คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์

วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์
Remove ads

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ หรือวัดเมือง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกงฝั่งตะวันตก เลขที่ 156 ถนนมรุพงษ์ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นับแต่ วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระอารามหลวง

ข้อมูลเบื้องต้น วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์, ชื่อสามัญ ...
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยโปรดให้ เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยามหาโยธา หาที่จะสร้างเมืองฉะเชิงเทราใหม่ และโปรดให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ (หม่อมไกรสร) ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 33 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เป็นแม่กองทำการสร้างกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา แล้วเสร็จเมื่อปี 2380[1] อีกทั้งพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างวัดแห่งหนึ่ง ดังในพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระบุว่า

"...แล้วโปรดให้กรมหลวงรักษรณเรศออกไปสร้างป้อมกำแพงที่เมืองฉเชิงเทราอีกตำบล 1 โปรดให้สร้างวัดไว้ในกลางเมือง ซึ่งพระราชทานนามในบัดนี้ว่า วัดปิตุลาธิราชรังสฤษดิ..."[2]

เดิมทีวัดเมืองนี้อาจเคยมีแผนให้สร้างกลางเมืองแต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ จึงมีการสร้างบริเวณด้านเหนือของเมืองแทน จากข้อมูลคำให้การจีนบู๊ว่าด้วยเรื่องอั้งยี่เมืองฉะเชิงเทรากำเริบ จ.ศ. 1210 เมื่อคราวเกิดกบฏจีนตั้วเฮียขึ้นในปี พ.ศ. 2391 แสดงว่ามีวัดบริเวณเหนือเมืองแล้ว โดยพบข้อความที่ระบุว่า "จีนกิแต้จิ๋วเถ้าแก่สวนอ้อย คุมคน 1,200 เศษ ลงเรืออ้อย 6 ลำไปที่เมืองมาจอดเรือข้าวที่วัดเหนือเมือง แล้วจีนเอี้ยงคุมพวก 300 เศษ เข้าด้านเหนือ จีนจอเป็นคนตีกลองสัญญา จีนตูคุมพวก 300 เศษ เข้าด้านใต้ ข้าพเจ้าจีนเส็งคุมพวก 200 เศษ เข้าด้านตะวันออกจีนสามขีเป็นคนตีกลองสัญญา จีนซุนเตียคุมพวก 200 เศษ เข้าด้านตะวันตก เข้าล้อมเมืองพร้อมกันตีกลองสัญญายิงปืนทั้ง 4 ด้าน" จากนั้นภายหลังเหตุการณ์การกบฏแล้วกว่า 36 ปี ราวปี พ.ศ. 2427 พระยาวิเศษฤๅไชย(ช้าง) ได้ทำการบูรณะใหม่โดยปรากฏหลักฐานในบันทึกของ เซอร์ เออร์เนสต์ เมสัน ซาโตว (Sir Ernest Mason Satow) อัครราชทูตอังกฤษ ประจำกรุงสยาม เมื่อคราวตรวจพื้นที่ เมืองต่างๆในแม่น้ำบางปะกง ว่า

"...เจ้าเมืองปล่อยเรื่องหยุมหยิมในการบริหารปกครองอยู่ในอำนาจของน้องชาย ผู้ซึ่งเป็นปลัดและอายุได้ 75 ปีแล้ว ท่านสนใจแต่เพียงการเตรียมตนสำหรับโลกหน้าโดยการสร้างวัดแห่งหนึ่ง..."[3]

ซึ่งสอดคล้องกับการให้ข้อมูลความทรงจำของชาวบ้านในพื้นบ้านจอมศรี อำเภอพนมสารคาม ซึ่งเป็นเครื่อญาติกับคุณนายมีภรรยาเจ้าเมืองว่ามีการมาสร้าง (บูรณะ) วัดเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 จริง

เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว ในระยะแรกเรียกชื่อวัดว่า "วัดเหนือเมือง" "วัดหลักเมือง"หรือ วัดท้ายเมือง' ด้วยเพราะสร้างในพื้นที่ด้านท้ายเมือง และ/หรือ อยู่ในพื้นที่ด้านเหนือของเมือง จึงมีการขานชื่อที่ต่างกันไปโดยเรียกรวมๆ อย่างสามัญว่า "วัดเมือง"

เนื่องด้วยเป็นวัดสำคัญของเมืองจึงใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และปรากฏหลักฐานว่าได้รับผ้าพระกฐินพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 4[4] จากนั้นได้รับพระราชทานนามวัดใหม่ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฏ์” อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวาระฉลองพระชนมายุครบรอบ 100 พรรษา ในปี พ.ศ. 2430 (แต่เอกสารราชการได้ปรากฏชื่อวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฏ์ มาก่อนหน้านั้นแล้วอย่างน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ.2427 จากคดีนายฮ้อยแสงสุริยาที่กล่าวโทษพระยาวิเศษฤๅไชย(ช้าง)) อีกทั้งวัดนี้ได้ใช้เป็นที่พระราชทานเพลิงศพบุคคลสำคัญของเมืองฉะเชิงเทราหลายท่านโดยเฉพาะเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชการ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ พระยาวิเศษฤๅไชย(ช้าง)เจ้าเมืองฉะเชิงเทราในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 เป็นต้น[5]ด้วยความสัมพันธ์กับงานราชการมากจนครั้งหนึ่งได้รับการเปรียบเปรยว่า"วัดโสธรเป็นวัดของทหาร วัดเมืองของราชการ"[6]

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ มีชื่ออยู่ในทะเบียนวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมีสภาพเป็นวัดตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมแห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ว่า ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2385 และได้รับวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2395 ซึ่งมีเจ้าคณะปกครองฝ่ายสงฆ์ได้ปกครองดูแลตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เนื่องใน โอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นับแต่ วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ เป็นพระอารามหลวง

Remove ads

ทำเนียบเจ้าอาวาส

วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ (พระอารามหลวง) เดิมเป็นวัดราษฎร์ ตั้งแต่สร้างวัดมาตามหลักฐาน ที่ปรากฏ มีพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่พอสืบค้นได้ ดังนี้

  • พระอธิการแก้ว
  • พระครูธรรมภาณีวรคุณ (ช่วย แย้มจินดา) พ.ศ. 2454 - พ.ศ. 2485
  • พระครูอุดมสมณคุณ (เติม ทองเสริม) พ.ศ. 2485 - พ.ศ. 2514
  • พระครูจินดาภิรมย์ (ชด แย้มจินดา) พ.ศ. 2514 - พ.ศ. 2524
  • พระครูไพโรจน์ธรรมาภิวัฒน์ (สง่า ธมฺมโสภโณ) พ.ศ. 2524 - 2545
  • พระสมุห์พงษ์พันธ์ วีรธมฺโม (ปัจจุบันคือ พระครูวีรศรัทธาธรรม (พงษ์พันธ์ วีรธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสุนีย์ศรัทธาธรรม) ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วันที่ 15 มิถุนายน 2545 ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546
  • พระครูสุตธรรมาภรณ์ (สำราญ ญาณวุฑฺโฒ) ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส พ.ศ. 2554 ถึง พ.ศ. 2559
  • พระธรรมปริยัติมุนี (ประยนต์ อจฺจาทโร) ป.ธ.9 พ.ศ. 2547 (20 กุมภาพันธ์ 2547 ) ถึง ปัจจุบัน
Remove ads

ด้านการศาสนศึกษา

มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา อยู่ในความผิดชอบของ กองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการจัดการศึกษาทางวิชาการพระพุทธศาสนา แผนกนักธรรม-ภาษาบาลี และหลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ในระดับมัธยมศึกษา (ม.1-ม.6)

การศึกษา แผนกธรรม นักธรรม (ตรี-โท-เอก), ธรรมศึกษา (ตรี-โท-เอก)

การศึกษาแผนกบาลี เปรียญธรรม  1-2 ถึง 9

การศึกษาแผนกสามัญ  ในระดับมัธยมศึกษา (ม.1-ม.6)

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads