คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
Remove ads
ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (อังกฤษ: first-past-the-post; ย่อ: FPTP หรือ FPP) หรือบางกรณีเรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าแบบผู้แทนเขตละหนึ่งคน (อังกฤษ: Single-member plurality voting; ย่อ: SMP) เป็นระบบการเลือกตั้งซึ่งผู้ออกเสียงลงคะแนนระบุผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนเลือกในบัตรเลือกตั้ง และผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดชนะ บางทีเรียกระบบเลือกตั้งแบบนี้ว่า "ผู้ชนะกินรวบ" (winner takes all) การออกเสียงลงคะแนนแบบระบบแบ่งเขตคะแนนสุงสุดนี้เป็นวิธีการลงคะแนนแบบใช้คะแนนนำ (ไม่จำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดของเขตนั้น)[1] ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดเป็นคุณลักษณะที่พบได้ทั่วไปของระบบเลือกตั้งที่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนคนเดียว แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และมีการใช้ระบบดังกล่าวในประเทศเกือบหนึ่งในสามของโลก ตัวอย่างเช่น แคนาดา อินเดีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ตลอดจนอาณานิคมและดินแดนในอารักขาทั้งในปัจจุบันและอดีต

หลายประเทศใช้ระบบแบ่งคะแนนสูงสุดนี้กับการเลือกตั้ง โดยนิยมใช้คู่กับระบบสัดส่วนแบบไม่มีการชดเชยที่นั่ง ตัวอย่างเช่น การลงคะแนนระบบคู่ขนาน ในบางประเทศนิยมใช้ระบบสัดส่วนแบบมีการชดเชยที่นั่ง เช่น ระบบลงคะแนนแบบสัดส่วนผสม หรือระบบลงคะแนนเสียงเดียวผสม ในบางประเทศที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแบบสัดส่วนนั้นจะใช้ระบบคะแนนสูงสุดในการเลือกประมุขแห่งรัฐ
ระบบแบ่งคะแนนสูงสุดสามารถใช้ได้ทั้งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนคนเดียว หรือหลายคนก็ได้ โดยในเขตที่มีผู้แทนเพียงคนเดียว ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด (ไม่จำเป็นต้องได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง) ชนะการเลือกตั้ง ส่วนในเขตที่มีผู้แทนหลายคน ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดโดยเรียงลำดับคะแนนสูงสุดลงมา จะชนะการเลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น ในเขตเลือกตั้งที่มีสามที่นั่ง ผู้มีสิทธิลงคะแนนไม่เกินสามคะแนน และผู้สมัครจำนวนสามคนที่มีคะแนนสูงสุดชนะการเลือกตั้งในเขตนั้น
ในระบบการเลือกตั้งแบบหลายรอบ (รันออฟ) ใช้ระบบนี้ในการนับคะแนนในแต่ละรอบ โดยในรอบแรกขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของแต่ละการเลือกตั้ง จะเป็นตัวตัดสินว่าผู้สมัครรายใดจะได้เข้าไปในรอบที่สอง และ/หรือรอบสุดท้าย
Remove ads
กรณีศึกษา
ในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นผู้ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดจะได้รับเลือกตั้ง ในกรณีศึกษาตัวอย่างจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสิงคโปร์ในปีค.ศ. 2011 ผู้สมัครประธานาธิบดี โทนี ตัน ได้รับคะแนนเสียงรวมมากว่าผู้สมัครรายอื่นทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงได้รับชัยชนะไปถึงแม้ผู้สมัครในลำดับที่สองนั้นได้รับคะแนนน้อยกว่าเพียงร้อยละ 0.35 เท่านั้น โดยหากพิจารณาจากจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมดนั้น โทนี ตันไม่ได้รับเสียงข้างมาก (คะแนนเสียงที่ไม่ได้เลือกโทนี ตันมีมากถึงร้อยละ 64.8)
Remove ads
ผลกระทบ
สรุป
มุมมอง
ระบบการเลือกตั้งนี้เป็นการเลือกตั้งแบบง่าย เพราะง่ายต่อการจัดการเลือกตั้ง ไม่ต้องสนใจว่าผู้ได้รับเลือกตั้งจะได้คะแนนเท่าใด ขอให้ชนะเป็นที่หนึ่งในเขตนั้นก็ใช้ได้ ซึ่งความง่ายของการเลือกตั้งในระบบนี้กลับเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตี และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นระบบที่ไม่ชอบธรรม เพราะในการเลือกตั้งหลายต่อหลายครั้งไม่ว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ผลการเลือกตั้งมักปรากฏว่าผู้ได้รับการเลือกตั้งได้รับคะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ในขณะที่ผู้ที่เลือกผู้สมัครจากพรรคอื่นหรือคนอื่นที่เหลือกว่าร้อยละ 50 กลับไม่มีผลใดๆ และไม่มีที่นั่งในสภาที่จะเป็นปากเสียงแทนประชาชนส่วนใหญ่ที่เหลือทั้งหมด[2]
ผลกระทบหลักของการลงคะแนนแบบนี้คือ พรรคการเมืองใหญ่ที่มีความนิยมจะได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นโดยไม่เป็นสัดส่วน โดยอาจทำให้พรรคการเมืองนั้นสามารถมีเสียงข้างมากในสภาได้เพียงพรรคเดียว ในสหราชอาณาจักร จากการเลือกตั้งทั้งหมด 24 ครั้ง ตั้งแต่ปีค.ศ. 1922 มีถึง 19 ครั้ง ที่ได้รัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2005
ในตัวอย่างข้างต้น พรรคแรงงานได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 36 ของผู้เลือกตั้งทั้งประเทศเท่านั้น โดยสองพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดรวมกันเป็นร้อยละ 69 ของคะแนนทั้งหมด และร้อยละ 88 ของที่นั่ง ในทางกลับกันพรรคเสรีประชาธิปไตยนั้นได้คะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 20 แต่ได้ที่นั่งเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
ระบบการลงคะแนนนี้จะช่วยปัญหาด้านคะแนนเสียงสูญเปล่าหากใช้ในการเลือกตั้งแบบสองพรรค
ปัญหาด้านคะแนนสูญและรัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้ลงคะแนนจำนวนมากออกเสียงลงคะแนนให้พรรคการเมืองจำนวนมากกว่าสามพรรคขึ้นไปดังเช่นในแคนาดา ประเทศแคนาดาใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดเช่นกัน แต่มีแค่ผลการเลือกตั้งเพียงสองครั้งจากทั้งหมดหกครั้งที่เกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก
Remove ads
ข้อสนับสนุน
สรุป
มุมมอง
ผู้สนับสนุนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดล้วนเห็นตรงกันว่าระบบนี้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และบัตรลงคะแนนง่ายต่อการนับและจัดการมากกว่าบัตรลงคะแนนในแบบจัดลำดับ
ผลการเลือกตั้งจากระบบการลงคะแนนนี้เอื้อต่อการมีรัฐบาลเสียงข้างมากในสภา[3] จึงสามารถให้อำนาจแก่รัฐบาลในด้านนิติบัญญัติที่จำเป็นต่อการจัดสรรและผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ให้แก่ประเทศที่นโยบายด้านนิติบัญญัติของรัฐบาลที่ได้รับเสียงสนับสนุนจำนวนมากจากประชาชน แต่อย่างไรก็ตามหากเมื่อใดที่รัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัตินั้นไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนแล้วอาจมีปัญหาว่านโยบายต่างๆ นั้นเอื้อประโยชน์ให้เพียงแก่ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนรัฐบาล (ซึ่งจะเห็นได้ชัดในกรณีที่เขตเลือกตั้งแบ่งชัดเจนเป็นกลุ่มชาติพันธ์ กลุ่มศาสนา หรือกลุ่มประชาชนต่างจังหวัด/ในเมือง)
นอกจากนี้ผู้สนับสนุนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดยังกล่าวถึงระบบสัดส่วน (PR) ซึ่งมักจะทำให้เกิดพรรคขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งมักจะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการนิติบัญญัติของประเทศโดยใช้อำนาจต่อรองกับพรรคการเมืองใหญ่ (ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้เกณฑ์คะแนนเสียงขั้นต่ำ) โดยระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นจะไม่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นยกเว้นแต่ในกรณีที่พรรคการเมืองนั้นมีคะแนนนิยมมากในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง โดยนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ฮาเร็ตซ์ของอิสราเอลกล่าวถึงปัญหาของรัฐสภาอิสราเอลซึ่งมีความเป็นสัดส่วนมากนั้น "ให้อำนาจมากแก่พรรคการเมืองขนาดเล็กโดยบังคับให้รัฐบาลจะต้องยอมแก่การแบล็กเมลเพื่อแลกกับข้อตกลงทางการเมือง"[4][5] โทนี แบลร์กล่าวสนับสนุนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดว่าระบบอื่นๆ ให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีอำนาจมาก ซึ่งถือว่ามีอิทธิพลมากกว่าคะแนนเสียงที่พรรคเล็กนั้นได้รับ[6]
การยอมให้ผู้ใดเข้ามานั่งในรัฐสภาที่ไม่ได้รับคะแนนเสียงในเขตเลือกตั้งของตนนั้น ถูกกล่าวไว้โดยเดวิด แคเมอรอนว่าเป็นการ "ทำให้รัฐสภานั้นเต็มไปด้วยตัวเลือกรองที่ไม่มีใครต้องการและก็ไม่มีใครค้านเช่นกัน"[7] วินสตัน เชอร์ชิลวิจารณ์ถึงระบบคะแนนเสียงเผื่อเลือกว่า "เป็นระบบที่ได้คะแนนที่ไม่มีคุณค่าจำนวนมากซึ่งลงให้กับผู้สมัครที่ไม่มีคุณค่าที่สุด"[8]
ข้อวิจารณ์
สรุป
มุมมอง
จำนวนผู้แทนไม่สอดคล้อง

ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดมักได้รับการวิจารณ์ถึงความล้มเหลวในการสะท้อนถึงคะแนนเสียงโดยรวมต่อจำนวนที่นั่งในสภาที่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งได้รับ โดยกล่าวได้ว่าความต้องการพื้นฐานของระบบการเลือกตั้งนั้นคือการเลือกผู้แทนให้เหมาะสมกับจำนวนของคะแนนเสียงซึ่งระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ โดยมักจะทำให้เกิด "เสียงข้างมากแบบผิดๆ" โดยพรรคการเมืองใหญ่จะได้รับที่นั่งมากเกิน (มีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติแต่ไม่ได้รับเสียงข้างมากในคะแนนนิยมของพรรค) และพรรคการเมืองเล็กจะได้รับที่นั่งน้อยเกินไป จากรูปภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งทั่วไปในแคนาดา ปีค.ศ. 2015 แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องของจำนวนที่นั่งในสภาต่อคะแนนนิยม
เสียงข้างมากกลับ
เสียงข้างมากกลับ (majority reversal) หรือ การเลือกตั้งแบบกลับหัวกลับหาง (election inversion)[9][10] คือสถานการณ์ที่พรรคการเมืองใดได้รับคะแนนนิยมรวมเสียงข้างมากแต่แพ้การเลือกตั้ง หรือไม่ได้รับที่นั่งเป็นจำนวนเสียงข้างมาก ตัวอย่างสำคัญที่เกิดขึ้นแก่พรรคการเมืองอันดับสอง (นับจากคะแนนนิยมทั้งประเทศ) ที่ได้รับที่นั่งเสียงข้างมากในสภาเกิดขึ้นในกานา ปีค.ศ. 2012 นิวซีแลนด์ ปีค.ศ. 1978 และ 1981 และในสหราชอาณาจักร ปีค.ศ. 1951 โดยกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นคือผลการเลือกตั้งในแคนาดา ปีค.ศ. 2019 ซึ่งพรรคการเมืองลำดับสอง (จากคะแนนนิยมทั้งประเทศ) ได้รับที่นั่งในสภาเกินกึ่งหนึ่ง
ถึงแม้ในกรณีพรรคการเมืองใดที่ชนะคะแนนนิยมมากว่าครึ่งหนึ่งในการแข่งขันแบบสองพรรคการเมือง ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองลำดับสองจะได้ที่นั่งเกินกึ่งหนึ่ง โดยเกิดขึ้นในเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ในปีค.ศ. 1966 ค.ศ. 1998 และค.ศ. 2020 และในเบลีซ ปีค.ศ. 1993
ถึงแม้ว่าหากทุกที่นั่งจะต้องได้รับคะแนนนิยมเท่ากัน พรรคการเมืองอันดับสอง (นับจากคะแนนนิยมทั้งประเทศ) ยังสามารถชนะที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งได้โดยการแบ่งคะแนนเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การชนะที่นั่งด้วยคะแนนนำแบบฉิวเฉียดในเขตหนึ่งและการแพ้ด้วยคะแนนที่ห่างมากนั้นถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการชนะที่นั่งในเขตด้วยคะแนนนำแบบท่วมท้นและการแพ้ด้วยคะแนนฉิวเฉียด สำหรับการได้รับจำนวนที่นั่งเสียงข้างมากนั้นพรรคการเมืองเพียงจำเป็นต้องเอาชนะเพียงแค่ในเขตเลือกตั้งหลักๆ ที่สำคัญ ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสองพรรคการเมืองกับจำนวนเขตเลือกตั้งที่เท่ากันก็หมายถึงแค่จำนวนคะแนนเสียงเพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ของคะแนนทั้งหมดเท่านั้น
ปัญหาด้านภูมิศาสตร์

โดยทั่วไปแล้วระบบการลงคะแนนนี้เอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองที่สามารถกระชับคะแนนนิยมลงในเฉพาะเขตเลือกตั้งใดๆ (หรือกล่าวโดยรวมคือตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์) เนื่องจากจะทำให้สามารถชนะที่นั่งได้จำนวนมากและไม่ทำให้เกิดปัญหาคะแนนสูญในพื้นที่อื่นๆ
สมาคมเพื่อการปฏิรูประบบเลือกตั้งสหราชอาณาจักร (ERS) กล่าวไว้ว่าพรรคการเมืองระดับภูมิภาคนั้นล้วนได้ประโยชน์การระบบนี้ "ด้วยพื้นฐานด้านภูมิศาสตร์ พรรคการเมืองที่มีขนาดเล็กแต่แข่งขันทั้งประเทศนั้นยังสามารถแข่งขันได้ดี"[11]
ในอีกด้านหนึ่ง พรรคการเมืองรองต่างๆ ที่ไม่สามารถกระชับคะแนนเสียงได้ในพื้นที่ใดๆ เลย มักจะได้รับที่นั่งเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าคะแนนเสียงที่ได้รับ เนื่องจากมักจะแพ้เกือบทุกที่นั่งที่แข่งขัน และทำให้คะแนนเกือบทั้งหมด "สูญเปล่า"[12]
นอกจากนี้สมาคมเพื่อการปฏิรูประบบเลือกตั้งสหราชอาณาจักร ยังกล่าวว่าระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดที่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนมากนั้น "พรรคการเมืองเล็กที่ไม่มีฐานเสียงในพื้นที่ใดๆ นั้นจะชนะที่นั่งได้ยาก"[11]
กลุ่ม Make Votes Matter ของสหราชอาณาจักร กล่าวถึงผลการเลือกตั้งทั่วไปในปีค.ศ. 2017 ว่า "พรรคกรีน พรรคเสรีประชาธิปไตย และพรรค UKIP (ซึ่งล้วนเป็นพรรครอง และไม่มีฐานเสียงในพื้นที่) ได้รับคะแนนเสียงรวมทั้งหมดถึงร้อยละ 11 แต่ได้ที่นั่งในสภาเพียงร้อยละ 2" และในการเลือกตั้งทั่วไปในปีค.ศ. 2015 "พรรคการเมืองทั้งสามพรรคนี้ได้รับคะแนนเสียงรวมถึงเกือบร้อยละ 25 ของคะแนนเสียงทั้งหมด แต่ก็ยังได้รับส่วนแบ่งที่นั่งในสภาเพียงแค่ร้อยละ 1.5"[13]
โดยตามแผนภูมิด้านล่าง[14] พรรค UKIP ได้รับคะแนนเสียงเป็นอันดับสาม (3.9 ล้านคะแนน/ร้อยละ 12.6) แต่ได้ที่นั่งไปเพียงที่นั่งเดียว ซึ่งเท่ากับที่นั่งละ 3.9 ล้านคะแนน[13] ในขณะที่พรรคอนุรักษนิยมได้เพียงที่นั่งละ 34,000 คะแนนเท่านั้น

จำนวนผู้แทนตามภูมิศาสตร์ที่บิดเบือน
ลักษณะเฉพาะของระบบการลงคะแนนนี้สามารถทำให้เกิดปัญหาจำนวนผู้แทนที่บิดเบือนได้อันเนื่องมาจากการสหสัมพันธ์ของคะแนนเสียงของพรรคการเมืองต่อพื้นที่ภูมิศาสตร์นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น พรรคอนุรักษนิยมในสหราชอาณาจักรเป็นผู้แทนในที่นั่งเกือบทั้งหมดของเขตชนบทในอังกฤษ และเกือบทั้งหมดของอังกฤษตอนใต้ ในขณะที่พรรคแรงงานเป็นผู้แทนส่วนใหญ่ของเขตเมืองในอังกฤษเกือบทั้งหมดและเกือบทั้งหมดในอังกฤษตอนเหนือ รูปแบบนี้ซ่อนจำนวนคะแนนจำนวนมากของพรรคการเมืองรองอยู่ โดยพรรคการเมืองต่างๆ นั้นอาจจะกลายเป็นพรรคการเมืองจากพื้นที่สำคัญในแต่ละภาคที่ไม่มีผู้แทนในสภาเลยย่อมกระตุ้นให้ประชนชนเกิดความรู้สึกภูมิภาคนิยมมากขึ้น โดยผู้สนับสนุนพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับเลือกเหล่านี้ย่อมกลายเป็นพลเมืองที่ไร้ผู้แทน
ในการเลือกตั้งทั่วไปในแคนาดา ปีค.ศ. 2019 พรรคอนุรักษนิยมเอาชนะไปถึงร้อยละ 98 ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดในรัฐอัลเบอร์ตา/รัฐซัสแคตเชวันด้วยคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 68 ซึ่งหมายความว่าประชาชนทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกพรรคอนุรักษนิยมนั้นไม่มีผู้แทน โดยจากผลการเลือกตั้งนั้นทำให้ดูเหมือนว่าประชาชนทุกคนในสองรัฐนี้สนับสนุนพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งในความจริงแล้วเป็นเพียงแค่คำกล่าวเกินจริง[15]
การลงคะแนนเชิงกลยุทธ์
เช่นเดียวกันกับการลงคะแนนแบบอื่นๆ ระบบการลงคะแนนนี้เอื้อให้เกิดการลงคะแนนเชิงกลยุทธ์ขึ้น โดยผู้ลงคะแนนจะมีแรงจูงใจให้ลงคะแนนแก่ผู้สมัครที่คาดว่าจะชนะ ซึ่งแทนที่จะเลือกผู้สมัครรายที่ชอบแต่อาจจะไม่มีโอกาสชนะได้โดยหากลงคะแนนเลือกไปจะทำให้คะแนนที่ออกเสียงไปสูญเปล่า
จึงสามารถสรุปได้อย่างสุดโต่งว่า "คะแนนเสียงทั้งหมดที่ออกเสียงให้แก่ผู้สมัครรายใดๆ ยกเว้นผู้ได้รับคะแนนเป็นอันดับที่สองนั้นถือเป็นคะแนนสำหรับผู้ชนะ" เนื่องจากเพราะว่าคะแนนเสียงสำหรับผู้สมัครรายอื่นๆ นั้นคือคะแนนเสียงที่ไม่สนับสนุนผู้สมัครอันดับสองซึ่งอาจจะกลายเป็นผู้ชนะแทนได้ โดยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2000 ผู้สนับสนุนอัล กอร์ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตนั้นเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาพ่ายแพ้แก่ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน จอร์จ ดับเบิลยู บุช คือส่วนหนึ่งของคะแนนเสียง (ร้อยละ 2.7) ที่ลงคะแนนให้กับราลฟ์ นาเดอร์ จากพรรคกรีน และเอ็กซิทโพลล์ยังระบุว่าผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้คงจะเลือกกอร์ (ร้อยละ 45) มากกว่าบุช (ร้อยละ 27) โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ชี้ขาดโดยผลการเลือกตั้งในรัฐฟลอริดา ซึ่งบุชเอาชนะกอร์โดยคะแนนเสียงมากกว่าเพียง 537 คะแนน (ร้อยละ 0.0009) ซึ่งน้อยกว่าจำนวนคะแนนที่พรรคกรีนได้รับในรัฐฟลอริดาเป็นจำนวนมาก (97488 คะแนน หรือ ร้อยละ 1.635)
ในปวยร์โตรีโก มีแนวโน้มที่ผู้สนับสนุนพรรคเอกราชจะเปลี่ยนไปสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยนิยมแทน โดยปรากฏการณ์นี้ได้ทำให้เกิดชัยชนะในหลายครั้งถึงแม้ว่าพรรคก้าวหน้าใหม่จะมีคะแนนเสียงมากที่สุดในเกาะ และยังได้รับการยอมรับว่าชาวปวยร์โตริโกนั้นเรียกเหล่าผู้สนับสนุนพรรคเอกราชที่ลงคะแนนให้กับพรรคประชาธิปไตยนิยมนั้นเป็น "แตงโม" เนื่องจากภายนอกนั้นเป็นสีเขียวแต่เนื้อในนั้นเป็นสีแดง (อิงตามสีประจำพรรค)
เนื่องจากผู้ลงคะแนนจะต้องคาดการณ์ผู้สมัครสองลำดับแรก ผลลัพธ์ที่ได้นั้นจึงสามารถถูกบิดเบือนได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้ลงคะแนนบางรายจะออกเสียงตามอย่างผู้ลงคะแนนคนอื่นๆ โดยย่อมเปลี่ยนแปลงความตั้งใจดั้งเดิมของผู้ลงคะแนน
- สื่อได้รับอำนาจมากเนื่องจากผู้ลงคะแนนบางคนจะเชื่อตามสื่อว่าผู้ใดคาดว่าจะเป็นผู้นำในลำดับต้นๆ ถึงแม้ว่าผู้ลงคะแนนจะไม่เชื่อในสื่อเองยังเชื่อว่ายังมีผู้ลงคะแนนอื่นๆ ที่ยังเชื่อถือสื่ออยู่ และดังนั้นผู้สมัครรายต่างๆ ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมากนั้นย่อมจะกลายเป็นผู้สมัครยอดนิยม
- ผู้สมัครรายใหม่ที่ไม่เคยเข้ารับเลือกตั้งมากก่อน ซึ่งอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ อาจจะถูกตัดสินว่าไม่เป็นผู้สมัครตัวเต็งคนสำคัญไปได้ และดังนั้นจึงทำให้เสียแรงสนับสนุนจากผู้ลงคะแนนไปโดยผลของลงคะแนนเชิงกลยุทธ์
- วิธีนี้อาจสนับสนุนให้ผู้ลงคะแนนนั้นออกเสียง ไม่สนับสนุน มากกว่าออกเสียง สนับสนุน ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร (เฉพาะในบริเตนใหญ่) ได้มีการส่งเสริมให้ออกเสียงไม่สนับสนุนพรรคอนุรักษนิยมโดยการเลือกพรรคแรงงาน และพรรคเสรีประชาธิปไตยในอังกฤษและเวลส์ และตั้งแต่ปีค.ศ. 2015 ให้เลือกพรรคชาติสกอตในสกอตแลนด์ โดยขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนในสามพรรคนี้มีโอกาสจะชนะในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ได้ โดยพฤติกรรมนี้นั้นยากที่จะวัดตามวัตถุประสงค์ได้
ผู้เสนอระบบการลงคะแนนอื่นๆ สำหรับเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียวกล่าวว่าจะช่วยให้ลดปัญหาการลงคะแนนเชิงกลยุทธ์ และลดผลกระทบเรื่องเสียงแตก ตัวอย่างของระบบลงคะแนนเหล่านี้ได้แก่ระบบลงคะแนนแบบจัดลำดับ เช่น ระบบจัดลำดับความชอบ รวมถึงระบบสองรอบ และระบบที่ผ่านการทดสอบมาน้อย เช่น ระบบการลงคะแนนแบบคะแนนอนุมัติ และวิธีกงดอร์แซ
ผลกระทบต่อพรรคการเมือง
ตามกฎของดูว์แวร์แฌซึ่งเป็นแนวคิดด้านรัฐศาสตร์ซึ่งกล่าวถึงการเลือกตั้งที่ใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดย่อมจะนำไปสู่ระบบสองรอบในที่สุด เจฟฟรีย์ ซาชส์ นักเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายว่า:
เหตุผลหลักของลักษณะเฉพาะเรื่องระบบเสียงข้างมากในอเมริกานั้นคือระบบการลงคะแนนสำหรับรัฐสภา สมาชิกรัฐสภานั้นได้รับเลือกจากเขตเลือกตั้งแบบมีผู้แทนเขตละคนโดยวิธีนับคะแนนแบบคะแนนสูงสุด ซึ่งหมายความว่าผู้สมัครรายใดที่มีคะแนนเสียงนำจะได้รับที่นั่งในรัฐสภาไป ส่วนพรรคการเมืองที่แพ้นั้นย่อมจะไม่ได้สิทธิในการเป็นผู้แทนเลย ระบบการเลือกตั้งนี้มักจะส่งผลให้เกิดพรรคการเมืองหลักเพียงจำนวนน้อย ซึ่งอาจจะมีเพียงสองพรรคเท่านั้น โดยหลักการนี้ในทางรัฐศาสตร์เรียกว่ากฎของดูว์แวร์แฌ ซึ่งพรรคการเมืองขนาดเล็กนั้นถูกบดขยี้ในระบบการเลือกตั้งแบบนี้
— จากหนังสือ The Price of Civilization โดยเจฟฟรีย์ ซาชส์[16]
อย่างไรก็ตาม ประเทศส่วนใหญ่ที่ใช้การเลือกตั้งระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดมักจะมีสภานิติบัญญัติแบบหลายพรรค (ถึงแม้ว่ามักจะมีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคอยู่เสมอ) ยกเว้นในกรณีของสหรัฐ[17][18]
นอกจากนี้ยังมีคำวิพากษ์ถึงกฎของดูว์แวร์แฌว่าในขณะที่ใช้ในการเลือกตั้งระดับชาตินั้นระบบคะแนนนำอาจทำให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค ส่วนในระดับเขตเลือกตั้งนั้นการได้คะแนนเสียงข้างมากพิเศษนั้นอาจนำให้เกิดปัญหาคะแนนเสียงแตกได้[19]
กรณีการผิดเพี้ยนในการมีผู้แทนตามภูมิศาสตร์ทำให้พรรคการเมืองมีจงใจในการปล่อยปละละเลยเขตที่คะแนนเสียงของพรรคไม่แข็งแรงในซึ่งในไปสู่การที่พรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาลนั้นไม่ได้ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของชาติโดยรวม ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งนั้นพรรคการเมืองต่างๆ มักจะมุ่งเน้นไปที่เขตที่เป็นที่นั่งที่เปลี่ยนข้างเสมอ (swing seats) เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะได้ที่นั่งเพิ่มในเขตนี้ได้ ในขณะที่เขตเลือกตั้งที่ถือเป็นที่นั่งปลอดภัย (safe seats) มักจะไม่อยู่ในแผนการรณรงค์หาเสียงอย่างเข้มแข็ง[20] พรรคการเมืองนั้นล้วนปฏิบัติในแนวทางเดียวกันคือมุ่งเน้นไปในเขตที่สำคัญ รณรงค์หาเสียงและนโยบายให้แก่เขตเหล่านั้นที่อาจเปลี่ยนมาเลือกพรรคได้ซึ่งถือเป็นคะแนนเป้าหมายอันมีคุณค่าต่อพรรคการเมืองนั้นๆ[21][22][12]
คะแนนสูญ
คะแนนสูญ (waste votes) คือจำนวนคะแนนเสียงที่ออกให้แก่ผู้สมัครรายที่แพ้การเลือกตั้ง และสำหรับผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งนั้นหมายความถึงคะแนนเสียงส่วนเกินจากจำนวนที่ต้องการเพื่อได้รับชัยชนะ ตัวอย่างเช่นในการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ค.ศ. 2005 คะแนนเสียงจำนวนร้อยละ 52 ถูกออกให้แก่ผู้สมัครที่แพ้การเลือกตั้ง และอีกร้อยละ 14 เป็นคะแนนเสียงส่วนเกิน ซึ่งสองส่วนนี้รวมกันเป็นจำนวนคะแนนสูญเปล่าถึงร้อยละ 70 จึงอาจกล่าวได้ว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่จำนวนมากนั้นอาจไม่ส่งผลใดต่อการผลการเลือกตั้งได้ จึงทำให้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดมีส่วนร่วมในการลงคะแนนน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบการลงคะแนนแบบอื่นๆ[23]
การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบ
เนื่องจากระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นทำให้เกิดคะแนนสูญจำนวนมาก การเลือกตั้งในระบบนี้จึงง่ายต่อการแบ่งเขตแบบเอาเปรียบได้ (Gerrymandering) โดยเขตเลือกตั้งที่ถูกแบ่งโดยเอาเปรียบนั้นจะแบ่งเขตให้เพื่อมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนที่นั่งที่พรรคการเมืองในอำนาจจะได้รับเลือกในสมัยถัดไป โดยแบ่งเขตให้มีผู้สนับสนุนของพรรคการเมืองเป็นเสียงข้างมากในเขตนั้นๆ
การโกงการเลือกตั้ง
เนื่องจากตัวแปรของผู้สมัครรายอื่นที่มีนโยบายคล้ายกันและทำให้เกิดเสียงแตกนั้นทำให้มีข้อสงสัยถึงการส่งผู้แทนแบบนอมินีขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลงลำดับความนิยมของผู้สมัครในเขตเลือกตั้ง โดยผู้สมัครที่เป็นนอมินีนั้นอาจได้รับรางวัลเป็นแรงจูงใตเพื่อลงแข่งขันในการเลือกตั้ง โดยผู้สมัครรายนี้อาจจะถอนตัวในนาทีสุดท้ายแทน
พรรคการเมืองเล็กอาจลดความสำเร็จของพรรคการเมืองประเภทเดียวกันที่ขนาดใหญ่ที่สุด
ในระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด พรรคการเมืองขนาดเล็กอาจได้แบ่งคะแนนเสียงและที่นั่งจากพรรคการเมืองใหญ่ที่นโยบายคล้ายคลึงกัน และดังนั้นจึงทำให้เป็นประโยชน์ต่อพรรคเล็กที่นโยบายแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2000 ผู้สมัครนโยบายฝ่ายซ้าน ราล์ฟ นาเดอร์ ได้แย่งคะแนนเสียงจากผู้สมัครจากพรรคการเมืองใหญ่ฝ่ายซ้ายอย่างอัล กอร์ จึงนำไปสู่การกล่าวหาว่านาเดอร์นั้นเป็นผู้สมัครที่ทำให้พรรคเดโมแครตเสียงแตก
ที่นั่งปลอดภัย
ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดที่ใช้ในเขตเลือกตั้งตามภูมิศาสตร์นั้นมักจะทำให้ได้ผลลัพธ์ (โดยเฉพาะในพรรคการเมืองใหญ่) เป็นจำนวนที่นั่งปลอดภัย (safe seats) จำนวนมาก กล่าวคือผู้แทนรายเดิมจากเขตนั้นจะได้รับเลือกอยู่เสมอเว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในพฤติกรรมการลงคะแนน ในสหราชอาณาจักร สมาคมเพื่อการปฏิรูปการเลือกตั้งประมาณว่ามีที่นั่งในสภาเกินครึ่งหนึ่งเป็นที่นั่งปลอดภัย[24] โดยสมาชิกรัฐสภาที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายสมาชิกรัฐสภาเมื่อปีค.ศ. 2009 นั้นส่วนมากเป็นสมาชิกที่อยู่ในเขตที่นั่งปลอดภัย[25][26]
อย่างไรก็ตาม ในระบบการลงคะแนนอื่นๆ เช่น ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อยังทำให้มีนักการเมืองที่มีภูมิคุ้มกันจากแรงกดดันในการเลือกตั้งได้โดยง่าย
อาจกระตุ้นการเมืองแบบสุดโต่ง
ลดความแตกต่างทางการเมือง
จากรายงานของกลุ่ม Makes Votes Matter ระบุว่าระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดจะสร้างแรงจูงใจให้กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ต่างๆ ในการหาเสียงนโยบายให้กับผู้ลงคะแนนทั้งหมดอย่างคล้ายคลึงกัน ผลกระทบนี้จึงทำให้ลดความแตกต่างทางการเมืองภายในประเทศเนื่องจากพรรคการเมืองใหญ่นั้นมักจะเลือกดำเนินนโยบายใกล้เคียงกัน[27] ACE Electoral Knowledge Network ยังกล่าวว่าการใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในอินเดียนั้นเป็น "มรดกตกทอดของจักรวรรดิอังกฤษ"[28]
Remove ads
การรณรงค์เพื่อทดแทนระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด
ในหลายประเทศที่ใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นล้วนมีการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วน (เช่น ในสหราชอาณาจักร[29] และแคนาดา[30]) โดยในประเทศประชาธิปไตยสมัยใหม่นั้นส่วนมากใช้ระบบการลงคะแนนแบบสัดส่วน (PR)[31] ในกรณีของสหราชอาณาจักรนั้นได้มีการรณรงค์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1970[32] อย่างไรก็ตามในประเทศเหล่านี้ ผู้รณรงค์การปฏิรูปนั้นมักจะถูกกีดกันโดยพรรคการเมืองใหญ่ที่ครองเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติซึ่งย่อมมีแรงจูงใจในการต่อต้านความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบบการลงคะแนนที่เป็นที่มาของอำนาจโดยที่ไม่ได้มีคะแนนเสียงข้างมาก
Remove ads
เกณฑ์วิธีการลงคะแนน
สรุป
มุมมอง
นักวิชาการได้จัดลำดับระบบการลงคะแนนโดยใช้การคำนวนทางคณิตศาสตร์เพื่อหาเกณฑ์วิธีการลงคะแนน ซึ่งอธิบายถึงลักษณะเฉพาะที่ดีของในแต่ละระบบ
เกณฑ์เสียงข้างมาก
เกณฑ์เสียงข้างมาก (Majority criterion) หมายถึงกรณีที่ "ผู้สมัครรายใดได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (เกินร้อยละ 50) ของคะแนนเสียงทั้งหมด ดังนั้นผู้สมัครรายนั้นจะได้ชนะการเลือกตั้ง" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดนั้นเข้าเกณฑ์ข้อนี้ (ถึงแม้ว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงไม่ถึงร้อยละ 50 ก็ยังสามารถเป็นผู้ชนะได้) อย่างไรก็ตามเกณฑ์นี้ใช้นับได้ในแต่ละเขตเลือกตั้งเท่านั้น แต่เมื่อนำคะแนนเสียงทั้งหมดสำหรับพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งในสภาจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์นี้
เกณฑ์เสียงข้างมากร่วมกัน
[33]
เกณฑ์เสียงข้างมากร่วมกัน (Mutual majority criterion) กล่าวถึงว่า "หากผู้สมัครจำนวน x คนได้คะแนนเสียงข้างมาก (เกินร้อยละ 50) ดังนั้นหนึ่งในผู้สมัครจะต้องเป็นผู้ชนะ" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่เข้าเกณฑ์นี้[33]
เกณฑ์ผู้ชนะของกงดอร์แซ
[34]
เกณฑ์ผู้ชนะแบบกงดอร์แซ (Condorcet winner criterion) ระบุว่า "หากผู้สมัครรายหนึ่งสามารถเอาชนะในการแข่งขันแบบทีละคู่กับผู้สมัครรายอื่นๆ ทีละราย ดังนั้นผู้สมัครรายนั้นจะต้องชนะการเลือกตั้ง" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่เข้าเกณฑ์นี้[34]
เกณฑ์ผู้แพ้ของกงดอร์แซ
[34]
เกณฑ์ผู้แพ้แบบกงดอร์แซ (Condorcet loser criterion) ระบุว่า "หากผู้สมัครรายหนึ่งแพ้ในการแข่งขันแบบทีละคู่กับผู้สมัครรายอื่นๆ ทีละราย ดังนั้นผู้สมัครรายนั้นจะต้องไม่ชนะการเลือกตั้ง" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่เข้าเกณฑ์นี้[34]
เกณฑ์ความเป็นอิสระของตัวเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
เกณฑ์ความเป็นอิสระของตัวเลือกที่ไม่เกี่ยวข้องกัน (Independence of irrelevant alternatives criterion) ระบุว่า "ผลการเลือกตั้งจะคงไม่เปลี่ยนแปลงไปถึงแม้ว่าผู้สมัครรายหนึ่งที่ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้เข้าลงแข่งขันในการเลือกตั้ง" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่เข้าเกณฑ์นี้
เกณฑ์ความเป็นอิสระของตัวโคลน
เกณฑ์ความเป็นอิสระของตัวโคลน (Independence of clones criterion) ระบุว่า "ผลการเลือกตั้งจะคงไม่เปลี่ยนแปลงหากแม้ว่าจะมีผู้สมัครที่เหมือนกันและได้รับความนิยมพอๆ กันตัดสินใจลงแข่งเลือกตั้ง" ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดไม่เข้าเกณฑ์นี้
Remove ads
รายชื่อประเทศที่ใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด
สรุป
มุมมอง
รายชื่อประเทศดังต่อไปนี้ยังใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด (First-past-the-post) สำหรับการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในระดับชาติ[35][36]
แอนทีกาและบาร์บิวดา
อาร์เจนตินา
อาเซอร์ไบจาน
บาฮามาส
บาร์เบโดส
บังกลาเทศ
เบลีซ
เบอร์มิวดา (สหราชอาณาจักร)
ภูฏาน
บอตสวานา
บราซิล (วุฒิสภากลาง)
แคนาดา (สภาสามัญชน)
หมู่เกาะเคย์แมน (สหราชอาณาจักร)
โกตดิวัวร์
หมู่เกาะคุก (นิวซีแลนด์)
ดอมินีกา
เอริเทรีย
เอสวาตินี
เอธิโอเปีย
แกมเบีย
กานา
กรีเนดา
อินเดีย(เฉพาะโลกสภาเท่านั้น)
อิหร่าน (เฉพาะสมาชิกในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเขตละคนในสภาคอบเรกาน)
อิรัก
จาเมกา
เคนยา
คูเวต
ลาว
ไลบีเรีย
หมู่เกาะมาร์แชลล์
มัลดีฟส์
มาลาวี
มาเลเซีย
มอริเชียส
ไมโครนีเชีย
พม่า
ไนจีเรีย
นีวเว (นิวซีแลนด์)
โอมาน
ปากีสถาน
ปาเลา
โปแลนด์ (วุฒิสภา)
เซนต์คิตส์และเนวิส
เซนต์ลูเชีย
เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
ซามัว
เซเชลส์
สิงคโปร์ (สำหรับประเภทแบ่งเขตเลือกตั้งแบบผู้แทนเขตละคน (SMCs) แต่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตหลายเบอร์)
เซียร์ราลีโอน
หมู่เกาะโซโลมอน
เกาหลีใต้ (253 ที่นั่งจากทั้งหมด 300 ที่นั่ง)
ไต้หวัน (73 ที่นั่งจากทั้งหมด 113 ที่นั่ง)
ตองงา
ตรินิแดดและโตเบโก
ตูวาลู
ยูกันดา
สหราชอาณาจักร
สหรัฐ
หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ (สหรัฐอเมริกา)
หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (สหราชอาณาจักร)
เยเมน
แซมเบีย
Remove ads
รายชื่อประเทศที่เคยใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในอดีต
อาร์เจนตินา (สภาผู้แทนราษฎรใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ โดยมีเพียงสองครั้งที่ใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุด โดยครั้งแรกระหว่างปีค.ศ. 1902 และ 1905 โดยใช้เพียงแค่สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีค.ศ. 1904[37] และครั้งที่สองระหว่างปีค.ศ. 1951 และ 1957 โดยใช้เพียงแค่ในการเลือกตั้งทั่วไปปีค.ศ. 1951 และ 1954)[38]
ออสเตรเลีย (เปลี่ยนไปใช้การลงคะแนนแบบหลายรอบในทันทีในปีค.ศ. 1918 และสำหรับวุฒิสภาเปลี่ยนเป็นแบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1948)
เบลเยียม (เริ่มใช้เมื่อปีค.ศ. 1831 ต่อมาเปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อในปีค.ศ. 1899)-[39] ส่วนสมาชิกรัฐสภายุโรปสำหรับคณะผู้เลือกตั้งประชาคมผู้ใช้ภาษาเยอรมันยังคงใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดอยู่[40]
ไซปรัส (เปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนในปีค.ศ. 1981)
เดนมาร์ก (เปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนในปีค.ศ. 1920)
ฮ่องกง (เริ่มใช้เมื่อปีค.ศ. 1995 และเปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อในปีค.ศ. 1998)
ญี่ปุ่น (เปลี่ยนไปใช้ระบบคู่ขนานในการเลือกตั้งปีค.ศ. 1993)
เลบานอน (เปลี่ยนไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนในปีค.ศ. 2017)
เลโซโท (เปลี่ยนไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมและระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อในปีค.ศ. 2002)
มอลตา (เปลี่ยนไปใช้แบบถ่ายโอนคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1921)
เม็กซิโก (เปลี่ยนไปใช้ระบบคู่ขนานในปีค.ศ. 1977)
เนปาล (เปลี่ยนไปใช้ระบบคู่ขนาน)[41]
เนเธอร์แลนด์ (เปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อในปีค.ศ. 1917)[42]
นิวซีแลนด์ (เปลี่ยนไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมในปีค.ศ. 1996)
ปาปัวนิวกินี (เปลี่ยนไปใช้การลงคะแนนแบบหลายรอบในทันทีในปีค.ศ. 2002)[43]
ฟิลิปปินส์ (เปลี่ยนไปใช้ระบบคู่ขนานในปีค.ศ. 1998 สำหรับสภาผู้แทนราษฎร และระบบแบ่งเขตหลายเบอร์ในปีค.ศ. 1941 สำหรับวุฒิสภา)
โปรตุเกส (เปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ)[44]
แอฟริกาใต้ (เปลี่ยนไปใช้ระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อในปีค.ศ. 1996)
แทนซาเนีย (เปลี่ยนไปใช้ระบบคู่ขนานในปีค.ศ. 1995)
Remove ads
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads