คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ราชรัฐห่าเตียน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ราชรัฐห่าเตียน[1] (เวียดนาม: Hà Tiên trấn, จีนตัวย่อ: 河仙镇; จีนตัวเต็ม: 河僊鎮 หรือ 河仙鎮; พินอิน: Héxiān zhèn), รัฐกั๋งโข่ว (港口国)[2] หรือ รัฐในอารักขาห่าเตียน[3] เอกสารตะวันตกเรียก คังเคา (Can Cao)[4][5][6] ส่วนเอกสารไทยเรียก เมืองบันทายมาศ[7] หรือ พุทไธมาศ[8][9] เป็นรัฐเมืองท่าบริเวณปากแม่น้ำโขง ก่อตั้งโดยม่อ จิ่ว (鄚玖) หรือ หมัก กื๋ว (Mạc Cửu) ชาวจีนอพยพ[1] มีลักษณะเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เปิดบ่อนการพนัน ผลิตเหรียญกษาปณ์ และเปิดเหมืองแร่ดีบุกเป็นของตนเอง[10] โดยอาศัยพื้นที่ชายขอบของปริมณฑลแห่งอำนาจของรัฐขนาดใหญ่ พัฒนาเป็นเมืองท่าสำคัญของภูมิภาค[11] และขยายพื้นที่อำนาจของตนเองด้วยการตั้งเมืองใหม่อีกหกเมือง[12]
ห่าเตียนเป็นรัฐอิสระในอารักขาของทั้งกัมพูชา เวียดนาม หรือสยาม โอนอ่อนตามแต่สถานการณ์จะพาไป[10] เพราะศักยภาพทางการทหารต่ำ[13] รัฐต่าง ๆ พยายามเข้าควบคุมห่าเตียนตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา[11] ที่สุดห่าเตียนถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเวียดนามใน ค.ศ. 1832
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ยุคแรกเริ่ม
เดิมห่าเตียนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเขมร กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 18 ม่อ จิ่ว (鄚玖) หรือ หมัก กื๋ว (Mạc Cửu) ชาวจีนกวางตุ้ง เข้าไปก่อตั้งเมืองท่าชื่อ เฟืองถั่ญ (Phương Thành) บ้างเรียก เมืองคำ (Máng-khảm, ม้างขาม) เปี่ยม หรือ เปียม (ពាម "ปากน้ำ")[7][12] เมื่อ ค.ศ. 1671 โดยได้รับพระราชานุญาตจากกษัตริย์เขมรให้ดูแลการค้าทางทะเลแถบนั้น พร้อมกับพระราชทานตำแหน่งเป็น ออกญา (ឧកញ៉ា)[14]
ยูมิโอะ ซากูไร (桜井由躬雄) นักประวัติศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเสนอว่า เฟืองถั่ญนี้เป็นเมืองที่ถูกสร้างใหม่ที่ประกอบไปด้วยหมู่บ้านชาวจีนโพ้นทะเลเจ็ดหมู่รวมกัน ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบันทายมาศ (បន្ទាយមាស, บ็อนเตียย์เมียะฮ์) ซึ่งขณะนั้นมีเจ้าเมืองชาวเขมรปกครองอยู่แล้ว[15] แม้จะเป็นคนละเมือง แต่เอกสารไทยมักเรียกเมืองใหม่แห่งนี้ว่าบันทายมาศ (สำเนียงเขมร) หรือพุทไธมาศ (สำเนียงไทย) เพราะเป็นเมืองเก่าที่เคยมีความสัมพันธ์กับสยามมาก่อน[12] ที่ตั้งของเฟืองถั่ญอยู่บริเวณปากแม่น้ำใหญ่ เรือสินค้าสามารถจอดเรือหลบมรสุมได้ และสามารถเดินทางผ่านสาขาแม่น้ำเข้าไปค้าขายยังพื้นที่ตอนในแผ่นดินได้[14]
ในเวลาต่อมาม่อ จิ่ว เริ่มสวามิภักดิ์กับขุนนางตระกูลเหงียนเมื่อ ค.ศ. 1707 หลังถูกสยามรุกรานจนเมืองเสียหาย ม่อ จิ่วรับตำแหน่งขุนนาง เหิ่ว (hầu) จากตระกูลเหงียน ตั้งแต่นั้นมาห่าเตียนก็มีสถานะเป็นรัฐกึ่งอิสระของเวียดนามมาตั้งแต่นั้น[16] พร้อมกับตั้งนามเมืองให้เสียใหม่ว่า ห่าเตียน (Hà Tiên) แปลว่า "เทพแห่งสายน้ำ"[17] แต่เขายังคงส่งส่วยเข้าราชสำนักเขมรตามเดิม[18]
ยุคทอง
หลังม่อ จิ่วถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1736 ม่อ ซื่อหลิน (莫士麟) หรือ หมัก เทียน ตื๊อ (Mạc Thiên Tứ) บุตรชาย ขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองห่าเตียนสืบมา ยุคนี้ถือเป็นยุคทองของห่าเตียน กองทัพเขมรของพระศรีธรรมราชาที่ 4 ยกทัพตีห่าเตียนใน ค.ศ. 1739 แต่ปรากฏว่าเขมรพ่ายห่าเตียน และไม่ยกทัพมาตีอีก ห่าเตียนจึงเป็นอิสระจากเขมรเต็มที่[3] ต่อมาพระนารายน์ราชารามาธิบดี หรือนักองตน เจ้านายเขมรขอเป็นบุตรบุญธรรมม่อ ซื่อหลิน หลังเกิดการชิงอำนาจกันในราชสำนักเขมร[7] ม่อ ซื่อหลินจึงประสานไปยังขุนนางตระกูลเหงียนให้สนับสนุนนักองตนเป็นกษัตริย์เขมรจนสำเร็จ[10] หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีชาวไทยลี้ภัยไปห่าเตียนมากกว่า 30,000 คน หนึ่งในนั้นคือเจ้าจุ้ย (Chiêu Thúy, เจียว ทวี้) ซึ่งเป็นเจ้านายชั้นสูงของกรุงศรีอยุธยา[19] พระโอรสในเจ้าฟ้าอภัย พระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ[20] ม่อ ซื่อหลินวางแผนตั้งเจ้านายพระองค์นี้เป็นกษัตริย์สยาม แต่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสถาปนากรุงธนบุรีสำเร็จเสียก่อน[21] โดยในช่วงที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรวบรวมสมัครพรรคพวกไปตีเมืองจันทบุรี ก่อนการสถาปนากรุงธนบุรี ม่อ ซื่อหลินได้ให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าเมืองจันทบุรีสำหรับการต่อต้านสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างโจ่งแจ้ง[22]
ม่อ ซื่อหลินวางแผนกำจัดกษัตริย์พระองค์ใหม่ของสยามหลายทาง ทั้งการทูตกับจีนไม่ให้จีนยอมรับกรุงธนบุรี[23] การแย่งตัวเจ้านายราชวงศ์บ้านพลูหลวง และให้บุตรเขยตนลอบสังหารสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่แผนแตกเสียก่อน จึงถูกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตีกองทัพเรือของห่าเตียนจนพ่ายไป[19] ความตึงเครียดระหว่างธนบุรีกับห่าเตียนทวีความรุนแรงขึ้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งค่ายที่ปากน้ำพระประแดง ท่าจีน และแม่กลองสำหรับรับศึกของทัพเรือห่าเตียน ครั้นเสด็จไปตีหัวเมืองภาคใต้ ม่อ ซื่อหลินก็ส่งทัพ 50,000 คน ตีเมืองทุ่งใหญ่และจันทบูรกวาดครัวไทยไปจำนวนมาก[7] ฝ่ายห่าเตียนสามารถจับกุมหลิว กงเซิ่น เจ้าเมืองจันทบูรซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีน กลับไปยังห่าเตียนด้วย[24] จากนั้นได้ส่งทัพเรือ 2,000 นายที่เกณฑ์จากบันทายมาศและกรังมาตีบางกอกแต่พ่ายไป ดังปรากฏใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับนักองค์นพรัตน ความว่า[25]
"๏ ลุศักราช ๑๑๓๒ (พ.ศ. 2313) ปีขาล สมเด็จพระโสร์ทศ ผู้เปนใหญ่ในเมืองเปี่ยม ได้เกณฑ์ไพร่พลในเขตรแขวงเมืองบันทายมาศ เมืองตรัง ยกเปนกองทัพไปตีเมืองทุ่งใหญ่ เมืองจันทบุรี จึงพวกกองทัพไทยออกมาสู้รบมีไชยชนะแก่กองทัพสมเด็จพระโสร์ทศ ๆ พ่ายแพ้แก่กองทัพไทย แตกหนีทิ้งเครื่องสาตราวุธเรือรบเสียเปนอันมาก จึงพากันล่าถอยกลับคืนมายังเมืองเปี่ยม ๚"

ครั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสร็จศึกที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว ก็ทรงยกทัพยึดเมืองจันทบูรคืนแล้วล้อมทัพของม่อ ซื่อหลินไว้สองเดือน ที่สุดม่อ ซื่อหลินก็ปราชัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทิ้งอาวุธและเรือรบไว้จำนวนมาก[25][26] ด้วยเหตุนี้หลังเสร็จศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตอบโต้ด้วยการโจมตีห่าเตียนเมื่อ ค.ศ. 1771[16][27] ม่อ ซื่อหลินหลบหนีออกจากเมือง ก่อนเสด็จกลับพระนครสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนำครอบครัวของม่อ ซื่อหลิน พร้อมด้วยเจ้าจุ้ยไปด้วย ภายหลังจึงประหารชีวิตเจ้าจุ้ย[28] ดังปรากฏใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับนักองค์นพรัตน ความว่า[25]
"๏ ลุศักราช ๑๑๓๓ (พ.ศ. 2314) ปีเถาะ พระเจ้าตากได้ยกกองทัพมาตีเมืองเขมรอิก ในครั้งนั้นได้ยกมาเปนสองทาง คือพระเจ้าตากได้จัดให้เจ้าพระยายมราช [คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช] เปนแม่ทัพใหญ่ คุมไพร่พลยกมาทางบก เดินทางเมืองเสียมราฐ พระตะบอง แลมาเมืองโพธิสัตว์นั้นทางหนึ่ง ส่วนพระเจ้าตากเองได้ทรงเปนจอมทัพยกมาทางน้ำ พร้อมสรรพไปด้วยเรือรบแลเครื่องสาตราวุธ [...] ยกมาทางทเล ครั้นถึงเมืองเปี่ยม ก็ตีเมืองเปี่ยมแตก สมเด็จพระโสร์ทศสู้ไม่ได้ ก็หนีออกจากเมืองเปี่ยม ไปพักอยู่ที่เมืองตึกเขมา (น้ำดำ)..."
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งขุนพิพิธวาทีเป็นพระยาราชาเศรษฐี ว่าราชการเมืองบันทายมาศ หลังจากนั้นม่อ ซื่อหลินก็กลับมาตีเมืองคืนได้ครั้งหนึ่ง ก่อนถูกขุนพิพิธวาทีตีคืน[8][9] แต่สองปีต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเกรงว่าขุนพิพิธวาทีอาจเป็นอันตรายจึงเรียกตัวกลับบางกอก[7] พร้อมญวนเข้ารีตจำนวนหนึ่ง[10] ม่อ ซื่อหลินจึงกลับมาครองห่าเตียนอีกครั้ง[8][9][21]
ช่วงเกิดการกบฏเต็ยเซิน (Tây Sơn, เอกสารไทยเรียก ญวนไกเซิน)[29] ห่าเตียนแสดงท่าทีสนับสนุนขุนนางตระกูลเหงียน ทว่า ค.ศ. 1771 ตระกูลเหงียนพ่ายแพ้แก่ฝ่ายกบฏ และถูกกบฏยึดเมืองซาดิ่ญได้เมื่อ ค.ศ. 1776 ม่อ ซื่อหลิน และโตน เทิ้ต ซวน (Tôn Thất Xuân, เอกสารไทยเรียก องเชียงซุน)[30] ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อกลุ่มกบฏจึงลี้ภัยไปสยาม แต่ถูกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจับกุมและประหารเสียใน ค.ศ. 1780[31] และหลังการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อ ค.ศ. 1782 พระองค์เริ่มมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเหงียน ฟุก อั๊ญ (Nguyễn Phúc Ánh, เอกสารไทยเรียก องเชียงสือ)[32] เพื่อประโยชน์ด้านการขยายอำนาจไปแถบปากแม่น้ำโขง[33] พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งให้พระยาทัศดา (Thát Xỉ Đa, ท้าต สี ดา) ไปยึดห่าเตียนหรือพุทไธมาศคืนจากการยึดครองของพวกเต็ยเซิน เหงียน ฟุก อั๊ญได้ยึดเมืองคืนได้ระยะหนึ่งแต่สุดท้ายต้องละทิ้งเมืองเพราะถูกกบฏโจมตี[34] กระทั่ง ค.ศ. 1785 เหงียน ฟุก อั๊ญ พร้อมด้วยกองทัพสยาม นำโดยสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ (Chiêu Tăng, เจียว ตัง) เดินทางไปยังเมืองบันทายมาศเตรียมรบกับกบฏเต็ยเซิน ในช่วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชส่งม่อ ซือเชิง (鄚子泩) หรือ หมัก ตื๋อ ซิญ (Mạc Tử Sinh) บุตรชายม่อ ซื่อหลินกลับไปครองห่าเตียนแล้ว และส่งทัพไปช่วยสยามในการรบที่สักเกิ่ม-สว่ายมู้ต (Trận Rạch Gầm – Xoài Mút) ทว่าสยามพ่ายแก่กบฏอย่างสิ้นรูป[35] เหงียน ฟุก อั๊ญ และม่อ ซือเชิง จึงหนีกลับกรุงสยาม
Remove ads
รายนามเจ้าผู้ครอง
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads