คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

มหานิกาย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads

มหานิกาย เป็นคำเรียกนิกายหรือคณะของพระสงฆ์ไทยสายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์[1] ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทย เป็นฝ่ายคันถธุระ

เดิมนั้น คำเรียกแบ่งแยกพระสงฆ์สายเถรวาทในประเทศไทยออกเป็นมหานิกายและธรรมยุติกนิกายยังไม่มี เนื่องจากคณะพระสงฆ์ไทยในสมัยโบราณ ก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้งคณะธรรมยุตขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่พระสงฆ์ไทยนั้นล้วนแต่เป็นเถรวาทสายลังกาวงศ์[2] ทั้งสิ้น จนเมื่อพระวชิรญาณเถระ หรือเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) ได้ก่อตั้งนิกายธรรมยุตขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แยกออกจากคณะพระสงฆ์ไทยที่มีมาแต่เดิมซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้น จึงทำให้พระองค์คิดคำเรียกพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยที่เป็นสายเถรวาทลังกาวงศ์เดิมว่า พระส่วนมาก หรือ มหานิกาย[3]

ซึ่งคำ มหานิกาย นั้น มาจากธาตุศัพท์ภาษาบาลี มหนฺต + นิกาย แปลว่าพวกมาก กล่าวโดยสรุป มหานิกายก็คือ พระสงฆ์สายเถรวาทลังกาวงศ์ดั้งเดิมในประเทศไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย[4]

Remove ads

ความเป็นมาลัทธิเถรวาทลังกาวงศ์ (คณะสงฆ์มหานิกาย) หรือคณะคามวาสี ในประเทศไทย

สรุป
มุมมอง

ประวัติของนิกายเถรวาทในประเทศศรีลังกา

เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่สามในศาสนาพุทธ ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในชมพูทวีป และจัดส่งสมณทูตไปยังดินแดนต่าง ๆ รวม 9 แห่ง หนึ่งในนั้นรวมดินแดนลังกา (ประเทศศรีลังกา) ด้วย

Thumb
สถูปทรงโอคว่ำในเมืองอนุราชปุระ (สุวรรณมาลิกสถูป) รูปทรงเดียวกับพระเจดีย์ที่นิยมสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช

ต่อมาพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป (ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งของดินแดนศรีลังกาในอดีต) ได้เจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมบ้างตามความศรัทธาของประชาชน และเหตุการณ์บ้านเมือง ครั้นราวพุทธศตวรรษที่ 17 ปรากฏตามมหาวงศ์ว่า เมื่อ พ.ศ. 1696 พระเจ้าปรักกรมพาหุมหาราช ได้ครองราชสมบัติในลังกาทวีป ซึ่งในเวลานั้นบ้านเมืองยังถูกพวกทมิฬ (ชาวฮินดู) ครอบครองอยู่โดยมาก

พระเจ้าปรักกรมพาหุจึงได้พยายามทำสงครามขับไล่พวกทมิฬไปได้ และถึงกับยกกองทัพข้ามไปตีเมืองทมิฬในอินเดียไว้ในอำนาจได้อีกด้วย เมื่อพระองค์จัดการบ้านเมืองในลังกาได้เรียบร้อยแล้ว จึงได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา โดยให้พระสงฆ์ในลังกาทวีปรวมเป็นนิกายเดียวกัน พร้อมกับจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัย (ซึ่งนับถือกันว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ 7 ของฝ่ายเถรวาท) นับแต่นั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นในลังกาทวีป มีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วในดินแดนใกล้เคียง ประกอบกับช่วงเวลานั้น พระพุทธศาสนาในอินเดียถูกชาวฮินดูเบียดเบียนให้เสื่อมโทรมลง เมืองลังกาจึงได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นหลักของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาคตินิกายเถรวาทด้วยกัน[5]

การสืบนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ในพุกาม

Thumb
ทะเลเจดีย์ที่เมืองพุกาม หลักฐานความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในดินแดนพม่าในอดีต

กิตติศัพท์ในการทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปเลื่องลือมาจนถึงดินแดนพม่าในสมัยของพระเจ้านรปติสี่ตู่แห่งอาณาจักรพุกาม ได้อาราธนาให้พระมหาสังฆปรินายกพุกามซึ่งมีนามว่า พระอุตตรชีวะ เป็นสมณทูตไปสืบพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. 1733[6]

ในจารึกวัดกัลยาณีกล่าวไว้ว่า เมื่อคราวพระมหาเถระอุตราชีวะไปเมืองลังกาครั้งนั้น มีเด็กชาวมอญชาวเมืองพสิมคนหนึ่ง ได้ถวายตัวเป็นศิษย์แล้วบวชเป็นสามเณร มีนามปรากฏว่า “ฉปัฎ” ได้บวชติดตามท่านไปลังกาด้วย ครั้นเมื่อพระมหาเถระอุตราชีวะจะกลับเมืองพุกาม สามเณรฉปัฎขออยู่เล่าเรียนที่เมืองลังกา เมื่ออายุครบบวชก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุในวงศ์ของคณะสงฆ์ลังกา และได้เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยตามลัทธิที่สังคายนาครั้งพระเจ้าปรักกรมพาหุจนเชี่ยวชาญรอบรู้แตกฉาน เมื่อบวชครบ 10 พรรษา บรรลุเถรภูมิ (เป็นพระเถระ) จึงได้ชักชวนเพื่อนสหธรรมิกภิกษุที่ได้เล่าเรียนและเป็นพระมหาเถรภิกษุด้วยกันอีก 4 รูป มีนามว่า

  • พระสีวลี ชาวลิตถิคาม (ลังกา) รูป 1
  • พระตามะลินทะ พระโอรสของพระเจ้ากรุงกัมโพช รูป 1
  • พระอานันทะ ชาวเมืองกาญจนบุรี (หรือปัจจุบัน คอนชิวรัม Gonjeevaram เมืองมัทราษฎร์ ในอินเดียใต้) รูป 1
  • พระราหุล ชาวลังกา รูป 1

จาริกโดยสารเรือมายังเมืองพสิมแล้วขึ้นต่อไปยังเมืองพุกาม

พระเถระ 5 องค์ที่บวชมาจากลังกา เมื่อเห็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในเมืองพม่าผิดกับพระสงฆ์ลังกามากนัก จึงไม่ยอมร่วมลงสังฆกรรมกับพระสงฆ์ในคณะพื้นเมือง ทำให้พระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทในเมืองพุกามเกิดเป็น 2 นิกายขึ้น (แยกกันลงสังฆกรรม)

พระสงฆ์ลังกาวงศ์นั้น เป็นพระมหาเถระ สำรวมสังวรวัตรปฏิบัติเคร่งครัด ผิดกับพระสงฆ์ในพื้นเมืองสมัยนั้น ทำให้เมื่อพระมหาเถระทั้ง 5 องค์ ได้ศึกษาภาษาพม่าจนสามารถสั่งสอนชาวเมืองได้ ก็ทำให้มีคนเลื่อมใสมาก จนกระทั่ง พระเจ้านรปติสิทธุ ก็ทรงเลื่อมใสทำนุบำรุงคณะพระสงฆ์ลังกาวงศ์ และสนับสนุนให้ชาวพม่าบวชในนิกายลังกาวงศ์มากขึ้นเป็นลำดับมา[5]

ประวัติการตั้งนิกายเถรวาทลังกาวงศ์ในเมืองนครศรีธรรมราช

Thumb
พระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช เดิมมีลักษณะแบบมณฑปพระบรมธาตุไชยาแต่เปลี่ยนมาเป็นทรงโอคว่ำแบบลังกาในสมัยพระสงฆ์ลังกาวงศ์มาตั้งวงศ์ในประเทศไทย

ต่อมา พระราหุลเถระ หนึ่งในพระมหาเถระทั้ง 5 องค์[7] ได้นำกลุ่มคณะพระสงฆ์มายังประเทศหนึ่ง ปรากฏในพงศาวดารพม่าว่า เมืองมลายะ (นครศรีธรรมราช) ซึ่งมีกษัตริย์อาณาจักรศรีวิชัย เชื้อสายมลายูปกครองอยู่เป็นอิสระ

ต่อมา กษัตริย์เมืองนครศรีธรรมราชได้เลื่อมใสในพระราหุลเถระ จึงตั้งให้เป็นพระราชครู หลังจากนั้นจึงมีพระสงฆ์ชาวลังกาตามมาอีกมาก และได้มีชาวเมืองและชาวเมืองอื่น ๆ ในดินแดนแถบประเทศไทยและใกล้เคียง ได้พากันไปบวชเรียนที่เมืองลังกามากขึ้น ความนิยมนับถือในคติพระพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์จึงแพร่หลายตั้งมั่นในดินแดนประเทศไทยสืบมา (ลัทธิลังกาวงศ์เริ่มมาตั้งที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อ พ.ศ. 1740 ก่อนตั้งกรุงสุโขทัยประมาณ 50 ปี) [5]

ความเจริญของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลังกาวงศ์ในดินแดนประเทศไทย

Thumb
วัดมหาธาตุ (จังหวัดสุโขทัย) ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาในอาณาจักรสุโขทัย

เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1822 - พ.ศ. 1841) ทรงสดับกิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลังกา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาที่มาเผยแผ่อยู่ที่นครศรีธรรมราช มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย[8]

ต่อมาทั้งชาวไทยวน ชาวมอญ และชาวเขมร ต่างก็นิยมฝ่ายลังกาวงศ์จึงได้ส่งพระสงฆ์ไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกาบ้าง มีการนิมนต์พระลังกามาเป็นอุปัชฌาย์ในเมืองของตนบ้าง การเผยแพร่พระพุทธศาสนาสายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ในดินแดนแถบสุโขทัยจึงรุ่งเรืองมานับแต่นั้น ทำให้พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน และศาสนาฮินดูซึ่งเจริญมาแต่ก่อนนั้น หมดความนิยมไป

เมื่อคณะสงฆ์ได้รวมกันเป็นคณะเดียวกันแล้ว จึงได้แบ่งธุระ ออกเป็น 2 พวก[9]คือ พวกที่สมาทานคันถธุระ ก็เล่าเรียนภาษาบาลี พระไตรปิฎก คณะสงฆ์ฝ่ายนี้มักเลือกวัดที่อยู่ใกล้บ้าน จึงได้ชื่อว่า "คณะคามวาสี" ส่วนพวกที่สมาทานวิปัสสนาธุระ ก็จะบำเพ็ญหาความสงบสุขอยู่ตามวัดในป่า จึงได้ชื่อว่า "คณะอรัญวาสี" เผยแผ่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบมา[2]

การแยกนิกายของพระสงฆ์เถรวาทในประเทศไทย

Thumb
วัดบวรนิเวศวิหาร ศูนย์กลางของคณะธรรมยุติกนิกาย

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวชิรญาณเถระ (เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีได้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวํโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ในวงศ์พระสงฆ์มอญ (รามัญนิกาย) เมื่อ พ.ศ. 2372 และได้ทรงตั้ง คณะธรรมยุต ขึ้นในปี พ.ศ. 2376 แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุตสืบต่อมา

และใน พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รศ.121” มีสาระสำคัญคือ ได้ยกสถานะคณะธรรมยุต ให้เป็นนิกายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ทำให้มีการแบ่งแยกเรียกนิกายของคณะสงฆ์ใหม่ ตามศัพท์บัญญัติของพระวชิรญาณเถระ ว่า "ธรรมยุติกนิกาย" และเรียกกลุ่มพระสงฆ์เถรวาทลังกาวงศ์พื้นเมือง[10]ที่มีมาอยู่แต่เดิมว่า "มหานิกาย" สืบมาจนปัจจุบันนี้

พระธรรมทูต สายคณะสงฆ์ไทยฝ่ายมหานิกาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ

  • ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา พระเทพพุทธิวิเทศ (ประชัน ชุตินฺธโร ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดพุทธาวาส เมืองฮิวส์ตั้น รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
  • หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล พระธรรมโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) BA MA Ph.D เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย
  • ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในยุโรป พระธรรมพุทธิวงศ์ (สวัสดิ์ อตฺถโชโต) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม ประเทศเนเธอร์แลนด์
  • ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสิงคโปร์ พระเทพสิทธิวิเทศ (สุจินต์ โชติปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดอานันทเมตยาราม
  • ประธานองค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ พระเทพภาวนามงคล (ธีรวัฒน์ อมโร) เจ้าอาวาสวัดพุทธาราม
  • ประธานพระธรรมทูตไทยประเทศรัสเซีย พระชาตรี เหมพนฺโธ (ศ.ดร.) วัดพุทธวิหาร ประเทศรัสเซีย ศาสตราจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยเซ็นปีเตอร์สเบิร์ก
Remove ads

การสังเกตการครองผ้าของพระสงฆ์ไทยทั้ง 2 นิกาย

สรุป
มุมมอง

แบบการครองจีวรของภิกษุเดิมในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจน มีในเสขิยวัตรว่า "ให้ทำความสำเหนียกว่า จักนุ่งจักห่มให้เป็นปริมณฑล คือ เรียบร้อย พึงนุ่งปิดสะดือและปกหัวเข่าให้เรียบร้อย พึงทำชายทั้งสองให้เสมอกัน ห่มให้เรียบร้อย ในการแสดงเคารพหรือทำวินัยกรรม "ให้ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า" ซึ่งก็คือห่มจีวรเฉวียงบ่า" [11]

ในการเข้าบ้าน กล่าวว่า "ห่มสังฆาฏิทั้งหลายทำให้มีชั้นและกลัดดุม แต่กำชับไว้ให้ปิดกายด้วยดี ห้ามไม่ให้เปิดไม่ให้เวิกผ้าขึ้น" สันนิษฐานว่าคือการห่มคลุมทั้งสองบ่า[12]

การแบ่งประเภทของการครองจีวร

พระภิกษุสงฆ์มหานิกายในประเทศไทยมีการครองผ้าจีวร หลายประเภทเช่น "ห่มพาดควาย", "ห่มดอง", "ห่มลดไหล่" หรือ "ห่มเฉวียงบ่า" (เวลาลงสังฆกรรม), "ห่มแหวก" แบบธรรมยุติกนิกาย และ "ห่มคลุม" แบบมหานิกาย (เวลาออกนอกอาราม)

ห่มลดไหล่

"ห่มลดไหล่" "ห่มเฉียง" หรือ "ห่มเฉวียงบ่า"ซึ่งเป็นการห่มที่ใช้ในการแสดงความเคารพและทำสังฆกรรม ปัจจุบันใช้ในการห่มในเขตวัดหรือสถานที่ ที่ได้รับอนุญาต โดยนำผ้าจีวรผืนหนึ่งมาพันตัว ชายจรดชาย ม้วนเป็นลูกบวบออกจากตัว (มหานิกาย) หรือม้วนเป็นลูกบวบเข้าหาตัว (ธรรมยุติกนิกาย) วางบนบ่าซ้าย โดยถ้าเป็นพระภิกษุ จะนำสังฆาฏิพาดทับที่บ่าซ้ายให้ครบไตรจีวร สำหรับการทำสังฆกรรม ซึ่งธรรมยุติกนิกาย จะนำ "ผ้ารัดอก" มาพันรอบอกให้แน่นหนา โดยเฉพาะพระภิกษุใหม่ในพิธีบรรพชาอุปสมบท ข้อเสียคือ ผู้เริ่มห่มใหม่ จีวรบนบ่าด้านหลัง ชายมักหลุดลงมาไม่แน่นหนาและชายผ้ามักยาวถึงตาตุ่ม ซึ่งผิดหลักพระวินัย ที่ให้ชายจีวรสูงเลยสบงขึ้นมา 4 นิ้วมือ

ห่มแหวก

"ห่มแหวก" หมายถึง การครองจีวรคลุมทั้งร่างกายด้วยการม้วนผ้าชายจรดชายเข้าหาตัว เป็นลูกบวบมาวางบนบ่าซ้าย ให้คลุมมิดชิด ใช้ในการห่มออกนอกวัด ซึ่งถ้าไม่ห่มให้มิดชิดในเวลาออกนอกเขตวัด (เขตติจีวรวิปวาโส) ต้องอาบัติทุกกฎ ซึ่งการห่มแหวก สยามรับมาจากรามัญโดย "วชิรญาโณภิกฺขุ" (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ข้อเสียคือ ชายผ้าที่หมุนเป็นลูกบวบด้านหน้าสามารถเวิ้กจนเห็นหน้าท้องและสีข้างได้ โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทำให้ดูปกคลุมไม่มิดชิด และชายผ้ามักยาวถึงตาตุ่ม ซึ่งผิดหลักพระวินัย ที่ให้ชายจีวรสูงเลยสบงขึ้นมา 4 นิ้วมือ

ห่มดอง

"ห่มดอง" หมายถึง การครองผ้าลดไหล่แบบมหานิกาย ได้รับต้นแบบจากการ "ห่มปริมณฑล (พาดควาย)" โดยถ้าเป็นพระสงฆ์จะนำสังฆาฏิพาดทับ (ในกรณีสามเณรไม่จำเป็นต้องพาดสังฆาฏิ) เป็นการครองผ้าไตรจีวรอันเป็นปริมณฑล (ห่มครบไตรจีวร) ที่เรียกว่า "ห่มดอง" กระทำโดยมีการพับจีวรเป็นทบแล้วคลี่ทาบมาที่บ่าชั้นหนึ่งก่อน โดยให้ชายจีวรสูงเหนือสบงขึ้นมา 4 นิ้วมือ แล้วจึงนำผ้าสังฆาฏิซึ่งพับเป็นผืนยาวมาพาดไหล่ด้านซ้ายของผู้ห่มก่อนที่จะนำ "ผ้ารัดอก" มารัดบริเวณอกอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันเป็นการห่มที่เป็นที่นิยมทั่วไปของพระสงฆ์มหานิกาย ซึ่งดูเรียบร้อยและทะมัดทะแมงแน่นหนา เนื่องจากมีผ้ารัดอก ข้อเสียคือ เปิดสีข้างดูไม่งาม ซึ่งขัดพระวินัยในการห่มให้มิดชิด และชายผ้าที่สอดบริเวณหน้าอกสามารถหลุดรุ่ยได้ง่าย และในปัจจุบัน มีธรรมเนียมในการให้ชายจีวรและสบงเสมอกัน ซึ่งผิดหลักพระวินัย ที่ต้องให้ชายจีวรสูงเหนือชายสบงขึ้นมา 4 นิ้วมือ

ห่มคลุม

"ห่มคลุม" "ห่มแหนบ" "ห่มมังกร" หมายถึงการครองผ้าที่หมุนผ้าลูกบวบไปทางขวา เมื่ออยู่ในวัดจะห่มเฉวียงบ่า และห่มคลุมในเวลาออกนอกวัด เป็นการห่มตามธรรมเนียมของพระมหานิกาย อันสืบมาตั้งแต่กรุงเก่า (ปัจจุบันยังมีบางวัดนิยมการห่มแบบนี้อยู่ โดยมากจะเป็นวัดมหานิกายในกรุงเทพมหานครเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาสูง)[2] ที่ถือว่าถูกต้องตามพระบรมพุทธานุญาต คือ "ชายจรดชายม้วนขวา[13] หรืออีกนัยหนึ่งแปลว่าข้างนอก(พาหันตะ) คือ ม้วนออกข้างนอกตัวซึ่งก็เข้ากันได้กับการม้วนขวา[14] วางบนบ่าซ้าย และดึงลง นำชายผ้าที่ม้วนพันไปที่แขนซ้าย และบริเวณหน้าอกถึงบ่าซ้าย จะมีผ้าออกมา เรียกว่า ท้องช้าง" การที่ม้วนขวาเนื่องจากในสมัยพุทธกาลถือว่าการม้วนขวานั้นเป็นมงคล (ประทักษิณ) ถ้าห่ม "บิดขวา" เป็นการห่มแบบมหานิกายแท้[15] เป็นวัตรปฏิบัติในการครองจีวรของพระสงฆ์มหานิกาย หรือพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท สายลังกาวงศ์ในประเทศไทย ก่อนที่จะมีคำสั่งของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้พระภิกษุทั่วสังฆมณฑลห่มผ้าตามแบบของธรรมยุติกนิกายทั้งหมด[16] (ปัจจุบันพระฝ่ายมหานิกายส่วนมากนิยมหมุนซ้ายแบบธรรมยุติกนิกายหรือพระรามัญไปแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะสายที่สืบมาจากสำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)

ซึ่งการห่มคลุมนั่น แต่เดิมมีลักษณะการห่มคล้ายธรรมยุติกนิกาย เพียงแต่ว่าชายลูกบวบจะม้วนขวา และพาดไปบนบ่าซ้าย ต่อมาได้มีพัฒนาการ นำลูกบวบเลื่อนลงไปพันบนแขนซ้าย คล้ายมังกรพันเสา ทำให้มีการเรียกการห่มในลักษณะนี้ว่า "ห่มมังกร" มีเรื่องเล่าจากโบราณาจารย์ถึงที่มาของการห่มมังกร ว่าในอดีต เมื่อพระภิกษุเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ ก็จะทำการห่มคลุมโดยม้วนลูกบวบไปทางขวา และพาดไปบนบ่าซ้าย แต่มัดลูกบวบได้ไหลลงจากบ่าไปพันบนแขนซ้าย พระภิกษุเลยทำการหนีบชายจีวรเอาไว้ไม่ให้ล่วงไปอีก เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเห็น ถึงได้ถามท่านว่าเป็นการห่มแบบใหม่หรือ ต่อมาการห่มคลุมอย่างเดิมนั้น เลยเกิดพัฒนาการ เป็นการ "ห่มมังกร" หรือ "ห่มแหนบ" โดยปัจจุบันการห่มคลุมแบบเดิม ก่อนพัฒนาเป็นการห่มมังกร ยังมีการห่มอยู่สำหรับสามเณรในวัดของฝ่ายมหานิกายในกรุงเทพฯ ข้อเสียคือ เป็นการห่มปิดแขนขวาอย่างมิดชิด ทำให้แขนด้านขวาซึ่งพระส่วนใหญ่ถนัดหยิบจับลำบาก

ห่มพาดควาย

"ห่มพาดควาย" "ห่มปริมณฑล" เป็นการห่มแบบเดิมตามพุทธานุญาตในสมัยพุทธกาล โดยพระภิกษุจะจับชายจีวรด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วพาดผ้าฝั่งขวาลอดใต้วงแขนมาบนบ่าซ้าย จัดชายจีวรด้านซ้ายให้เสมอกัน และพาดผ้าทับขึ้นมาบนบ่า โดยให้ชายจีวรด้านล่าง สูงเหนือปลายสบง 4 นิ้วมือ ซึ่งการห่มพาดควาย เป็นรูปแบบก่อนพัฒนาเป็นการห่มดองของมหานิกาย โดยพระสงฆ์เถรวาทในศรีลังกา พม่า กัมพูชาและไทย (โดยเฉพาะในต่างจังหวัด) ยังนิยมห่มอยู่ในช่วงปกติ และการห่มพาดควาย มีลักษณะคล้ายการห่มจีวรและสังฆาฏิของฝั่งวัชรยาน ทิเบต ข้อเสียคือ ชายผ้ามักตกจากบ่าในขณะกราบ และอาจเห็นสีข้างได้

Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads