูลไททุกภาษา
ตารางด้านล่างนี้แสดงพยัญชนะควบกล้ำพยางค์เดี่ยว ซึ่งสืบสร้างโดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009)
ด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของกลุ่มพยัญชนะควบพยางค์ครึ่ง
- Voiceless stop + voiceless stop (*C̥.C̥-)
- *p.t-
- *k.t-
- *p.q-
- *q.p-
- Voiceless obstruent + voiced stop (*C̥.C̬-)
- *C̥.b-
- *C̥.d-
- Voiced obstruent + voiceless stop (*C̬.C̥-)
- *C̬.t-
- *C̬.k-
- *C̬.q-
- Voiceless stops + liquids/glides (*C̥.r-)
- *k.r-
- *p.r-
- *C̥.w-
- Voiced consonant + liquid/glide
- *m.l-
- *C̬.r-
- *C̬.l-
- Clusters with non-initial nasals
- *t.n-
- *C̬.n-
พยัญชนะควบอื่น ๆ ได้แก่ *r.t-, *t.h-, *q.s-, *m.p-, *s.c-, *z.ɟ-, *g.r-, *m.n-; *gm̩.r-, *ɟm̩ .r-, *c.pl-, *g.lw-; etc.
สระ
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ได้สืบสร้างสระเดี่ยว จำนวน 9 เสียง โดยมีลักษณะสมมาตรทั้งสระส่วนหน้าและสระส่วนหลัง โดยสระส่วนหลังมีการแยกระหว่างปากห่อ (rounded) กับปากเหยียด (unrounded) ด้วย ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบสระของภาษาตระกูลไทในปัจจุบัน แต่กลับไม่มีการแยกระหว่างความสั้น-ยาว ดังตารางด้านล่าง
พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้ปรับปรุงแก้ไขระบบเสียงสระใหม่ โดยตัดสระ /ɛ/ และ /ɔ/ ออก และเพิ่มความแตกต่างระหว่างความสั้น-ยาว ของสระ ดังตารางด้านล่าง
สระประสม (diphthong) โดย พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้แก่:
- สูงขึ้น: */iə/, */ɯə/, */uə/
- ต่ำลง: */ɤɰ/, */aɰ/
วรรณยุกต์

ภาษาไทดั้งเดิมมีเสียงวรรณยุกต์สามเสียงในพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะเสียงกังวาน (พยางค์เป็น, อังกฤษ: unchecked syllable หรือ "live syllable") และไม่มีการแยกเสียงวรรณยุกต์ในพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะปิดกั้น (พยางค์ตาย, อังกฤษ: checked syllable หรือ "dead syllable") ระบบเสียงดังกล่าวมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับภาษาจีนยุคกลาง และพบได้ทั่วไปในภาษาแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียงวรรณยุกต์สามเสียงในพยางค์เป็นโดยทั่วไปจะใช้สัญลักษณ์เป็น *A, *B และ *C ตามลำดับ และใช้สัญลักษณ์ *D สำหรับเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ตาย
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ยังไม่มีข้อมูลว่าลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ทั้งสาม (*A, *B และ *C) มีลักษณะทางสัทศาสตร์เป็นอย่างไร และวรรณยุกต์ *D นั้นแท้จริงแล้วมีลักษณะแบบเดียวกับวรรณยุกต์เสียงใดในทั้ง 3 เสียงนั้น ต่อมา พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้อธิบายลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ทั้งสี่ โดยอาศัยระเบียบวิธีเปรียบเทียบลักษณะของเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทปัจจุบัน แล้วสืบสร้างกลับไป ได้ดังนี้
ระบบวรรณยุกต์ในภาษาไทดั้งเดิม แท้จริงแล้วไม่ได้ต่างกันเพียงแค่ระดับเสียง (pitch) แต่ยังต่างกันที่คุณภาพของเสียง (ปกติ, ต่ำลึก, กักเส้นเสียง) และระยะเวลาของเสียงสระด้วย ลักษณะเช่นนี้ยังคงพบในภาษาตระกูลไทในปัจจุบันหลาย ๆ ภาษา อักขรวิธีของภาษาไทยปัจจุบันยังคงแสดงวรรณยุกต์เหล่านี้ไว้ โดยที่ ไม้เอก ใช้สำหรับแทนเสียง *B ในภาษาไทยโบราณ และไม้โท ใช้แทนเสียง *C ในภาษาไทยโบราณ จากตารางจะพบว่า วรรณยุกต์ *D มีลักษณะทางสัทศาสตร์เหมือนกับวรรณยุกต์ *B ซึ่งสอดคล้องกับการบังคับเอกโทในฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ ที่กำหนดให้ทั้งคำเอก (คำที่กำกับโดยไม้เอก) และคำตายอยู่ในตำแหน่งเดียวกันได้ แสดงให้เห็นว่าในอดีต เสียงวรรณยุกต์ *B และ *D มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ระบบวรรณยุกต์ในภาษาไทดั้งเดิมมีความสอดคล้องกันกับระบบของภาษาจีนยุคกลาง ดังตารางต่อไปนี้[5][6]
วรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทปัจจุบันได้มีพัฒนาการมาจากวรรณยุกต์ทั้งสี่ดังกล่าว โดยเกิดการแยกเสียงวรรณยุกต์แต่ละเสียงออกเป็นอย่างน้อย 2 เสียง ขึ้นอยู่กับลักษณะทางสัทศาสตร์ของพยัญชนะต้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 แบบ ต่อไปนี้
- "เสียงเสียดสี" (Friction sound) ได้แก่ เสียงเสียดแทรก ไม่ก้อง, เสียงกัก พ่นลม ไม่ก้อง, เสียงนาสิก ไม่ก้อง และเสียงไหล ไม่ก้อง
- เสียงกัก ไม่พ่นลม ไม่ก้อง
- เสียงกักเส้นเสียง
- เสียงก้องใด ๆ
กระบวนการแปรเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไท เกิดร่วมไปกับการแปรเสียงพยัญชนะต้น โดยลำดับขั้นตอนได้ดังนี้
- เสียงพยัญชนะต้นมีผลกระทบต่อเสียงวรรณยุกต์ ทำให้การรับรู้เสียงวรรณยุกต์มีความแตกต่างกันระหว่างพยัญชนะเสียงก้องและไม่ก้อง
- เกิดการแยกเสียงวรรณยุกต์อย่างชัดเจน สำหรับพยัญชนะเสียงไม่ก้อง (แยกเป็น *A1, *B1, *C1, *D1) และพยัญชนะเสียงก้อง (แยกเป็น *A2, *B2, *C2, *D2)
- เสียงกังวาน (sonorant) ไม่ก้อง ได้แปรไปเป็นเสียงก้อง
- เสียงกัก (stop) ก้อง เกิดการเสียความก้อง (devoicing) ไป กลายเป็นเสียงไม่ก้อง
- เกิดการแยกและรวมเสียงวรรณยุกต์ต่อไป
อนึ่ง วรรณยุกต์ *D ได้มีการแยกออกไปตามความสั้น-ยาวของสระในพยางค์ด้วย (*DS สำหรับพยางค์ที่มีสระเสียงสั้น และ *DL สำหรับพยางค์ที่มีสระเสียงยาว)
พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ได้เสนอว่า การแยกเสียงวรรณยุกต์เหล่านี้เกิดภายหลังจากที่ภาษาไทดั้งเดิมได้แยกออกไปเป็นภาษาต่าง ๆ แล้ว แตกต่างจากแนวคิดของนักภาษาศาสตร์บางคนก่อนหน้านี้ เช่น เจมส์ อาร์ แชมเบอร์เลน (1975) ที่ได้เสนอว่าการแยกเสียงวรรณยุกต์เกิดก่อนที่จะมีการแยกตัวของภาษาตระกูลไท
วิลเลียม เจ เก็ดนีย์ (1972) ได้เสนอ กล่องวรรณยุกต์ สำหรับใช้ในการวิเคราะห์การแปรเสียงวรรณยุกต์สำหรับภาษาในตระกูลไท[7][8][9][10] ดังตารางด้านล่างนี้
และมีคำร่วมเชื้อสายตระกูลไท สำหรับทดสอบเสียงวรรณยุกต์ในภาษาตระกูลไทต่าง ๆ ต่อไปนี้[11][12][13]
โครงสร้างพยางค์
แต่เดิมมีความเข้าใจว่าภาษาไทดั้งเดิมเป็นภาษาพยางค์เดียวเช่นเดียวกับภาษาตระกูลไทปัจจุบัน ตามการสืบสร้างของ หลี่ ฟางกุ้ย (1977) ต่อมาพิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) เสนอว่าภาษาไทดั้งเดิมเป็นภาษาพยางค์ครึ่ง ที่อนุญาตให้มีคำทั้งพยางค์เดียว และพยางค์ครึ่งอยู่ภายในภาษา ต่อมาคำพยางค์ครึ่งเหล่านั้นได้กร่อนเป็นคำพยางค์เดียวในภาษาตระกูลไทปัจจุบัน
สัญลักษณ์ย่อ:
- C = พยัญชนะ
- V = สระเสียงสั้น
- V: = สระเสียงยาว
- T = วรรณยุกต์
- (...) = มีหรือไม่มีก็ได้
สระในพยางค์เปิดสามารถเป็นสระเสียงยาวได้อย่างเดียว ไม่สามารถเป็นสระเสียงสั้นได้
ภาษาในตระกูลไทปัจจุบันได้พัฒนาเป็นภาษาพยางค์เดียวโดยสมบูรณ์ โดยผ่านกระบวนการดังนี้
- การอ่อนเสียงลง (weakening)
- การแปรเป็นเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosivization)
- การสลับลำดับของเสียง (metathesis)
- การกลืนเสียง (assimilation)
- การกร่อนเสียง (simplification) - พยัญชนะควบกล้ำในพยางค์กร่อนลงเหลือพยัญชนะเดี่ยว
Remove ads
สัณฐานวิทยา
หลี่ ฟางกุ้ย (1977) เสนอว่าภาษาไทดั้งเดิมอาจมีการแปรเสียงพยัญชนะต้นระหว่างเสียงก้องและไม่ก้อง (voicing alternation) เพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์บางอย่าง แต่ยังไม่ทราบหน้าที่ทางไวยากรณ์ชัดเจน โดยยกตัวอย่างคำว่า เขี้ยว /khiəwC1/ ซึ่งสืบสร้างพยัญชนะต้นได้เป็น *kh- ในภาษาไทดั้งเดิม และคำว่า เคี้ยว /khiəwC2/ ซึ่งสืบสร้างพยัญชนะต้นได้เป็น *g- โดยมองว่าทั้งสองคำนี้ แท้จริงมีรากเดียวกันแต่มีการแปรระหว่างเสียงก้องและไม่ก้อง (*kh- และ *g-) เพื่อเปลี่ยนจากคำนามเป็นคำกริยา พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2009) ไม่สนับสนุนทฤษฎีนี้
Remove ads
ไวยากรณ์
การศึกษาไวยากรณ์และสัณฐานวิทยาของภาษาไทดั้งเดิมยังมีไม่มากนัก
วากยสัมพันธ์
ภาษาไทดั้งเดิมมีเรียงคำแบบ ประธาน-กริยา-กรรม
การปฏิเสธ[14]
ภาษาไทดั้งเดิมมีการแยกการณ์ลักษณะในการปฏิเสธ โดยแยกระหว่างการปฏิเสธแบบสมบูรณ์ (perfect) และไม่สมบูรณ์ (non-perfect) และอาจมีการแบ่งเป็นแบบเน้น (emphatic) และแบบไม่เน้น (non-emphatic) โดยมีคำปฏิเสธที่ได้รับการสืบสร้างต่อไปนี้
ความแตกต่างระหว่าง *ɓawB และ *mi:A ยังไม่ชัดเจน อาจเป็นไปได้ว่ามีความแตกต่างระหว่างความเน้นกับความไม่เน้น ในลิลิตพระลอ พบว่ามีการใช้คำว่า บ่ ในการปฏิเสธแบบเน้น และใช้ มิ ในการปฏิเสธแบบไม่เน้น ดังนั้นเป็นไปได้ว่า *ɓawB เป็นคำปฏิเสธแบบเน้นในภาษาไทดั้งเดิม และ *mi:A เป็นคำปฏิเสธแบบไม่เน้น ในภาษาตระกูลไทปัจจุบันพบว่าเส้นแบ่งระหว่างปฏิเสธแบบสมบูรณ์กับไม่สมบูรณ์ค่อย ๆ จางลง มีเพียงบางภาษาเท่านั้นที่ยังรักษาความแตกต่างระหว่างสองแบบนี้
หน่วยคำ
สรรพนาม
บุคคล | พจน์ | ไทดั้งเดิม | อักษรไทย |
ที่ 1 | เอกพจน์ | *ku | กู |
ทวิพจน์ | *ra | รา | |
พหูพจน์ | *rau, *tu | เรา, ตู | |
ที่ 2 | เอกพจน์ | *mɯŋ | มึง |
พหูพจน์ | *su | สู | |
ที่ 3 | เอกพจน์ | *man | มัน |
พหูพจน์ | *khau | เขา |
คำศัพท์
สรุป
มุมมอง
ศัพท์ภาษาไทดั้งเดิม:[15]
Remove ads
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads