คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ความผิดปกติทางอารมณ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ความผิดปกติทางอารมณ์
Remove ads

ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวน (อังกฤษ: Mood disorder, mood affective disorders) เป็นกลุ่มอาการที่อารมณ์แปรปรวนเป็นอาการหลัก[1] การจำแนกโรคเช่นนี้มีอยู่ในทั้งคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) และบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง (ICD) ความผิดปกติจะจัดอยู่ในกลุ่มพื้นฐาน 3 กลุ่ม คือ

  • กลุ่มอารมณ์ครึกครื้นเช่น อาการฟุ้งพล่าน (mania) หรืออาการเกือบฟุ้งพล่าน (hypomania)
  • กลุ่มอารมณ์ซึมเศร้า เช่นที่รู้จักดีที่สุดและมีงานวิจัยมากที่สุดคือโรคซึมเศร้า (MDD)
  • กลุ่มอารมณ์กลับไปกลับมาระหว่างระยะฟุ้งพล่านกับระยะซึมเศร้าที่รู้จักกันว่าโรคอารมณ์สองขั้ว (BD)
ข้อมูลเบื้องต้น ความผิดปกติทางอารมณ์ (Mood disorder), ชื่ออื่น ...
Thumb
มีความผิดปกติทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อผู้ที่ใช้อำนาจในทุกรูปแบบ ซึ่งกลุ่มอาการโอหัง megalomania hamartia หรือการหลงตัวเองมีความโดดเด่น

มีกลุ่มย่อย ๆ ของกลุ่มโรคซึมเศร้า (depressive disorders) หรือว่าอาการทางจิตเวชอื่น ๆ ที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่า เช่น dysthymia (คล้ายกับโรคซึมเศร้าแต่เบากว่า) และ cyclothymia (คล้ายกับ BD แต่เบากว่า)[2][ต้องการเลขหน้า] ความผิดปกติอาจเกิดจากสารหรือเป็นการตอบสนองต่ออาการของโรคอื่น ๆ

จิตแพทย์ชาวอังกฤษเสนอหมวดโรคที่ครอบคลุมเรียกว่า affective disorder ในปี พ.ศ. 2477[3] ต่อมาจึงแทนด้วยชื่อว่า mood disorder เพราะคำหลังหมายถึงสภาวะทางอารมณ์ที่เป็นเหตุโดยตรง[4] เทียบกับคำแรกซึ่งหมายถึงการแสดงออกภายนอกที่คนอื่นสังเกตเห็นได้[1]

Remove ads

หมวดหมู่

สรุป
มุมมอง

โรคซึมเศร้า

  • โรคซึมเศร้า (major depressive disorder ตัวย่อ MDD) เป็นโรคที่บุคคลมีคราวซึมเศร้า (major depressive episode) หนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ดังนั้น หลังจากมีคราวซึมเศร้าครั้งเดียว ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า (คราวเดียว) และหลังจากคราวแรก ก็จะวินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า (ซ้ำ) โรคซึมเศร้าที่ไร้ระยะฟุ้งพล่าน (mania) บางครั้งเรียกว่าโรคซึมเศร้าขั้วเดียว (unipolar depression) เพราะอารมณ์ติดอยู่ที่ขั้วอารมณ์ซึมเศร้า โดยไม่ย้ายไปที่ขั้วอารมณ์ฟุ้งพล่านเหมือนกับที่พบในโรคอารมณ์สองขั้ว (BD)[5]
    บุคคลที่มีคราวซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้ามีโอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงขึ้น การหาความช่วยเหลือและการรักษาจากแพทย์พยาบาลช่วยลดโอกาสเสี่ยงอย่างสำคัญ และงานวิจัยก็แสดงว่า การถามคนซึมเศร้าหรือสมาชิกในครอบครัวว่าคิดฆ่าตัวตายหรือไม่ เป็นวิธีที่มีประสิทธิผลในการระบุบุคคลที่เสี่ยง และไม่เป็นการชี้ทางหรือเพิ่มโอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายโดยประการทั้งปวง[6]
    งานศึกษาทางวิทยาการระบาดในยุโรปแสดงว่า ในปัจจุบัน ประชากรประมาณ 8.5% ของโลกมีโรคซึมเศร้า ไม่มีวัยใดที่ยกเว้น งานศึกษาได้แสดงว่า โรคปรากฏในทารกตั้งแต่ 6 เดือนเพราะถูกพรากจากมารด[7]
  • กลุ่มโรคซึมเศร้า (depressive disorders) เป็นสิ่งที่พบบ่อยในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิหรือในการรักษาพยาบาลทั่วไปแม้บ่อยครั้งก็ตรวจจับไม่ได้เหมือนกัน โรคที่ไม่ได้วินิจฉัยอาจจะทำให้คนไข้ฟื้นสภาพได้ไม่ดีหรือทำพยากรณ์โรคอื่นทางกายให้แย่ลง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญว่า แพทย์ทุกคนควรสามารถวินิจฉัยโรค รักษากรณีที่ไม่รุนแรง และระบุคนไข้ที่จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางได้[8]
    ผู้วินิจฉัยสามารถจำแนกแบบต่าง ๆ ของโรค โดยเป็นแบบย่อยหรือโดยวิถีการดำเนินของโรค คือ
    • Atypical depression (AD แปลได้ว่าโรคซึมเศร้านอกแบบ) กำหนดโดยการมีปฏิกิริยาเป็นอารมณ์ดีต่อเหตุการณ์ที่ดีหรือเหตุการณ์ที่น่ายินดี (mood reactivity) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญหรือความอยากอาหารเพิ่มขึ้น (โดยรับประทานเพื่อให้สบายใจ) การนอนมากเกินไปหรือรู้สึกง่วงนอนมาก (hypersomnia) แขนขาหนัก และความพิการทางสังคมในระดับสำคัญเนื่องจากความอ่อนไหวต่อการไม่ยอมรับทางสังคม[9] ปัญหาการระบุแบบย่อยนี้ทำให้น่าสงสัยว่า สมเหตุผลหรือไม่ และมีความชุกแค่ไหน[10]
    • Melancholic depression (โรคซึมเศร้ารุนแรง) กำหนดโดยการสูญเสียความสุขในกิจกรรมเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมด (anhedonia) คือไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่น่าชอบใจ เป็นความซึมเศร้าที่รุนแรงกว่าความเศร้าโศกหรือการสูญเสียทั่ว ๆ ไป โดยมีอาการแย่ลงในช่วงเช้า ๆ, ตื่นเช้า, เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง, น้ำหนักลดอย่างผิดปกติ (โดยไม่ควรสับสนกับโรคเบื่ออาหารสาเหตุทางจิตใจ [anorexia nervosa]) และรู้สึกผิดอย่างไม่สมเหตุผล[11]
    • Psychotic major depression (PMD แปลได้ว่าโรคซึมเศร้าที่มีอาการโรคจิต) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า psychotic depression เป็นคำเรียกคราวซึมเศร้าโดยเฉพาะแบบรุนแรง (melancholic) ที่คนไข้มีอาการโรคจิต (psychotic) เช่น อาการหลงผิด (delusion) และประสาทหลอน (hallucination) ที่เกิดน้อยกว่า และมักจะเป็นไปตามอารมณ์ คือเป็นไปตามเรื่องที่ทำให้เศร้า[12]
    • Catatonic depression (โรคซึมเศร้าที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหว) เป็นรูปแบบโรคซึมเศร้าที่น้อยแต่รุนแรงที่คนไข้มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวและอาการอื่น ๆ คนไข้จะไม่พูดและมีอาการกึ่งโคม่า (stuporose) และจะไม่เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวแบบไม่มีจุดหมายหรือแปลก ๆ แต่อาการเช่นนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยในโรคจิตเภท หรือในระยะฟุ้งพล่านของโรคอารมณ์สองขั้ว หรืออาจเกิดเพราะกลุ่มอาการร้ายจากยารักษาโรคจิต (neuroleptic malignant syndrome)[13]
    • ความซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression ตัวย่อ PPD) ถือเป็นวิถีดำเนินของโรค (course specifier) ใน DSM-IV-TR โดยหมายถึงความซึมเศร้าที่รุนแรง คงยืน และบางครั้งก่อความพิการ ที่ประสบโดยหญิงหลังคลอดบุตร โดยคุณแม่มีอัตราที่ 10-15% ปกติเริ่มภายใน 3 เดือนหลังคลอด และอาจคงยืนถึง 3 เดือน[14] แม้เป็นเรื่องสามัญที่คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อยและเศร้าใน 2-3 อาทิตย์แรกหลังจากคลอด แต่ความซึมเศร้าหลังคลอดจะต่างกันเพราะเป็นเหตุให้เป็นทุกข์และให้ใช้ชีวิตเป็นปกติไม่ได้ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน ในสถานศึกษา และอาจจะมีปัญหาความสัมพันธ์กับสมาชิกครอบครัว กับคู่ชีวิต กับเพื่อน หรือแม้แต่ปัญหาสร้างความผูกพันกับทารกที่เกิดใหม่[15] ในการรักษาความซึมเศร้าหลังคลอดและความซึมเศร้าขั้วเดียวอื่น ๆ สำหรับหญิงที่กำลังให้นม โดยทั่วไปแล้วพิจารณาว่าควรเลือกยา nortriptyline, paroxetine และ sertraline[16] หญิงที่มีประวัติส่วนตัวหรือประวัติสมาชิกครอบครัวว่ามีความผิดปกติทางอารมณ์ จะมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะต่อความซึมเศร้าหลังคลอด[17]
    • โรคอารมณ์ละเหี่ยก่อนประจำเดือน (premenstrual dysphoric disorder, PMDD) เป็นกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (premenstrual syndrome) แบบรุนแรงและทำให้พิการโดยมีผลต่อหญิงวัยมีประจำเดือน 3-8%[18] ความผิดปกติประกอบด้วย "กลุ่มอาการทางอารมณ์ พฤติกรรม และทางกาย" ซึ่งเกิดซ้ำ ๆ ทุกเดือนในระยะ luteal ของรอบประจำเดือน[A][18] PMDD ได้เพิ่มในรายการโรคซึมเศร้าของ DSM ในปี พ.ศ. 2556 พยาธิกำเนิดของโรคนี้ยังไม่ชัดเจนและเป็นประเด็นงานวิจัยที่ยังทำอย่างแอ๊กถีฟ โรครักษาด้วยยาแก้ซึมเศร้าที่ปรับระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินโดยยับยั้งการดูดซึมเซโรโทนินเข้าไปใช้อีก และด้วยการคุมกำเนิดที่ระงับการตกไข่[18][19]
    • ความผิดปกติทางอารมณ์ตามฤดู (Seasonal affective disorder หรือ SAD) ถือเป็นวิถีการดำเนินของโรค สำหรับบางคนเป็นรูปแบบความซึมเศร้าที่แสดงออกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว และหายไปในฤดูใบไม้ผลิ จะใช้วินิจฉัยนี้ถ้ามีคราวแสดงออกของโรคอย่างน้อย 2 คราวในฤดูหนาวและไม่มีคราวที่เป็นในฤดูอื่น ๆ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี[20] มีสมมติฐานที่สามัญว่า คนที่อยู่ในประเทศที่มีละติจูดสูงกว่ามักจะได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าในช่วงฤดูหนาว และดังนั้นจึงประสบ SAD ในอัตราที่สูงกว่า แต่หลักฐานทางวิทยาการระบาดสำหรับสมมติฐานนี้ไม่หนักแน่น (และละติจูดก็ไม่ใช่ตัวกำหนดตัวเดียวของการได้รับแสงอาทิตย์ในช่วงฤดูหนาว) อนึ่ง SAD ยังมีความชุกสูงกว่าในคนอายุน้อยและหญิงมักจะเป็นมากกว่าชาย[21] นักวิชาการบางพวกเชื่อว่า โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยแสง (light therapy)[22]
    • Dysthymia (ภาวะอารมณ์ซึมเศร้า) เป็นโรคที่สัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าขั้วเดียว โดยมีปัญหาทางกายและทางประชานที่คล้ายกัน แต่รุนแรงน้อยกว่าและมักจะเป็นนานกว่า (ปกติอย่างน้อย 2 ปี)[23] การรักษาโดยมากเหมือนกับโรคซึมเศร้า รวมทั้งให้ยาแก้ซึมเศร้าและจิตบำบัด[24]
    • Double depression กำหนดว่าเป็นภาวะอารมณ์ซึมเศร้า (dysthymia) ที่คงยืนอย่างน้อย 2 ปี แต่ขัดจังหวะด้วยการผ่านเกณฑ์โรคซึมเศร้าในระหว่าง ๆ[23]
    • Depressive Disorder Not Otherwise Specified (DD-NOS) กำหนดโดย DSM-IV ว่ามีรหัส 311 สำหรับโรคซึมเศร้าที่ทำให้พิการแต่ไม่เข้ากับเกณฑ์วินิจฉัยอื่น ๆ ตาม DSM-IV โรคแบบ DD-NOS จะรวม "โรคซึมเศร้าที่ไม่ผ่านเกณฑ์โดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง" ซึ่งรวมการวินิจฉัยที่ยังต้องวิจัย คือ recurrent brief depression (โรคซึมเศร้าสั้นซ้ำ ๆ) และ minor depressive disorder ดังจะกล่าวต่อไป
    • Depressive personality disorder (DPD แปลได้ว่า ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบซึมเศร้า) เป็นเกณฑ์วินิจฉัยที่สร้างความขัดแย้งที่หมายเอาความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่มีอาการซึมเศร้า ซึ่งดั้งเดิมรวมอยู่ใน DSM-II แต่ได้เอาออกจาก DSM-III และ DSM-III-R[25] แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ หมวดนี้ได้รับพิจารณาเพื่อใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ภาคผนวก B ใน DSM-IV-TR กำหนด Depressive personality disorder ว่าเป็นอาการที่ควรจะศึกษาต่อไป
    • Recurrent brief depression (RBD) ต่างกับโรคซึมเศร้าโดยระยะเวลาที่อาการคงยืน คนไข้ RBD มีคราวซึมเศร้าเดือนละครั้งโดยประมาณ แต่ละครั้งมีระยะน้อยกว่า 2 อาทิตย์ และปกติน้อยกว่า 2-3 วัน การวินิจฉัยว่ามี RBD บังคับว่า ต้องมีคราวซึมเศร้าเกิดขึ้นเป็นช่วงเวลา 1 ปี และในหญิง ต้องเกิดเป็นอิสระจากรอบประจำเดือน[26] คนไข้โรคซึมเศร้าสามารถเกิดโรค RBD และนัยตรงข้ามก็จริงด้วย และโรคทั้งสองก็มีความเสี่ยงคล้าย ๆ กัน[27][โปรดขยายความ]
    • Minor depressive disorder หรือเรียกสั้น ๆ ว่า minor depression หมายถึงความซึมเศร้าที่ไม่ถึงเกณฑ์โรคซึมเศร้า (MDD) แต่มีอาการอย่างน้อย 2 อย่างเป็นเวลา 2 สัปดาห์[28]

โรคอารมณ์สองขั้ว

โรคอารมณ์สองขั้ว (BD, manic depression, manic-depressive disorder) เป็นสภาวะทางอารมณ์ที่ไม่เสถียรเป็นวงจรประกอบด้วยอารมณ์ครึกครื้น คืออาการฟุ้งพล่าน (mania) ที่คงยืนและผิดปกติ สลับกับอารมณ์ซึมเศร้า[29] ซึ่งเคยรู้จักในชื่อว่า "manic depression" และในบางราย จะมีวงจรที่สลับขั้วอย่างรวดเร็ว หรือมีอารมณ์ผสมผเสกัน หรือมีอาการโรคจิต (psychosis)[30] โรคแบ่งเป็นหมวดย่อย ๆ รวมทั้ง

  • Bipolar I จำแนกโดยการมีประวัติหรือมีคราวอารมณ์ฟุ้งพล่านหรือคราวอารมณ์ผสมผเส และมีหรือไม่มีคราวซึมเศร้าด้วย การมีคราวซึมเศร้าไม่จำเป็นเพื่อเกณฑ์วินิจฉัยนี้ แต่ก็มักจะเป็นส่วนของการดำเนินโรค
  • Bipolar II ประกอบด้วยภาวะเกือบฟุ้งพล่าน (hypomania) สลับกับคราวซึมเศร้าหรือคราวอารมณ์ผสมผเสที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
  • Cyclothymia เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคอารมณ์สองขั้ว ประกอบด้วยคราวอารมณ์เกือบฟุ้งพล่าน (hypomania) สลับกับอารมณ์เกือบซึมเศร้า (dysthymia) แต่ไม่มีทั้งคราวฟุ้งพล่านหรือคราวซึมเศร้าสมบูรณ์แบบ
  • Bipolar Disorder Not Otherwise Specified (BD-NOS) หรือบางครั้งเรียกว่าโรคอารมณ์สองขั้วแบบเกือบถึงเกณฑ์ (sub-threshold) ซึ่งแสดงว่า คนไข้ต้องมีอาการแบบเดียวกับที่พบในโรค (คือ อารมณ์ฟุ้งพล่านและ/หรืออารมณ์ซึมเศร้า) แต่ไม่ผ่านเกณฑ์การวินิจฉัย DSM-IV อื่น ๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว

ประเมินว่า ประมาณ 1% ของประชากรผู้ใหญ่มีโรค bipolar I, อีก 1% มีโรค bipolar II หรือ cyclothymia และอีกประมาณ 2-5% มีโรคแบบเกือบถึงเกณฑ์ (sub-threshold) นอกจากนั้นแล้ว โอกาสมีโรคเมื่อพ่อหรือแม่คนหนึ่งมี อยู่ที่ระหว่าง 15-30% และถ้าทั้งพ่อแม่มี โอกาสอยู่ที่ 50-75% ในระหว่างพี่น้อง โอกาสเสี่ยงอยู่ที่ 15-25% แต่ถ้าเป็นแฝดเหมือน โอกาสอยู่ที่ 70%[31]

คนไข้ส่วนน้อยจะมีพรสวรรค์ เช่น ความคิดสร้างสรรค์สูง อารมณ์ศิลป์ หรือความสามารถอื่น ๆ ในช่วงที่อาการไม่รุนแรง ลักษณะของอาการฟุ้งพล่านต่าง ๆ รวมทั้งพละกำลัง ความทะเยอทะยาน ความกระตือรือร้น และความรู้สึกเก่งบ่อยครั้งจะช่วยให้คนไข้ได้สร้างผลงานชิ้นเอกของชีวิต[29] มีหลักฐานบ้างว่า คนที่ทำอาชีพในเรื่องสร้างสรรค์มีโรคอารมณ์สองขั้วในอัตราสูงกว่าในอาชีพอื่น ๆ[32]

โรคที่เกิดจากสาร

ความผิดปกติทางอารมณ์สามารถจัดเป็นแบบที่เกิดจากสาร (substance-induced) ถ้าสมุฏฐานของโรคสามารถสืบไปยังผลทางสรีรภาพโดยตรงของยาที่มีฤทธิ์ทางจิต (psychoactive drug) หรือสารเคมีอื่น ๆ หรือว่า โรคเกิดพร้อมกับสารเป็นพิษ (substance intoxification) หรือการขาดสาร นอกจากนั้นแล้ว บุคคลอาจจะมีความผิดปกติทางอารมณ์พร้อมกับการติดสารเสพติด (substance abuse) บางอย่าง ความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดจากสารอาจมีคราวฟุ้งพล่าน เกือบฟุ้งพล่าน อารมณ์ผสมผเส หรือคราวซึมเศร้า สารโดยมากสามารถก่อความผิดปกติทางอารมณ์หลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น สารกระตุ้นเช่นแอมเฟตามีน, methamphetamine, และโคเคน สามารถก่อทั้งคราวฟุ้งพล่าน เกือบฟุ้งพล่าน อารมณ์ผสมผเส และคราวซึมเศร้า[33]

เกิดจากเหล้า

มีอัตราโรคซึมเศร้าสูงในบุคคลที่ดื่มเหล้าหนักหรือที่ติดเหล้า เคยมีประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับว่าคนที่ใช้เหล้าในทางผิดแล้วเกิดความซึมเศร้า ความจริงแล้วกำลังให้ยาตัวเองสำหรับอาการซึมเศร้าที่มีมาก่อน ๆ แต่งานศึกษาเมื่อไม่นานนี้สรุปว่า แม้นี่อาจจะจริงในบางราย การใช้เหล้าอย่างผิด ๆ เป็นเหตุโดยตรงของการเกิดโรคซึมเศร้าในผู้ดื่มเหล้าหนักเป็นจำนวนมาก ผู้ร่วมการทดลองในงานศึกษานี้ได้ประเมินในช่วงที่มีเหตุการณ์เครียดในชีวิตด้วยแบบวัดความรู้สึกที่ไม่ดี (Feeling Bad Scale) และโดยนัยเดียวกัน มีการประเมินความสัมพันธ์กับการมีเพื่อนที่ผิดปกติ (deviant) ความว่างงาน และการเสพยาเสพติดหรือพฤติกรรมอาชญากรรมของคู่ชีวิต[34][35][36] อัตราการฆ่าตัวตายก็สูงด้วยในบุคคลที่มีปัญหาเรื่องเหล้า[37]

ปกติจะสามารถจำแนกความซึมเศร้าที่เกี่ยวกับเหล้าและที่ไม่เกี่ยวโดยสืบประวัติคนไข้อย่างละเอียด[36][38][39] ความซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการกินเหล้าอาจจะมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสมอง และมักจะดีขึ้นเองหลังจากอดเหล้าสักพักหนึ่ง[40]

เกิดจากยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน

ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน เช่น alprazolam, คโลนะเซแพม, lorazepam และ diazepam สามารถเป็นเหตุของทั้งอารมณ์ซึมเศร้าและอารมณ์ฟุ้งพล่าน[41]

ยากลุ่มนี้ใช้อย่างสามัญเพื่อรักษาโรควิตกกังวล โรคตื่นตระหนก การนอนไม่หลับ และใช้เป็นยาเสพติด บุคคลที่มีโรคเหล่านี้มักจะมีอารมณ์และความคิดเชิงลบ อารมณ์ซึมเศร้า ความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย และบ่อยครั้งจะมีโรคซึมเศร้าเป็นไปร่วม แม้ฤทธิ์คลายกังวล (anxiolytic) และฤทธิ์ให้นอนหลับ (hypnotic) ของยาจะหายไปเมื่อคนไข้ชินยา แต่ความซึมเศร้าและความหุนหันพลันแล่นพร้อมกับโอกาสเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงก็กลับคงยืนโดยสามัญ[42] โชคไม่ดีว่า อาการเหล่านี้ "มักตีความว่า เป็นความแย่ลงหรือเป็นวิถีดำเนินตามธรรมชาติของโรคที่มีอยู่แล้วและ [ดังนั้น] จึงมองข้ามเหตุคือการใช้ยาเพื่อระงับประสาทเป็นประจำไป"[42] ยากลุ่มนี้ไม่ช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า สามารถทำโรคที่มีอยู่ให้แย่ลง สามารถเป็นเหตุแห่งความซึมเศร้าในบุคคลที่โดยประวัติไม่เคยมีโรค และอาจทำให้พยายามฆ่าตัวตาย[42][43][44][45][46] ปัจจัยเสี่ยงสำหรับการพยายามหรือการฆ่าตัวตายสำเร็จเมื่อใช้ยารวมทั้ง กินยาขนาดสูง (แม้เมื่อไม่ได้กินยาอย่างไม่สมควร) ยาเป็นพิษ และโรคซึมเศร้าที่เป็นมูลฐาน[41][47][48]

การใช้ยาในระยะยาวอาจมีผลต่อสมองคล้ายกับเหล้า และเป็นเหตุของโรคซึมเศร้าด้วยเหมือนกัน[49] และเหมือนกับเหล้า ผลของยาต่อระบบเคมีประสาท รวมทั้งการทำงานที่ลดลงของระบบเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน เชื่อว่าเป็นเหตุของความซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น[50][51][52][53][54][55]

นอกจากนั้นแล้ว ยายังสามารถทำให้อารมณ์แย่ลงโดยอ้อมเพราะนอนได้แย่ลง (benzodiazepine-induced sleep disorder) คือเหมือนกับเหล้า ยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีนแม้สามารถช่วยให้นอนหลับ แต่ก็กวนรูปแบบของการนอนด้วย คือ ลดระยะเวลานอน ผัดผ่อนช่วงการนอนแบบ REM sleep และลดเวลาของช่วงที่หลับลึกที่สุด (slow-wave sleep) ซึ่งเป็นช่วงที่ช่วยฟื้นสภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจมากที่สุด[56][57][58]

เหมือนกับที่ยาแก้ซึมเศร้าบางอย่างสามารถเป็นเหตุหรือทำความวิตกกังวลในคนไข้บางคนให้แย่ลงเพราะมีฤทธิ์กระตุ้น เบ็นโซไดอาเซพีนสามารถเป็นเหตุหรือทำความซึมเศร้าให้แย่ลงเพราะเป็นยาระงับระบบประสาทกลาง และทำให้การคิด สมาธิ และการแก้ไขปัญหาแย่ลง (ซึ่งเป็นอาการของ benzodiazepine-induced neurocognitive disorder)[41] แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ ผลกระตุ้นของยาแก้ซึมเศร้าปกติจะดีขึ้นเมื่อการรักษาดำเนินต่อไป เทียบกับผลให้เกิดความซึมเศร้าของยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน ที่โอกาสดีขึ้นนั้นมีน้อยจนกว่าจะหยุดยา

ในงานศึกษาระยะยาวที่ติดตามคนไข้ที่ติดยากลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน พบว่า คนไข้ 10 คน (20%) ได้ตั้งใจทานยาเกินเมื่อใช้ยาในระยะยาวแม้จะมีคนไข้เพียง 2 คนที่มีอาการซึมเศร้ามาก่อน แต่หลังจากการค่อย ๆ หยุดยาในช่วงปีหนึ่ง ก็ไม่มีคนไข้อื่นที่ทานยาเกินอีก[59]

เหมือนกับอาการยาเป็นพิษหรือเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน การขาดยาเบ็นโซไดอาเซพีนก็สามารถเป็นเหตุของโรคซึมเศร้าได้ด้วย[60][61][62] แม้ความซึมเศร้าเนื่องจากยา (benzodiazepine-induced depressive disorder) จะแย่ลงทันทีที่เลิกใช้ยา แต่หลักฐานก็แสดงว่า อารมณ์จะดีขึ้นหลังจากผ่านช่วงขาดยา โดยดีกว่าในช่วงใช้ยาอย่างสำคัญ[42] โรคซึมเศร้าที่เกิดจากการขาดยาปกติจะหายภายใน 2-3 เดือนแต่ในบางกรณีอาจจะคงยืนนานถึง 6-12 เดือน[63][64]

เนื่องจากความเจ็บป่วยอื่น ๆ

การวินิจฉัย Mood disorder due to a general medical condition ใช้ใน DSM-IV เพื่อระบุคราวฟุ้งพล่านหรือคราวซึมเศร้าซึ่งเกิดเป็นส่วนของอาการทางการแพทย์อย่างอื่น ๆ[65] ซึ่งมีหลายอย่างที่สามารถจุดชนวนคราวซึมเศร้า รวมทั้ง[65]

Not otherwise specified

Mood disorder not otherwise specified (MD-NOS) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ที่ทำให้พิการแต่ไม่เข้ากับเกณฑ์วินิจฉัยอื่น ๆ DSM-IV กล่าวถึง MD-NOS ว่าเป็น "ความผิดปกติทางอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์ความผิดปกติเฉพาะอย่างหนึ่ง"[66] เป็นป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ใช้ในการรักษาแต่ใช้เพื่อเก็บสถิติ[67]

กรณีโดยมากของ MD-NOS เป็นลูกผสมระหว่างความผิดปกติทางอารมณ์และความวิตกกังวล เช่น mixed anxiety-depressive disorder (โรควิตกกังวล-ซึมเศร้าแบบผสม) หรือ atypical depression (โรคซึมเศร้านอกแบบ)[67] ตัวอย่างหนึ่งของ MD-NOS ก็คือ การมีความซึมเศร้าแบบอ่อน ๆ (minor) บ่อย ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น ครั้งหนึ่งต่อเดือนหรือครั้งหนึ่งทุกสามวัน[66] มีความเสี่ยงว่า แพทย์จะไม่สังเกตเห็น MD-NOS และดังนั้นโรคก็จะไม่ได้รักษา[68]

Remove ads

เหตุ

งานวิเคราะห์อภิมานได้แสดงว่า การได้คะแนนบุคลิกภาพเป็นคนวิตกจริต (neuroticism) สูงเป็นตัวพยากรณ์ที่มีกำลังในการเกิดความผิดปกติทางอารมณ์[69] นักวิชาการจำนวนหนึ่งได้เสนอว่า ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นการปรับตัวทางวิวัฒนาการ[70] คือ อารมณ์ซึมเศร้าอาจเพิ่มสมรรถภาพในการรับมือกับสถานการณ์ที่ความพยายามทำให้ถึงเป้าหมายสำคัญอาจมีผลเป็นอันตราย การสูญเสีย หรือเสียแรงเปล่า[71] ในสถานการณ์เช่นนี้ ความไม่กระตือรือร้นอาจเป็นข้อดีเพราะช่วยระงับไม่ให้ทำอะไรบางอย่าง ทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายว่า ทำไมเหตุการณ์ร้ายในชีวิตจึงมาก่อนโรคซึมเศร้าในกรณีราว ๆ 80%[72][73] และทำไมจึงเกิดกับคนในช่วงชีวิตที่กำลังเจริญพันธุ์มากที่สุด ลักษณะเหล่านี้อธิบายได้ยากถ้าความซึมเศร้าเป็นการทำงานผิดปกติ[71]

อารมณ์ซึมเศร้าเป็นการตอบสนองที่พยากรณ์ได้ต่อเหตุการณ์ในชีวิตบางอย่าง เช่นการสูญเสียสถานะ การหย่าร้าง หรือการเสียชีวิตของลูกหรือคู่ชีวิต ซึ่งล้วนเป็นการสูญเสียสมรรถภาพหรือโอกาสทางการสืบพันธุ์ หรือว่าเคยเป็นของบรรพบุรุษมนุษย์ อารมณ์ซึมเศร้าจึงอาจมองว่าเป็นการตอบสนองที่เป็นการปรับตัว เพราะช่วยให้บุคคลหันหลังให้กับพฤติกรรมซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จทางการสืบพันธุ์ที่เคยมีแต่ก่อน

อารมณ์ซึมเศร้ายังเป็นเรื่องสามัญเมื่อป่วย เช่น เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น จึงอ้างว่านี่เป็นกลไกทางวิวัฒนาการที่ช่วยบุคคลให้ฟื้นสภาพโดยจำกัดกิจกรรมทางกาย[74]

การเกิดความซึมเศร้าในระดับต่ำในช่วงฤดูหนาว หรือที่พบในโรคซึมเศร้าตามฤดู (seasonal affective disorder) อาจเป็นการปรับตัวที่ดีในอดีต คือช่วยจำกัดกิจกรรมทางกายในช่วงที่อาหารมีน้อย[74] จึงอ้างว่า มนุษย์ยังเหลือสัญชาตญาณที่จะมีอารมณ์ซึมเศร้าในฤดูหนาว แม้ภูมิอากาศจะไม่ได้กำหนดการได้อาหารอีกต่อไป[74]

ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับอิทธิพลของพันธุกรรมต่อโรคซึมเศร้าอาศัยงานวิจัยที่ทำกับแฝดเหมือน เพราะมีรหัสพันธุกรรมที่เหมือนกันอย่างสมบูรณ์ งานวิจัยพบว่า เมื่อแฝดคนหนึ่งเกิดโรคซึมเศร้า อีกคนหนึ่งก็จะเกิดโรคเหมือนกันในอัตรา 76% และเมื่อแฝดเหมือนเติบโตขึ้นในคนละบ้าน ทั้งสองจะเป็นโรคทั้งคู่ในอัตรา 67% เนื่องจากแฝดทั้งคู่เกิดโรคในอัตราที่สูงเช่นนี้ นี่หมายความว่า อิทธิพลทางพันธุกรรมต่อโรคสูงมาก และถ้าสมมุติว่า เมื่อแฝดคนหนึ่งเกิดโรค อีกคนหนึ่งก็จะเกิดโรคอย่างแน่นอน นี่ก็น่าจะหมายความว่าความซึมเศร้าเกิดจากพันธุกรรมร้อยเปอร์เซ็นต์[75]

Remove ads

เกณฑ์วินิจฉัย

DSM-5

DSM-5 ที่เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 ได้แยกบทเรื่องความผิดปกติทางอารมณ์ที่พบใน DSM-IV-TR ออกเป็น 2 ภาค คือ Depressive and Related Disorders และ Bipolar and Related Disorders โดยโรคอารมณ์สองขั้วตกอยู่ระหว่างความผิดปกติแบบซึมเศร้า และ Schizophrenia Spectrum and Related Disorders (โรคที่เกี่ยวกับโรคจิตเภท) “เพื่อยอมรับบทบาทของโรคว่าเป็นสะพานเชื่อมเกณฑ์วินิจฉัยสองหมวดโดยอาการ ประวัติครอบครัว และพันธุกรรม[76] รายะละเอียดของโรคอารมณ์สองขั้วใน DSM-5 เปลี่ยนไปหลายอย่าง ที่เด่นที่สุดก็คือการเพิ่มอาการที่เฉพาะเจาะขึ้นเกี่ยวกับสภาวะเกือบฟุ้งพล่าน (hypomanic) และสภาวะอารมณ์ผสมผเส (mixed manic states)

ส่วนกลุ่มโรคซึมเศร้าเปลี่ยนไปมากกว่าอีก โดยเพิ่มโรค 3 อย่าง คือ disruptive mood dysregulation disorder (DMDD), persistent depressive disorder (ก่อนนั้นเรียกว่า dysthymia) และ premenstrual dysphoric disorder (ก่อนหน้านั้นอยู่ในภาคผนวก B ซึ่งกล่าวถึงความผิดปกติที่จำเป็นต้องวิจัยเพิ่มขึ้น) DMDD หมายเป็นวินิจฉัยสำหรับเด็กและวัยรุ่นที่ปกติอาจจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เพื่อจำกัดการวินิจฉัยโรคอารมณ์สองขั้วในบุคคลวัยนี้ โรคซึมเศร้า (MDD) ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดด้วย คือ ได้ตัดข้อยกเว้นเกี่ยวกับความเศร้าโศกที่คนรักเสียชีวิต (bereavement) ออกไป ซึ่งก่อนหน้านั้นยกเว้นบุคคลเช่นนี้จากวินิจฉัยว่าเป็น MDD แต่ตอนนี้จัดว่าเป็นโรคนี้ได้[77]

การรักษา

ความผิดปกติทางอารมณ์รักษาได้หลายวิธี เช่น การบำบัดและการให้ยา พฤติกรรมบำบัด (behaviour therapy) การบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (CBT) และ interpersonal psychotherapy ล้วนอาจมีประโยชน์ในโรคซึมเศร้า[78][79] ยาสำหรับโรคซึมเศร้ารวมทั้งยาแก้ซึมเศร้า ส่วนโรคอารมณ์สองขั้วอาจรวมยาระงับอาการทางจิต ยาที่ทำอารมณ์ให้เสถียร (mood stabilizers) ยากันชัก[80] และ/หรือยาลิเทียม (lithium)

ลิเทียมโดยเฉพาะได้พิสูจน์แล้วว่าลดการฆ่าตัวตายและอัตราการตายเหตุทั้งหมดในคนไข้ที่มีโรคเช่นนี้[81] ถ้าการทำงานผิดปกติของไมโทคอนเดรีย หรือกลุ่มโรคไมโทคอนเดรีย (mitochondrial diseases) เป็นเหตุของความผิดปกติทางอารมณ์เหมือนกับโรคอารมณ์สองขั้ว[82] ก็มีสมมติฐานว่า ยาต่าง ๆ รวมทั้ง N-acetyl-cysteine (NAC), acetyl-L-carnitine (ALCAR), S-adenosylmethionine (SAMe), coenzyme Q10 (CoQ10), alpha-lipoic acid (ALA), creatine monohydrate (CM) และ melatonin อาจเป็นทางเลือกในการรักษา[83]

เพื่อกำหนดวิธีการรักษา มีมาตราความซึมเศร้า (depression scale) หลายแบบที่ใช้ อย่างหนึ่งให้คนไข้รายงานเองซึ่งเรียกว่า Beck Depression Inventory (BDI) อีกอย่างคือ Hamilton Depression Rating Scale (HAMD) โดยเป็นมาตราวัดในคลินิกที่แพทย์พยาบาลสังเกตคนไข้แล้วลงคะแนน[84]

ส่วนมาตรา Center for Epidemiologic Studies Depression Scale (CES-D) ใช้สำหรับอาการซึมเศร้าของประชากรทั่วไป โดยปกติใช้เพื่องานวิจัย และไม่ได้ให้บุคคลรายงานเอง ส่วน PHQ-9 (Patient-Health Questionnaire-9) ก็เป็นแบบคำถามที่คนไข้รายงานเองเช่นกัน และแบบคำถาม Mood Disorder Questionnaire (MDQ) ใช้สำหรับประเมินโรคอารมณ์สองขั้ว[85]

Remove ads

วิทยาการระบาด

ตามงานศึกษาทางวิทยาการระบาดจำนวนมาก หญิงมีโอกาสเกิดความผิดปกติทางอารมณ์บางชนิดมากกว่าชายถึง 2 เท่า รวมทั้งโรคซึมเศร้า (MDD) และแม้จำนวนหญิงชายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรค bipolar II จะเท่ากัน แต่หญิงก็ยังเกิดโรคในอัตราสูงกว่าเล็กน้อย[86]

ในปี พ.ศ. 2554 ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นเหตุผลสามัญที่สุดที่เด็กอายุ 1-17 ปีเข้าโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา โดยเข้าอยู่ที่ รพ. 112,000 ครั้ง[87] ในบรรดาผู้ที่ใช้บริการระบบสุขภาพ Medicaid ในสหรัฐอเมริกามากที่สุดในปี พ.ศ. 2555 ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นโรคที่วินิจฉัยมากที่สุดอย่างหนึ่ง[88] นอกจากนั้นแล้ว งานศึกษาในรัฐ 18 รัฐพบว่า ความผิดปกติทางอารมณ์เป็นเหตุกลับเข้าโรงพยาบาลอีกในคนไข้ที่ใช้ระบบ Medicaid และที่ไม่มีประกัน โดยมีคนไข้ Medicaid 41,600 คน และคนไข้ไม่มีประกัน 12,200 คนที่รับเข้า รพ. อีกภายใน 30 วันหลังจากออกจาก รพ. ในเบื้องต้น ซึ่งเป็นอัตราการรับเข้าโรงพยาบาลอีกที่ 19.8% ของจำนวนคนไข้ที่รับเข้าโรงพยาบาล และ 12.7% ตามลำดับ[89] ในปี พ.ศ. 2555 ความผิดปกติทางอารมณ์และทางพฤติกรรมอื่น ๆ เป็นวินิจฉัยที่สามัญที่สุดสำหรับคนไข้ Medicaid และคนไข้ไม่มีประกันที่อยู่ในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา (คือ 6.1% ของคนไข้ Medicaid และ 5.2% ของคนไข้ไม่มีประกัน)[90]

งานศึกษาที่ทำระหว่างปี พ.ศ. 2531-2537 ในผู้ใหญ่ชาวอเมริกันวัยต้นโดยเลือกลักษณะทางประชากรศาสตร์และทางสุขภาพบางอย่าง มีตัวอย่างประชากรทั้งหญิงชายจำนวน 8,602 คนอายุระหว่าง 17-39 ปีเข้าร่วมการทดลอง ได้ประเมินความชุกชั่วชีวิต 6 อย่าง คือ[91]

  1. คราวซึมเศร้า (major depressive episode ตัวย่อ MDE) 8.6%
  2. โรคซึมเศร้าที่รุนแรง (major depressive disorder ตัวย่อ MDE-s) 7.7%
  3. dysthymia 6.2%,
  4. MDE-s พร้อมกับ dysthymia 3.4%
  5. โรคอารมณ์สองขั้วทุกแบบ 1.6%
  6. ความผิดปกติทางอารมณ์ทุกรูปแบบ 11.5%
Remove ads

งานวิจัย

สรุป
มุมมอง

มีนักวิชาการ เช่นศาสตราจารย์สาขาจิตเวชที่มหาวิทยาลัยการแพทย์จอนส์ฮอปกินส์ (Kay Redfield Jamison) ที่ได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ที่อาจมีระหว่างความผิดปกติทางอารมณ์โดยเฉพาะโรคอารมณ์สองขั้ว กับการสร้างสรรค์ แล้วเสนอว่า "บุคลิกภาพแบบครุ่นคิดอาจมีบทบาทต่อทั้งความผิดปกติทางอารมณ์และศิลปะ"[92]

นักเขียนท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตกับงานศึกษาที่มหาวิทยาลัยออริกอนสเตตว่า

[ผู้เขียน]ได้ตรวจดูอาชีพของคนไข้ทั่วไปกลุ่มใหญ่แล้วพบว่า ‘ผู้ที่มีโรคอารมณ์สองขั้วดูจะอยู่ในหมวดอาชีพสร้างสรรค์มากที่สุดโดยเกินสัดส่วน’ และยังพบว่า โอกาส ‘ทำสิ่งสร้างสรรค์เมื่อทำงาน’ อยู่ในระดับสูงกว่าสำหรับคนไข้อารมณ์สองขั้วมากกว่าผู้ทำงานคนอื่น ๆ[93]

ในบทความ "โรคอารมณ์สองขั้วและความคิดสร้างสรรค์"[94] ผู้ประพันธ์ได้เขียนไว้ว่า

ความจำและความสร้างสรรค์สัมพันธ์กับอาการฟุ้งพล่าน (mania) งานศึกษาทางคลินิกแสดงว่า คนที่อยู่ในภาวะฟุ้งพล่านจะใช้เสียงสัมผัส หาคำไวพจน์ และใช้การสัมผัสอักษร มากกว่ากลุ่มควบคุม ความว่องไวของจิตใจอาจมีส่วนต่อการสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นแล้ว สภาวะฟุ้งพล่านยังเพิ่มทั้งผลิตผลและพลัง ผู้ที่มีภาวะฟุ้งพล่านไวอารมณ์มากกว่า และยับยั้งทัศนคติต่าง ๆ น้อยกว่า ซึ่งอาจทำให้แสดงออกได้มากกว่า งานศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ตรวจดูความคิดต้นฉบับที่ใช้แก้ปัญหาสร้างสรรค์ บุคคลที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เมื่อโรคยังไม่ถึงระดับรุนแรง มักจะมีความสร้างสรรค์สูงกว่า

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้ากับความสร้างสรรค์ดูจะแรงเป็นพิเศษในบรรดานักกวี[95][96]

Remove ads

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถ

  1. ระยะ luteal เป็นระยะหลังของรอบประจำเดือนในมนุษย์และสัตว์บางอย่างอื่น ๆ หรือระยะแรกของ estrous cycle ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีรกอื่น ๆ ระยะนี้เริ่มด้วยการเกิด corpus luteum และยุติด้วยการตั้งครรภ์หรือ luteolysis (การเสื่อมทั้งโดยโครงสร้างและการทำงานของ corpus luteum) ฮอร์โมนหลักที่สัมพันธ์กันก็คือ progesterone ซึ่งสูงกว่าในระยะนี้อย่างสำคัญ ระยะตรงข้ามกับระยะนี้ คือที่เกิดในสองอาทิตย์ที่เหลือ เรียกว่า follicular phase
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads