คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
Remove ads

พันเอกหญิง สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร (16 เมษายน พ.ศ. 2427 – 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482) เป็นพระราชธิดาลำดับที่ 48 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2427 เป็นพระโสทรกนิษฐภคินีในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก เป็นพระโสทรเชษฐภคินีในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเป็นพระราชปิตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ข้อมูลเบื้องต้น สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์, ประสูติ ...

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงเล็งเห็นความสำคัญกับการศึกษาของสตรีไทย เช่น ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ของโรงเรียนราชินี การก่อสร้างโรงเรียนราชินีบน และทรงจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ (ต่อมาคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์) เป็นต้น

พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคพระวักกะพิการเรื้อรัง เคยเสด็จไปทรงรับการผ่าตัดที่ต่างประเทศถึง 2 ครั้ง จนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 มีพระอาการหนักอย่างน่าวิตก พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 23.15 นาฬิกา ของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (แบบสากลคือ พ.ศ. 2482) สิริพระชนมายุ 54 พรรษา

Remove ads

พระประวัติ

สรุป
มุมมอง

พระชนม์ชีพตอนต้น

Thumb
สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ฉลองพระองค์อย่างชาวตะวันตกตั้งแต่ทรงพระเยาว์
Thumb
สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ในพระราชพิธีโสกันต์

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เป็นพระราชธิดาลำดับที่ 48 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อวันพุธ แรม 6 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก ฉศก จ.ศ. 1246 ตรงกับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2427 ณ พระตำหนักของพระมารดาในพระบรมมหาราชวัง พระองค์เป็นพระราชบุตรร่วมพระชนกชนนีลำดับที่ห้า จากพี่น้องทั้งหมดแปดพระองค์คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร,[1] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์,[2] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี,[3] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์,[4] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี,[5] สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก[6] และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าหญิง (ไม่มีพระนาม)[7]

เมื่อพระชนม์ครบหนึ่งเดือนได้มีพระราชพิธีสมโภชเดือน ณ พระตำหนักสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา บรมราชเทวี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2427[8] ชาววังออกพระนามว่า ทูลกระหม่อมฟ้าหญิง[9] หรือ ทูลกระหม่อมวไลย[10] บ้างก็ออกพระนามว่า ทูลกระหม่อมหญิงแหม่ม เนื่องจากทรงไว้พระเกศายาวประบ่าตั้งแต่ทรงพระเยาว์ กับมีพระพักตร์คล้ายกับชาวตะวันตก และโปรดฉลองพระองค์อย่างสตรีตะวันตก[11] แต่พระองค์จะลงพระอภิไธยว่า วลัย[10] จากการที่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีทรงสูญเสียพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ใน พ.ศ. 2430 พระองค์ทรงปรารภจะมีพระราชธิดา จึงทรงขอประทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารีจากสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีให้เป็นพระราชธิดาในปลายปี พ.ศ. 2431 โดยมีจันทร์ ชูโต เป็นพระพี่เลี้ยง[12] พระองค์จึงเรียกสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีว่า "เสด็จแม่"[13] และเรียกสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวีว่า "สมเด็จป้า"[14] พระองค์ประทับที่พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีโดยแบ่งครึ่งห้องพระบรรทม[15]

เบื้องต้นทรงได้รับการศึกษาจากโรงเรียนราชกุมารีที่ตั้งอยู่ในพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 โดยมีพระอิศรพันธ์โสภณเป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษร ส่วนวิชาภาษาอังกฤษมีพระอาจารย์ถวายการสอนคือ หม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์, หม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล, หม่อมจันทร์ เทวกุล ณ อยุธยา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์[12] ทั้งนี้พระองค์ได้รับการกวดขันจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถอย่างสมัยใหม่ทั้งการศึกษา, การแต่งกาย, แนวคิด และการปฏิบัติพระองค์[13] เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี มีพระชันษา 12 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ พระราชทานพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี[16]

ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้การสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร[17] ในรัชกาลนี้ พระองค์ได้รับพระราชทานพระยศทางทหาร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่สอง มีพระยศเป็นนายพันเอก ซึ่งเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์เองก็เคยรับสั่งกับเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตว่า เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ให้จัดงานแบบทหารด้วย โดยรับสั่งว่า "ฉันเป็นทหาร"[12]

และท้ายที่สุดในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินธร[18]

สิ้นพระชนม์

Thumb
(จากซ้ายไปขวา) สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ฉายร่วมกับพระชนนีและพระอนุชา

เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีที่ยังทรงพระชนม์ แต่พระองค์ก็มีพระโรคประจำพระองค์คือพระวักกะพิการเรื้อรัง (ไตพิการเรื้อรัง) เคยเสด็จไปทรงรับการผ่าตัดที่ต่างประเทศถึง 2 ครั้ง และมีพระดำริจะเสด็จไปสิ้นพระชนม์ที่ต่างประเทศเสีย เพื่อมิให้พระชนนีต้องวิตกกังวลหรือยุ่งยากพระทัย แต่พระองค์ได้เสด็จกลับประเทศสยามเพราะทรงทราบข่าวการประชวรของพระชนนี และพระอาการของพระองค์กลับกำเริบขึ้น[19] จนวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (แบบสากลคือ พ.ศ. 2482) มีพระอาการหนักมากจนน่าวิตก[12]

พระองค์สิ้นพระชนม์ที่วังคันธวาส ถนนวิทยุ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 (แบบสากลคือ พ.ศ. 2482) เวลา 23.15 นาฬิกา ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชันษา 54 ปี ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารตลอดจนผู้ใกล้ชิด นับเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้ายของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีที่สิ้นพระชนม์[19] ในการนี้สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี เสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ไม่เคยเสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพพระราชโอรสธิดาพระองค์ใด เนื่องจากคติโบราณที่ห้ามบิดามารดาเผาศพบุตร มิฉะนั้นต้องเผาอีก แต่ครั้งนี้เป็นพระราชธิดาองค์ท้ายสุด พระองค์จึงได้เสด็จมา และมีพระดำรัสที่มีนัยยะความชอกช้ำพระทัย และประชดประชันในพระชะตาชีวิตว่า "...อ๋อ ไปส่งให้หมด พอกันที ไม่เคยไปเลยจนคนเดียว คนนี้ต้องไปหมดกันที"[19] พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ณ ท้องสนามหลวง[20][21]

หลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าได้พระราชทานวังคันธวาสให้กับโรงเรียนราชินีบน เพื่อเก็บผลประโยชน์เป็นรายได้บำรุงโรงเรียน [22] ปัจจุบันพื้นที่ของวังคันธวาสได้กลายเป็นที่ตั้งของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน[23]

Remove ads

ชีวิตส่วนพระองค์

สรุป
มุมมอง
Thumb
เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงสวมเครื่องประดับที่เหมาะสมกับฉลองพระองค์ที่สวมใส่

สิ่งที่พระองค์ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษ คือ การเย็บปักถักร้อย ทรงทำผ้ารองจาน ผ้ารองแก้ว เสื้อกันหนาว หรือไม่ก็ทรงร้อยดอกไม้ ทรงจัดดอกไม้ในแจกันและทรงพระอักษร บางคราวจะทรงเล่นเกม เช่น หมากฮอส สกาลูโด ผสมอักษรอังกฤษเป็นคำ ๆ ทรงเลือกแต่งฉลองพระองค์ซึ่งมีสีสันสวยงาม ทั้งนี้พระองค์โปรดปรานฉลองพระองค์กระโปรง[11] และตัดพระเกศาอย่างชาวตะวันตก[11] ทั้งยังทรงเป็นผู้ริเริ่มการนุ่งผ้าถุงเป็นพระองค์แรก[11] โดยการดัดแปลงผ้าซิ่นธรรมดาให้เป็นผ้าถุงสำเร็จเพื่อความสะดวกสบายในการนุ่ง[24]

พระองค์ถือเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ทรงนำสมัยในเรื่องการแต่งกาย ฉลองพระองค์ของเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ถือเป็นฉลองพระองค์เจ้านายที่ทันสมัยและเก๋ไก๋ที่สุดในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[11] ซึ่งพระพี่เลี้ยงหวน หงสกุล ได้บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความว่า "...ท่านโปรดทรงหนังสือฝรั่ง ทรงรับแมคคาซีนนอก แม้แต่แบบเสื้อก็สั่งนอก แม่ [พระพี่เลี้ยงหวน] ก็เป็นผู้เย็บให้ทรงคนเดียว บางครั้งก็ทรงเลือกแบบเอง แล้วให้ฝรั่งห้างยอนแซมสันตัด แต่เป็นชื่อของแม่ และวัดตัวแม่เอง ไม่ต้องลอง นำไปถวายก็ทรงพอดีเลย ถ้าเป็นเสื้อแม่ ฝรั่งเรียกราคาตัวละ ๘๐ บาท ถ้าเป็นฉลองพระองค์เขาก็เรียกราคาแพงกว่านั้น ต่อมาเมื่อเย็บได้เก่งแล้ว ภายหลังก็ไม่ต้องจ้างฝรั่งเย็บ"[25] พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ก็ทรงกล่าวถึงพระองค์ใน เกิดวังปารุสก์ ความว่า "...ทูลหม่อมอาหญิงท่านทั้งงามทั้งเก๋ ข้าพเจ้าชอบไปเฝ้าท่านบ่อย ๆ... "[24] ในช่วงงานวันสมโภชพระนคร 150 ปี มีข่าวลือเกี่ยวกับการลอบทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ที่สำคัญ[24] พระองค์ก็มิทรงหวาดหวั่นและกล่าวถึงด้วยพระอารมณ์ขันว่า "...วันนี้แต่งเต็มที่ เพราะเวลาตายจะได้สวย ๆ..."[26]

พระองค์ไม่โปรดเครื่องประดับชิ้นใหญ่ แม้จะทรงมีเครื่องประดับจำนวนมากก็ตาม แต่โปรดเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ ที่เหมาะสมกับฉลองพระองค์ในแต่ละชุด ซึ่งเด็ก ๆ ในพระอุปถัมภ์ พระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยให้เชย หม่อมเจ้าพิไลยเลขา ดิศกุล ทรงเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อโรงเรียนราชินีมีงานออกร้านขายของนั้น โปรดให้หม่อมเจ้าพิไลยเลขามาช่วยขายของให้เจ้านายต่างประเทศ รับสั่งให้ถอดเครื่องเพชรที่แต่งอยู่ออกให้หมด เหลือเพียงจี้เพชรอย่างเดียว แล้วตรัสว่า "เด็กฝรั่งเขาไม่แต่งเพชรมาก ๆ "[27] รวมทั้งนางข้าหลวงของพระองค์ถูกกล่าวถึงว่า "...ไม่มีข้าหลวงตำหนักใดจะสวยเก๋ทันสมัยเท่าข้าหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์..."[24]

โปรดการอ่านหนังสือ ในทุก ๆ วันจะทรงพระอักษรในช่วงบ่าย บางคราวพระพี่เลี้ยงจันทร์จะนำหนังสือที่ทรงอยู่ไปซ่อนเพื่อที่จะให้พระองค์บรรทม แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะพระองค์จะทรงเล่มอื่นต่อไปหรือไม่ก็จะทรงหาหนังสือนั้นจนพบ เกี่ยวกับการอ่านหนังสือ พระองค์เคยรับสั่งกับข้าหลวงว่า "ถ้าเกิดไฟไหม้ไม่ต้องเก็บเครื่องเพชร ให้เก็บหนังสือก่อน"[12]

พระองค์ไม่โปรดคนพูดโกหก และจะทรงทำโทษข้าหลวงที่พูดปด ดังปรากฏความว่า "...ความผิดที่สำคัญคือเรื่องการโกหก ถ้าใครพูดโกหกจะถูกเอาป้ายแขวนคอทั้งสองข้าง ในแผ่นป้ายจะเขียนว่า 'ฉันเป็นคนไม่ดี ฉันพูดปด' และจะมีผู้ใหญ่พาตัวตระเวนไปตามที่มีคนอยู่มาก ๆ เพื่อจะได้อายและเข็ดหลาบ จะได้ไม่ประพฤติตัวอย่างนี้อีก..."[28]

Remove ads

พระกรณียกิจ

สรุป
มุมมอง

ในปี พ.ศ. 2443 พระองค์ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบำเพ็ญพระกุศลสร้างสะพานข้ามคลองเปรมประชากรเพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ เนื่องในโอกาสเจริญพระชันษา 15 ปี และจะก้าวเข้าสู่พระชันษา 17 ปี เสมอพระเชษฐาสองพระองค์ คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ โดยชื่อของสะพานได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "สะพานชมัยมรุเชฐ" (ในราชกิจจานุเบกษาสะกดว่า "ชมัยมรุเชษฐ") ซึ่งหมายถึง พี่ชายผู้เป็นเทพ 2 พระองค์[29]

นอกจากนี้พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาของกุลสตรีไทยและทรงทำนุบำรุงการศึกษาของสตรีจำนวนมาก เช่น ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ให้แก่โรงเรียนราชินี, สร้างโรงเรียนสตรีขึ้นอีกแห่งพร้อมทั้งประทานที่ดินและสละราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประทานนามว่า โรงเรียนราชินีบน ในปี พ.ศ. 2472[22][30] ต่อมาในปี พ.ศ. 2473 พระองค์ได้ประทานเงิน 6,000 บาท แก่โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อให้รื้อถอนอาคารเดิมเพื่อสร้างอาคารเรียนขึ้นใหม่ ทั้งยังประทานเงินอีกจำนวน 2,000 บาท เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน[31] วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475 ได้ประทานเงินบำรุงโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยและโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ แห่งละ 100 บาท[32] และทรงจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ขึ้น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยประทานอาคารพร้อมที่ดินประมาณ 4 ไร่ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ซึ่งต่อมาคือมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)[33][34]

ด้านการแพทย์ ในปี พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์บำรุงโรงพยาบาลสามเสน (ปัจจุบันคือวชิรพยาบาล), โรงพยาบาลสำหรับรักษาโรคติดต่อกัน (ปัจจุบันถูกยุบแล้วเปลี่ยนเป็นสถาบันบำราศนราดูร), โรงพยาบาลคนเสียจริต (ปัจจุบันคือสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา) และโรงพยาบาลบางรัก (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลเลิดสิน) แห่งละ 28 บาท รวมเป็นเงิน 112 บาท เนื่องในโอกาสเจริญพระชันษาเสมอสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี[35] และประทานที่ดินสร้างหอพักนักศึกษาแพทย์ (หอชาย 1) ของโรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบทูลของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก[36] เป็นตึกสามชั้น มีมุขสามมุขทั้งทิศเหนือและใต้ จำนวนห้องพัก 100 ห้อง[37] ต่อมาในปี พ.ศ. 2531 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ก่อสร้างหอพักชายขึ้นใหม่ทดแทนหอเดิมที่เคยประทานที่ดินไว้ โดยสร้างเป็นตึกสิบสองชั้น ห้องพัก 160 ห้อง คงเหลือสิ่งก่อสร้างเดิมคือรั้วสามด้านและหอพระ[37] การนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามหอพักใหม่นี้ว่า "มหิตลาคาร สมเด็จพระราชปิตุจฉา" เพื่อเป็นเกียรติแก่ทั้งสองพระองค์ โดยมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ไปทรงเปิดมหิตลาคาร สมเด็จพระราชปิตุจฉา เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2538[38]

ด้านศาสนา พระองค์มีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา โดยจะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวาระสำคัญ เช่น เมื่อครั้งมีพระชันษา 25 ปี ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เท่ากับพระชันษาคือ 25 ชั่ง ถวายแก่พระอารามที่บูรพมหากษัตริย์ทรงสถาปนาไว้ คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร, วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร, วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร และวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร พระอารามละ 5 ชั่ง[39]

Remove ads

พระเกียรติยศ

ข้อมูลเบื้องต้น ธรรมเนียมพระยศของ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, การทูล ...
ข้อมูลเบื้องต้น พันเอกหญิงสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, รับใช้ ...

พระอิสริยยศ

  • 16 เมษายน พ.ศ. 2427 – 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 : สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง[16]
  • 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 : สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี[16]
  • 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 – 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 : สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี[40][41]
  • 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2468 : สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร[17]
  • 5 ธันวาคม พ.ศ. 2468 – 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 : สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร[42]
  • 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 – 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 : สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินธร[18]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

พระยศทางทหาร

  • นายพันเอก ตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่ 2[51] ต่อมาเป็นผู้บังคับการพิเศษกองพันที่ 2 กรมทหารม้าที่ 1[52][53] และกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์[54] ตามลำดับ
Remove ads

ตราประจำพระองค์

Thumb
อักษรพระนาม วอ. ซึ่งปรากฏบนพัดรองที่ระลึก

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร มีตราประจำพระองค์ ประกอบด้วยอักษรพระนาม วอ. มาจากพระนาม "วไลยอลงกรณ์" อยู่ภายในกรอบห้าเหลี่ยมลักษณะคล้ายเพชร สื่อถึงพระนามกรม "เพชรบุรีราชสิรินธร" และรูปห้าเหลี่ยมยังสื่อถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์[55]

พระอนุสรณ์

สรุป
มุมมอง
ไฟล์:พระอนุสาวรีย์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร.jpg
พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ที่โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ

หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ได้มีการสร้างพระอนุสาวรีย์เป็นที่พึงระลึกถึงสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร อันได้แก่[56]

  1. พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี เป็นพระรูปยืนเต็มพระองค์ ความสูง 170 เซนติเมตร หล่อด้วยโลหะรมดำ มีกนก บุญโพธิ์แก้ว เป็นประติมากร
  2. พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี เป็นพระรูปขนาดครึ่งพระองค์ ประดิษฐานหน้ามหาวิทยาลัย
  3. พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระรูปยืนเต็มพระองค์ สูง 170 เซนติเมตร หล่อด้วยโลหะรมดำ ประดิษฐานบนพระแท่นหินอ่อนสีขาว เช่นเดียวกับที่ประดิษฐานในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี โดยมีปติมากรคนเดียวกัน
  4. พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรโรงเรียนราชินีบน กรุงเทพมหานคร เป็นพระรูปประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ขนาดเท่าพระองค์จริง หล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสมทองแดง โดยมีคุณไข่มุกด์ ชูโต เป็นประติมากร
  5. พระอนุสาวรีย์สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธรโรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพมหานคร เป็นพระรูปประทับนั่งบนพระเก้าอี้ขนาดเท่าพระองค์จริง หล่อด้วยโลหะทอง เหลืองผสมทองแดง เช่นเดียวกับอนุสาวรีย์ที่โรงเรียนราชินีบน โดยมีประติมากรคนเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมีการนำพระนามของพระองค์ไปใช้ในการตั้งชื่อสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ด้วย เช่น ค่ายเพชรบุรีราชสิรินธร (ร.11 พัน 3 รอ.), มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ และพระนามของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็มาจากพระนามกรมของพระองค์ด้วย

Remove ads

พงศาวลี

ข้อมูลเพิ่มเติม พงศาวลีของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ...
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads