คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ประเทศบอตสวานา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
บอตสวานา (อังกฤษและสวานา: Botswana) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐบอตสวานา (อังกฤษ: Republic of Botswana; สวานา: Lefatshe la Botswana) เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาใต้ และเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตดังนี้ ทิศใต้ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ ทิศตะวันตกติดกับประเทศนามิเบีย ทิศเหนือติดกับประเทศแซมเบีย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศซิมบับเว
Remove ads
ภูมิศาสตร์


บอตสวานามีพื้นที่ 600,370 ตารางกิโลเมตรและใหญ่เป็นอันดับที่ 45 ของโลก (มีขนาดใกล้เคียงกับประเทศมาดากัสการ์) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ และพื้นดินกว่าร้อยละ 70 ถูกครอบคลุมโดยทะเลทรายกาลาฮารี บอตสวานามีโอคาวันโกเดลตาซึ่งเป็นพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ทางตะวันตก และมัคกาดิคกาดี ซึ่งเป็นทะเลสาบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ทางตอนเหนือ ด้านตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำลิมโปโป ซึ่งเป็นภูมิลักษณ์ของพื้นที่ส่วนใหญ่ในแอฟริกาใต้ แม่น้ำโชบีอยู่ทางเหนือของประเทศและเป็นเขตพรมแดนกั้นระหว่างบอตสวานาและนามิเบีย
Remove ads
ประวัติศาสตร์
ดินแดนนี้เป็นที่อยู่ของชาวบุชแมนมาก่อนที่ชาวบันตูจะเคลื่อนย้ายเข้ามา ในช่วงทศวรรษที่ 19 เกิดสงครามระหว่างชนพื้นเมือง โชนา ที่อาศัยอยู่ใน บัตสวานากับชนเผ่าเดเบเล่ที่อพยพมาจาก อาณานิคมในทะเลทรายกาลาฮารี ความตึงเครียดจากพวกบัวร์ในทรานสวาล พ.ศ. 2429 บอตสวานากลายเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษเพื่อป้องกันการโจมตีของพวกบัวร์และเยอรมัน ได้รับเอกราช เมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2509
Remove ads
การเมืองการปกครอง
สรุป
มุมมอง

บอตสวานาเป็นสาธารณรัฐแบบรัฐสภาที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งบอตสวานา และเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในแอฟริกา[12] [13] ที่ตั้งของรัฐบาลอยู่ในกาโบโรเน[14] สถาบันการปกครองของบอตสวานาก่อตั้งขึ้นหลังจากกลายเป็นประเทศเอกราชในปี 2509 โครงสร้างการปกครองของบอตสวานามีพื้นฐานอยู่บนทั้งระบบเวสต์มินสเตอร์ของสหราชอาณาจักรและรัฐบาลชนเผ่าของชาวสวานา[12] บอตสวานามีรัฐบาลรวมศูนย์ซึ่งกฎหมายของประเทศเข้ามาแทนที่กฎหมายท้องถิ่น[15] กฎหมายท้องถิ่นได้รับการพัฒนาโดยสภาท้องถิ่นและสภาเขต[16] บอตสวานาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรัฐบาลชนเผ่า ซึ่งนำโดยหัวหน้าเผ่า[16]
รัฐสภาบอตสวานาประกอบด้วยรัฐสภาซึ่งทำหน้าที่เป็นสภานิติบัญญัติอย่างเป็นทางการของประเทศ และ Ntlo ya Dikgosi ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยหัวหน้าชนเผ่าและสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งอื่นๆ[17] ฝ่ายบริหารของบอตสวานานำโดยประธานาธิบดีบอตสวานา ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล.[12] สมาชิกรัฐสภาเลือกประธานาธิบดี จากนั้นประธานาธิบดีจะแต่งตั้งรองประธานาธิบดีและสมาชิกคณะรัฐมนตรี[18] ประธานาธิบดีมีอำนาจสำคัญในบอตสวานา และสภานิติบัญญัติมีอำนาจเพียงเล็กน้อยในการตรวจสอบประธานาธิบดีเมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว[19][20] ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยศาลสูงแห่งบอตสวานา ศาลอุทธรณ์ และศาลผู้พิพากษา[21]คดีต่างๆ มักจะได้รับการตัดสินโดยศาลตามธรรมเนียมซึ่งมีหัวหน้าเผ่าเป็นประธาน[16]
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศบอตสวานาแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 เขต (district) ได้แก่
- เขตเซนทรัล
- เขตกาฮันซี
- เขตคกาลากาดี
- เขตคกาตเลง
- เขตคเวเนง
- เขตนอร์ทอีสต์
- เขตนอร์ทเวสต์
- เขตเซาท์อีสต์
- เขตเซาเทิร์น
- เขตโชเบ
เศรษฐกิจ
สรุป
มุมมอง
โครงสร้าง
ตั้งแต่ได้รับเอกราช บอตสวานาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราเจริญเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดในโลก[22] และสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นจากหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกมาเป็นประเทศรายได้ระดับกลางซึ่งมีจีดีพีเฉลี่ย (PPP) 16,516 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2550 [23] มีการประเมินว่าบอตสวานามีรายได้มวลรวมประชาชาติโดยวัดจากความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อสูงเป็นอันดับ 4 ในทวีปแอฟริกา ทำให้มีมาตรฐานการครองชีพใกล้เคียงกับเม็กซิโกและตุรกี[24]
จากสถิติของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ บอตสวานามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 9 ตั้งแต่ปี 2509 ถึง 2542 บอตสวานามีเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศแอฟริกาอื่น ๆ[25] เป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงที่สุดในแอฟริกา และมีเงินสำรองแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมากกว่า 7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2548-2549 (ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการนำเข้าประมาณ 2 ปีครึ่ง) สภาพเศรษฐกิจที่มั่นคงของบอตสวานามีรากฐานมาจากการนำรายได้จากการทำเหมืองเพชรในประเทศมาพัฒนาประเทศผ่านนโยบายทางการเงินและนโยบายต่างประเทศที่รอบคอบ[26] อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประเทศที่มีพื้นฐานจากอุตสาหกรรมเพชรนี้ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจผิดเพี้ยนในหลายรูปแบบ เช่นรัฐบาลมีอำนาจมากจนทำให้ภาคเอกชนไม่พัฒนา อัตราว่างงานสูง[27]
รัฐบาลถือหุ้นร้อยละ 50 ของเดบสวานา ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองเพชรที่ใหญ่ที่สุดในบอตสวานา.[28] อุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่สร้างรายได้ให้รัฐบาลถึงร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด[29] ในต้นพุทธทศวรรษที่ 2550 มีการค้นพบแร่ยูเรเนียมในบอตสวานา[30] และโครงการเหมืองแร่ยูเรเนียมมีกำหนดจะเริ่มในปี พ.ศ. 2553 บริษัทเหมืองแร่ข้ามชาติหลายแห่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำพื้นที่ในบอตสวานาโดยหวังที่จะมีโอกาสทำเหมืองเพชร ทอง ยูเรเนียม ทองแดง หรือแม้แต่น้ำมัน รัฐบาลบอตสวานาประกาศเมื่อต้นปี 2552 ว่าจะพยายามลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมเพชรให้น้อยลง เนื่องจากความกังวลจากการพยากรณ์ว่าเพชรจะหมดไปจากบอตสวานาในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า

Remove ads
ประชากรศาสตร์
ในปี 2012 ชาวสวานาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ในบอตสวานา ซึ่งคิดเป็นประมาณ 79% ของประชากร รองลงมาคือ Kalanga ที่ 11% และ San (Basarwa) ที่ 3% ส่วนที่เหลืออีก 7% ประกอบด้วย White Batswana/European Batswana[31]อินเดียน,[1] และกลุ่มชาติพันธุ์แอฟริกาตอนใต้เล็กๆ อีกจำนวนหนึ่ง
กลุ่มชนพื้นเมือง ได้แก่ Bayei, Bambukushu, Basubia, Baherero และ Bakgalagadi ชนกลุ่มน้อยชาวอินเดียประกอบด้วยทั้งผู้อพยพล่าสุดและลูกหลานของผู้อพยพชาวอินเดียที่มาจากโมซัมบิก เคนยา แทนซาเนีย มอริเชียส และแอฟริกาใต้

ตั้งแต่ปี 2000 เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในซิมบับเว จำนวนชาวซิมบับเวในบอตสวานาจึงเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นคน[32] ชาวซานไม่ถึง 10,000 คนยังคงดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตนักล่าและคนเก็บอาหารแบบดั้งเดิม ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 รัฐบาลกลางของบอตสวานาพยายามย้ายชาวซานออกจากดินแดนประวัติศาสตร์ของพวกเขา[33]
Remove ads
เชิงอรรถ
บทความนี้รวมข้อความจากงานที่มีเนื้อหาเสรี (free content) ลิขสิทธิ์ภายใต้ CC BY-SA IGO 3.0 ข้อความนำมาจาก UNESCO Science Report: Towards 2030, 546–547, UNESCO, UNESCO Publishing.
อ้างอิง
หนังสืออ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads