คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
อัตเลติโกเดมาดริด
สโมสรฟุตบอลอาชีพในสเปน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
กลุบอัตเลติโกเดมาดริด (สเปน: Club Atlético de Madrid) หรือที่รู้จักในชื่อ อัตเลติโกมาดริด และ อัตเลติโก เป็นสโมสรฟุตบอลจากกรุงมาดริด ประเทศสเปน เล่นอยู่ในลีกลาลิกาซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลสเปน มีสนามเหย้าคือเอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน ความจุ 70,692 ที่นั่ง[2]
สโมสรก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1903 ในชื่อ อัตเลติกคลับเดมาดริด (Athletic Club Sucursal de Madrid) สโมสรมีธรรมเนียมในการสวมชุดแข่งขันลายทางแนวตั้งสีแดงและสีขาวมาตลอดหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นที่รู้จักในชื่อ Los Colchoneros ("ช่างทำที่นอน") และ Los Rojiblancos ("ขาวแดง") สโมสรเปลี่ยนชื่อเป็นอัตเลติโกเดมาดริดใน ค.ศ. 1946 และเป็นคู่อริของเรอัลมาดริดในการแข่งขันเดร์บิมาดริเลญโญ รวมทั้งเป็นคู่แข่งกับบาร์เซโลนา[3] สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 แห่งสเปน พระมหากษัตริย์สเปน ดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรมาตั้งแต่ ค.ศ. 2003
อัตเลติโกเดมาดริดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฟุตบอลสเปน สำหรับการแข่งขันในประเทศ สโมสรชนะเลิศลาลิกา 11 สมัย, โกปาเดลเรย์ 10 สมัย, ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2 สมัย รวมถึงเพรสซิเดนท์คัพ และโกปาเอบาดัวร์เต รายการละ 1 สมัย ในการแข่งขันนานาชาติ สโมสรชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย (1962), ยูฟ่ายูโรปาลีก 3 สมัย (2010, 2012 และ 2018), ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 สมัย (2010, 2012 และ 2018) และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ 1 สมัย (1974) และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง (1974, 2014 และ 2016)
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ยุคแรก (1903–1939)
สโมสรก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1903[4] ในชื่ออัตเลติกคลับเดมาดริด โดยนักศึกษาชาวบาสก์ 3 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงมาดริด ผู้ก่อตั้งมีแนวคิดว่าสโมสรใหม่แห่งนี้ จะทำหน้าที่เป็นสาขาของทีมเยาวชนของทีมในวัยเด็กของพวกเขาอย่างอัตเลติกเดบิลบาโอ[5] ในปีต่อมา สมาชิกฝ่ายต่อต้านจากเรอัลมาดริดได้ย้ายร่วมทีม ในช่วงเวลานั้นสโมสรลงแข่งขันในชุดสีน้ำเงินและสีขาวซึ่งเป็นสีของอัตเลติกเดบิลบาโอ ก่อนที่ใน ค.ศ. 1910 ทั้งอัตเลติกเดบิลบาโอและอัตเลติกคลับเดมาดริดได้เปลี่ยนมาใช้ชุดแข่งขันแถบสีแดงและสีขาวซึ่งเป็นสีหลักมาถึงปัจจุบัน โดยเชื่อกันว่าสาเหตุในการเปลี่ยนสีนั้นเนื่องมาจากผ้าลายทางสีแดงและขาวเป็นผ้าที่มีราคาถูกที่สุดในการผลิต ซึ่งมีการใช้ผ้าผสมแบบเดียวกันนี้ในการทำที่นอน และส่วนที่เหลือซึ่งไม่ได้ใช้สามารถนำมาผลิตเป็นเสื้อฟุตบอลได้อย่างง่ายดาย นี่จึงเป็นที่มาของฉายา Los Colchoneros ("ช่างทำที่นอน")
อย่างไรก็ตาม พบข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับที่มาของชุดแข่งขันสโมสร ด้วยแนวคิดว่าทั้งอัตเลติกเดบิลบาโอ และอัตเลติกคลับเดมาดริดเคยซื้อชุดแข่งขันของสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในประเทศอังกฤษ[6][7] โดยในช่วงปลายปี 1909 ฆวน เอลอร์ดูย อดีตผู้เล่นและคณะกรรมการของสโมสรเดินทางไปอังกฤษเพื่อซื้อชุดแข่งขันสำหรับทั้งสองทีม แต่ไม่สามารถหาชุดแข่งขันของแบล็กเบิร์นโรเวอส์ได้ จึงซื้อชุดลายขาวแดงของสโมสรเซาแทมป์ตันแทน (สโมสรซึ่งตั้งอยู่ในเมืองท่าซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือกลับประเทศสเปน)[8] จากนั้น สโมสรจึงเริ่มใช้ชุดแข่งขันสีแดงและขาวเป็นสีหลัก และเป็นที่มาของฉายาต่อมาก็คือ Los Rojiblancos ("ขาวแดง")[9] แต่ยังคงรักษากางเกงขาสั้นสีน้ำเงินแบบดั้งเดิมเอาไว้ ในขณะที่อัตเลติกเดบิลบาโอได้เปลี่ยนมาใช้กางเกงขาสั้นสีดำ[10] อัตเลติกเดบิลบาโอชนะการแข่งขันโกปาเดลเรย์ นัดชิงชนะเลิศ 1911 ด้วยผู้เล่นหลายคนที่ยืมตัวมาจากอัตเลติกคลับเดมาดริด[11]
สนามแห่งแรกของอัตเลติกคลับเดมาดริดคือสนาม Ronda de Vallecas ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชนชั้นแรงงานทางทิศใต้ของเมือง โดยในปี 1919 บริษัท Compañía Urbanizadora Metropolitana ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลระบบสื่อสารใต้ดินในกรุงมาดริด ได้ซื้อที่ดินบางส่วนใกล้กับ Ciudad Universitaria ต่อมาในปี 1921 แอทเลติกคลับเดมาดริดเป็นอิสระจากการบริหารของสโมสรแม่อย่างอัตเลติกเดบิลบาโอ และย้ายไปสู่สนามแห่งใหม่อย่าง เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน เด มาดริด ด้วยความจุ 35,800 ที่นั่ง[12]
สโมสรเริ่มประสบความสำเร็จในทศวรรษ 1920 ด้วยการชนะการแข่งขัน Campeonato Regional Centro 3 สมัย และรองชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 1921 ซึ่งพวกเขาพบกับอัตเลติกเดบิลบาโอ และเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี 1926 แต่แพ้บาร์เซโลนา จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ในปี 1928 พวกเขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการแข่งขัน Primera División ของลาลิกาซึ่งจัดขึ้นในปีถัดไป ในช่วงแรกของการลงเล่นลาลิกา สโมสรอยู่ภายใต้การฝึกสอนโดยเฟร็ด เพนต์แลนด์ ชาวอังกฤษ แต่สโมสรต้องตกชั้นสู่ลีกระดับสองอย่างเซกุนดาดิบิซิออนในอีกสองปีต่อมา และกลับสู่ลาลิกาได้อีกครั้งใน ค.ศ. 1934 แต่ต้องชั้นอีกครั้งในปีสองปีต่อมา โดยผู้ฝึกสอนอย่างโฆเซป ซามิติเยร์ ชาวสเปนซึ่งเข้ามารับตำแหน่งแทนเพนต์แลนด์ในช่วงกลางฤดูกลาง สงครามกลางเมืองสเปนทำให้การแข่งขันของสโมสรต้องถูกระงับชั่วคราว เนื่องจากสนามของทีมคู่แข่งอย่างเรอัลโอเบียโด ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากการทิ้งระเบิด ส่งผลให้การตกชั้นของสโมสรในลาลิการวมถึงแอทเลติกคลับเดมาดริดถูกเลื่อนออกไป และสโมสรเอาชนะการแข่งขันรอบเพลย์ออฟเหนือเซอา โอซาซูนา ซึ่งเป็นทีมแชมป์เซกุนดาดิบิซิออนในปีนั้น
อัตเลติก อาวิอาซิออน เด มาดริด (1939–1947)
ภายหลังจากฟุตบอลลาลิกากลับมาทำการแข่งขันในปี 1939 สโมสรได้ควบรวมกับ Aviación Nacional (สโมสรฟุตบอลอาวิอาซิออน นาซิอองนาล) ในเมืองซาราโกซา และกลายเป็น อัตเลติก อาวิอาซิออน เด มาดริด โดยสโมสรนาซิอองนาลนั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1937 โดยทหารจากกองทัพอากาศสเปนจำนวน 3 นาย[13] พวกเขาได้รับคำมั่นว่าจะได้ลงเล่นในลาลิกา ฤดูกาล 1939–40 แต่ถูกปฏิเสธโดยราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปน และเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการเลื่อนชั้นขึ้นไปในดิวิชันอื่น สโมสรแห่งนี้จึงควบรวมกับอัตเลติกซึ่งทีมของพวกเขาสูญเสียผู้เล่นไปแปดคนในช่วงสงครามกลางเมือง รวมถึงดาวเด่นของทีมอย่างมอนชิน ตริอานา ซึ่งถูกยิงเสียชีวิต ในช่วงเวลานั้น เรอัลโอเบียโต ได้สละสิทธิ์การแข่งขันนัดตัดสินเพื่อหาผู้ชนะเลื่อนชั้นสู่ลาลิกา ส่งผลให้การช่วงชิงตำแหน่งนี้ตกเป็นของ อาวิอาซิออน นาซิอองนาล และ โอซาซูนา ณ เมืองบาเลนเซีย วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 ซึ่งนาซิอองนาลเอาชนะไปได้ 3–1 ภายใต้การนำของผู้ฝึกสอนอย่างริการ์โด ซาโมรา ซึ่งได้รับการยกย่องในฐานะตำนานของสโมสร พวกเขาชนะเลิศการแข่งขันลีกสูงสุดสองสมัยติดต่อกันระหว่างปี 1940 และ 1941 ในช่วงเวลานี้ สโมสรมีผู้เล่นคนสำคัญซึ่งมีเสน่ห์เป็นที่จดจำอย่าง เจอร์มัน โกเมส กองกลางชาวสเปนซึ่งย้ายมาจากราซินเดซันตันเดร์ ใน ค.ศ. 1939 ลงเล่นให้สโมสรเป็นเวลา 8 ฤดูกาลติดต่อกันจนถึงฤดูกาล 1947–48 ผนึกกำลังร่วมกับตัวหลักอย่าง ราโมน กาบีลอนโด และมาชิน
สืบเนื่องจากคำสั่งโดย ฟรันซิสโก ฟรังโกในกลางทศวรรษ 1940 ซึ่งสั่งแบนสโมสรที่ใช้ชื่อต่างประเทศเป็นชื่อสโมสร พวกเขาจึงเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อัตเลติโก อาวิอาซิออน เด มาดริด[14] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 สโมสรชนะเลิศการแข่งขันซูเปอร์คัพสมัยแรกด้วยการเอาชนะแอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล ด้วยผลประตูรวมสองนัด 10–4 ซึ่งชัยชนะในนัดที่สองด้วยผลประตู 7–1 ณ สนามกีฬาบาเยกัส เป็นที่จดจำอย่างมาก[15] ต่อมา เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1946 สโมสรตัดสินใจตัดชื่อซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทัพหรือการทหารออก และจากนั้นในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1947 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Club Atlético de Madrid (กลุบอัตเลติโกเดมาดริด) และใช้ชื่อดังกล่าวมาถึงปัจจุบัน ในปีเดียวกันนั้น อัตเลติโกยังเอาชนะคู่อริอย่างเรอัลมาดริดได้ถึง 5–0 ณ สนามเอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน เด มาดริด ถือเป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดที่มีต่อคู่ปรับร่วมเมืองมาถึงปัจจุบัน
ยุคทอง (1947–1965)

ภายใต้ผู้ฝึกสอนชาวอาร์เจนตินา เอเลนิโอ เอร์เรรา สโมสรชนะเลิศลาลิกาเพิ่มอีกสองสมัยใน ค.ศ. 1950 และ 1951 ภายหลังการอำลาทีมของเขา สโมสรต้องตกเป็นรองทีมใหญ่อย่างเรอัลมาดริด และบาร์เซโลนาในทศวรรษนี้ และทำได้เพียงการแย่งอันดับ 3 กับอัตเลติกเดบิลบาโอ อย่างไรก็ตามในทศวรรษ 1960 และ 1970 สโมสรมีผลงานที่ดีขึ้นและแย่งการเป็นทีมอันดับสองกับบาร์เซโลนาได้ โดยในฤดูกาล 1957–58 พวกเขาคว้ารองแชมป์โดยตามหลังแชมป์อย่างเรอัลมาดริดเพียง 3 คะแนน และมีคะแนนมากกว่าบาร์เซโลนา 4 คะแนน ภายใต้ผู้ฝึกสอนอย่างเฟอร์ดินันด์ เดาชิค ทำให้สโมสรได้สิทธิ์แข่งขันยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1958–59 และผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศโดยเอาชนะสโมสรกีฬากลางแห่งกองทัพบก โซเฟีย ด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–1 ตามด้วยการชนะชัลเคอ 04 ด้วยผลรวม 4–1[16] แต่แพ้เรอัลมาดริด 2–1 ในการแข่งขันนัดตัดสินนัดที่สามที่ซาราโกซา[17][18]
อย่างไรก็ตาม สโมสรสามารถล้างแค้นเรอัลมาดริดได้ ภายใต้ผู้ฝึกสอนชาวสเปน โฆเซ บิยาลองกา ผู้พาสโมสรชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 2 สมัยติดต่อกันในปี 1960 และ 1961 โดยเอาชนะเรอัลมาดริดทั้งสองปีด้วยผลประตู 3–1 และ 3–2 ตามลำดับ ตามด้วยการชนะเลิศฟุตบอลยุโรปครั้งแรกด้วยการเอาชนะฟีออเรนตีนาในรายการยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ 1961–62 ในนัดแข่งใหม่ 3–0[19] นี่ถือเป็นชัยชนะที่สำคัญของสโมสร เนื่องจากการแข่งขันยูโรเปียน/ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ เป็นการแข่งขันระดับทวีปยุโรปรายการเดียวที่คู่แข่งอย่างเรอัลมาดริดไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ สโมสรเข้าชิงชนะเลิศได้อีกครั้งในปี 1963 แต่แพ้ทอตนัมฮอตสเปอร์ 5–1[20] ผู้เล่นคนสำคัญในช่วงทศวรรษนี้คือปีกพรสวรรค์อย่างเอนรีเก โกลัล, มิเกล โจนส์ และ อเดลาร์โด โรดริเกซ[21]
ในช่วงเวลานั้น สโมสรอริอย่างเรอัลมาดริด ครองความยิ่งใหญ่ในฟุตบอลสเปนอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 1961 ถึง 1980 พวกเขาชนะเลิศลาลิกาถึง 14 สมัย โดยอัตเลติโกเดมาดริดสามารถแย่งความสำเร็จดังกล่าวมาได้ในฤดูกาล 1966, 1970, 1973 และ 1977 และคว้ารองแชมป์สามครั้งในปี 1961, 1963 และ 1965 สโมสรยังชนะเลิศโกปาเดลเรย์เพิ่มในปี 1965, 1972 และ 1976 และในปี 1965 ที่พวกเขาจบอันดับสองในลีก พวกเขาเป็นสโมสรแรกในรอบ 8 ปีที่บุกไปชนะเรอัลมาดริดได้ที่สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว
เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปียนคัพ (1965–1974)

ในปี 1966 สโมสรได้ย้ายจากสนามเอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน เด มาดริด (ซึ่งถูกรื้อถอนและก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของอาคารเรียนมหาวิทยาลัยและตึกสำนักงานของบริษัท ENUSA) สู่สนามแห่งใหม่ริมแม่น้ำมานซานาเรส ซึ่งได้แก่สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน การลงสนามนัดแรกในสนามแห่งนี้คือนัดที่พบกับบาเลนเซียวันที่ 2 ตุลาคม[22] ผู้เล่นสำคัญในช่วงเวลานี้ได้แก่ ลุยส์ อาราโกเนส, ฆาเวียร์ อิรูเรตา, และโฆเซ ยูโลจิโอ การาเตซึ่งได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดของลาลิกาสามครั้งในปี 1969, 1970 และ 1971 ในทศวรรษ 1970 สโมสรนำเข้าผู้เล่นอาร์เจนตินาเข้ามาหลายคน ได้แก่ รูเบน อยาลา, รูเบน ดิอัซ, ราโมน เฮเรเดีย รวมถึงผู้ฝึกสอนอย่างฆวน การ์โลส โลเรนโซ ซึ่งโลเรนโซเน้นการปลูกฝังระเบียบวินัยให้แก่ผู้เล่น และเน้นการตัดเกมของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม แม้จะได้รับการวิจารณ์แต่เขาก็พิสูจน์ว่ารูปแบบการเล่นของเขาได้ผล สโมสรชนะเลิศลาลิกาอีกครั้งในปี 1973 และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปียนคัพ 1974 เป็นครั้งแรก[23] เส้นทางก่อนหน้านั้นพวกเขาเอาชนะกาลาทาซาไร, ดินาโม บูคาเรสต์, เรดสตาร์เบลเกรด และเซลติก[24] ในรอบรองชนะเลิศนัดแรกที่พบกับเซลติกนั้น ผู้เล่นอัตเลติโกเดมาดริดได้รับใบแดงถึงสามคนภายใต้การแข่งขันอันดุเดือดตลอดทั้งเกม และถือเป็นนัดแข่งขันที่มีการทำฟาวล์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่รายการนี้เคยมี แต่อัตเลติโกเดมาดริดเอาตัวรอดด้วยการยันผลเสมอ 0–0 กลับออกไปและเอาชนะได้ 2–0 ในบ้าน[25]
การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศนั้น อัตเลติโกเดมาดริดปราศจากผู้เล่นตัวหลักซึ่งถูกแบนจากการรับใบแดงก่อนหน้านี้ พวกเขาพบไบเอิร์นมิวนิกซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นชั้นนำหลายคน เช่น ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์, เซ็พพ์ ไมเยอร์, พอล ไบรท์เนอร์, อุลริช "อูลี" เฮอเนอส และแกร์ท มึลเลอร์ การแข่งขันจัดขึ้นที่บรัสเซลส์ อัตเลติโกเดมาดริดเกือบจะคว้าแชมป์ได้โดยได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 114 ในช่วงต่อเวลาจากอาราโกเนส แต่ถูกตีเสมอในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาจากฮันส์-จอร์จ วาร์เซนเบค และต้องลงแข่งขันในนัดแข่งใหม่ และครั้งนี้พวกเขาแพ้ไป 4–0[26]
ยุคของอาราโกเนส (1974–1987)
ไม่นานหลังจากความพ่ายแพ้ในฟุตบอลยูโรเปียนคัพ สโมสรแต่งตั้งอดีตผู้เล่นอย่างลุยส์ อาราโกเนสเป็นผู้ฝึกสอน อาราโกเนสคุมสโมสรถึง 4 ช่วงเวลาด้วยกัน ตั้งแต่ปี 1974 ถึง 1980, 1982 ถึง 1987, 1991 ถึง 1993 และ 2002 ถึง 2003 ความสำเร็จรายการแรกในยุคของอาราโกเนสเกิดขึ้นในรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ (อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ) สืบเนื่องจากแชมป์ยูโรเปียนคัพอย่างไบเอิร์นมิวนิกสละสิทธิ์การแข่งขันเนื่องจากโปรแกรมการแข่งขันที่อัดแน่นของทีม ทำให้สิทธิ์เป็นของอันเลติโกเดมาดริดแทน พวกเขาพบกับกลุบอัตเลติโกอินเดเปนดิเอนเต โดยบุกไปชนะได้ 1–0 และกลับมาชนะในบ้านอีก 2–0 จากประตูของอิรูเรตา และรูเบน อยาลา[27] ตามด้วยการชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 1976 เอาชนะซาราโกซา 1–0 และแชมป์ลาลิกา ฤดูกาล 1976–77
ในการคุมทีมวาระที่สองของอาราโกเนส เขาพาทีมคว้าอันดับ 2 ในลาลิกา และชนะเลิศโกปาเดลเรย์ในปี 1985 ด้วยผู้เล่นตัวหลักชาวเม็กซิกันอย่างอูโก ซันเชสซึ่งทำ 19 ประตูในลีกและกลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดในลาลิกาในฤดูกาลนี้ รวมถึงการทำสองประตูในนัดชิงชนะเลิศที่สโมสรเอาชนะอัตเลติกเดบิลบาโอ 2–1 แต่เขาก็ลงเล่นให้สโมสรในปีนี้เป็นปีสุดท้ายและย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่างเรอัลมาดริด อย่างไรก็ตาม สโมสรยังชนะเลิศซูเปร์โกปาเดเอสปัญญาด้วยการชนะบาร์เซโลนา และยังเข้าชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ 1986 ก่อนจะแพ้ดือนามอกือยิว 3–0[28][29]
การเปลี่ยนผ่าน (ทศวรรษ 1990)
เฆซุส กิล นักการเมืองและนักธุรกิจได้ขึ้นเป็นประธานสโมสรในปี 1987 ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อพิพาท (เขากระทำการฉ้อโกงด้วยการยักยอกหุ้นสโมสรกว่า 95% ในช่วงที่สโมสรถูกบังคับให้เปลี่ยนสถานะจากการถือครองกรรมสิทธิ์โดยแฟนบอล ให้กลายสภาพเป็นบริษัทมหาชนใน ค.ศ. 1992) นับจนถึงช่วงเวลาที่เขาพ้นจากตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2003[30]
ในช่วงเวลาดังกล่าว อัตเลติโกเดมาดริดไม่ประสบความสำเร็จในลาลิกา แม้กิลจะทุ่มเงินคว้าตัวผู้เล่นใหม่เข้ามาอยู่เนือง ๆ อาทิ เปาลู ฟูเอนเต ปีกชาวโปรตุเกสซึ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลยุโรปร่วมกับสโมสรฟุตบอลโปร์ตู[31] แต่นับว่าสโมสรยังประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยด้วยแชมป์โกปาเดลเรย์สองสมัยในปี 1991 และ 1992 พวกเขาเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ลีกในฤดูกาล 1990–91 แต่ก็มีคะแนนตามหลังแชมป์อย่างบาร์เซโลนาถึง 10 คะแนน กิลแสดงความเป็นเผด็จการในการบริหารทีมด้วยการปลดผู้จัดการทีมหลายคน รวมถึงเซซาร์ ลุยส์ เมโนติ, รอน แอตกินสัน, ฆาบีเอร์ เกลเมนเต, โทมิสลาฟ ไอวิช, ฟรันซิสโก มาตูรานา, อัลฟิโอ บาซิเล ไม่เว้นแม้แต่ตำนานอย่างอาราโกเนสซึ่งทั้งหมดล้วนทำผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย กิลยังสั่งปิดศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสรใน ค.ศ. 1992[32] ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนินการครั้งสำคัญซึ่งส่งผลต่ออนาคตของทีมไปสิ้นเชิง นำมาซึ่งการย้ายทีมของว่าที่ตำนานชาวสเปนอย่างราอุล กอนซาเลซ ซึ่งย้ายร่วมทีมอริอย่างเรอัลมาดริด[33]
การย้ายทีมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยรวมของกิล สโมสรได้กลายสภาพเป็น Sociedad Anónima Deportiva ซึ่งเป็นโครงสร้างองค์กรที่ได้รับประโยชน์จากสถานะทางกฎหมายพิเศษที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ภายใต้กฎหมายบริษัทของสเปนซึ่งอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถซื้อและขายหุ้นของสโมสรกีฬาได้ อัตเลติโกเดมาดริดมีผลงานตกต่ำในลาลิกา พวกเขาต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นในฤดูกาล 1994–95 และมีคะแนนมากกว่าทีมตกชั้นอย่างอัลบาเซเตเพียงคะแนนเดียว ราโดเมียร์ แอนติช ชาวเซอร์เบียเข้ามากู้วิกฤติในฤดูกาลต่อมา ภายใต้นักเตะแกนหลักอย่าง โตนิ มูนอซ, โรเบร์โต โซโลซาบัล, เดลฟี เกลี, ฆวน บิซไกโน, ดิเอโก ซิเมโอเน และกิโก พวกเขากลับสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยตำแหน่งชนะเลิศสองรายการในประเทศทั้งในลาลิกาฤดูกาล 1995–96 และยังชนะบาร์เซโลนาในรอบชิงชนะเลิศโกปาเดลเรย์ 1996 ด้วยผลประตู 1–0 สโมสรได้รับความคาดหวังสูงขึ้นจากการย้ายมาของฆวน เอสไนเดร์ กองหน้าชาวอาร์เจนตินาจากเรอัลมาดริด พวกเขาได้สิทธิ์กลับไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 1996–97 ซึ่งพวกเขาจบอันดับ 1 ในกลุ่มบี แต่แพ้อาเอฟเซ อายักซ์ในรอบแพ้คัดออกด้วยผลรวม 3–4 และจบอันดับ 5 ในลาลิกา
สโมสรยังลงทุนในตลาดซื้อขายช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 1997–98 ด้วยการมาของกริสเตียน วีเอรีซึ่งทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยจำนวน 24 ประตูในลีกจากการลงสนาม 24 นัด รวมถึงกองกลางพรสวรรค์สูงชาวบราซิลอย่างจูนินโญ พวกเขาเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1997–98 ก่อนจะแพ้แอสตันวิลลาด้วยกฏประตูทีมเยือน และจบอันดับ 7 ในลาลิกา ส่งผลให้แอนติซอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล และแทนที่โดยอาร์ริโก ซาคคี แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 6 เดือน และแอนติชกลับมาคุมทีมอีกครั้งในช่วงสั้น ๆ จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1999 ก่อนที่เกลาดีโอ รานีเอรีจะมารับช่วงต่อ แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึงหนึ่งปี
ยุคของตอร์เรส และการเปลี่ยนแปลงของสโมสร (2000–2011)


สโมสรต้องเข้าสู่ช่วงเวลาเลวร้ายอีกครั้งหลังจากตกชั้นจากลาลิกา ฤดูกาล 1999–2000 โดยจบอันดับ 19 แต่เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาหลังจากที่ได้แชมป์เซกุนดาดิบิซิออนในปี 2002 ในยุคที่อาราโกเนสกลับมาคุมทีม นั่นเป็นการตกชั้นครั้งสุดท้ายจนถึงปัจจุบันของสโมสร อาราโกเนสยังเป็นคนที่ให้โอกาสเฟร์นันโด ตอร์เรสได้ลงเล่นในลาลิกาครั้งแรกผู้ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองหน้าตัวหลัก และหนึ่งในตำนานของสโมสรซึ่งการลงสนามสนัดแรกเป็นนัดที่พบบาร์เซโลนาที่กัมนอว์
ตอร์เรสทำผลงาน 13 ประตูจาก 29 นัดในฤดูกาล 2002–03[34] ทำให้เป็นที่สนใจโดยเชลซีซึ่งได้ยื่นข้อเสนอมูลค่า 28 ล้านปอนด์ก่อนจะถูกปฏิเสธ อาราโกเนสำลาทีมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2003 และเกรกอริโอ มานซาโน เข้ามาคุมทีมต่อในฤดูกาล 2003–04 ซึ่งเป็นปีที่ตอร์เรสยังทำผลงานโดดเด่นต่อเนื่องด้วยการทำ 19 ประตูจาก 35 นัดในลาลิกา ส่งผลให้เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสามของลีก สโมสรจบอันดับ 7 ในลาลิกา[35] ตอร์เรสถือเป็นผลผลิตและความภาคภูมิใจของสโมสรอย่างแท้จริง โดยอยู่กับสโมสรมาตั้งแต่อายุ 11 ปี และกลายเป็นกัปตันทีมที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรในวัย 19 ปี[36][37] อัตเลติโกเดมาดริดมีผลงานตกลงไป โดยจบเพียงอันดับ 11 ในฤดูกาล 2004–05 และอันดับ 10 ในฤดูกาล 2005–06
ในปี 2006 ภายใต้การคุมทีมของฆาเวียร์ อะกีร์เร สโมสรได้เซ็นสัญญากับกอชตินยาและมานีชีชาวโปรตุเกส รวมทั้งเซร์ฆิโอ อาเกวโร กองหน้าชาวอาร์เจนตินา ซึ่งย้ายมาจากกลุบอัตเลติโกอินเดเปนดิเอนเต สโมสรจบอันดับ 7 อีกครั้ง ต่อมา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 สโมสรได้ขายตอร์เรสให้กับลิเวอร์พูลด้วยจำนวนเงิน 26 ล้านปอนด์ และได้ลุยส์ การ์ซีอาเป็นหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยน จากนั้นได้เซ็นสัญญากับเดียโก ฟอร์ลัน ด้วยจำนวนเงิน 21 ล้านปอนด์จากบิยาร์เรอัล พร้อมปล่อยตัวมาร์ติน เปตรอฟ ให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี และเซ็นสัญญากับซีเมา ซาบรอซา จากสปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา รวมทั้งโฆเซ อันโตนีโอ เรเยส
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 คณะกรรมการบริหารของสโมสรได้พูดคุยกับเทศบาลกรุงมาดริดในการสร้างสนามเหย้าใหม่ซึ่งจะเปิดใช้งานในปี 2016 ต่อมาในฤดูกาล 2007–08 สโมสรผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายยูฟ่าคัพ แต่แพ้โบลตันวันเดอเรอส์ และเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในถ้วยโกปาเดลเรย์ก่อนจะแพ้บาเลนเซีย ในฤดูกาลนี้สโมสรจบอันดับ 4 ได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบคัดเลือกฤดูกาลหน้า ต่อมาในฤดูกาล 2008–09 สโมสรลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกหลังจากปี 1997 โดยในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 เจอกับชัลเคอ 04 และเอาชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–1 หลังจากนั้นได้เข้ามาอยู่ในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งเจอกับสโมสรใหญ่ทั้งลิเวอร์พูล, พีเอสวี ไอน์โฮเฟน และออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ แต่จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์กลุ่ม แต่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย สโมสรพ่ายโปร์ตูด้วยกฎประตูทีมเยือน สโมสรได้เสริมทัพในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 ด้วยการซื้อตัว เกรกอรี กูแป ผู้รักษาประตูชาวฝรั่งเศส, จอห์น ไฮทิงกา กองหลังชาวดัตช์, โตมาช อุลฟาลูชี เซ็นเตอร์แบ็กชาวเช็ก, เปาลู อาซุงเซา กองกลางตัวรับชาวบราซิล, เอเบร์ บาเนกา กองกลางตัวรับชาวอาร์เจนตินาซึ่งยืมตัวมาจากบาเลนเซีย และกองหน้าชาวฝรั่งเศสอย่างฟลอร็อง ซีนามา ปงกอล
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 อากีร์เรลาออกหลังจากการเริ่มต้นปีด้วยการไม่ชนะติดต่อกัน 6 เกม สื่อได้นำเสนอข่าวว่าเขาถูกยกเลิกสัญญามากกว่าการไล่ออก[38] หลังจากนั้นแฟนบอลของสโมสรได้ออกมาประท้วงการลาออกดังกล่าว อาเบล เรซีโน เข้ามารับตำแหน่งต่อซึ่งพาทีมจบอันดับ 4 ได้ลงแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบเพลย์ออฟ กองหน้าอย่างฟอร์ลันยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้ และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรปจากผลงาน 32 ประตูรวมทุกรายการ[39] ดาวรุ่งอย่าง ดาบิด เด เฆอา ยังก้าวขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูอายุน้อยที่น่าจับตามอง สโมสรยังนำเข้าผู้เล่นเพิ่มเติมหลายราย รวมถึง เซร์คิโอ อเซนโฆ จากเรอัลบายาโดลิด และฆัวนิโต จากเรอัลเบติส แม้สองผู้เล่นสำคัญอย่างอาเกวโร และฟอร์ลันจะได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ แต่สโมสรยังเก็บผู้เล่นทั้งสองไว้
สโมสรมีผลงานตกต่ำลงในฤดูกาล 2009–10 ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2009 อัตเลติโกเดมาดริดแพ้เชลซี 4–0 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[40] เรซีโนถูกปลด และภายหลังจากล้มเหลวในการเจรจาให้มีเคล เลาโตรป เข้ามาคุมทีม สโมสรจึงแต่งตั้ง กีเก ซันเชส ฟลอเรส[41][42] ซึ่งเข้ามายกระดับทีม พาทีมจบอันดับ 3 ในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2009–10 และลงแข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยแรก เริ่มจากการชนะกาลาทาซาไรสปอร์คูลือบือ ในรอบ 32 สุดท้ายด้วยผลประตูรวม 3–2 และเอาชนะสปอร์ติงลิสบอนด้วยกฏการยิงประตูทีมเยือนหลังจากเสมอกัน 2–2 และเอาชนะบาเลนเซียในรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยกฏประตูทีมเยือนอีกเช่นกัน ตามด้วยการชนะลิเวอร์พูลในรอบรองชนะเลิศในช่วงต่อเวลา[43] การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจัดขึ้นที่ฟ็อลคส์พาร์คชตาดีอ็อน สโมสรเอาชนะทีมจากพรีเมียร์ลีกอย่างฟูลัม 2–1 ด้วยประตูชัยในช่วงต่อเวลานาทีที่ 116 โดยฟอร์ลัน[44][45] ถือเป็นความสำเร็จในรายการยุโรปครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ ฤดูกาล 1961–62 และยังเข้าชิงชนะเลิศโกปาเดลเรย์วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 แต่แพ้เซบิยา 2–0
อัตเลติโกเดมาดริดได้ลงแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2010 และคว้าแชมป์จากการเอาชนะอินเตอร์มิลาน 2–0 จากประตูของเรเยส และ อาเกวโร ถือเป็นแชมป์ครั้งแรกในถ้วยนี้[46] ฟลอเรสอำลาตำแหน่งหลังจากผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาล 2010–11 ซึ่งสโมสรจบอันดับ 7 และยังตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายโกปาเดลเรย์ และตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่ายูโรปาลีก[47] เกรกอริโอ มานซาโน กลับเข้ามาคุมทีมตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011 แต่เพียง 6 เดือนก็ถูกปลดโดยพาทีมแพ้ไปถึง 10 จาก 28 นัดในทุกรายการ
ยุคของดิเอโก ซิเมโอเน (2011–ปัจจุบัน)

สโมสรแต่งตั้งดิเอโก ซิเมโอเน อดีตนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา และอดีตผู้เล่นสโมสรเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2011[48][49] ในช่วงเวลานั้นสโมสรตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนัก มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมถึง 5 คนในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี และยังปล่อยตัวผู้เล่นสำคัญซึ่งอายุน้อยอย่างเด เฆอา และอาเกวโรซึ่งย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีก[50] การแต่งตั้งซิเมโอเนนั้นถือว่ามีความเสี่ยงเนื่องจากขาดประสบการณ์ในการคุมสโมสรใหญ่ แต่เขาเข้ามายกระดับทีมด้วยแนวทางการเล่นที่ชัดเจน รูปแบบการเล่นที่ดุดัน การมีวินัยของนักฟุตบอล และจิตใจที่แข็งแกร่ง แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเน้นผลการแข่งขันมากเกินไป เขาเข้ามาปฏิบัติรูปแนวทางการเล่นเริ่มจากการพัฒนาเกมรับของทีมให้แข็งแกร่งขึ้นซึ่งมีศูนย์กลางในแนวรับอย่างดิเอโก โกดิน รวมถึงยืมตัวผู้รักษาประตูอย่างตีโบ กูร์ตัว การคุมทีมใน 6 นัดแรกของซิเมโอเนนั้นจบลงโดยไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว ทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับในบรรดาแฟน ๆ อย่างรวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้เขาเป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่คว้าดับเบิลแชมป์ร่วมกับทีมในฤดูกาล 1995–96
ซิเมโอเนพาสโมสรชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2011–12 ด้วยการเอาชนะอัตเลติกเดบิลบาโอ 3–0 ณ อาเรนานัตซียอนาเลอจากสองประตูของกองหน้าตัวหลักอย่างราดาเมล ฟัลกาโอ ซึ่งย้ายมาในฐานะตัวแทนของอาเกวโร[51] ตามด้วยการชนะเชลซี 4–1 ในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2012 จากแฮตทริกของฟัลกาโอ ความสำเร็จยังตามมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเอาชนะเรอัลมาดริดในโกปาเดลเรย์นัดชิงชนะเลิศ 2013 ด้วยผลประตู 2–1 ซึ่งแข่งขันที่สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว จากประตูของดิเอโก โกสตา และกองหลังชาวบราซิลอย่างมีรานดา ซึ่งเป็นนัดที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งโดยผู้เล่นของทั้งสองทีมได้รับใบแดงฝั่งละหนึ่งคน ชัยชนะครั้งนี้เป็นการยุติช่วงเวลาเลวร้ายกว่า 14 ปี (25 นัด) ที่สโมสรไม่สามารเอาชนะคู่อริร่วมเมืองได้

อัตเลติโกเดมาดริดคว้าสามถ้วยรางวัลในช่วงระหว่างปี 2012–13[52][53] เริ่มจากแชมป์ลาลิกา ฤดูกาล 2013–14 ด้วยการทำไปถึง 90 คะแนนจากการเสมอบาร์เซโลนาในนัดสุดท้าย 1–1 ซึ่งกองหน้าอย่างโกสตาทำไปถึง 27 ประตูในฤดูกาลนี้ เป็นแชมป์ลีกครั้งแรกของสโมสรตั้งแต่ ค.ศ. 1996 และครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2003–04 ที่ผู้ชนะการแข่งขันลาลิกาไม่ใช่เรอัลมาดริด หรือบาร์เซโลนา[54] อัตเลติโกเดมาดริดยังพบกับเรอัลมาดริดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2014 ณ สนามอิชตาดียูดาลุช แม้จะได้ประตูออกนำไปก่อนจากดิเอโก โกดิน ในครึ่งเวลาแรก แต่ประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งเวลาหลังโดยเซร์ฆิโอ ราโมสทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ และเรอัลมาดริดทำได้อีก 3 ประตูและคว้าแชมป์ไปด้วยผลประตู 4–1[55] ในช่วงปิดฤดูกาล สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดซื้อขายด้วยการมาถึงของอ็องตวน กรีแยซมาน นักฟุตบอลชื่อดังทีมชาติฝรั่งเศส ย้ายมาจากเรอัลโซซิเอดัด[56][57] และกลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรจำนวน 5 ฤดูกาลติดต่อกัน และเขาสถาปนาตนเองสู่การเป็นนักฟุตบอลระดับโลก รวมถึงเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 และรับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน รวมทั้งอันดับสามในการประกาศรางวัลบาลงดอร์ 2016 เป็นรองเพียงคริสเตียโน โรนัลโด และลิโอเนล เมสซิ ในช่วงเวลานี้ สโมสรเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาล และเป็นอีกครั้งที่ลูกทีมของซิเมโอเนต้องผิดหวังจากการแพ้เรอัลมาดริด โดยแพ้การยิงจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศ 2016 หลังจากเสมอกัน 1–1[58] เส้นทางก่อนหน้านั้นอัตเลติโกเดมาดริดสามารถผ่านทีมใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และไบเอิร์นมิวนิกมาได้
สโมสรอำลาสนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน ในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2017[59] และย้ายสู่สนามเหย้าแห่งใหม่ซึ่งก็คือเอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงมาดริด[60] สโมสรชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2017–18 ด้วยการเอาชนะออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ ณ สนามปาร์กอแล็งปิกลียอแนจากสองประตูของกรีแยซมาน นับเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 9 ปี และยังเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายของกัปตันทีมอย่างกาบิ[61] ต่อมา อัตเลติโกเดมาดริดคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2018 เอาชนะเรอัลมาดริด 4–2[62]

อัตเลติโกเดมาดริดคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศลาลิกา ฤดูกาล 2018–19 ตามด้วยอันดับสามในฤดูกาล 2019–20 โดยในเดือนกันยายน ค.ศ. 2020 สโมสรเซ็นสัญญากับลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งย้ายจากบาร์เซโลนาในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก และเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในแนวรุกของทีม ส่งผลให้อัตเลติโกเดมาดริดชนะเลิศลาลิกา ฤดูกาล 2020–21 เป็นการกลับมาคว้าแชมป์ในรอบ 7 ปี[63] ซัวเรสทำประตูได้ถึง 17 ประตูจาก 19 นัดแรกในลาลิกา ทำให้สโมสรขึ้นเป็นทีมนำของตารางด้วยระยะห่างถึง 10 คะแนน แม้ทีมจะมีผลงานตกลงไป แต่ด้วยผลงานการทำประตูของซัวเรส โดยเฉพาะประตูที่ยิงได้ในสองนัดสุดท้ายเพียงพอต่อการคว้าแชมป์[64] ในนัดสุดท้ายนั้น สโมสรบุกไปเอาชนะเรอัลบายาโดลิด 2–1 ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ซัวเรสอำลาทีมและย้ายไปร่วมทีมกลุบนาซิโอนัลเดฟุตโบลในปี 2022
สโมสรยังรักษาอันดับหัวตารางได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าอันดับ 4 ในลาลิกา ฤดูกาล 2021–22 และอันดับ 3 ในฤดูกาล 2022–23 ตามด้วยอันดับ 4 ในฤดูกาล 2023–24 และในวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2024 อัตเลติโกเดมาดริดจะได้สิทธิ์ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2025 เป็นครั้งแรก แม้จะตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023–24 แต่เนื่องจากบาร์เซโลนาก็ตกรอบเช่นกันและอัตเลติโกเดมาดริดมีอันดับของสโมสรฟุตบอลสเปนที่สูงกว่าจากการจัดอันดับใน 4 ปีที่ผ่านมา
ในฤดูกาล 2024–25 สโมสรเซ็นสัญญากับฆูเลียน อัลบาเรซ จากแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยมูลค่าสูงถึง 95 ล้านยูโร[65][66] สโมสรไม่ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ โดยตกรอบ 16 ทีมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 จากการแพ้จุดโทษเรอัลมาดริด 4–2 หลังจากเสมอกันด้วยผลประตูรวมสองนัด 1–1 โดยอัตเลติโกเดมาดริดต้องตกรอบแพ้คัดออก / แพ้ในนัดชิงชนะเลิศที่พบกับเรอัลมาดริดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกทุกครั้งนับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศ 2014 และพวกเขาตกรอบรองชนะเลิศโกปาเดลเรย์จากการแพ้บาร์เซโลนาด้วยผลประตูรวมสองนัด 5–4 ต่อมาสโมสรลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2025 ในเดือนมิถุนายน 2025 และตกรอบแบ่งกลุ่ม
Remove ads
เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน

เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน เดิมมีชื่อว่า สนามกีฬาแคว้นมาดริด เริ่มก่อสร้างเมื่อ ปี ค.ศ.1990 ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน กรีฑาชิงแชมป์โลก 1997 แต่ไม่ได้รับเลือก ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 4 ปีจึงเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1994 โดยมีความจุ 20,000 ที่นั่ง ต่อมาสนามถูกปิดเพื่อปรับปรุงสำหรับรองรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2016 แต่กรุงมาดริดก็ไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน ในปี 2013 อัตเลติโกเดมาดริดได้ซื้อและเข้าปรับปรุงสนามโดยขยายความจุเป็น 66,703 ที่นั่ง และลงเล่นนัดแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2017 สนามแห่งนี้จะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2018–2019 รอบชิงชนะเลิศ
Remove ads
สีและตราสัญลักษณ์
ชุดเหย้าของแอตเลติโกประกอบด้วยเสื้อลายทางแนวตั้งสีแดงและสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และถุงเท้าสีน้ำเงินและสีแดง ชุดแข่งขันแบบนี้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1910 ตราสัญลักษณ์ของสโมสรซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1917 โดยมีตราอาร์มของเมืองมาดริด และปรากฏเสื้อของสโมสรตั้งแต่ปี 1947 ได้รับการออกแบบใหม่อีกครั้งในปี 2016 แต่จากการลงคะแนนเสียงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2023 เผยให้เห็นว่าสมาชิกสโมสร 88.68% ต้องการตราสัญลักษณ์แบบดั้งเดิมมากกว่า ซึ่งตราดังกล่าวจะกลับมาในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2024[67][68]
เกียรติประวัติ

ระดับประเทศ
- ลาลิกา
- ชนะเลิศ (11): 1939–40, 1940–41, 1949–50, 1950–51, 1965–66, 1969–70, 1972–73, 1976–77, 1995–96, 2013–14, 2020–21
- โกปาเดลเรย์
- ชนะเลิศ (10):1960, 1961, 1965, 1972, 1976, 1985, 1991, 1992, 1996, 2013
- ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา
- ชนะเลิศ (2): 1985, 2014
- โกปาเดกัมเปโอเนสเดเอสปัญญา
- ชนะเลิศ (1): 1940[69]
- โกปาเอบาดัวร์เต
- ชนะเลิศ (1): 1951[70]
- โกปาเปรซีเดนเตเอเฟเอเอเฟ
- ชนะเลิศ (1): 1947
- เซกุนดาดิบิซิออน
- ชนะเลิศ (1): 2001–02
ระดับทวีปยุโรป
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ยูฟ่ายูโรปาลีก
- ชนะเลิศ (3): 2009–10, 2011–12, 2017–18
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1961–62
- รองชนะเลิศ (2): 1962–63, 1985–86
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
- ชนะเลิศ (3): 2010, 2012, 2018
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2007[71]
- รองชนะเลิศ (1): 2004
- ไอบีเรียนคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1991
ระดับโลก
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1974
Remove ads
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads