คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ระนาด
เครื่องดนตรีไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ระนาด เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่งจัดเป็นเครื่องดนตรีชนิดเครื่องตีที่ดัดแปลงมาจากกรับ[1] มี 6 ชนิด เช่น ระนาดเอกไม้ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ระนาดแก้ว และระนาดตัด
Remove ads
ศัพทมูลวิทยา
สรุป
มุมมอง
คำว่า ระนาด เป็นคำไทยที่ยืดเสียงหรือแผลงมาจากคำว่า ราด (rāt)[2][3][4] แปลว่า "วางเรียงแผ่ออกไป ทําให้กระจายออกไป" เป็นกิริยาที่เอาไม้กรับหรือลูกระนาดมาวางเรียงลดหลั่นตามขนาดกันไป[5] ทางด้านดุริยศัพท์มีคำพ้องเป็นคำกลอนว่า ปี่พาทย์ ราดตะโพน สำหรับประโคมทับ (ธรรพ) พบในเอกสารที่จารในสมุดข่อยเรื่อง คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย ในส่วนที่เกี่ยวกับงานพระเมรุ[6] โดยคำว่า ราด ในทีนี้หมายถึงระนาด[7]
ในภาษาไทยถิ่นเหนือ (ล้านนา) คำว่า พาทย์ หมายถึง ระนาด เครื่องประโคม เทียบกับคำสันสกฤตว่า วาทฺย (ขอมหมายถึง พิณพาทย์)[8]
สงัด ภูเขาทอง ครูดนตรีไทยเสนอว่า คำว่า ระนาด อาจมาจากคำภาษามอญว่า ปาต หมายถึง ระนาด หรืออาจมาจากภาษาเขมรว่า ราส (ออกเสียงว่า เรียะส์) ไทยออกเสียงว่า ราด แปลว่า คราด[9] ส่วนภาษาเขมรสมัยใหม่เขียนว่า รนาต[10] (เขมร: រនាត, เสียงอ่านภาษาเขมร: [rɔniet], คำแปล: "xylophone, gamelan (kind of Khmer percussion instrument).")[11] ไม่ปรากฏคำจารึกที่หมายถึงระนาดสมัยเมืองพระนครและภาษาเขมรเก่า[12]
คำว่า รนาต (roniet) ในภาษาเขมรมาจากคำว่า โรเนิบ (roneap) แปลว่า "แผ่นไม้ไผ่, แท่นไม้ไผ่"[13] ส่วน ฮุน สารนิน (Hun Sarnin) ครูดนตรีชาวเขมรระบุว่า รนาต (roniet) อาจแผลงมาจากคำสันสกฤตว่า raghunâtha-vinâ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กัมพูชา[14] ทั้งนี้ในภาษาสันสกฤต คำว่า raghunâtha (रघुनाथ) แปลว่า "พระราม รากุนาถ"[15] และคำว่า vinâ (वीणा) แปลว่า "เครื่องสายวีณา พิณอินเดียอย่างหนึ่ง"[16]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
สมัยก่อนประวัติศาสตร์

ในประเทศไทยและเวียดนามมีการค้นพบเครื่องดนตรีหินสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีลักษณะเป็นตัวขวานยาวใหญ่ซึ่งเป็นลูกระนาดทำด้วยหิน (Lithophones )[17][18] กำหนดอายุสมัยยุคหินใหม่[19] เมื่อราว 8,350–11,000 ปีมาแล้ว[20] (10,000–4,500 ปีก่อนคริสต์กาล) หรืออย่างน้อยอายุสมัยยุคหินตอนปลายเมื่อราว 3,000 ปีมาแล้ว[21] เรียกว่า ระนาดหิน หรือ เสียมหิน (ขวานหินยาว)[22] จำนวน 6 ชิ้น[23] พบที่บริเวณสวนมะพร้าว แหล่งโบราณคดีริมคลองกลาย[22] หมู่ที่ 7 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช และที่เขาต่อ บ้านคีรีวง ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช[23] มีลักษณะเป็นแท่งหินที่ทําขึ้นคล้ายกับขวานหินขัดแต่ไม่ได้ตกแต่งให้มีส่วนคมเหมือนขวาน ขนาดหัวและท้ายแท่งหินมีขนาดเท่ากันและมีความยาวลดหลั่นกันไป เมื่อลองเคาะหรือตีระนาดหินพบว่ามีเสียงดังกังวาลตามลำดับเสียง[21] และยังให้เสียงกังวานสดใสทุกอัน[20]
ระนาดหินในประเทศเวียดนาม เรียกว่า ดั่นด๋า (Đàn Đá, แปลตรงตัว: เครื่องดนตรีหิน) พบที่หมู่บ้านชนเผ่าเมอนง (Mnong) ที่ดัทเรียงแครก (Ndut Lieng Krak)[24] เมืองดาลัต จังหวัดเลิมด่ง จำนวน 11 ชิ้น ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1949 โดย ยอร์จ ก็องดอมินาส์ (Georges Condominas) เจ้าหน้าที่วิจัยชาวฝรั่งเศสประจำสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์โพ้นทะเล ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของมนุษยชาติ (มูเซ่ เดอ ล็อมม์) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และยังค้นพบที่หมู่บ้านชนเผ่าเมอนง (Mnong) เขตเตยเงวียน อำเภอดั๊กเรอเลิบ (Dak R'Lap) จังหวัดดั๊กนง เมื่อปี ค.ศ. 1993 จำนวน 3 ชิ้น ตั้งชื่อเรียกระนาดหินว่า กองลู่[25] และค้นพบที่อื่น ๆ ที่จังหวัดกอนตูม จังหวัดซาลาย และจังหวัดดั๊กลัก ระนาดหินในประเทศเวียดนามยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีขนาดตั้งแต่ 60–100 เซนติเมตร จัดเป็นเครื่องดนตรีหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่าที่เคยค้นพบมา[26]
พูนพิศ อมาตยกุล ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยอธิบายว่า แม้ว่าหลักฐานการค้นพบขวานหินยาวในภาคใต้ที่อาจเป็นระนาดหินมีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์รู้จักนำเครื่องมือหินมาทำเป็นเครื่องให้เสียง[27]
ระนาดหินที่พบในภาคใต้ของไทยยังคล้ายกับระนาดหินที่พบในประเทศเวียดนาม[20] แต่มีขนาดย่อมกว่าเล็กน้อยและกว้างน้อยกว่าคือกว้างไม่เกิน 10 เซนติเมตร[20]
สมัยทวารวดี-ขอมเมืองพระนคร
ต้นแบบระนาดโบราณพบหลักฐานปรากฏเป็นรูปลายแกะสลักสลักศิลาจารึกโบโรบูดูร์[4] สมัยราชวงศ์ไศเลนทร์ อายุคริสต์ศตวรรษที่ 8–9 เป็นวัดพุทธศาสนานิกายมหายานตั้งอยู่ที่มาเกอลัง จังหวัดชวากลาง ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน และภาพจำหลักหินแสดงคน 2 คนตีระนาดด้วยกัน พบที่ศาสนาสถานเปอนาตารัน (Candi Penataran) เทวสถานศาสนาฮินดู อายุคริสต์ศตวรรษที่ 12–15[28] แต่ไม่ปรากฏว่าต้นแบบระนาดโบราณถูกถ่ายทอดไปยังระนาดที่ทำจากไม้หรือไม่[4] เนื่องจากไม้เป็นวัสดุไม่คงทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นจึงไม่หลงเหลือต้นแบบระนาดที่ทำจากไม้ ต่อมาเชื้อพระวงศ์ชวาของราชวงศ์ไศเลนทร์ได้แผ่อำนาจไปถึงอาณาจักรขอมเมืองพระนครหลวงจึงได้เอาฆ้องและระนาดเข้าไปเผยแพร่ด้วย[29] อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏคำจารึกขอมสมัยเมืองพระนครหลวงที่มีการกล่าวถึงระนาด[12]
ทั้งมอญ ลัวะ (ละว้า) และขอมต่างมีอำนาจผลัดกันปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ขอมเรืองอำนาจทางดินแดนตะวันออกและตอนเหนือบางส่วน ลัวะเรืองอำนาจดินแดนทางเหนือ ส่วนดินแดนตะวันตกเป็นข้างมอญ ทั้งมอญและขอมต่างก็มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ขอมทิ้งร่องรอยสถาปัตยกรรมแต่มอญไม่เห็นร่องรอยเด่นชัดนักแต่เป็นที่เชื่อกันว่าพวกมอญนี้มีดนตรีที่ก้าวหน้ามากตามที่ปรากฏหลักฐาน ปูนปั้นปัญจดุริยนารี เชื่อว่ามอญมีระนาดและฆ้องวงใช้แล้ว[30] ภาพจำหลัก ปูนปั้นปัญจดุริยนารี สมัยทวารวดียังถือเป็นต้นแบบระนาดตัดเป็นเครื่องตีของไทยประกอบระบำโบราณคดีชุดระบำทวารวดีในปัจจุบัน[31]
สงัด ภูเขาทอง ครูดนตรีไทยอธิบายว่าวงดนตรีของมอญเรียกว่า วงปาต อาจหมายถึงวงพาทย์อย่างของไทย คำว่า ปาต ในภาษามอญหมายถึงระนาด ส่วนภาษาพม่าเรียกว่า ปัจยา หรือ ปัตตลาร์ (pattala)[32] ไทยคงนำชื่อ วงปาต มาตั้งชื่อเป็นวงพาทย์ หมายถึง การตีระนาดหรือเครื่องตี เครื่องประโคม เมื่อเป็นเช่นนี้ ระนาดของไทยคงมีมาแต่สมัยสุโขทัยก็เป็นได้[9] แต่ก็มีกล่าวว่าไทยอาจรับระนาดมาจากขอมเมืองพระนครหลวงซึ่งได้ระนาดมาจากชวาอีกทอดหนึ่ง[29]
สมัยสุโขทัย-อยุธยา
ระนาดในประเทศไทยพบว่าระนาด (เอก) มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว[33] เพียงแต่ ไตรภูมิพระร่วง และในหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลักเรียก ระนาด เป็น พาทย์ เท่านั้นเอง[33] เนื่องจากคำว่า พาทย์ เข้าเค้าเพราะมีคำที่น่าสงสัยว่า พาทย์ จะหมายถึง ระนาด ได้ 2 แห่ง กล่าวคือ ไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า "บางคนตีกลอง ตีพาทย์ ตีฆ้อง ตีกรับ" และในจารึกวัดพระยืนว่า "ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง" ชวนให้น่าคิดว่า พาทย์ ในที่นี้จะหมายถึงระนาดก็ได้[34] นอกจากนี้คำว่า พาทย์ ในภาษาไทยถิ่นเหนือ (ล้านนา) ยังหมายถึงระนาด[8]
จารึกป้านางคำเยีย อายุ พ.ศ. 1922 สมัยสุโขทัย ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 36 ปรากฏคำว่า พาทย์ (พาด) ในจารึกว่า:–
หา.....พาดพินแตร (สงง) พลลุ[35]
สันติ เล็กสุขุม อธิบายจารึกป้านางคำเยียดังกล่าวส่วนที่เกี่ยวกับการอุทิศคนที่เป็นข้าวัด "นอกเหนือจากอุทิศข้าเพื่องานยังมีอุทิศข้าพระที่เป็นนักดนตรีเพื่อตีระนาด"[36]
คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) และลิขิต จินดาวัฒน์อธิบายว่า คำว่า พาทย์ ในที่นี้จะหมายถึงระนาดได้หรือไม่ ไม่ทราบได้แต่เข้าใจว่าระนาดน่าจะมีใช้แล้วแต่ท่านผู้รู้ทั้งหลายเชื่อกันว่าในสมัยสุโขทัยไม่มีระนาด[37] เมื่อคราวจัดระเบียบแบบแผนวงดนตรีสำหรับเล่นบทละครร้องพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่อง พระร่วง ซึ่งในฉากต้องมีพิธีบวงสรวง มีการยกระนาดเข้ามาประกอบฉากเพื่อบรรเลงเพลงสาธุการ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้ยกระนาดออกไปจากฉาก ทรงมีรับสั่งว่า:–
สมัยสุโขทัยยังไม่มีระนาด[38]
สมัยอยุธยาพบว่าระนาดเข้าไปประสมในวงปี่พาทย์ราวสมัยอยุธยาตอนกลาง[39] เชื่อว่าระนาดในสมัยนี้มีวิวัฒนาการมาจากกรับหรืออาจวิวัฒนากามาจากโกร่ง เดิมใช้ไผ่บงทำลูกระนาด ภายหลังจึงนำไม้แก่น เช่น ไม้มะหาด ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน มาเหลาทำลูกระนาด ส่วนหลักฐานสมัยอยุธยาตอนปลาย ปรากฏระนาดว่า ราด ความว่า:–
ดังไปด้วยเสียงฆ้อง กลอง แลปี่พาทย์ ราดตะโพน แลเสียงดุริยางค์ดนตรีทั้งปวง…[6]
— คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย (ส่วนที่เกี่ยวกับงานพระเมรุ)
สมัยรัตนโกสินทร์

มีการประดิษฐ์ระนาดแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ระนาดแก้ว ระนาดทุ้ม ระนาดทอง ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ส่วนระนาดแบบดั้งเดิมเรียกว่า ระนาดเอก[40]
สมัยรัชกาลที่ 1 มีการประดิษฐ์ระนาดแก้วขึ้นเป็นเครื่องบรรเลงวงมโหรีประกอบระนาดที่ประดิษฐ์จากไม้[41] จนถึงรัชกาลที่ 2 จึงเลิกใช้ระนาดแก้ว[1]: 6 เนื่องจากเสียงระนาดแก้วไม่ไพเราะจึงไม่เป็นที่นิยม[42]
สมัยรัชกาลที่ 3 ระนาดทุ้ม (ไม้) ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยเลียนแบบจากระนาดเอก (ไม้) แต่มีส่วนที่แตกต่างออกไปคือขนาดความกว้างและความยาว รูปทรง ไม้ตี และเสียงทุ้มเป็นคนละเสียงกับระนาดเอก จึงบัญญัติชื่อว่า ระนาดทุ้ม[43]: 14
สมัยรัชกาลที่ 4 มีการประดิษฐ์ระนาดจากโลหะทองเหลืองเรียกว่า ระนาดทอง ส่วนระนาดที่ทำจากเหล็กเรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มเหล็กซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ประดิษฐ์ขึ้นโดยถ่อยทอดมาจากหีบเพลงฝรั่งอย่างเป็นเครื่องเขี่ยหวีเหล็ก[43]: 16 เรียกระนาดเหล็กขนาดเล็กว่า ระนาดเอกเหล็ก และเรียกระนาดเหล็กขนาดเขื่องว่า ระนาดทุ้มเหล็ก มีเสียงเอกเสียงทุ้มต่างจากลูกระนาดไม้[43]: 16
Remove ads
ลักษณะ
ระนาดประกอบด้วย ลูกระนาด ร้อยด้วยเชือก เรียกว่า "ผืน" แขวนไว้กับ ราง ซึ่งทำหน้าที่รองรับลูกระนาด (แขวนลอย ไม่ได้วางรายกับราง) และทำหน้าที่เป็นกล่องเสียงด้วย ผู้เล่นจะใช้ ไม้ตี 1 คู่ สำหรับตีลูกระนาดให้เกิดเป็นท่วงทำนอง
ไม้ตีระนาด มีด้วยกัน 2 แบบ คือ ไม้นวม จะให้เสียงทีฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความไพเราะ นุ่มนวลที่หัวของไม้ จะใช้ผ้าพันให้เป็นนวมก่อนจากนั้นจะใช้เส้นด้ายพันทับอีกที ไม้ตีระนาดชนิดนี้นิยมใช้เล่นบรรเลงในวงมโหรี, วงปี่พาทย์ไม้นวม และ ไม้แข็ง ซึ่งจะให้เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความมีอำนาจ และแข็งแกร่ง ลักษณะของไม้จะพันเช่นเดียวกันกับไม้นวม เพียงแต่จะชุบด้วย "รัก" เป็นระยะ และที่ชั้นนอกสุด แล้วจึงพันอีกครั้งด้วยผ้าดิบบาง ๆ เป็นอันเสร็จ ทำให้ได้หัวไม้ที่แข็ง และสังเกตได้ง่าย ๆ ที่สีของหัวไม้ซึ่งจะดำสนิท
ระนาดของไทยนั้นมีด้วยกัน 6 ชนิด ดังนี้
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สรุป
มุมมอง
เครื่องดนตรีประเภทตีที่ทำด้วยไม้ยังพบได้ในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือลักษณะการเรียงลูกระนาดเป็นแถวเดียวต่อเนื่องกันตั้งแต่เสียงต่ำไปจนถึงเสียงสูงเว้นแต่ลักษณะการตีแตกต่างกัน[44]
กัมพูชา
ปาทริก แกร์ซาเล (Patrick Kersalé) นักโบราณคดีดนตรีชาวฝรั่งเศสพบว่าระนาดของเขมร (Roneat xylophone) เพิ่งมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม (นักองค์ราชาวดี) เมื่อ ค.ศ. 1860 เท่านั้น[45] ลักษณะเหมือนอย่างของไทยเนื่องจากประเทศกัมพูชาได้รับแบบอย่างการเล่นระนาดมาจากไทย[46]: 169 ส่วนเอกสารกัมพูชาระบุว่าวงพิณพาทย์เขมรมีโรเนียตทวงเข้าไปผสมในวงพิณพาทย์ตั้งแต่สมัยก่อนอาณาจักรพระนครแล้ว[47] มี 3 ประเภท ดังนี้
- โรเนียตเอก (Roneat Ek)[47]: 154 ทำจากไม้ มีลักษณะเหมือนกับระนาดเอกของไทย คาดว่ากัมพูชาน่าจะเอาแบบอย่างมาจากไทยเนื่องจากชื่อเรียกและลักษณะการบรรเลงคล้ายคลึงกับระนาดของไทย[46]: 166
- โรเนียตแดก (Roneat Deik)[47]: 156 ทำจากไม้ ลักษณะเหมือนกับระนาดเอกเหล็กของไทย กล่องเสียงทำจากไม้เนื้อแข็ง มีแนวตรงขนาดกับลูกระนาด[46]: 166
- โรเนียตทวง (Roneat Thong)[47]: 159 ทำจากไม้ ลักษณะเหมือนกับระนาดทุ้มของไทย กล่องเสียงทำจากไม้เนื้อแข็งมีลวดลายสวยงาม[46]: 166
พม่า
- ปัตตาลา หรือ ปัตตะหล่า (patala, pattala) ทำจากไม้ลักษณะเช่นเดียวกับระนาดของไทยแต่ขนาดใหญ่และยาวกว่า หัวไม้ตีสั้น หุ้มผ้า ลูกระนาดทำจากไม้ไผ่เหลาให้ได้ระดับเสียงโดยไม่ต้องติดตะกั่วเทียบนำมาพาดเรียงบนรางระนาดโค้งมากและมีโขนสองข้างสูงและลักษณะการบรรเลงแตกต่างกัน[46]: 166
ลาว
- นางนาด ในประเทศลาวทำจากไม้ไผ่ เป็นเครื่องดนตรีหลักสำหรับวงเสพใหญ่และวงเสพน้อย[46]: 165
เวียดนาม

- ด่านตรุง (Dàn T'rưng) ของชนเผ่าบาห์นาร์ (Bahnar) และชนเผ่าจาไรหรือเกียไร (Jarai, Gia rai) บริเวณสูงตอนกลาง ประเทศเวียดนาม ใช้ไม้เนื้อแข็งชุบหัวยางตีลงบนกระบอกไม้ไผ่ให้เสียงนุ่มลึก
อินโดนีเซียและมาเลเซีย
- กัมบัง หรือ กัมบังกายู (Gambang kayu) ในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ลำตัวและลูกระนาดทำจากไม้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับระนาดของไทย ใช้ประกอบเล่นทำนองในวงดนตรีกาเมลัน (Gamelan)[46]: 167
- ปาตาตัก (Patatag, Patteteg) ของชนเผ่าคาลิงกา (Kalinga) ทางตอนเหนือของประเทศอินโดนีเซีย ใช้กระบอกไม้ไผ่จำนวน 6 ชิ้นวางเรียงเป็นแผงบนตักผู้เล่น[44]
Remove ads
นักระนาดที่มีชื่อเสียง
ประเทศไทย
- พระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
- พระเสนาะดุริยางค์ (ขุนเณร) หรือระนาดขุนเณร
- ช้อย สุนทรวาทิน
- พระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน)
- พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)
- พระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิต)
- หลวงชาญเชิงระนาด (เงิน ผลารักษ์)
- สิน สินธุสาคร
- เผือด นักระนาด
- บุญยงค์ เกตุคง
- ณรงค์ โตสง่า (ขุนอิน) (ชื่อเดิม: ณรงค์ฤทธิ์ โตสง่า)
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads