คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

วินาศกรรม 11 กันยายน

การโจมตีของผู้ก่อการร้ายอิสลามในสหรัฐ ค.ศ. 2001 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วินาศกรรม 11 กันยายน
Remove ads

วินาศกรรม 11 กันยายน[f] หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ไนน์อีเลฟเวน (9/11) เป็นการโจมตีพลีชีพของผู้ก่อการร้ายอิสลามโดยอัลกออิดะฮ์ที่ประสานกันสี่ครั้งต่อสหรัฐใน ค.ศ. 2001 ผู้ก่อการร้ายสิบเก้าคนได้จี้เครื่องบินโดยสารพาณิชย์สี่ลำ สองลำถูกนำพุ่งชนอาคารแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์ก ลำที่สามพุ่งชนเพนตากอน ซึ่งเป็นที่ทำการกระทรวงกลาโหมสหรัฐในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย และลำที่สี่ตกในทุ่งโล่งของรัฐเพนซิลเวเนียระหว่างที่ผู้โดยสารพยายามต่อสู้ ที่ซึ่งภายหลังมีการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ เพื่อตอบโต้การโจมตี สหรัฐได้ทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลกมานานหลายทศวรรษเพื่อกำจัดกลุ่มที่ไม่เป็นมิตรที่ถูกระบุว่าเป็นองค์การก่อการร้าย และรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนกลุ่มเหล่านั้นมุฮัมมัด อะฏา ผู้นำกลุ่ม ได้ขับเครื่องบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 พุ่งชนอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในเวลา 08:46 น. สิบเจ็ดนาทีต่อมาในเวลา 09:03 น.[g] ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 ได้ชนอาคารใต้ อาคารทั้งสองถล่มลงมาภายในหนึ่งชั่วโมงสี่สิบสองนาที[h] ทำลายโครงสร้างที่เหลืออีกห้าแห่งในพื้นที่ทั้งหมด อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 พุ่งชนเพนตากอนในเวลา 09:37 น. ทำให้เกิดการถล่มบางส่วน ส่วนเครื่องบินลำที่สี่และลำสุดท้าย ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 เจ้าหน้าที่สอบสวนเชื่อว่ามีเป้าหมายจะพุ่งชนอาคารรัฐสภาสหรัฐหรือทำเนียบขาว ผู้โดยสารที่ทราบข่าวการโจมตีครั้งก่อนหน้าจึงก่อการกำเริบต่อต้านสลัดอากาศ ทำให้เครื่องบินตกในทุ่งใกล้แชงก์สวิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย เวลา 10:03 น. องค์การบริหารการบินแห่งชาติสั่งระงับการบินทั้งหมดในน่านฟ้าสหรัฐอย่างไม่มีกำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินลำใดออกเดินทางอีกจนถึงวันที่ 13 กันยายนและกำหนดให้เครื่องบินทุกลำที่กำลังบินอยู่ต้องเดินทางกลับไปยังจุดเริ่มต้นหรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังแคนาดา การดำเนินการในแคนาดาเพื่อสนับสนุนเครื่องบินที่เข้ามาและผู้โดยสารของพวกเขาถูกเรียกรวมกันว่าปฏิบัติการเยลโลว์ริบบอน

ข้อมูลเบื้องต้น สถานที่, วันที่ ...

เย็นวันนั้น สำนักข่าวกรองกลางแจ้งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่าศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายได้ระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของอัลกออิดะฮ์ภายใต้การนำของอุซามะฮ์ บิน ลาดิน สหรัฐตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้ายและบุกอัฟกานิสถานเพื่อโค่นล้มตอลิบาน ซึ่งปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ให้ขับไล่อัลกออิดะฮ์ออกจากอัฟกานิสถานและส่งตัวผู้นำของพวกเขา การเรียกใช้มาตรา 5 ของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือของเนโท ซึ่งเป็นการใช้เพียงครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน ได้เรียกร้องให้พันธมิตรต่อสู้กับอัลกออิดะฮ์ ขณะที่กองกำลังบุกของสหรัฐและพันธมิตรบุกทั่วอัฟกานิสถาน บิน ลาดินก็หลบหนีไปได้ เขาปฏิเสธความเกี่ยวข้องใด ๆ จนกระทั่ง ค.ศ. 2004 เมื่อมีการเผยแพร่ข้อความบางส่วนจากเทปบันทึกที่เขายอมรับความรับผิดชอบต่อการโจมตี แรงจูงใจที่อัลกออิดะฮ์อ้างถึงรวมถึงการที่สหรัฐสนับสนุนอิสราเอล การมีฐานทัพสหรัฐในซาอุดีอาระเบียและการคว่ำบาตรต่ออิรัก การไล่ล่าบิน ลาดินเกือบทศวรรษสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011 เมื่อเขาถูกสังหารระหว่างการจู่โจมของกองทัพสหรัฐที่ที่หลบซ่อนของเขาในอับบอตตาบัด ประเทศปากีสถาน สงครามในอัฟกานิสถานดำเนินต่อไปอีกแปดปีจนกระทั่งมีการทำข้อตกลงในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เพื่อให้กองทหารอเมริกันและเนโทถอนตัวออกจากประเทศ

การโจมตีครั้งนี้คร่าชีวิตผู้คนไป 2,977 คน บาดเจ็บอีกหลายพันคน[i] และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวอย่างมาก ขณะเดียวกันก็สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์รวมถึงเป็นอุบัติการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับนักดับเพลิงและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในประวัติศาสตร์อเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิต 343 และ 72 นายตามลำดับ การตกของเที่ยวบินที่ 11 และเที่ยวบินที่ 175 เป็นภัยพิบัติทางการบินที่ร้ายแรงที่สุดตลอดกาล และการชนของเที่ยวบินที่ 77 กับเพนตากอนส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตบนพื้นดินสูงเป็นอันดับสี่ในประวัติศาสตร์ของการตกของเครื่องบิน การทำลายเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และพื้นที่โดยรอบ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านการเงินของแมนฮัตตัน ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐและทำให้เกิดความตกใจในตลาดโลก หลายประเทศได้เสริมสร้างกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายและขยายอำนาจของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและข่าวกรอง จำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่เกิดจากการโจมตี รวมกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยตรงจากเหตุการณ์นี้ ได้รับการประมาณการโดยโครงการคอสส์ออฟวอร์ (Costs of War) ว่ามีมากกว่า 4.5 ล้านคน[15]

การเก็บกวาดพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (เรียกกันว่า "กราวนด์ซีโร") เสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่เพนตากอนได้รับการซ่อมแซมภายในหนึ่งปี หลังความล่าช้าในการออกแบบอาคารทดแทน มีการวางแผนอาคารใหม่หกหลังเพื่อแทนที่อาคารที่หายไป พร้อมด้วยพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการโจมตี อาคารที่สูงที่สุดคือ วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เริ่มก่อสร้างใน ค.ศ. 2006 และเปิดใช้งานใน ค.ศ. 2014 อนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการโจมตี ได้แก่ อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 11 กันยายนในนครนิวยอร์ก อนุสรณ์สถานเพนตากอนในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย และอนุสรณ์สถานแห่งชาติเที่ยวบินที่ 93 ณ จุดที่เครื่องบินตกในรัฐเพนซิลเวเนีย

Remove ads

ภูมิหลัง

สรุป
มุมมอง

ใน ค.ศ. 1996 อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำองค์การติดอาวุธอิสลาม อัลกออิดะฮ์ ได้ออกฟัตวาแรกของเขา ซึ่งประกาศสงครามต่อสหรัฐและเรียกร้องให้ขับไล่ทหารอเมริกันทั้งหมดออกจากคาบสมุทรอาหรับ[16] ในฟัตวาครั้งที่สองใน ค.ศ. 1998 บิน ลาดินได้กล่าวถึงข้อโต้แย้งของเขาต่อต่อนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล รวมถึงการคงอยู่ของกองทหารอเมริกันในซาอุดีอาระเบียหลังสงครามในอ่าว[17] บิน ลาดินยืนยันว่าชาวมุสลิมมีพันธะที่จะต้องโจมตีเป้าหมายของอเมริกาจนกว่านโยบายที่รุกรานของสหรัฐต่อมุสลิมจะถูกยกเลิก[17][18]

กลุ่มที่เรียกว่าฮัมบวร์คเซลล์ (Hamburg cell) ในเยอรมนีประกอบด้วยนักอิสลามที่ต่อมากลายเป็นผู้ปฏิบัติการคนสำคัญในการโจมตี 9/11[19] มุฮัมมัด อะฏา, มัรวาน อัชชะฮ์ฮี, ซีอาด ญะราห์, รอมซี บิน อัชชัยบะฮ์ และซะอีด บะฮ์ญีล้วนเป็นสมาชิกฮัมบวร์คเซลล์ของอัลกออิดะฮ์[20] บิน ลาดินยืนยันว่ามุสลิมทุกคนจะต้องทำสงครามป้องกันตัวกับสหรัฐและต่อสู้กับการรุกรานของอเมริกา นอกจากนี้เขายังให้เหตุผลว่าการโจมตีทางทหารต่อทรัพย์สินของอเมริกาจะส่งข้อความถึงชาวอเมริกัน โดยพยายามบีบให้สหรัฐต้องทบทวนการสนับสนุนอิสราเอลและนโยบายที่ก้าวร้าวอื่น ๆ[21] ในการให้สัมภาษณ์กับจอห์น มิลเลอร์ นักข่าวชาวอเมริกันใน ค.ศ. 1998 บิน ลาดินกล่าวว่า:

เราไม่แยกความแตกต่างระหว่างผู้สวมเครื่องแบบทหารและพลเรือน พวกเขาทั้งหมดคือเป้าหมายในฟัตวานี้ ประวัติศาสตร์อเมริกาไม่เคยแยกความแตกต่างระหว่างพลเรือนและทหาร ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก พวกเขาเป็นผู้ที่ใช้ระเบิดกับนางาซากิ ระเบิดเหล่านั้นสามารถแยกแยะระหว่างทารกและทหารได้หรือไม่? อเมริกาไม่มีศาสนาที่จะป้องกันไม่ให้มันทำลายผู้คนทั้งหมด ดังนั้นเราจึงบอกชาวอเมริกันในฐานะประชาชนและเราบอกกับแม่ของทหารและแม่ชาวอเมริกันโดยทั่วไปว่าหากพวกเขายังเห็นคุณค่าในชีวิตและชีวิตของลูก ๆ พวกเขา ควรหาตั้งรัฐบาลชาตินิยมที่จะดูแลผลประโยชน์ของพวกเขา ไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาวยิว การกดขี่ที่ดำเนินต่อไปจะนำการต่อสู้มาสู่อเมริกา เหมือนที่ [ผู้ก่อเหตุระเบิดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี 1993] รอมซี [ยูซุฟ] และคนอื่น ๆ ทำ นี่คือข้อความของฉันถึงชาวอเมริกัน: ให้มองหารัฐบาลที่จริงจังที่ดูแลผลประโยชน์ของพวกเขาและไม่โจมตีผู้อื่น ที่ดิน หรือเกียรติของพวกเขา คำพูดของฉันถึงนักข่าวชาวอเมริกันคือไม่ต้องถามว่าทำไมเราถึงทำเช่นนั้น แต่จงถามว่ารัฐบาลของพวกเขาทำอะไรที่บังคับให้เราต้องปกป้องตัวเอง"

อุซามะฮ์ บิน ลาดิน, in การให้สัมภาษณ์กับจอห์น มิลเลอร์, พฤษภาคม ค.ศ. 1998, [22]

อุซามะฮ์ บิน ลาดิน

Thumb
อุซามะฮ์ บิน ลาดิน, ราว ค.ศ. 1997 หรือ 1998

บิน ลาดินเป็นผู้บงการวินาศกรรม 11 กันยายน เขาปฏิเสธความเกี่ยวข้องในตอนแรก แต่ในภายหลังได้กลับคำปฏิเสธ[23][24][25] สถานีโทรทัศน์อัลญะซีเราะฮ์ออกอากาศคำแถลงของเขาเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2001: "ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้าไม่ได้กระทำการนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกกระทำโดยปัจเจกบุคคลที่มีแรงจูงใจของตัวเอง"[26] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 กองกำลังสหรัฐได้กู้คืนวิดีโอเทปที่บิน ลาดินพูดคุยกับคอลิด อัลหัรบี และยอมรับว่าเขารู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการโจมตี[27] วันที่ 27 ธันวาคม มีการเผยแพร่วิดีโอของบิน ลาดินชิ้นที่สอง ซึ่งเขากล่าวโดยไม่ได้ยอมรับความรับผิดชอบอย่างชัดเจนสำหรับการโจมตีว่า:[28]

มันชัดเจนแล้วว่าชาวตะวันตกโดยทั่วไปและชาวอเมริกันโดยเฉพาะมีความเกลียดชังต่อศาสนาอิสลามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ... มันคือความเกลียดชังของนักรบครูเสด การก่อการร้ายต่ออเมริกาควรได้รับการยกย่อง เพราะมันเป็นการตอบโต้ความอยุติธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อบีบบังคับให้อเมริกาหยุดการสนับสนุนอิสราเอล ซึ่งสังหารประชาชนของเรา ... เราขอบอกว่าจุดจบของสหรัฐกำลังจะมาถึง ไม่ว่าบิน ลาดินหรือผู้ติดตามของเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้วก็ตาม เพราะการตื่นขึ้นของอุมมะฮ์ [ประชาชาติ] มุสลิมได้เกิดขึ้นแล้ว ... มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องโจมตีเศรษฐกิจ (ของสหรัฐ) ซึ่งเป็นรากฐานของอำนาจทางทหาร ... ถ้าเศรษฐกิจถูกโจมตี พวกเขาจะต้องกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

อุซามะฮ์ บิน ลาดิน

ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ค.ศ. 2004 ไม่นาน บิน ลาดินได้ใช้เทปบันทึกคำแถลงเพื่อยอมรับต่อสาธารณชนว่าอัลกออิดะฮ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี[23] เขายอมรับความเชื่อมโยงโดยตรงกับการโจมตีและกล่าวว่าการโจมตีเหล่านั้นถูกดำเนินการเพราะ:

เหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของข้าพเจ้าโดยตรงเริ่มต้นขึ้นในปี 1982 เมื่ออเมริกาอนุญาตให้อิสราเอลรุกรานเลบานอนและทัพเรือที่หกของอเมริกันได้ช่วยพวกเขาในการกระทำนั้น การทิ้งระเบิดครั้งนี้เริ่มต้นขึ้น และมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และคนอื่น ๆ ก็หวาดกลัวและต้องพลัดถิ่นฐาน

ข้าพเจ้าไม่สามารถลืมภาพที่สะเทือนใจเหล่านั้นได้ เลือดและอวัยวะที่ถูกฉีกขาด ผู้หญิงและเด็กนอนเกลื่อนอยู่ทุกที่ บ้านเรือนถูกทำลายพร้อมผู้ที่อาศัยอยู่ภายใน อาคารสูงถูกทำลายลงมาทับผู้ที่อยู่ภายใน จรวดตกลงมาใส่บ้านของเราอย่างไม่ปรานี...ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูหอคอยที่ถูกทำลายเหล่านั้นในเลบานอน ความคิดก็แวบเข้ามาในใจว่าเราควรลงโทษผู้กดขี่ในแบบเดียวกันและเราควรทำลายหอคอยในอเมริกาเพื่อให้พวกเขาได้ลิ้มรสบางอย่างที่เราได้ลิ้มรสและเพื่อที่พวกเขาจะได้ยับยั้งการฆ่าผู้หญิงและเด็กของเรา

และในวันนั้น มันได้รับการยืนยันกับข้าพเจ้าว่า การกดขี่และการฆ่าผู้หญิงและเด็กที่บริสุทธิ์โดยเจตนาเป็นนโยบายของอเมริกา การทำลายล้างคือเสรีภาพและประชาธิปไตย ในขณะที่การต่อต้านคือการก่อการร้ายและการไม่ยอมรับความแตกต่าง[29]

บิน ลาดินสั่งการด้วยตนเองให้ผู้ติดตามของเขาโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และเพนตากอน[30][31] วิดีโออีกชิ้นที่ได้รับจากอัลญะซีเราะฮ์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 แสดงให้เห็นบิน ลาดินอยู่กับหนึ่งในผู้บงการหลักของการโจมตี รอมซี บิน อัชชัยบะฮ์ รวมถึงสลัดอากาศ ฮัมซะฮ์ อัลฆอมิดีและวาอิล อัชชะฮ์รี ท่ามกลางการเตรียมการสำหรับการโจมตี[32]

คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด และสมาชิกอัลกออิดะฮ์คนอื่น ๆ

Thumb
คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด หลังถูกจับกุมใน ค.ศ. 2003 ที่ราวัลปินดี ประเทศปากีสถาน

ยุสรี ฟูดะห์ นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์อาหรับอัลญะซีเราะฮ์ รายงานว่าในเดือนเมษายน ค.ศ. 2002 คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด สมาชิกกอัลกออิดะฮ์ ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี ร่วมกับ รอมซี บิน อัชชัยบะฮ์[33][34][35] รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ค.ศ. 2004 ระบุว่าความเกลียดชังที่มุฮัมมัด ซึ่งเป็นผู้วางแผนหลักของวินาศกรรม 9/11 มีต่อสหรัฐนั้นมาจาก "ความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงต่อนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐที่เข้าข้างอิสราเอล"[36] มุฮัมมัดยังเป็นที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนทางการเงินในการวางระเบิดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ค.ศ. 1993 และเป็นลุงของรอมซี ยูซุฟ มือวางระเบิดหลักในการโจมตีครั้งนั้น[37][38] ในช่วงปลาย ค.ศ. 1994 มุฮัมมัดและซุฟได้วางแผนการโจมตีก่อการร้ายครั้งใหม่ที่เรียกว่าแผนโบจินกา (Bojinka plot) ซึ่งวางแผนไว้สำหรับเดือนมกราคม ค.ศ. 1995 แม้จะล้มเหลวและยูซุฟถูกจับกุมโดยกองกำลังสหรัฐในเดือนถัดมา แต่แผนโบจินกาก็มีอิทธิพลต่อวินาศกรรม 9/11 ในภายหลัง[39]

ในเอกสาร "Substitution for Testimony of Khalid Sheikh Mohammed" จากการพิจารณาคดีของซะกะรียา มูซาวี มีห้าคนที่ถูกระบุว่ารับทราบรายละเอียดของการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์ ได้แก่ บิน ลาดิน, คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด, รอมซี บิน อัชชัยบะฮ์, อะบูตุรอบ อัลอัรดุนี และมุฮัมมัด อาฏีฟ[40]

แรงจูงใจ

ถ้อยแถลงของอุซามะฮ์ บิน ลาดินที่ประกาศทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อสหรัฐ และฟัตวาใน ค.ศ. 1998 ที่ลงนามโดยบิน ลาดินและคนอื่น ๆ ที่เรียกร้องให้สังหารชาวอเมริกัน[17][41] ถูกนักสืบสวนมองว่าเป็นหลักฐานของแรงจูงใจของเขา[42] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 บิน ลาดินปกป้องการโจมตีว่าเป็นมาตรการตอบโต้การกระทำอันโหดร้ายของอเมริกาต่อมุสลิมทั่วโลก เขายังยืนยันว่าการโจมตีไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงและเด็ก โดยกล่าวว่าเป้าหมายของการโจมตีเป็นสัญลักษณ์ของ "อำนาจทางเศรษฐกิจและการทหาร" ของอเมริกา[43][44]

ในจดหมายถึงชาวอเมริกัน (Letter to the American People) ของบิน ลาดินเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002 เขาระบุแรงจูงใจของอัลกออิดะฮ์ในการโจมตี ดังนี้:

  • การที่สหรัฐสนับสนุนอิสราเอล[45][46]
  • ยุทธศาสตร์ของบิน ลาดินเพื่อสนับสนุนและขยายการก่อการร้ายอัษษานียะฮ์ครั้งที่สองไปทั่วโลก[47][48][49][50]
  • การโจมตีมุสลิมกองกำลังผสมนำโดยสหรัฐในโซมาเลีย
  • การที่สหรัฐสนับสนุนรัฐบาลฟิลิปปินส์ในการต่อสู้กับมุสลิมในความขัดแย้งโมโร
  • การที่สหรัฐสนับสนุนการบุกครองเลบานอนตอนใต้ของอิสราเอล
  • การที่สหรัฐสนับสนุนการกระทำอันโหดร้ายของรัสเซียต่อมุสลิมในเชชเนีย
  • การที่รัฐบาลในตะวันออกกลางที่สนับสนุนอเมริกา (ซึ่ง "ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคุณ") ต่อต้านผลประโยชน์ของมุสลิม
  • การที่สหรัฐสนับสนุนการกดขี่ของอินเดียต่อมุสลิมในกัศมีร์
  • การมีอยู่ของกองทหารสหรัฐฯ ในซาอุดีอาระเบีย[51]
  • การคว่ำบาตรต่ออิรัก[45]
  • การทำลายสิ่งแวดล้อม[52][53][54]

หลังการโจมตี บิน ลาดินและอัยมัน อัซเซาะวาฮิรีได้เผยแพร่บันทึกเสียงเพิ่มเติม บางส่วนกล่าวถึงเหตุผลข้างต้นอีกครั้ง สิ่งตีพิมพ์ที่เกี่ยวข้องสองฉบับคือจดหมายถึงชาวอเมริกันของบิน ลาดินใน ค.ศ. 2002[55] และวิดีโอเทปของบิน ลาดินใน ค.ศ. 2004 [56]

[...] ชายหนุ่มเหล่านั้น สำหรับผู้ที่พระเจ้าได้เปิดทางให้แล้ว ไม่ได้มุ่งหมายที่จะฆ่าเด็ก แต่ได้โจมตีศูนย์กลางอำนาจทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ เพนทากอน ซึ่งมีพนักงานมากกว่า 64,000 คน ฐานทัพซึ่งทหารที่มีกำลังพลและหน่วยข่าวกรองจำนวนมาก ... ส่วนเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ผู้ที่ถูกโจมตีและเสียชีวิตในนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทางการเงิน มันไม่ใช่โรงเรียนเด็ก! และก็ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยด้วย ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาคารนี้เป็นชายที่หนุนหลังกองกำลังทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งได้สร้างความเสื่อมเสียไปทั่วโลก

—บทสัมภาษณ์ของอุซามะฮ์ บิน ลาดินกับตัยสีร อะลูนี, 21 ตุลาคม ค.ศ. 2001[57]

ในฐานะผู้ยึดมั่นในศาสนาอิสลาม บิน ลาดินเชื่อว่าชาวที่ไม่ใช่มุสลิมถูกห้ามไม่ให้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในคาบสมุทรอาหรับ[58] ใน ค.ศ. 1996 บิน ลาดินได้ออกฟัตวาเรียกร้องให้ทหารอเมริกันออกจากซาอุดีอาระเบีย การวิเคราะห์หนึ่งเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายพลีชีพชี้ว่าหากไม่มีกองทหารสหรัฐในซาอุดีอาระเบีย อัลกออิดะฮ์อาจไม่สามารถชักจูงให้ผู้คนยอมพลีชีพในภารกิจดังกล่าวได้[59] ในฟัตวา ค.ศ. 1998 อัลกออิดะฮ์ระบุการคว่ำบาตรอิรักเป็นเหตุผลในการสังหารชาวอเมริกัน โดยประณาม "การปิดล้อมที่ยืดเยื้อ" และการกระทำอื่น ๆ ที่ถือเป็นการประกาศสงครามต่อ "อัลลอฮ์ ศาสนทูตของพระองค์ และมุสลิม"[60]

ใน ค.. 2004 บิน ลาดินอ้างว่าแนวคิดในการทำลายอาคารเกิดขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1982 เมื่อเขาเห็นการทิ้งระเบิดอพาร์ตเมนต์สูงหลายชั้นของอิสราเอลระหว่างสงครามเลบานอน ค.ศ. 1982[61][62] นักวิเคราะห์บางคน รวมถึงนักรัฐศาสตร์ จอห์น เมียส์ไฮเมอร์และสตีเฟน วอลต์ ก็อ้างว่าการสนับสนุนอิสราเอลของสหรัฐเป็นแรงจูงใจในการโจมตีด้วย[46][63] ใน ค.ศ. 2004 และ 2010 บิน ลาดินได้เชื่อมโยงวินาศกรรม 11 กันยายนกับการสนับสนุนอิสราเอลของสหรัฐอีกครั้ง แม้จดหมายส่วนใหญ่จะแสดงความดูถูกเหยียดหยามของบิน ลาดินต่อประธานาธิบดีบุช และความหวังของเขาที่จะ "ทำลายและทำให้ล้มละลาย" สหรัฐ[64][65]

มีการเสนอแรงจูงใจอื่น ๆ นอกเหนือจากที่บิน ลาดินและอัลกออิดะฮ์ระบุไว้ ผู้เขียนบางคนเสนอว่า "ความอับอาย" ที่เกิดจากการที่โลกอิสลามล้าหลังโลกตะวันตก ซึ่งความเหลื่อมล้ำนี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษจากโลกาภิวัตน์[66][67] และความปรารถนาที่จะยั่วยุให้สหรัฐเข้าสู่สงครามที่กว้างขึ้นกับโลกอิสลาม โดยหวังว่าจะกระตุ้นให้มีพันธมิตรมาสนับสนุนอัลกออิดะฮ์มากขึ้น ในทำนองเดียวกัน คนอื่น ๆ ได้โต้แย้งว่าวินาศกรรม 9/11 เป็นยุทธศาสตร์เพื่อยั่วยุให้อเมริกาเข้าสู่สงครามที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติของพันธมิตรอิสลาม[68][69]

การวางแผน

Thumb
แผนที่แสดงการโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
Thumb
แผนภาพการโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

เอกสารที่ยึดได้ระหว่างปฏิบัติการสังหารบิน ลาดินใน ค.ศ. 2011 มีบันทึกที่บิน ลาดินเขียนด้วยลายมือในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002 โดยมีหัวข้อว่า "การถือกำเนิดของแนวคิด 11 กันยายน" เขาอธิบายว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์อิยิปต์แอร์ เที่ยวบินที่ 990 ตกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นการจงใจให้ตกโดยนักบินผู้ช่วย ญะมีล อัลบะฏูฏี ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน "นี่คือวิธีที่แนวคิด 9/11 ถูกคิดและพัฒนาขึ้นในหัวของผม และนั่นคือตอนที่เราเริ่มวางแผน" บิน ลาดินกล่าวต่อ และเสริมว่าในขณะนั้นไม่มีใครรู้นอกจากมุฮัมมัด อาฏีฟและอะบู อัค-ค็อยร รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ระบุว่าคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัดเป็นผู้วางแผนหลักของ 9/11 แต่เขาไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบันทึกของบิน ลาดิน[70]

การโจมตีนี้ถูกคิดขึ้นโดยคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด ซึ่งได้นำเสนอแนวคิดนี้ต่ออุซามะฮ์ บิน ลาดินเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1996[71] ในขณะนั้น บิน ลาดินและอัลกออิดะฮ์อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยเพิ่งย้ายกลับไปยังอัฟกานิสถานจากซูดาน[72] เหตุระเบิดสถานทูตแอฟริกา ค.ศ. 1998 และฟัตวาของบิน ลาดินในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของปฏิบัติการก่อการร้ายของอัลกออิดะฮ์[73] เนื่องจากบิน ลาดินตั้งใจจะโจมตีสหรัฐ

ในช่วงปลาย ค.ศ. 1998 หรือต้น ค.ศ. 1999 บิน ลาดินอนุมัติให้มุฮัมมัดดำเนินการเตรียมแผนการ[74] อาฏีฟให้การสนับสนุนด้านการปฏิบัติการ รวมถึงการเลือกเป้าหมายและช่วยจัดการเดินทางให้สลัดอากาศ[72] บิน ลาดินไม่เห็นด้วยกับมุฮัมมัด โดยปฏิเสธเป้าหมายที่เป็นไปได้ เช่น ยูเอสแบงค์ทาวเวอร์ ในลอสแอนเจลิส เนื่องจากขาดเวลา[75][76]

บิน ลาดินให้การสนับสนุนด้านการนำและด้านการเงินและมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้เข้าร่วม[77] ในตอนแรกเขาเลือกนวาฟ อัลฮาซิมีและคอลิด อัลมัฮฎอร นักรบญิฮาดผู้มีประสบการณ์ซึ่งเคยต่อสู้ในสงครามบอสเนีย อัลฮาซิมีและอัลมัฮฎอรเดินทางมาถึงสหรัฐในช่วงกลางเดือนมกราคม ค.ศ. 2000 ในช่วงต้น ค.ศ. 2000 อัลฮาซิมีและอัลมัฮฎอรได้เรียนการบินในแซนดีเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งคู่พูดภาษาอังกฤษได้น้อย เรียนการบินได้ไม่ดี และในที่สุดก็ทำหน้าที่เป็นสลัดอากาศ "ใช้กำลัง"[78][79]

ในช่วงปลาย ค.ศ. 1999 กลุ่มชายจากฮัมบวร์ค ประเทศเยอรมนี ได้เดินทางมาถึงอัฟกานิสถาน กลุ่มนี้ประกอบด้วยมุฮัมมัด อะฏา, มัร์วาน อัชชะฮ์ฮี, ซีอาด ญะราห์, และรอมซี บิน อัชชัยบะฮ์[80] บิน ลาดินเลือกคนเหล่านี้เพราะพวกเขาได้รับการศึกษา สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ และมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในโลกตะวันตก[81] ผู้ที่เข้ามาใหม่จะถูกคัดกรองทักษะพิเศษเป็นประจำ และผู้นำอัลกออิดะฮ์จึงพบว่าฮานี ฮันญูรมีใบอนุญาตนักบินพาณิชย์อยู่แล้ว[82]

ฮันญูรมาถึงแซนดีเอโกในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2000 และเข้าร่วมกับฮาซิมี[83]:6–7 พวกเขาเดินทางไปยังรัฐแอริโซนาในไม่ช้า ซึ่งฮันญูรได้เข้ารับการฝึกอบรมทบทวน[83]:7 มัรวาน อัชชะฮ์ฮีมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000 ขณะที่อะฏามาถึงในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2000 และญะราห์มาถึงในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2000[83]:6 บิน อัชชัยบะฮ์ยื่นขอวีซ่าเข้าสหรัฐหลายครั้ง แต่ในฐานะชาวเยเมน เขาถูกปฏิเสธด้วยความกังวลว่าเขาจะอยู่เกินวีซ่า[83]:4,14 บิน อัชชัยบะฮ์อยู่ที่ฮัมบวร์ค โดยทำหน้าที่ประสานงานระหว่างอะฏาและมุฮัมมัด[83]:16 สมาชิกทั้งสามคนจากฮัมบวร์คเซลล์เข้ารับการฝึกอบรมการบินในรัฐฟลอริดาตอนใต้ที่ฮัฟฟ์แมนเอวิเอชัน (Huffman Aviation)[83]:6

ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2001 สลัดอากาศกลุ่มรองเริ่มเดินทางมาถึงสหรัฐ[84] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2001 อะฏาพบกับบิน อัชชัยบะฮ์ในตาร์ราโกนา แคว้นกาตาลุญญา ประเทศสเปน ที่ซึ่งพวกเขาได้ประสานงานรายละเอียดของแผน รวมถึงการเลือกเป้าหมายสุดท้าย บิน อัชชัยบะฮ์ส่งต่อความต้องการของบิน ลาดินให้ทำการโจมตีโดยเร็วที่สุด[85] สลัดอากาศบางคนได้รับหนังสือเดินทางจากเจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียที่ทุจริตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อเข้าประเทศ[86]

ข่าวกรองก่อนหน้า

ในช่วงปลาย ค.ศ. 1999 วะลีด บิน อะตัช ("ค็อลลาด") สมาชิกอัลกออิดะฮ์ ได้ติดต่อกับอัลมัฮฎอรและบอกให้เขาไปพบกันที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยอัลฮาซิมีและอะบู บะรออ์ อัลยะมะนีก็จะเข้าร่วมด้วย NSA ได้ดักฟังการโทรศัพท์ที่กล่าวถึงการประชุม อัลมัฮฎอรและชื่อ "นวาฟ" (อัลฮาซิมี) แม้หน่วยงานจะกลัวว่า "อาจมีบางอย่างชั่วร้ายกำลังเกิดขึ้น" แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ต่อไป

CIA ได้รับแจ้งเตือนจากหน่วยข่าวกรองซาอุดีอาระเบียแล้วว่าอัลมัฮฎอรและอัลฮาซิมีเป็นสมาชิกอัลกออิดะฮ์ ทีมงานของ CIA ได้บุกเข้าไปในห้องพักโรงแรมของอัลมัฮฎอรในดูไบและพบว่ามัฮฎอรมีวีซ่าสหรัฐ ขณะที่อเล็กสเตชันแจ้งเตือนหน่วยข่าวกรองทั่วโลก แต่ไม่ได้แบ่งปันข้อมูลนี้กับ FBI สาขาพิเศษมาเลเซียได้สังเกตการณ์การประชุมของสมาชิกอัลกออิดะฮ์ทั้งสองคนเมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2000 และแจ้ง CIA ว่าอัลมัฮฎอร, อัลฮาซิมี และค็อลลาดกำลังจะบินไปกรุงเทพ แต่ CIA ไม่เคยแจ้งหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่ได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศเพิ่มชื่ออัลมัฮฎอรในบัญชีเฝ้าระวัง เจ้าหน้าที่ประสานงานของ FBI ได้ขออนุญาตแจ้ง FBI เกี่ยวกับการประชุมดังกล่าว แต่ได้รับคำตอบว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องของ FBI"[87]

ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ริชาร์ด คลาร์ก เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และจอร์จ เทเน็ต ผู้อำนวยการ CIA "เชื่อมั่นว่าการโจมตีครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น" แม้ CIA จะเชื่อว่าการโจมตีมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบียหรืออิสราเอล[88] ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม คลาร์กได้สั่งให้หน่วยงานภายในประเทศ "เฝ้าระวังขั้นสูงสุด" โดยบอกว่า "บางสิ่งบางอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่ และจะเกิดขึ้นในไม่ช้า" เขาขอให้ FBI และกระทรวงการต่างประเทศแจ้งเตือนสถานทูตและหน่วยงานตำรวจ และให้กระทรวงกลาโหมเข้าสู่ "สถานะภัยคุกคามเดลตา"[89][90] คลาร์กเขียนไว้ในภายหลังว่า:

ที่ใดที่หนึ่งใน CIA มีข้อมูลว่าผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์สองคนที่รู้จักกันได้เข้ามาในสหรัฐ ที่ใดที่หนึ่งใน FBI มีข้อมูลว่ามีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นที่โรงเรียนการบินในสหรัฐ [...] พวกเขามีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายแต่ละคนซึ่งสามารถใช้เพื่ออนุมานได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ข้อมูลเหล่านั้นไม่มีข้อมูลใดมาถึงผมหรือทำเนียบขาว[91]

[...] เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม [2001] เมื่อข่าวการโจมตีที่กำลังจะมาถึงแพร่กระจายไป ก็เกิดความแตกแยกในหมู่ผู้นำระดับสูงของอัลกออิดะฮ์ สมาชิกระดับสูงหลายคนมีรายงานว่าเห็นด้วยกับมุลลอฮ์ อุมัร ผู้ที่มีรายงานว่าเข้าข้างบิน ลาดิน ได้แก่ อาฏีฟ, ​สุลัยมาน บูฆัยษ์ และคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด แต่ผู้ที่ถูกกล่าวว่าต่อต้านเขาก็เป็นบุคคลสำคัญในองค์กร เช่น อะบู หัฟศฺ อัลมูรีตานี, ชัยค์ ซะอีด อัลมิศรี และสิฟ อัลอาดล เจ้าหน้าที่อาวุโสของอัลกออิดะฮ์คนหนึ่งอ้างว่าจำได้ว่าบิน ลาดินโต้แย้งว่าการโจมตีสหรัฐจำเป็นต้องดำเนินการทันทีเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบในดินแดนที่อิสราเอลยึดครองและประท้วงการมีอยู่ของกองกำลังสหรัฐในซาอุดีอาระเบีย

รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11, น. 251[92]

วันที่ 13 กรกฎาคม ทอม วิลเชียร์ เจ้าหน้าที่ CIA ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำอยู่ในแผนกก่อการร้ายระหว่างประเทศของ FBI ได้ส่งอีเมลถึงผู้บังคับบัญชาที่ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้าย (CTC) ของ CIA เพื่อขออนุญาตแจ้งให้ FBI ทราบว่าฮาซิมีอยู่ในประเทศและมัฮฎอรมีวีซ่าสหรัฐ แต่ CIA ไม่เคยตอบกลับ[93]

วันเดียวกันนั้น มาร์กาเรตต์ กิลเลสปี นักวิเคราะห์ FBI ที่ทำงานใน CTC ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมที่มาเลเซีย เธอไม่ได้รับแจ้งว่าผู้เข้าร่วมประชุมอยู่ในสหรัฐ CIA มอบภาพถ่ายการเฝ้าระวังของมัฮฎอรและฮาซิมีจากการประชุมให้กิลเลสปีเพื่อแสดงให้หน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของ FBI แต่ไม่ได้บอกความสำคัญของภาพเหล่านั้นให้เธอทราบ ฐานข้อมูลอินเทลิงก์แจ้งเธอว่าไม่ให้แบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับเจ้าหน้าที่สอบสวนคดีอาญา เมื่อแสดงภาพถ่ายให้ดู FBI ก็ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสำคัญของภาพ และพวกเขาไม่ได้รับวันเดือนปีเกิดหรือหมายเลขหนังสือเดินทางของมัฮฎอร[94] ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2001 กิลเลสปีได้บอกกับกรมการตรวจคนเข้าเมืองและแปลงสัญชาติ (NIS), กระทรวงการต่างประเทศ, กรมศุลกากร และ FBI ให้เพิ่มชื่อฮาซิมีและมัฮฎอรในบัญชีเฝ้าระวัง แต่ FBI ถูกห้ามไม่ให้ใช้เจ้าหน้าที่อาชญากรรมในการค้นหาคนทั้งสอง ทำให้ความพยายามของพวกเขาต้องหยุดชะงัก[95]

นอกจากนี้ในเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ FBI ในฟีนิกซ์ได้ส่งข้อความไปยังสำนักงานใหญ่ของ FBI, อเล็กสเตชัน และเจ้าหน้าที่ FBI ในนิวยอร์กเพื่อเตือนพวกเขาถึง "ความเป็นไปได้ที่อุซามะฮ์ บิน ลาดินจะประสานงานเพื่อส่งนักศึกษาไปสหรัฐเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยการบินพลเรือน" เจ้าหน้าที่ เคนเน็ท วิลเลียมส์ ได้แนะนำถึงความจำเป็นในการสัมภาษณ์ผู้จัดการโรงเรียนการบินและระบุตัวนักเรียนชาวอาหรับทุกคนที่ต้องการฝึกบิน[96] ในเดือนกรกฎาคม จอร์แดนได้เตือนสหรัฐว่าอัลกออิดะฮ์กำลังวางแผนโจมตีสหรัฐ "หลายเดือนต่อมา" จอร์แดนได้แจ้งสหรัฐว่าชื่อรหัสของการโจมตีคือ "เดอะบิกเวดดิง" (The Big Wedding) และเกี่ยวข้องกับเครื่องบิน[97]

วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 2001 สรุปข่าวประจำวันของประธานาธิบดีจาก CIA ซึ่งถูกกำหนดให้เป็น "สำหรับประธานาธิบดีเท่านั้น" มีชื่อว่าบิน ลาดิน ตั้งใจจะโจมตีในสหรัฐ (Bin Ladin Determined To Strike in US) บันทึกดังกล่าวระบุว่าข้อมูลของ FBI "ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบของกิจกรรมน่าสงสัยในประเทศนี้ซึ่งสอดคล้องกับการเตรียมการสำหรับการจี้บังคับหรือการโจมตีประเภทอื่น ๆ"[98]

ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม โรงเรียนการบินแห่งหนึ่งในรัฐมินนิโซตาได้แจ้ง FBI เกี่ยวกับซะกะรียา มูซาวี ผู้ซึ่งได้ถาม "คำถามที่น่าสงสัย" FBI พบว่ามูซาวีเป็นพวกหัวรุนแรงที่เดินทางไปปากีสถาน และ INS ได้จับกุมเขาในข้อหาอยู่เกินกำหนดวีซ่าฝรั่งเศส แต่คำขอของพวกเขาในการค้นหาแล็ปท็อปของเขาถูกปฏิเสธโดยสำนักงานใหญ่ FBI เนื่องจากขาดมูลเหตุที่น่าจะเป็น[99]

ความล้มเหลวในการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองนั้นมาจากนโยบายของกระทรวงยุติธรรมใน ค.ศ. 1995 ที่จำกัดการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง ควบคู่ไปกับความไม่เต็มใจของ CIA และ NSA ที่จะเปิดเผย "แหล่งข้อมูลและวิธีการละเอียดอ่อน" เช่น การดักฟังโทรศัพท์[100] ในการให้การต่อหน้าคณะกรรมาธิการ 9/11 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2004 จอห์น แอชครอฟต์ อัยการสูงสุดในขณะนั้น ได้กล่าวว่า "สาเหตุเชิงโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงอย่างเดียวสำหรับปัญหา 11 กันยายนคือกำแพงที่แยกหรือแบ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนคดีอาญาและเจ้าหน้าที่ข่าวกรองออกจากกัน"[101] คลาร์กยังเขียนอีกว่า: "[T]here were ... failures to get information to the right place at the right time" (มีความล้มเหลวในการนำข้อมูลไปยังสถานที่ที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม)[102]

Remove ads

การโจมตี

สรุป
มุมมอง

เช้าวันอังคารที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 สลัดอากาศสิบเก้าคนได้เข้าควบคุมเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์สี่ลำ (โบอิง 757 สองลำและโบอิง 767 สองลำ)[103] เครื่องบินขนาดใหญ่ที่มีเที่ยวบินระยะไกลถูกเลือกสำหรับการจี้เนื่องจากจะมีเชื้อเพลิงมากกว่า[104]

ข้อมูลเพิ่มเติม สายการบิน, รหัสเที่ยวบิน ...

* เวลาออมแสงตะวันออก (UTC−04:00)
ไม่รวมสลัดอากาศ
§ รวมเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน
รวมสลัดอากาศ

การตก

ภาพจากกล้องวงจรปิดขณะอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 พุ่งชนเพนตากอน (การโจมตีครั้งที่สาม);[105] เครื่องบินชนกับเพนตากอนประมาณ 86 วินาทีหลังเริ่มบันทึก
Thumb
จุดตกของยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ใกล้ตำบลสโตนีครีก

เวลา 07:59 น. อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 ได้บินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติโลแกนในบอสตัน[106] เมื่อบินไปได้สิบห้านาที สลัดอากาศห้าคนพร้อมอาวุธคัตเตอร์ได้เข้ายึดเครื่องบิน ทำให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อยสามคน (และอาจเสียชีวิตหนึ่งคน)[107][108][109] ก่อนจะบุกเข้าไปในห้องนักบิน สลัดอากาศยังแสดงวัตถุคล้ายระเบิดและฉีดสเปรย์พริกไทยเข้าไปในห้องโดยสาร เพื่อทำให้ตัวประกันหวาดกลัวและยอมจำนนและเพื่อขัดขวางการต่อต้าน[110] ที่โลแกนเช่นกัน ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 ได้บินขึ้นในเวลา 08:14 น.[111] ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้หลายร้อยไมล์ที่ท่าอากาศยานนานาชาติดัลเลส อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ได้ออกเดินทางจากรันเวย์ในเวลา 08:20 น.[111] การเดินทางของเที่ยวบินที่ 175 เป็นไปตามปกติเป็นเวลา 28 นาทีจนกระทั่งเวลา 08:42 น. เมื่อสลัดอากาศห้าคนได้จี้บังคับ สังหารนักบินทั้งสองคนและแทงลูกเรือหลายคนก่อนจะเข้าควบคุมเครื่องบิน สลัดอากาศกลุ่มนี้ยังใช้การข่มขู่ด้วยระเบิดเพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้โดยสารและลูกเรือ[112] และฉีด "แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย หรือสารก่อระคายอื่น ๆ" ในห้องโดยสารเพื่อบังคับผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับให้ไปรวมกันที่ส่วนท้ายของห้องโดยสาร[113] ในขณะเดียวกัน ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93 ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาตินวร์กในรัฐนิวเจอร์ซีย์[111] เดิมมีกำหนดออกจากประตูในเวลา 08:00 น. แต่เครื่องบินออกเดินทางล่าช้าไป 42 นาที

เวลา 08:46 น. เที่ยวบินที่ 11 ได้ถูกขับพุ่งชนโดยเจตนาเข้าที่ด้านเหนือของอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ระหว่างชั้นที่ 93 ถึง 99[114] ในตอนแรกหลายคนสันนิษฐานว่าเป็นอุบัติเหตุ[115] เวลา 8:51 น. อเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 ก็ถูกสลัดอากาศห้าคนยึดเช่นกัน โดยบุกเข้าไปในห้องนักบินอย่างรุนแรง 31 นาทีหลังเครื่องขึ้น[116] แม้พวกเขาจะมีมีดเป็นอาวุธ[117] แต่ก็ไม่มีรายงานว่ามีผู้ใดบนเครื่องถูกแทง และผู้ที่โทรศัพท์สองคนก็ไม่ได้กล่าวถึงการใช้สเปรย์พริกไทยหรือการข่มขู่ด้วยระเบิด เที่ยวบินที่ 175 ถูกนำไปพุ่งชนด้านใต้ (2 WTC) ของอาคารใต้ระหว่างชั้นที่ 77 และ 85[118] ในเวลา 09:03 น.[g] แสดงให้เห็นว่าการชนครั้งแรกเป็นการกระทำโดยเจตนาของผู้ก่อการร้าย[119][120]

ชายสี่คนบนเที่ยวบินที่ 93 ได้ลงมืออย่างฉับพลัน คร่าชีวิตผู้โดยสารอย่างน้อยหนึ่งคน หลังรอมา 46 นาที ซึ่งความล่าช้าดังกล่าวกลายเป็นหายนะสำหรับผู้ก่อการร้ายเมื่อรวมกับการออกเดินทางที่ล่าช้าของเครื่องบิน[121] พวกเขาบุกเข้าไปในห้องนักบินและยึดการควบคุมเครื่องบินในเวลา 9:28 น. โดยหันเครื่องไปทางตะวันออกมุ่งหน้าสู่วอชิงตัน ดี.ซี.[122] เช่นเดียวกับคู่หูของพวกเขาบนเครื่องบินสองลำแรก ทีมที่สี่ใช้การขู่ว่ามีระเบิดและฉีดสเปรย์พริกไทยเข้าไปในห้องโดยสาร[123]

เก้านาทีหลังจากเที่ยวบินที่ 93 ถูกจี้ เที่ยวบินที่ 77 ก็พุ่งชนด้านตะวันตกของเพนจากอนในเวลา 09:37 น.[124] เนื่องจากความล่าช้าทั้งสองครั้ง[125] ผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบินที่ 93 จึงมีเวลาทราบถึงการโจมตีครั้งก่อนหน้าผ่านการโทรศัพท์จากบนเครื่องไปยังภาคพื้น และด้วยเหตุนี้ การก่อการกำเริบจึงถูกริเริ่มขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อเข้าควบคุมเครื่องบินในเวลา 09:57 น.[126] ภายในไม่กี่นาที ผู้โดยสารได้ต่อสู้เพื่อหาทางไปยังส่วนหน้าของห้องโดยสารและเริ่มพังประตูห้องนักบิน ด้วยความกลัวว่าตัวประกันจะเข้ามายึดการควบคุมได้ สลัดอากาศจึงหมุนเครื่องบินตามแกนยาวและพุ่งดิ่งลง[127][128] ชนกับทุ่งโล่งใกล้แชงก์สวิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพิตต์สเบิร์ก ในเวลา 10:03:11 น. ขณะที่เครื่องตกนั้นอยู่ห่างจากดี.ซี. ประมาณยี่สิบนาที และเชื่อว่าเป้าหมายของเครื่องบินลำนี้คืออาคารรัฐสภาหรือทำเนียบขาว[104][126]

ผู้โดยสารและลูกเรือบางคนซึ่งโทรจากเครื่องบินโดยใช้บริการโทรศัพท์อากาศในห้องโดยสารและโทรศัพท์มือถือได้ให้รายละเอียดว่า: มีสลัดอากาศหลายคนอยู่บนเครื่องบินแต่ละลำ; พวกเขาใช้แก๊สน้ำตาหรือสเปรย์พริกไทยเพื่อจัดการกับพนักงานต้อนรับ; และบางคนบนเครื่องถูกแทง[129] รายงานระบุว่าผู้ก่อการร้ายได้แทงและสังหารนักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และผู้โดยสารอย่างน้อยหนึ่งคน[103][130] ตามรายงานฉบับสุดท้ายของคณะกรรมาธิการ 9/11 สลัดอากาศได้ซื้อเครื่องมืออเนกประสงค์และมีดเอนกประสงค์เลเทอร์แมน (ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้โดยสาร) แต่สิ่งเหล่านี้ไม่พบในบรรดาสิ่งของที่สลัดอากาศทิ้งไว้เบื้องหลัง[131][132] พนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินที่ 11 ผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ 175 และผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ 93 กล่าวว่าสลัดอากาศมีระเบิด แต่ผู้โดยสารคนหนึ่งบอกว่าเขาคิดว่าระเบิดเหล่านั้นเป็นของปลอม FBI ไม่พบร่องรอยของวัตถุระเบิดที่จุดเกิดเหตุ และคณะกรรมาธิการ 9/11 สรุปว่าระเบิดเหล่านั้นอาจเป็นของปลอม[103] ในเที่ยวบินที่ถูกจี้อย่างน้อยสองลำ—อเมริกัน 11 และยูไนเต็ด 93—ผู้ก่อการร้ายอ้างผ่านระบบประกาศสาธารณะว่าพวกเขากำลังจับตัวประกันและกำลังจะกลับไปที่สนามบินเพื่อให้มีการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องค่าไถ่ ซึ่งเป็นความพยายามที่ชัดเจนที่จะป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารต่อสู้กลับ อย่างไรก็ดี ความพยายามทั้งสองครั้งล้มเหลว เนื่องจากนักบินสลัดอากาศทั้งสองในกรณีเหล่านี้ (มุฮัมมัด อะฏา[133] และซีอาด ญะราห์[134] ตามลำดับ) ได้ส่งข้อความผิดพลาดไปยังศูนย์ควบคุมจราจรทางอากาศแทนที่จะเป็นผู้คนบนเครื่องตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบินรู้ว่าเครื่องบินถูกจี้

Thumb
ภาพจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) แสดงให้เห็นขอบเขตของกลุ่มควัน

อาคารสามแห่งในเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถล่มเนื่องจากโครงสร้างเสียหายจากเพลิงไหม้ แม้อาคารใต้จะถูกชนหลังอาคารเหนือประมาณสิบเจ็ดนาที แต่จุดที่เครื่องบินปะทะนั้นอยู่ต่ำกว่ามาก ด้วยความเร็วที่สูงกว่ามาก และพุ่งชนที่มุมอาคาร ทำให้มีน้ำหนักโครงสร้างที่ไม่สมดุลเพิ่มเข้ามา ส่งผลให้อาคารนี้ถล่มก่อนในเวลา 09:59 น.[135]:80[136]:322 หลังจากถูกไฟไหม้เป็นเวลา 56 นาที[n] จากเพลิงไหม้ที่เกิดจากยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175 ตกและเชื้อเพลิงระเบิด อาคารเหนือคงอยู่ได้อีก 29 นาที 24 วินาทีก่อนจะถล่มในเวลา 10:28 น.[o] ซึ่งเป็นหนึ่งชั่วโมงสี่สิบเอ็ดนาทีห้าสิบสามวินาที[h] หลังอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 พุ่งชน เมื่ออาคารเหนือถล่ม เศษซากได้ตกลงบนอาคาร 7 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (7 WTC) ที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้ตัวอาคารเสียหายและเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไฟเหล่านี้ลุกไหม้อยู่นานเกือบเจ็ดชั่วโมง ทำให้โครงสร้างอาคารเสียหาย และอาคาร 7 WTC ถล่มในเวลา 17:21 น.[139][140] ส่วนด้านตะวันตกของเพนตากอนได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เวลา 9:42 น. องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) สั่งระงับการบินของเครื่องบินพลเรือนทั้งหมดภายในทวีปสหรัฐ และเครื่องบินพลเรือนที่กำลังบินอยู่ได้รับคำสั่งให้ลงจอดทันที[141] เครื่องบินพลเรือนระหว่างประเทศทั้งหมดถูกสั่งให้บินกลับหรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินในแคนาดาหรือเม็กซิโก และถูกห้ามลงจอดในอาณาเขตของสหรัฐเป็นเวลาสามวัน[142] การโจมตีครั้งนี้สร้างความสับสนอย่างกว้างขวางในหมู่สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ในบรรดารายงานข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยันและมักขัดแย้งกันที่ออกอากาศตลอดทั้งวัน รายงานหนึ่งที่แพร่หลายที่สุดอ้างว่ามีระเบิดรถยนต์ระเบิดขึ้นที่ที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐในวอชิงตัน ดี.ซี.[143] เครื่องบินไอพ่นอีกลำหนึ่ง (เดลตาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 1989) ถูกสงสัยว่าถูกจี้ แต่เครื่องบินลำนั้นได้ตอบสนองต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมและลงจอดอย่างปลอดภัยที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ[144]

ในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2002 คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัดและรอมซี บิน อัชชัยบะฮ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้จัดการโจมตี กล่าวว่าเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ของเที่ยวบินที่ 93 คืออาคารรัฐสภาสหรัฐ ไม่ใช่ทำเนียบขาว[145] ในระหว่างขั้นตอนการวางแผนการโจมตี มุฮัมมัด อะฏา (สลัดอากาศและนักบินของเที่ยวบินที่ 11) คิดว่าทำเนียบขาวอาจเป็นเป้าหมายที่ยากเกินไป และได้ขอให้ฮานี ฮันญูร (สลัดอากาศและนักบินของเที่ยวบินที่ 77) ประเมินให้[146] มุฮัมมัดกล่าวว่าในตอนแรกอัลกออิดะฮ์วางแผนจะโจมตีโรงงานนิวเคลียร์มากกว่าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และเพนตากอน แต่ตัดสินใจไม่ทำ เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะ "ควบคุมไม่ได้"[147] มุฮัมมัดระบุว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเป้าหมายถูกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักบิน[146] หากนักบินคนใดไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้ เขาจะต้องทำเครื่องตก[104]

การบาดเจ็บล้มตาย

การโจมตีเพียงอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์[p] ทำให้ 9/11 กลายเป็นการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์[149] โดยรวมแล้ว เครื่องบินที่ตกทั้งสี่ลำคร่าชีวิตผู้คนไป 2,996 คน (รวมสลัดอากาศ) และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายพันคน[150] จำนวนผู้เสียชีวิตประกอบด้วย 265 คนบนเครื่องบินทั้งสี่ลำ (ไม่มีผู้รอดชีวิต) 2,606 คนในเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และพื้นที่โดยรอบ และ 125 คนที่เพนตากอน[151][152] ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือน รวมถึงนักดับเพลิง 343 คน เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย 72 คน เจ้าหน้าที่ทหาร 55 คน และผู้ก่อการร้าย 19 คน[153][154] มีพลเมืองจากกว่า 90 ประเทศเสียชีวิตในการโจมตีครั้งนี้[155]

ในนครนิวยอร์ก ผู้ที่เสียชีวิตในอาคารมากกว่า 90% อยู่ที่หรือสูงกว่าจุดที่เครื่องบินปะทะ ในอาคารเหนือ มีผู้คนระหว่าง 1,344[156] ถึง 1,402 คนที่อยู่ที่ สูงกว่า หรือต่ำกว่าจุดที่เครื่องบินปะทะหนึ่งชั้น และเสียชีวิตทั้งหมด หลายร้อยคนเสียชีวิตทันทีเมื่อเครื่องบินพุ่งชน[157] ผู้รอดชีวิตจากการปะทะประมาณ 800 คน[158] ถูกขังและเสียชีวิตจากไฟไหม้หรือการสูดดมควัน ตกลงมาหรือกระโดดจากอาคารเพื่อหนีควันและเปลวไฟ หรือเสียชีวิตเมื่ออาคารถล่ม การทำลายบันไดทั้งสามแห่งในอาคารเหนือเมื่อเที่ยวบินที่ 11 พุ่งชนทำให้เป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ตามที่อยู่เหนือพื้นที่ปะทะจะหนีออกมาได้ มีผู้คน 107 คนที่ไม่ถูกขังจากการปะทะเสียชีวิต[159] เมื่อเที่ยวบินที่ 11 พุ่งชนระหว่างชั้นที่ 93 ถึง 99 ชั้นที่ 92 ก็กลายเป็นชั้นที่หนีไม่ได้: การชนทำให้ปล่องลิฟต์ทั้งหมดขาดออกจากกัน ขณะที่ซากปรักหักพังที่ตกลงมาได้ปิดกั้นปล่องบันได ทำให้คนงานทั้ง 69 คนในชั้นนั้นเสียชีวิตทั้งหมด

ในอาคารใต้ มีผู้คนประมาณ 600 คนอยู่บนหรือสูงกว่าชั้นที่ 77 เมื่อเที่ยวบินที่ 175 พุ่งชน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิต เช่นเดียวกับอาคารเหนือ หลายร้อยคนเสียชีวิตในทันทีที่เครื่องบินปะทะ แต่ต่างจากผู้คนในอาคารเหนือ ผู้รอดชีวิตจากการชนประมาณ 300 คน[158] ในทางเทคนิคแล้วไม่ได้ถูกขัง แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ายังมีทางหนีอยู่หรือใช้ไม่ได้ บันไดหนึ่งแห่งคือปล่องบันได A รอดจากการถูกทำลายไปอย่างหวุดหวิด ทำให้ 14 คนที่อยู่ในชั้นที่ถูกชน (รวมถึงสแตนลีย์ ไพรม์นาท ชายที่เห็นเครื่องบินพุ่งเข้ามาหาเขา) และอีกสี่คนจากชั้นที่สูงกว่าสามารถหนีออกมาได้ เจ้าหน้าที่ 9-1-1 ของนครนิวยอร์กที่รับสายจากผู้คนภายในอาคารไม่ได้รับข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเพียงพอ ด้วยเหตุนี้จึงบอกผู้โทรศัพท์ว่าไม่ให้ลงจากอาคารด้วยตัวเอง[160] โดยรวมแล้ว มีผู้เสียชีวิต 630 คนในอาคารใต้ น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตในอาคารเหนือ[159] ในบรรดาผู้ที่ถูกพบเห็นว่ากระโดดหรือตกลงมาเสียชีวิต 100–200 คน[161] มีเพียงสามคนที่ได้รับการบันทึกว่ามาจากอาคารใต้[135]:86 จำนวนผู้เสียชีวิตในอาคารใต้ลดลงอย่างมากเนื่องจากผู้คนบางส่วนตัดสินใจออกจากอาคารทันทีหลังการชนครั้งแรก และเนื่องจากเอริก ไอเซนเบิร์ก ผู้บริหารของเอออนอินชัวรันซ์ตัดสินใจอพยพพนักงานในชั้นที่เอออนเช่าอยู่ (92 และ 98–105) หลังการปะทะของเที่ยวบินที่ 11 ช่วงเวลา 17 นาทีทำให้พนักงานเอออนกว่า 900 คนจาก 1,100 คนที่อยู่ในอาคารสามารถอพยพจากชั้นที่สูงกว่าชั้นที่ 77 ก่อนที่อาคารใต้จะถูกชน ไอเซนเบิร์กเป็นหนึ่งในเกือบ 200 คนที่หนีไม่รอด มีการอพยพก่อนการปะทะในลักษณะเดียวกันโดยฟิดิวเชียรีทรัสต์, ซีเอสซี และยูโรโบรกเกอส์ ทั้งหมดมีสำนักงานอยู่บนชั้นที่สูงกว่าจุดปะทะ การที่ไม่มีการสั่งอพยพอาคารใต้ทั้งหมดหลังการชนครั้งแรกของเครื่องบินในอาคารเหนือถูกยูเอสเอทูเดย์อธิบายว่าเป็น "หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ของวันนั้น"[162]

ตามที่แสดงในภาพถ่ายเดอะฟอลลิงแมน (The Falling Man) ผู้คนกว่า 200 คนตกลงมาเสียชีวิตจากอาคารที่กำลังลุกไหม้ ส่วนใหญ่ถูกบังคับให้กระโดดเพื่อหนีความร้อนสูง ไฟ และควัน[163] ผู้คนบางส่วนในแต่ละอาคารที่อยู่เหนือจุดปะทะได้มุ่งหน้าไปยังดาดฟ้าโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากเฮลิคอปเตอร์ แต่ประตูทางเข้าดาดฟ้าถูกล็อก[164] ไม่มีแผนการช่วยเหลือด้วยเฮลิคอปเตอร์ และการรวมกันของอุปกรณ์บนดาดฟ้า ควันหนา และความร้อนสูงทำให้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถเข้าใกล้ได้[165]

ที่กลุ่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มีเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน 414 คนเสียชีวิตขณะพยายามช่วยเหลือผู้คนและดับเพลิง ขณะที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอีกคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อยูไนเต็ด 93 ตก นักดับเพลิง 343 นายของกรมดับเพลิงนครนิวยอร์ก (FDNY) เสียชีวิต รวมถึงนักบวชหนึ่งคนและเจ้าหน้าที่กู้ชีพสองคน[166][167][168] เจ้าหน้าที่ 23 นายของกรมตำรวจนครนิวยอร์ก (NYPD) เสียชีวิต[169] เจ้าหน้าที่ 37 นายของกรมตำรวจการท่าเรือ (PAPD) เสียชีวิต[170] เจ้าหน้าที่กู้ชีพและแพทย์ฉุกเฉินแปดคนจากหน่วยบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินเอกชนถูกสังหาร[171] เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินเกือบทั้งหมดที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเสียชีวิตจากอาคารถล่ม ยกเว้นคนหนึ่งที่ถูกพลเรือนที่ตกลงมาจากอาคารใต้กระแทก[172]

พนักงาน 658 คนจากแคนเตอร์ ฟิตซ์เจอรัลด์ แอล.พี. ธนาคารเพื่อการลงทุนในชั้นที่ 101–105 ของอาคารใต้ เสียชีวิต ซึ่งมากกว่านายจ้างรายอื่นอย่างมาก[173] พนักงาน 358 คนจากมาร์ช อิงก์ ซึ่งตั้งอยู่ใต้แคนเตอร์ ฟิตซ์เจอรัลด์ทันทีในชั้นที่ 93–100 เสียชีวิต[174][175] และพนักงาน 176 คนจากเอออนคอร์ปอเรชันเสียชีวิต[176] สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST) ประมาณการว่ามีพลเรือนประมาณ 17,400 คนอยู่ในกลุ่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในขณะเกิดการโจมตี[177]:xxxiii การนับจำนวนผู้ผ่านเข้าออกจากการท่าเรือชี้ให้เห็นว่าโดยปกติแล้วมีผู้คน 14,154 คนอยู่ในอาคารแฝดในเวลา 08:45 น.[178] ส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าพื้นที่ปะทะได้อพยพออกมาอย่างปลอดภัย[179]

ในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย เจ้าหน้าที่เพนตากอน 125 คนเสียชีวิตเมื่อเที่ยวบินที่ 77 พุ่งชนด้านตะวันตกของอาคาร เจ็ดสิบคนเป็นพลเรือนและ 55 คนเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร หลายคนทำงานให้กับกองทัพบกหรือกองทัพเรือสหรัฐ พนักงานพลเรือน 47 คน ผู้รับเหมาพลเรือน 6 คน และทหาร 22 นายที่ทำงานให้กับกองทัพบกเสียชีวิต ขณะที่พนักงานพลเรือน 6 คน ผู้รับเหมาพลเรือน 3 คน และทหารเรือ 33 นายที่ทำงานให้กับกองทัพเรือเสียชีวิต พนักงานพลเรือนเจ็ดคนของสำนักงานข่าวกรองกลาโหม (DIA) และผู้รับเหมาหนึ่งคนของสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสียชีวิต[180][181][182] ทิโมที มอด นายพลโทและรองเสนาธิการร่วม เป็นเจ้าหน้าที่ทหารยศสูงสุดที่เสียชีวิตที่เพนทากอน[183]

หลายสัปดาห์หลังการโจมตี จำนวนผู้เสียชีวิตประมาณการไว้ว่ามีมากกว่า 6,000 คน มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันในท้ายที่สุดถึงสองเท่า[184] เมืองสามารถระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตจากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ได้เพียงประมาณ 1,600 รายเท่านั้น สำนักงานนิติเวชได้รวบรวม "ชิ้นส่วนกระดูกและเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถระบุตัวตนประมาณ 10,000 ชิ้นที่ไม่สามารถจับคู่กับรายชื่อผู้เสียชีวิตได้"[185] ชิ้นส่วนกระดูกยังคงถูกพบใน ค.ศ. 2006 โดยคนงานที่กำลังเตรียมรื้ออาคารด็อยท์เชอบังค์ที่เสียหาย[186]

ใน ค.ศ. 2010 ทีมงานนักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีได้ค้นหาชิ้นส่วนมนุษย์และของใช้ส่วนตัวที่บ่อฝังกลบเฟรชคิลส์ ที่ซึ่งพบชิ้นส่วนมนุษย์เพิ่มอีก 72 ชิ้น ทำให้ยอดรวมที่พบเป็น 1,845 ชิ้น ณ ค.ศ. 2011 การตรวจดีเอ็นเอยังคงดำเนินต่อไปเพื่อพยายามระบุตัวตนผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม[187][188][189] ใน ค.ศ. 2014 มีการย้ายกรณีที่มีขนาดเท่าโลงศพสามกรณีซึ่งบรรจุซากศพที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ 7,930 ชิ้นไปยังคลังของสำนักงานนิติเวชซึ่งตั้งอยู่ที่เดียวกับอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 11 กันยายน[190] ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับอนุญาตให้เยี่ยมชม "ห้องสะท้อนคิด" ส่วนตัวที่ปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าชม การตัดสินใจที่จะวางชิ้นส่วนศพในพื้นที่ใต้ดินที่ติดอยู่กับพิพิธภัณฑ์เป็นที่ถกเถียงกัน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตบางรายพยายามให้มีการฝังซากศพแทนในอนุสาวรีย์แยกต่างหากที่เหนือพื้นดิน[191]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2017 ผู้เสียชีวิตรายที่ 1,641 ได้รับการระบุตัวตนอันเป็นผลมาจากเทคโนโลยีดีเอ็นเอที่มีใหม่[192] และรายที่ 1,642 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2018[193] มีผู้เสียชีวิตอีกสามรายได้รับการระบุตัวตนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2019[194] สองรายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2021[195] และอีกสองรายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023[196] ณ ค.ศ. 2025 ยังคงมีผู้เสียชีวิต 1,103 รายที่ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้ คิดเป็น 40% ของผู้เสียชีวิตในการโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์[197] วันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2023 FDNY รายงานว่าปัจจุบันหน่วยงานสูญเสียสมาชิกจำนวนเท่ากันจากโรคที่เกี่ยวข้องกับ 9/11 เช่นเดียวกับที่สูญเสียไปในวันที่มีการโจมตี[198][199]

ความเสียหาย

Thumb
พื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หรือที่เรียกว่ากราวนด์ซีโร พร้อมภาพซ้อนทับที่แสดงตำแหน่งของอาคารดั้งเดิม

อาคารแฝด, แมริออทเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (3 WTC), 7 WTC และโบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์เซนต์นิโคลัสถูกทำลาย[200] อาคารศุลกากรสหรัฐ (6 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์), 4 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, 5 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และสะพานลอยคนเดินที่เชื่อมอาคารทั้งสองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถนนโดยรอบทั้งหมดอยู่ในสภาพปรักหักพัง[201] ไฟสุดท้ายในพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกดับลงเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม[202]

อาคารด็อยท์เชอบังค์ได้รับความเสียหายและต่อมาถูกตัดสินว่าไม่สามารถอยู่อาศัยได้เนื่องจากมีสภาพเป็นพิษ โดยเริ่มรื้อถอนใน ค.ศ. 2007[203][204][205][206] อาคารของศูนย์การเงินโลกก็ได้รับความเสียหาย[203] ฟิเทอร์แมนฮอลล์ของวิทยาลัยชุมชนเขตแมนแฮตตันถูกตัดสินว่าต้องรื้อถอนเนื่องจากความเสียหายอย่างกว้างขวาง และเปิดใหม่อีกครั้งใน ค.ศ. 2012[207]

อาคารใกล้เคียงอื่น ๆ (รวมถึง 90 เวสต์สตรีตและอาคารเวอไรซอน) ได้รับความเสียหายอย่างมากแต่ได้รับการบูรณะแล้ว[208] อาคารในศูนย์การเงินโลก, วันลิเบอร์ตีพลาซา, มิลเลนเนียมฮิลตัน และ 90 เชิร์ชสตรีต ด้รับความเสียหายปานกลางและได้รับการบูรณะแล้ว[209] อุปกรณ์สื่อสารบนยอดอาคารเหนือก็ถูกทำลายเช่นกัน โดยมีเพียงสถานีโทรทัศน์ WCBS-TV ที่ยังคงมีเครื่องส่งสัญญาณสำรองอยู่ที่ตึกเอ็มไพร์สเตต แต่สถานีสื่อต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนเส้นทางสัญญาณและกลับมาออกอากาศได้อย่างรวดเร็ว[200][210]

Thumb
มุมมองทางอากาศของเพนตากอนระหว่างการทำความสะอาดในวันที่ 14 กันยายน

สถานีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ของระบบรถไฟ PATH ตั้งอยู่ใต้พื้นที่อาคารและถูกทำลายลงเมื่ออาคารถล่ม อุโมงค์ที่นำไปสู่สถานีเอกซ์เชนจ์เพลซในเจอร์ซีย์ซิตีถูกน้ำท่วม[211] สถานีนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นศูนย์คมนาคมเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์มูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเปิดใหม่อีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015[212][213] สถานีคอร์ตแลนด์สตรีตของรถไฟใต้ดินนครนิวยอร์ก สาย IRT บรอดเวย์–เซเวนท์แอแวนูก็อยู่ใกล้กับกลุ่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เช่นกัน และสถานีทั้งหมดพร้อมกับรางรถไฟโดยรอบถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง[214] สถานีนี้ได้รับการสร้างขึ้นใหม่และเปิดให้สาธารณะชนเข้าใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2018[215]

เพนตากอนได้รับความเสียหายอย่างมาก ทำให้ส่วนหนึ่งของอาคารถล่ม[216] ขณะที่เที่ยวบินที่ 77 เข้าใกล้เพนตากอน ปีกของเครื่องบินได้ชนเสาไฟ และเครื่องยนต์ด้านขวาชนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าก่อนจะพุ่งชนด้านตะวันตกของอาคาร[217][218] เครื่องบินพุ่งชนเพนตากอนที่ชั้นหนึ่ง ส่วนหน้าของลำตัวเครื่องสลายไปเมื่อเกิดการปะทะ [219] เศษซากจากส่วนหางของเครื่องทะลุเข้าไปในอาคารได้ไกลที่สุด โดยทะลุผ่านสามวงแหวนนอกสุดจากห้าวงของอาคารเป็นระยะทาง 310 ฟุต (94 เมตร)[219][220]

ความพยายามกู้ภัย

Thumb
เรือตรวจการณ์ฮอกกิงของกองทหารช่างกองทัพบกสหรัฐ กำลังเดินทางไปให้ความช่วยเหลือในพื้นที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 11 กันยายน

กรมดับเพลิงนครนิวยอร์ก (FDNY) ได้ส่งหน่วยมากกว่า 200 หน่วย (ประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังพลทั้งกรม) ไปยังเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์[221] ความพยายามของพวกเขายังได้รับการสนับสนุนจากนักดับเพลิงนอกเวลาราชการและช่างเทคนิคการแพทย์ฉุกเฉิน[222][221][223] กรมตำรวจนครนิวยอร์ก (NYPD) ได้ส่งหน่วยบริการฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่น ๆ รวมถึงส่งหน่วยการบิน[224] ซึ่งประเมินแล้วว่าการช่วยเหลือด้วยเฮลิคอปเตอร์จากอาคารต่าง ๆ นั้นไม่สามารถทำได้[225] เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากจากกรมตำรวจการท่าเรือ (PAPD) ก็เข้าร่วมในภารกิจกู้ภัยเช่นกัน[226] เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ทั้ง FDNY, NYPD และ PAPD ไม่ได้ประสานงานกันและได้ทำการค้นหาพลเรือนซ้ำซ้อน[222][227]

เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง หน่วยการบินของ NYPD ได้ส่งข้อมูลไปยังผู้บังคับบัญชาตำรวจ ซึ่งได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่อพยพออกจากอาคาร เจ้าหน้าที่ NYPD ส่วนใหญ่สามารถอพยพได้ก่อนที่อาคารจะถล่ม[227][228] เนื่องจากมีการตั้งศูนย์บัญชาการแยกกันและการสื่อสารทางวิทยุที่เข้ากันไม่ได้ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้คำเตือนไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังผู้บังคับบัญชา FDNY[229]

หลังอาคารแรกถล่ม ผู้บังคับบัญชา FDNY ได้ออกคำเตือนให้อพยพ ด้วยระบบทวนสัญญาณวิทยุขัดข้อง ทำให้นักดับเพลิงจำนวนมากไม่เคยได้ยินคำสั่งอพยพ พนักงานรับแจ้งเหตุ 9-1-1 ยังได้รับข้อมูลจากผู้โทรเข้าแต่ก็ไม่ได้ส่งต่อไปยังผู้บังคับบัญชาในที่เกิดเหตุเช่นกัน[221]

Remove ads

ปฏิกิริยา

สรุป
มุมมอง

วินาศกรรม 9/11 ส่งผลให้เกิดการตอบสนองในทันที รวมถึงการตอบสนองภายในประเทศ การปิดและยกเลิก อาชญากรรมจากความเกลียดชัง การตอบสนองจากนานาชาติ และการตอบสนองทางทหาร ไม่นานหลังจากการโจมตี กองทุนชดเชยผู้เสียหาย 11 กันยายนได้รับการจัดตั้งขึ้นตามรัฐบัญญัติรัฐสภา[230][231] จุดประสงค์ของกองทุนนี้คือเพื่อชดเชยให้กับผู้เสียหายจากการโจมตีและครอบครัวของพวกเขา โดยมีข้อตกลงว่าพวกเขาจะไม่ยื่นฟ้องดำเนินคดีต่อสายการบินที่เกี่ยวข้อง[232] กฎหมายอนุญาตให้กองทุนสามารถจ่ายเงินสูงสุด 7,375 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบริหาร จากเงินทุนของรัฐบาลสหรัฐ[233] เดิมทีกองทุนนี้มีกำหนดจะหมดอายุใน ค.ศ. 2020 แต่ใน ค.ศ. 2019 ได้มีการขยายเวลาออกไปเพื่อให้สามารถยื่นคำร้องได้จนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2090[234][235]

การตอบสนองในทันที

Thumb
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้รับข้อมูลสรุปในแซราโซตา รัฐฟลอริดา ซึ่งเขาได้รับทราบเรื่องการโจมตีที่เกิดขึ้นขณะไปเยี่ยมโรงเรียนประถมศึกษาเอ็มมา อี. บุกเกอร์
แปดชั่วโมงหลังการโจมตี รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ดอนัลด์ รัมส์เฟลด์ ประกาศว่า "เพนตากอนกำลังทำงาน"

เวลา 8:32 น. เจ้าหน้าที่ FAA ได้รับแจ้งว่าเที่ยวบินที่ 11 ถูกจี้ และได้แจ้งต่อกองบัญชาการป้องกันทางอากาศและอวกาศอเมริกาเหนือ (NORAD) NORAD ได้ส่งเครื่องบินขับไล่เอฟ-15 สองลำจากฐานทัพอากาศแห่งชาติโอติสในรัฐแมสซาชูเซตส์ขึ้นสู่น่านฟ้าในเวลา 08:53 น. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ FAA สื่อสารล่าช้าและสับสน NORAD จึงได้รับแจ้งล่วงหน้าเพียงเก้านาที และไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับเที่ยวบินอื่น ๆ ก่อนที่เครื่องบินเหล่านั้นจะตก

หลังอาคารแฝดทั้งสองถูกโจมตี มีการส่งเครื่องบินขับไล่เพิ่มเติมจากฐานทัพอากาศแลงลีย์ในรัฐเวอร์จิเนียในเวลา 09:30 น.[236] เวลา 10:20 น. รองประธานาธิบดีดิก ชีนีย์ ออกคำสั่งให้ยิงเครื่องบินพาณิชย์ใด ๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเครื่องบินที่ถูกจี้ คำสั่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังนักบินขับไล่ได้ทันเวลา[236][237][238] เครื่องบินขับไล่บางลำขึ้นบินโดยไม่มีกระสุนจริง โดยรู้ว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ นักบินอาจต้องสกัดและพุ่งชนเครื่องบินขับไล่ของตนเองกับเครื่องบินที่ถูกจี้ และอาจต้องดีดตัวในนาทีสุดท้าย[239]

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐ ที่มีการเรียกใช้แผนเตรียมความพร้อมฉุกเฉินการควบคุมความปลอดภัยจราจรทางอากาศและระบบเครื่องช่วยเดินอากาศ (SCATANA)[240] ทำให้มีผู้โดยสารหลายหมื่นคนต้องติดค้างทั่วโลก[241] เบน สลินีย์ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการแห่งชาติของ FAA ในวันแรกของการทำงาน[242] สั่งปิดน่านฟ้าสหรัฐสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด ทำให้ประมาณ 500 เที่ยวต้องบินกลับหรือเปลี่ยนเส้นทางไปยังประเทศอื่น ๆ แคนาดารับเครื่องบินที่เปลี่ยนเส้นทางมา 226 เที่ยวบินและริเริ่มปฏิบัติการเยลโลว์รอบบอนเพื่อจัดการกับเครื่องบินจำนวนมากที่ต้องลงจอดและผู้โดยสารที่ตกค้าง[243]

วินาศกรรม 9/11 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวอเมริกัน[244] ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากทั่วประเทศเดินทางไปนครนิวยอร์กเพื่อช่วยกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากซากปรักหักพังของอาคารแฝด[245] เด็กกว่า 3,000 คนต้องกำพร้าพ่อแม่จากวินาศกรรมนี้[246] การบริจาคเลือดทั่วสหรัฐพุ่งสูงขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์หลัง 9/11[247][248]

ปฏิกิริยาภายในประเทศ

ประธานาธิบดีบุชกล่าวปราศรัยต่อประชาชนจากทำเนียบขาว เวลา 20.30 น. ET
บุชพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่กราวนด์ซีโรเมื่อวันที่ 14 กันยายน ข้างนักดับเพลิง บ็อบ เบ็กวิท
Thumb
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อการประชุมร่วมของรัฐสภา ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชให้คำมั่น "จะปกป้องเสรีภาพจากการก่อการร้าย" 20 กันยายน ค.ศ. 2001 (เฉพาะเสียง)

หลังการโจมตี คะแนนนิยมของบุชเพิ่มขึ้นเป็น 90%[249] วันที่ 20 กันยายน เขากล่าวปราศรัยต่อประชาชนและต่อที่ประชุมร่วมของรัฐสภาเกี่ยวกับเหตุการณ์ ความพยายามกู้ภัยและกู้ซาก และการตอบสนองที่เขาตั้งใจจะทำต่อการโจมตี บทบาทที่โดดเด่นของนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก รูดี จูลีอานี ทำให้เขาได้รับการยกย่องทั้งในนิวยอร์กและทั่วประเทศ[250]

มีการตั้งกองทุนบรรเทาทุกข์ขึ้นทันทีหลายแห่งเพื่อมอบความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้รอดชีวิตจากการโจมตีและครอบครัวของเหยื่อ ภายในกำหนดเส้นตายสำหรับการจ่ายเงินชดเชยแก่เหยื่อในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2003 มีการยื่นคำขอ 2,833 รายการจากครอบครัวผู้เสียชีวิต[251]

แผนฉุกเฉินสำหรับความต่อเนื่องของรัฐบาลและการอพยพผู้นำถูกนำมาใช้ในไม่ช้าหลังการโจมตี[241] รัฐสภาไม่ได้รับแจ้งว่าสหรัฐอยู่ในสถานะความต่อเนื่องของรัฐบาลจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002[252]

ในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย สหรัฐได้ออกรัฐบัญญัติความมั่นคงภายใน ค.ศ. 2002 เพื่อตั้งกระทรวงความมั่นคงภายในสหรัฐ รัฐสภายังผ่านรัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิ โดยระบุว่าจะช่วยในการตรวจจับและดำเนินคดีกับการก่อการร้ายและอาชญากรรมอื่น ๆ[253] กลุ่มสิทธิพลเมืองได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิ โดยกล่าวว่ากฎหมายนี้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายละเมิดความเป็นส่วนตัวของพลเมืองและกำจัดการกำกับดูแลทางตุลาการของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยข่าวกรองภายในประเทศ[254][255][256]

เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ได้รับอำนาจอย่างกว้างขวาง NSA เริ่มทำการสอดแนมการโทรคมนาคมโดยไม่มีหมาย ซึ่งบางครั้งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการอนุญาตให้หน่วยงาน "ดักฟังการสื่อสารทางโทรศัพท์และอีเมลระหว่างสหรัฐกับผู้คนโพ้นทะเลโดยไม่มีหมาย"[257] เพื่อตอบสนองต่อคำขอของหน่วยข่าวกรอง ศาลสอดแนมข่าวกรองต่างประเทศสหรัฐอนุญาตให้ขยายอำนาจของรัฐบาลสหรัฐในการค้นหา ได้รับ และแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับพลเมืองสหรัฐรวมถึงผู้ที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันทั่วโลก[258]

อาชญากรรมจากความเกลียดชัง

หกวันหลังการโจมตี ประธานาธิบดีบุชได้ปรากฏตัวต่อสาธารณะที่ศูนย์อิสลามที่ใหญ่ที่สุดในวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ซึ่งเขาได้กล่าวถึง "การมีส่วนร่วมที่มีคุณค่าอย่างเหลือเชื่อ" ของชาวอเมริกันมุสลิมและเรียกร้องให้พวกเขา "ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ"[259] มีรายงานเหตุการณ์การคุกคามและอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อชาวมุสลิมและชาวเอเชียใต้จำนวนมากในหลายวันหลังการโจมตี[260][261][262]

ชาวซิกข์ก็ตกเป็นเป้าหมายด้วยเนื่องจากพวกเขาใช้ผ้าโพกหัวซึ่งเป็นภาพเหมารวมที่มักเชื่อมโยงกับมุสลิม มีรายงานการโจมตีมัสยิดและอาคารทางศาสนาอื่น ๆ (รวมถึงการวางระเบิดเพลิงที่วัดฮินดู) และการทำร้ายบุคคล รวมถึงเหตุฆาตกรรมหนึ่งราย: บัลบีร์ ซิงห์ โสธิ (Balbir Singh Sodhi) ชาวซิกข์ที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นมุสลิม ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2001 ที่เมซา รัฐแอริโซนา[262] สมาชิกในครอบครัวของอุซามะฮ์ บิน ลาดินสองโหลถูกอพยพออกจากประเทศอย่างเร่งด่วนด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำส่วนตัวภายใต้การดูแลของ FBI สามวันหลังการโจมตี[263]

การศึกษาทางวิชาการพบว่าผู้ที่ถูกมองว่าเป็นชาวตะวันออกกลางมีแนวโน้มตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมจากความเกลียดชังพอ ๆ กับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในช่วงเวลานั้น การศึกษายังพบการเพิ่มขึ้นที่คล้ายกันของอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อผู้ที่อาจถูกมองว่าเป็นมุสลิม ชาวอาหรับ และคนอื่น ๆ ที่คิดว่าเป็นคนเชื้อสายตะวันออกกลาง[264] รายงานโดยกลุ่มสนับสนุนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใต้ South Asian Americans Leading Together ได้บันทึกการรายงานข่าวของสื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์อคติ 645 ครั้งต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใต้หรือตะวันออกกลางระหว่างวันที่ 11 ถึง 17 กันยายน 2001 มีการบันทึกอาชญากรรมต่าง ๆ เช่น การทำลายทรัพย์สิน การวางเพลิง การทำร้ายร่างกาย การยิง การคุกคาม และการข่มขู่ในหลายสถานที่[265][266] ผู้หญิงที่สวมฮิญาบก็ตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน[267]

การเลือกปฏิบัติและสงสัยด้วยเชื้อชาติ

ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 พบว่า 20% เคยประสบกับการเลือกปฏิบัติด้วยตัวเองนับตั้งแต่ 11 กันยายน ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันมุสลิมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2002 พบว่า 48% เชื่อว่าชีวิตของพวกเขาแย่ลงนับตั้งแต่ 11 กันยายน และ 57% เคยประสบกับการกระทำที่เกิดจากอคติหรือการเลือกปฏิบัติ[267] หลังวินาศกรรม 11 กันยายน ชาวอเมริกันเชื้อสายปากีสถานจำนวนมากระบุว่าตนเองเป็นชาวอินเดียเพื่อเลี่ยงการเลือกปฏิบัติที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อให้ได้งาน[268]

ภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 มีการร้องเรียนเรื่องการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานจำนวน 488 กรณีที่รายงานไปยังคณะกรรมการว่าด้วยโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกันสหรัฐ (EEOC) โดย 301 กรณีเป็นการร้องเรียนจากผู้ที่ถูกไล่ออกจากงาน ในทำนองเดียวกัน ภายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 กระทรวงคมนาคมสหรัฐ (DOT) ได้ทำการสอบสวนการร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับ 11 กันยายนจำนวน 111 กรณีจากผู้โดยสารสายการบินที่กล่าวอ้างว่ารูปลักษณ์ทางศาสนาหรือชาติพันธุ์ของพวกเขาทำให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติในการตรวจคัดกรองความปลอดภัย และมีการร้องเรียนเพิ่มเติมอีก 31 กรณีจากผู้ที่อ้างว่าพวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่องบินด้วยเหตุผลเดียวกัน[267]

การตอบสนองของชาวมุสลิมอเมริกัน

องค์การชาวมุสลิมในสหรัฐได้ออกมาประณามการโจมตีอย่างรวดเร็วและเรียกร้องให้ "ชาวอเมริกันมุสลิมออกมาใช้ทักษะและทรัพยากรเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบและครอบครัว"[269] องค์การเหล่านี้ได้แก่ สมาคมอิสลามอเมริกาเหนือ, พันธมิตรมุสลิมอเมริกา, สภามุสลิมอเมริกา, สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม, ชมรมอิสลามอเมริกาเหนือ และสมาคมนักวิชาการชะรีอะฮ์อเมริกาเหนือ นอกเหนือจากการบริจาคเงินแล้ว องค์การมุสลิมหลายแห่งยังได้จัดกิจกรรมบริจาคเลือดและให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ อาหาร และที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัย[270][271][272]

ความพยายามต่างศาสนา

ความอยากรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นหลังการโจมตี ด้วยเหตุนี้ มัสยิดและศูนย์อิสลามหลายแห่งจึงเริ่มจัดงานเปิดบ้านและเข้าร่วมกิจกรรมเผยแพร่ศาสนาเพื่อสอนให้ผู้ที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมได้รู้จักกับศาสนาอิสลามมากขึ้น ในช่วง 10 ปีแรกหลังการโจมตี การให้บริการชุมชนต่างศาสนาเพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 20% และเปอร์เซ็นต์ของโบสถ์ในสหรัฐที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาแบบต่างศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 7 เป็น 14%[273]

ปฏิกิริยาจากนานาชาติ

Thumb
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน (ขวา) และภริยา (กลาง) ในพิธีรำลึกที่นครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน

สื่อมวลชนและรัฐบาลทั่วโลกประณามการโจมตีครั้งนี้ บรรดาประเทศต่าง ๆ เสนอการสนับสนุนและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับสหรัฐ[274] ผู้นำประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง รวมถึงลิเบียและอัฟกานิสถาน ต่างประณามการโจมตี อิรักเป็นข้อยกเว้นที่น่าสังเกต โดยมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในทันทีว่า "คาวบอยอเมริกันกำลังเก็บเกี่ยวผลของอาชญากรรมที่พวกเขากระทำต่อมนุษยชาติ"[275] รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประณามการโจมตีอย่างเป็นทางการ แต่ในทางส่วนตัว ชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากชื่นชอบเป้าหมายของบิน ลาดิน[276][277]

แม้ยัสเซอร์ อาราฟัต ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ จะประณามการโจมตีเช่นกัน แต่ก็มีรายงานการเฉลิมฉลองขนาดไม่แน่นอนในเวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา และเยรูซาเลมตะวันออก[278][279] ผู้นำปาเลสไตน์ไม่ยอมรับผู้แพร่ภาพข่าวที่ให้เหตุผลการโจมตีหรือแสดงการเฉลิมฉลอง[280] และทางการอ้างว่าการเฉลิมฉลองดังกล่าวไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกของชาวปาเลสไตน์[281][282] มีการเสนอแนะจากรายงานที่มีต้นกำเนิดจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในบราซิลว่าภาพวิดีโอจาก CNN[คลุมเครือ] และสำนักข่าวอื่น ๆ มาจาก ค.ศ. 1991 ซึ่งต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นข้อกล่าวหาเท็จ[283][284] เช่นเดียวกับในสหรัฐ ผลพวงของการโจมตีทำให้ความตึงเครียดในประเทศอื่น ๆ ระหว่างมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมเพิ่มขึ้น[285]

ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 1368 ประณามการโจมตีและแสดงความพร้อมที่จะดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อตอบสนองและต่อสู้กับการก่อการร้ายตามกฎบัตรของตน[286] หลายประเทศออกกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายและอายัดบัญชีธนาคารที่ต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะฮ์[287][288] หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานข่าวกรองในหลายประเทศได้จับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย[289][290]

โทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่าอังกฤษยืน "เคียงบ่าเคียงไหล่" กับสหรัฐ[291] ในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเก้าวันหลังการโจมตี ซึ่งแบลร์เข้าร่วมในฐานะแขก ประธานาธิบดีบุชประกาศว่า "อเมริกาไม่มีเพื่อนแท้คนใดมากไปกว่าบริเตนใหญ่"[292] ต่อมา นายกรัฐมนตรีแบลร์ได้เริ่มการทูตนานสองเดือนเพื่อระดมการสนับสนุนจากนานาชาติสำหรับปฏิบัติการทางทหาร โดยเขาได้ประชุมกับผู้นำโลก 54 ครั้ง[293]

สหรัฐได้ตั้งค่ายกักกันที่อ่าวกวนตานาโมเพื่อควบคุมตัวนักโทษที่พวกเขาให้นิยามว่าเป็น "นักรบศัตรูผิดกฎหมาย" ความชอบธรรมของการควบคุมตัวเหล่านี้ถูกตั้งคำถามโดยสหภาพยุโรปและองค์การด้านสิทธิมนุษยชน[294][295][296]

วันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2001 โมแฮมแมด ฆอแทมี ประธานาธิบดีอิหร่าน ในการประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ แจ็ก สตรอว์ กล่าวว่า: "อิหร่านเข้าใจความรู้สึกของชาวอเมริกันอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในนิวยอร์กและวอชิงตันเมื่อวันที่ 11 กันยายน" เขากล่าวว่าแม้รัฐบาลอเมริกันจะเพิกเฉยต่อปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายในอิหร่านเป็นอย่างดีที่สุด แต่ชาวอิหร่านก็รู้สึกแตกต่างออกไปและได้แสดงความเห็นอกเห็นใจกับชาวอเมริกันที่สูญเสียในเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในทั้งสองเมือง เขายังกล่าวอีกว่า "นานาชาติไม่ควรถูกลงโทษแทนผู้ก่อการร้าย"[297]

ตามเว็บไซต์ของราดีโอฟัรดา เมื่อข่าวการโจมตีถูกเผยแพร่ ชาวอิหร่านบางส่วนได้มารวมตัวกันที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ในเตหะราน ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองผลประโยชน์ของสหรัฐในอิหร่าน เพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจ และบางคนได้จุดเทียนเป็นสัญลักษณ์ของการไว้อาลัย เว็บไซต์ของราดีโอฟัรดายังระบุด้วยว่าใน ค.ศ. 2011 ในวันครบรอบการโจมตี กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้โพสต์ข้อความบนบล็อกของตน ซึ่งกระทรวงได้ขอบคุณชาวอิหร่านสำหรับความเห็นอกเห็นใจและระบุว่าจะไม่มีวันลืมความเมตตาของชาวอิหร่าน[298] หลังการโจมตี ทั้งประธานาธิบดี[299][300] และผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ประณามการโจมตี BBC และนิตยสารไทม์ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับการจัดงานจุดเทียนไว้อาลัยเหยื่อโดยพลเมืองชาวอิหร่านบนเว็บไซต์ของพวกเขา[301][302] ตามรายงานของโพลิทิโกแมกาซีน หลังจากการโจมตี แอลี ฆอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน "ได้ระงับการตะโกน 'ความตายแก่อเมริกา' ตามปกติในการละหมาดวันศุกร์" ชั่วคราว[303]

ปฏิบัติการทางทหาร

เวลา 14:40 น. ของวันที่ 11 กันยายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดอนัลด์ รัมส์เฟลด์ ออกคำสั่งให้ผู้ช่วยของเขาค้นหาหลักฐานการมีส่วนเกี่ยวข้องของอิรัก ตามบันทึกที่เจ้าหน้าที่นโยบายอาวุโส สตีเฟน แคมโบน ได้จดไว้ รัมส์เฟลด์ขอว่า "ขอข้อมูลที่ดีที่สุดอย่างรวดเร็ว ตัดสินว่าพวกเขามีดีพอที่จะโจมตี S.H. พร้อมกันหรือไม่ ไม่ใช่แค่ OBL"[304]

ในการประชุมที่แคมป์เดวิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน ฝ่ายบริหารของบุชได้ปฏิเสธแนวคิดโจมตีอิรักเพื่อตอบโต้วินาศกรรม 11 กันยายน[305] อย่างไรก็ดี ภายหลังพวกเขาก็รุกรานประเทศดังกล่าวพร้อมกับพันธมิตร โดยอ้างว่า "ซัดดัม ฮุสเซนให้การสนับสนุนการก่อการร้าย"[306] ในเวลานั้น มีชาวอเมริกันมากถึงเจ็ดในสิบคนเชื่อว่าประธานาธิบดีอิรักมีส่วนในวินาศกรรม 9/11[307] สามปีต่อมา บุชยอมรับว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง[308]

สภาเนโทประกาศว่าการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐถือเป็นการโจมตีประเทศสมาชิกเนโททั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 5 ของกฎบัตรเนโท นี่ถือเป็นการเรียกใช้มาตรา 5 เป็นครั้งแรก ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงสงครามเย็นโดยคำนึงถึงการโจมตีของสหภาพโซเวียต[309] นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย จอห์น โฮเวิร์ด ซึ่งอยู่ในวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างการโจมตี ได้เรียกใช้มาตรา 4 ของสนธิสัญญาแอนซัส[310] ฝ่ายบริหารของบุชประกาศสงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดยมีเป้าหมายที่ระบุไว้คือการนำตัวบิน ลาดินและอัลกออิดะฮ์มารับโทษและป้องกันการเกิดขึ้นของเครือข่ายก่อการร้ายอื่น ๆ[311] เป้าหมายเหล่านี้จะบรรลุผลได้ด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทหารต่อรัฐที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย และเพิ่มการเฝ้าระวังทั่วโลกและการแบ่งปันข่าวกรอง[312]

วันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2001 รัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายให้อำนาจใช้กำลังทหารต่อผู้ก่อการร้าย ซึ่งให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการใช้ "กำลังที่จำเป็นและเหมาะสม" ทั้งหมดต่อผู้ที่เขาพิจารณาว่า "วางแผน อนุญาต กระทำ หรือช่วยเหลือ" วินาศกรรม 11 กันยายน หรือผู้ให้ที่พักพิงแก่บุคคลหรือกลุ่มดังกล่าว กฎหมายนี้ยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน[313]

วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2001 สงครามในอัฟกานิสถานเริ่มต้นขึ้นเมื่อกองกำลังสหรัฐและอังกฤษเริ่มปฏิบัติการทิ้งระเบิดทางอากาศโดยมุ่งเป้าไปที่ค่ายของตอลิบานและอัลกออิดะฮ์ จากนั้นจึงรุกรานอัฟกานิสถานด้วยกองกำลังภาคพื้นของหน่วยรบพิเศษ[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่การล้มล้างการปกครองของตอลิบานในอัฟกานิสถานด้วยการล่มสลายของกันดาฮาร์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม โดยกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐ[314]

อุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำอัลกออิดะฮ์ ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาขาว ถูกกองกำลังพันธมิตรสหรัฐตามล่าในยุทธการที่ตอราโบรา[315] แต่เขาก็หนีข้ามพรมแดนปากีสถานไปได้และหลบหนีเป็นเวลาเกือบสิบปี[315] ในการสัมภาษณ์กับตัยสีร อะลูนีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2001 บิน ลาดินกล่าวว่า:

เหตุการณ์เหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงระดับการก่อการร้ายที่อเมริกาใช้ในโลก บุชกล่าวว่าโลกจะต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน: บุชและผู้สนับสนุนของเขา และประเทศใดก็ตามที่ไม่เข้าร่วมในการรณรงค์ระดับโลกก็อยู่กับผู้ก่อการร้าย การก่อการร้ายอะไรที่ชัดเจนกว่านี้? รัฐบาลหลายแห่งถูกบังคับให้สนับสนุน "การก่อการร้ายใหม่" นี้... อเมริกาจะไม่มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยจนกว่าเราจะได้มีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงในปาเลสไตน์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของอเมริกา ซึ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอิสราเอลมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนตนเอง อเมริกาจะไม่ออกจากวิกฤตนี้จนกว่าจะถอนตัวออกจากคาบสมุทรอาหรับ และจนกว่าจะหยุดการสนับสนุนอิสราเอล[316]

Remove ads

ผลพวง

สรุป
มุมมอง

ประเด็นด้านสุขภาพ

Thumb
ผู้รอดชีวิตถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหลังการถล่มของอาคารเวิลด์เทรด ภาพถ่ายของเหยื่ออีกรายที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นคือมาร์ซี บอร์เดอส์ ซึ่งต่อมาได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก[317][318]

เศษซากที่เป็นพิษหลายแสนตันซึ่งมีสารปนเปื้อนมากกว่า 2,500 ชนิดและสารก่อมะเร็งที่รู้จักกันดีได้แพร่กระจายไปทั่วโลเวอร์แมนแฮนเมื่ออาคารถล่ม[319][320] การสัมผัสสารพิษในเศษซากเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนทำให้เกิดอาการป่วยร้ายแรงหรือทำให้ร่างกายอ่อนแอในหมู่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณกราวนด์ซีโร[321][322] ฝ่าบริหารของบุชสั่งให้สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ออกแถลงการณ์ที่สร้างความมั่นใจเกี่ยวกับคุณภาพอากาศหลังการโจมตี โดยอ้างเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ แต่ EPA ไม่ได้ยืนยันว่าคุณภาพอากาศกลับสู่ระดับก่อนวันที่ 11 กันยายนจนกระทั่งเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002[323]

ผลกระทบทางสุขภาพขยายไปถึงผู้อยู่อาศัย นักเรียน และพนักงานออฟฟิศในโลเวอร์แมนแฮตตันและย่านไชนาทาวน์ที่อยู่ใกล้เคียง[324] มีการเชื่อมโยงการเสียชีวิตหลายรายกับฝุ่นพิษ และมีการเพิ่มชื่อของเหยื่อเข้าไปในอนุสรณ์สถานเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์[325] มีผู้คนประมาณ 18,000 คนที่ป่วยเป็นผลมาจากฝุ่นพิษ[326] นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์ว่าการสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นพิษในอากาศอาจมีผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์[327] การศึกษาเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เผยแพร่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 พบว่าทุกคนที่ทำการศึกษาในกลุ่มนั้นมีสมรรถภาพปอดบกพร่อง[328]

หลายปีหลังการโจมตี ข้อพิพาททางกฎหมายเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของอาการป่วยที่เกี่ยวข้องยังคงอยู่ในระบบศาล ใน ค.ศ. 2006 ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางได้ปฏิเสธการที่นครนิวยอร์กปฏิเสธการจ่ายค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสำหรับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเมือง[329] ทางการรัฐบาลถูกตำหนิว่ากระตุ้นให้ประชาชนกลับไปยังโลเวอร์แมนแฮตตันในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังการโจมตี คริสติน ทอดด์ วิตแมน ผู้บริหาร EPA ในช่วงหลังการโจมตี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐสำหรับการกล่าวอย่างไม่ถูกต้องว่าพื้นที่นั้นปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม[330] นายกเทศมนตรีจูลีอานีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเร่งให้บุคลากรในอุตสาหกรรมการเงินกลับไปยังพื้นที่วอลสตรีตโดยเร็ว[331]

รัฐบัญญัติสุขภาพและการชดเชยเจมส์ แอล. ซาโดรกา 9/11 (2010) ได้จัดสรรเงิน 4,200 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโครงการสุขภาพเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งให้บริการตรวจและรักษาสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับวินาศกรรม 9/11[332][333] โครงการสุขภาพ WTC ได้เข้ามาแทนที่โครงการด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ 9/11 ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เช่น โครงการติดตามและรักษาทางการแพทย์และโครงการศูนย์สุขภาพสิ่งแวดล้อม WTC[333]

ใน ค.ศ. 2020 NYPD ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ 247 นายเสียชีวิตจากอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับ 9/11 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 FDNY ยืนยันว่านักดับเพลิง 299 นายเสียชีวิตจากอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับ 9/11 หน่วยงานทั้งสองเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กรมตำรวจการท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ (PAPD) หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่มีอำนาจเหนือพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสี่นายของตนเสียชีวิตจากอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับ 9/11 โจเซฟ มอร์ริส หัวหน้า PAPD ในขณะนั้น ได้ทำให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ PAPD ทุกนายได้รับหน้ากากกันแก๊สเกรดอุตสาหกรรมภายใน 48 ชั่วโมงและตัดสินใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียง 30 ถึง 40 นายที่ประจำการอยู่ที่ซากปรักหักพังของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งช่วยลดจำนวนบุคลากรของ PAPD ทั้งหมดที่จะสัมผัสกับอากาศลงอย่างมาก FDNY และ NYPD ได้ผลัดเปลี่ยนเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนหากไม่ใช่หลายพันคนจากทั่วทั้งนครนิวยอร์กไปยังพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่มีหน้ากากกันแก๊สและอุปกรณ์หายใจที่เพียงพอซึ่งอาจป้องกันโรคในอนาคต[334][335][336][337]

เศรษฐกิจ

Thumb
การขาดดุลและหนี้สาธารณะของสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงเจ็ดปีหลังการโจมตีตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง 2008

วินาศกรรมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของสหรัฐและตลาดโลก[338] ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เปิดทำการในวันที่ 11 กันยายนและยังคงปิดต่อไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน เมื่อเปิดทำการอีกครั้ง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ลดลง 684 จุด หรือ 7.1% สู่ระดับ 8921 เป็นการลดลงของจุดในวันเดียวที่สร้างสถิติ[339] เมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ DJIA ลดลง 1,369.7 จุด (14.3%) ในขณะนั้นเป็นการลดลงของจุดในหนึ่งสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในสกุลเงินดอลลาร์ ค.ศ. 2001 หุ้นสหรัฐสูญเสียมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์นั้น[340]

ในนครนิวยอร์ก มีการสูญเสียตำแหน่งงานประมาณ 430,000 ตำแหน่ง และค่าจ้าง 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสามเดือนแรกหลังการโจมตี ผลกระทบทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่อยู่ในภาคการส่งออกของเศรษฐกิจ[341][342][343] GDP ของเมืองคาดว่าจะลดลง 27,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสามเดือนสุดท้ายของ ค.ศ. 2001 และตลอดทั้ง ค.ศ. 2002 รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือทันที 11,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่รัฐบาลนครนิวยอร์กในเดือนกันยายน ค.ศ. 2001 และอีก 10,500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้น ค.ศ. 2002 เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐาน[344]

ธุรกิจขนาดเล็กในโลเวอร์แมนฮัตตันใกล้กับเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน (18,000 แห่งถูกทำลายหรือต้องย้าย) ส่งผลให้มีการสูญเสียงานและค่าจ้าง มีการให้ความช่วยเหลือโดยเงินกู้จากสำนักงานบริหารธุรกิจขนาดเล็ก เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางในโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาชุมชน และเงินกู้เพื่อบรรเทาความเสียหายทางเศรษฐกิจ[344] พื้นที่สำนักงานในโลเวอร์แมนฮัตตันประมาณ 31,900,000 ตารางฟุต (2,960,000 ตารางเมตร) ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย[345] หลายคนสงสัยว่างานเหล่านี้จะกลับมาหรือไม่ และฐานภาษีที่เสียหายจะฟื้นตัวได้หรือไม่[346] การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจของ 9/11 แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์สำนักงานและการจ้างงานในแมนแฮตตันได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก เพราะความต้องการของอุตสาหกรรมบริการทางการเงินที่ต้องมีการติดต่อกันแบบเผชิญหน้า[347][348]

น่านฟ้าอเมริกาเหนือถูกปิดเป็นเวลาหลายวันหลังการโจมตีและการเดินทางทางอากาศลดลงเมื่อเปิดทำการอีกครั้ง นำไปสู่การลดลงของความจุการเดินทางทางอากาศเกือบ 20% และทำให้ปัญหาทางการเงินในอุตสาหกรรมการบินของสหรัฐที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้วแย่ลงไปอีก[349]

วินาศกรรม 11 กันยายนยังนำไปสู่สงครามของสหรัฐในอัฟกานิสถานและอิรัก[350] รวมถึงการใช้จ่ายด้านความมั่นคงภายในเพิ่มเติม รวมเป็นเงินอย่างน้อย 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[351]

ผลกระทบในอัฟกานิสถาน

ถ้าชาวอเมริกันกำลังเรียกร้องให้ทิ้งระเบิดอัฟกานิสถานให้กลับไปสู่ยุคหิน พวกเขาควรรู้ว่าประเทศนี้ไม่ได้มีหนทางไปได้ไกลขนาดนั้น นี่คือสถานที่หลังวันสิ้นโลกที่เต็มไปด้วยเมืองที่ล่มสลาย แผ่นดินแห้งผาก และผู้คนที่ถูกกดขี่

แบร์รี แบรัก, เดอะนิวยอร์กไทมส์, 13 กันยายน ค.ศ. 2001[352]

ประชากรชาวอัฟกานิสถานส่วนใหญ่กำลังประสบกับภาวะอดอยากอยู่แล้วในขณะที่เกิดการโจมตี[353] หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้คนหลายหมื่นพยายามหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานเนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะมีการตอบโต้ทางทหารจากสหรัฐ ปากีสถานซึ่งเป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานจำนวนมากจากความขัดแย้งก่อนหน้านี้ ได้ปิดพรมแดนกับอัฟกานิสถานในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2001[354] ชาวอัฟกานิสถานหลายพันคนยังหลบหนีไปยังพรมแดนกับทาจิกิสถาน แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า[355] ผู้นำตอลิบานในอัฟกานิสถานร้องขอให้งดการดำเนินการทางทหาร โดยกล่าวว่า "เราขอร้องให้สหรัฐอย่าทำให้อัฟกานิสถานต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้น เพราะประชาชนของเราต้องทนทุกข์มามากแล้ว" ซึ่งหมายถึงความขัดแย้งตลอดสองทศวรรษและวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้น[352]

ชาวต่างชาติทั้งหมดของสหประชาชาติได้เดินทางออกจากอัฟกานิสถานหลังการโจมตีและไม่มีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ทั้งในและต่างประเทศประจำการอยู่ เจ้าหน้าที่กลับไปเตรียมพร้อมในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปากีสถาน จีน และอุซเบกิสถาน เพื่อป้องกัน "ภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม" ที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงสำหรับประชากรชาวอัฟกัน[356] โครงการอาหารโลกได้หยุดการนำเข้าข้าวสาลีไปยังอัฟกานิสถานในวันที่ 12 กันยายน จากความเสี่ยงด้านความปลอดภัย[357]

Thumb
Thumb
จากซ้ายไปขวา: ทหารสหรัฐในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 • พลตรี คริส โดนาฮิว แห่งกองทัพบกออกจากอัฟกานิสถานในฐานะทหารอเมริกันคนสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2021

ประมาณหนึ่งเดือนการโจมตี สหรัฐได้นำกองกำลังพันธมิตรนานาชาติในวงกว้างเพื่อโค่นล้มรัฐบาลตอลิบานออกจากอัฟกานิสถานเนื่องจากให้ที่พักพิงแก่อัลกออิดะฮ์[354] แม้ในตอนแรกทางการปากีสถานจะไม่เต็มใจจะเข้าร่วมกับสหรัฐในการต่อต้านตอลิบาน แต่พวกเขาก็อนุญาตให้กองกำลังพันธมิตรเข้าถึงฐานทัพทหารของตน และจับกุมและส่งมอบสมาชิกอัลกออิดะฮ์ที่ต้องสงสัยกว่า 600 คนแก่สหรัฐฯ[358][359]

ใน ค.ศ. 2011 สหรัฐและเนโทภายใต้ประธานาธิบดีโอบามาได้เริ่มลดกำลังทหารในอัฟกานิสถานและสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 2016 ในช่วงที่ดอนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดินเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2020 และ 2021 สหรัฐพร้อมพันธมิตรเนโทได้ถอนทหารทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถาน โดยเสร็จสิ้นการถอนกำลังทหารสหรัฐตามปกติทั้งหมดในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2021[138][360][361] การถอนกำลังนี้ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามในอัฟกานิสถานระหว่าง ค.ศ. 2001–2021 ไบเดินกล่าวว่าหลังจากสงครามเกือบ 20 ปี เป็นที่ชัดเจนว่ากองทัพสหรัฐไม่สามารถเปลี่ยนอัฟกานิสถานให้เป็นประชาธิปไตยทันสมัยได้[362]

อิทธิพลทางวัฒนธรรม

การตอบสนองต่อ 9/11 ในทันทีรวมถึงการให้ความสำคัญกับชีวิตในบ้านและการใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น การเข้าโบสถ์ที่เพิ่มขึ้น และการแสดงออกถึงความรักชาติมากขึ้น เช่น การโบกธงอเมริกัน[363] อุตสาหกรรมวิทยุตอบสนองด้วยการนำบางเพลงออกจากรายการ และการโจมตีนี้ถูกนำไปใช้เป็นฉากหลัง เนื้อเรื่อง หรือองค์ประกอบทางแก่นเรื่องในภาพยนตร์ ดนตรี วรรณกรรม และความตลกขบขันในเวลาต่อมา รายการโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่ รวมถึงรายการที่พัฒนาขึ้นหลัง 9/11 ได้สะท้อนอิทธิพลทางวัฒนธรรมของ 9/11[364]

ทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง 9/11 ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม แม้จะขาดการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักประวัติศาสตร์[365] 9/11 ยังมีผลกระทบสำคัญต่อความศรัทธาทางศาสนาของหลายคน สำหรับบางคนมันทำให้ความเชื่อแข็งแกร่งขึ้น เพื่อหาทางปลอบใจเพื่อรับมือกับการสูญเสียคนที่รักและเอาชนะความเศร้าโศก ในขณะที่บางคนเริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อของตนเองหรือสูญเสียมันไปโดยสิ้นเชิง เพราะพวกเขาไม่สามารถประนีประนอมกับมุมมองทางศาสนาของพวกเขาได้[366][367]

วัฒนธรรมของอเมริกาหลังการโจมตีเป็นที่น่าสังเกตในเรื่องของความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเรื่องนั้น รวมถึงความหวาดระแวงและความวิตกกังวลเกี่ยวกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในอนาคตที่มุ่งเป้าไปที่คนส่วนใหญ่ของประเทศ นักจิตวิทยายังได้ยืนยันว่ามีความวิตกกังวลระดับชาติที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเดินทางด้วยสายการบินเชิงพาณิชย์[368] อาชญากรรมจากความเกลียดชังมุสลิมเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าใน ค.ศ. 2001 โดยต่อมายังคง "สูงกว่าอัตราก่อน 9/11 ประมาณห้าเท่า"[369]

นโยบายรัฐบาลต่อการก่อการร้าย

Thumb
เที่ยวบิน "ส่งผู้ร้ายข้ามแดนพิเศษ" ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นของ CIA ตามที่รายงานโดยหนังสือพิมพ์เฌชพอสพอลิตาของโปแลนด์[370]

อันเป็นผลมาจากการโจมตี รัฐบาลหลายแห่งทั่วโลกได้ผ่านกฎหมายเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย[371] ในเยอรมนี ที่ซึ่งผู้ก่อการร้าย 9/11 หลายคนเคยอาศัยและใช้ประโยชน์จากนโยบายการขอลี้ภัยที่เสรีของประเทศ ได้มีการออกชุดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่สำคัญสองฉบับ ฉบับแรกกำจัดช่องโหว่ทางกฎหมายที่อนุญาตให้ผู้ก่อการร้ายอาศัยและระดมเงินในเยอรมนีได้ ส่วนฉบับที่สองกล่าวถึงประสิทธิภาพและการสื่อสารของหน่วยข่าวกรองและการบังคับใช้กฎหมาย[372] แคนาดาผ่านพระราชบัญญัติการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับแรกของประเทศ[373] สหราชอาณาจักรผ่านพระราชบัญญัติการต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมและความมั่นคง ค.ศ. 2001 และพระราชบัญญัติการป้องกันการก่อการร้าย ค.ศ. 2005[374][375] นิวซีแลนด์ตราพระราชบัญญัติการปราบปรามการก่อการร้าย ค.ศ. 2002[376]

ในสหรัฐ มีการตั้งกระทรวงความมั่นคงภายในโดยรัฐบัญญัติความมั่นคงแห่งภายใน ค.ศ. 2002 เพื่อประสานงานความพยายามต่อต้านการก่อการร้ายภายในประเทศ รัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิให้อำนาจแก่รัฐบาลกลางมากขึ้น รวมถึงอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายชาวต่างชาติได้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีการตั้งข้อหา การเฝ้าติดตามการสื่อสารทางโทรศัพท์ อีเมล และการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ต้องสงสัย และการดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา FAA สั่งให้เสริมความแข็งแรงของห้องนักบินเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายเข้าควบคุมเครื่องบินได้ และมอบหมายให้มีตำรวจอากาศบนเที่ยวบิน

นอกจากนี้ รัฐบัญญัติความปลอดภัยการบินและการขนส่งได้มอบหมายให้รัฐบาลกลางเป็นผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยสนามบินแทนตัวสนามบินเอง กฎหมายนี้ได้ตั้งสำนักงานความปลอดภัยการขนส่งขึ้นเพื่อตรวจสอบผู้โดยสารและสัมภาระ ซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าเป็นเวลานานและความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้โดยสาร[377] หลังมีการเปิดเผยการใช้อำนาจในทางที่ผิดที่น่าสงสัยของรัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 ด้วยบทความเกี่ยวกับการรวบรวมบันทึกการโทรของชาวอเมริกันโดย NSA และโครงการ PRISM ส.ส. จิม เซนเซนเบรนเนอร์ (จากรัฐวิสคอนซิน) ผู้เสนอร่างรัฐบัญญัติความรักปิตุภูมิใน ค.ศ. 2001 กล่าวว่า NSA ได้ก้าวล้ำขอบเขตของตน[378][379]

คำวิจารณ์ต่อสงครามต่อต้านการก่อการร้ายมุ่งเน้นไปที่ศีลธรรม ประสิทธิภาพ และค่าใช้จ่าย ตามรายงาน ค.ศ. 2021 ของโครงการคอสส์ออฟวอร์ สงครามหลัง 9/11 หลายครั้งที่สหรัฐเข้าร่วมในสงครามต่อต้านการก่อการร้ายได้ทำให้ผู้คนต้องพลัดถิ่นฐานอย่างน้อย 38 ล้านคนในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน อิรัก ลิเบีย ซีเรีย เยเมน โซมาเลีย และฟิลิปปินส์[380][381][382] เขาประมาณการว่าสงครามเหล่านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตโดยตรง 897,000 ถึง 929,000 คนและมีค่าใช้จ่าย 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[382] ในรายงาน ค.ศ. 2023 โครงการคอสส์ออฟวอร์ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตทางอ้อมระหว่าง 3.6 ถึง 3.7 ล้านคนในเขตสงครามหลัง 9/11 โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ 4.5 ถึง 4.6 ล้านคน รายงานนี้กำหนดให้เขตสงครามหลัง 9/11 เป็นความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ 9/11 ซึ่งนอกจากสงครามในอิรัก อัฟกานิสถานและปากีสถานแล้ว ยังรวมถึงสงครามกลางเมืองในซีเรีย เยเมน ลิเบียและโซมาเลีย[15] รายงานนี้ได้มาซึ่งการประมาณการผู้เสียชีวิตทางอ้อมโดยใช้การคำนวณจากสำนักเลขาธิการเจนีวาซึ่งประมาณการว่าสำหรับผู้เสียชีวิตโดยตรงจากสงครามทุก ๆ หนึ่งคน จะมีอีกสี่คนที่เสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อมของสงคราม[15] รัฐธรรมนูญและกฎหมายสหรัฐห้ามการทรมาน แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้ายภายใต้การใช้ถ้อยคำที่ไพเราะว่า "การสอบสวนที่เข้มข้นขึ้น"[383][384] ใน ค.ศ. 2005 เดอะวอชิงตันโพสต์และฮิวแมนไรตส์วอตช์ (HRW) ได้ตีพิมพ์การเปิดเผยเกี่ยวกับเที่ยวบินของ CIA และ "แบล็กไซต์" เรือนจำลับที่ดำเนินการโดย CIA[385][386] คำว่า "การทรมานโดยตัวแทน" (torture by proxy) ถูกใช้โดยนักวิจารณ์บางคนเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่ CIA และหน่วยงานอื่น ๆ ของสหรัฐได้ส่งตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายไปยังประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีการทรมาน[387][388]

การดำเนินคดีทางกฎหมาย

สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโอบามาถึงชาวสหรัฐหลังการสังหารบิน ลาดิน (9:28 นาที) ยังมี: แบบเฉพาะเสียง

เวลา 23:35 น. ประธานาธิบดีโอบามาได้ปรากฏตัวทางเครือข่ายโทรทัศน์หลัก[389] เนื่องจากสลัดอากาศทั้ง 19 คนเสียชีวิตในการโจมตี พวกเขาจึงไม่เคยถูกดำเนินคดี อุซามะฮ์ บิน ลาดินไม่เคยถูกฟ้องอย่างเป็นทางการ ในที่สุดเขาก็ถูกสังหารโดยหน่วยรบพิเศษสหรัฐเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ที่ที่หลบซ่อนของเขาในอับบอตตาบัด ประเทศปากีสถาน หลังจากการไล่ล่ามานาน 10 ปี[q][390] การพิจารณาคดีหลักของการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับมุฮัมมัดและผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา ได้แก่ วะลีด บิน อะฏาช, รอมซี บิน อัชชัยบะฮ์, อัมมาร อัลบะลูชี และมุศเฏาะฟา อะห์มัด อัลเฮาซาวียังคงไม่ได้รับการตัดสิน คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัดถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2003 ที่ราวัลปินดี ประเทศปากีสถาน โดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของปากีสถานซึ่งทำงานร่วมกับ CIA จากนั้นเขาถูกคุมขังในเรือนจำลับของ CIA หลายแห่งและที่ค่ายกักกันอ่าวกวนตานาโม ที่ซึ่งเขาถูกสอบสวนและทรมานด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงการใช้การจมน้ำจำลอง[391][392] ใน ค.ส. 2003 อัลเฮาซาวีและอับดุลอะซีซ อะลีถูกจับกุมและถูกส่งตัวไปอยู่ในความดูแลของสหรัฐ ทั้งสองถูกกล่าวหาในภายหลังว่าให้เงินและความช่วยเหลือด้านการเดินทางแก่สลัดอากาศ[393] ระหว่างการพิจารณาคดีของสหรัฐที่อ่าวกวนตานาโมในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 มุฮัมมัดได้สารภาพอีกครั้งว่าเขารับผิดชอบต่อการโจมตี โดยระบุว่าเขา "รับผิดชอบปฏิบัติการ 9/11 ตั้งแต่ต้นจนจบ" และคำให้การของเขาไม่ได้เกิดจากการถูกบีบบังคับ[35][394] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2023 รัฐบาลสหรัฐได้เปิดเผยเรื่องข้อตกลงการรับสารภาพที่เป็นไปได้[395] โดยประธานาธิบดีไบเดินได้ยกเลิกความพยายามดังกล่าวในเดือนกันยายนปีเดียวกัน[396]

จนถึงปัจจุบัน มีเพียงบุคคลรอบนอกเท่านั้นที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี รวมถึง:

  • ซะกะรียา มูซาวี ซึ่งถูกฟ้องในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001 และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยรอลงอาญาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยคณะลูกขุนของรัฐบาลกลางสหรัฐ
  • มุนีร อัลมุตะศ็อดดิก ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003 โดยศาลาศาลสหพันธ์ในเยอรมนีและถูกเนรเทศไปยังโมร็อกโกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 หลังจากรับโทษแล้ว[397]
  • อะบู อัดดะห์ดาห์ ซึ่งถูกจับกุมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ถูกตัดสินโดยศาลสูงของสเปนและได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013[398]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2024 เดอะนิวยอร์กไทมส์รายงานว่ามุฮัมมัด, บิน อะฏาช และอัลเฮาซาวีได้ตกลงจะรับสารภาพในข้อหาสมรู้ร่วมคิดเพื่อแลกกับการจำคุกตลอดชีวิต โดยจะเลี่ยงการพิจารณาคดีและการประหารชีวิต อย่างไรก็ดี ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้ยกเลิกข้อตกลงการรับสารภาพกับมุฮัมมัดในอีกไม่กี่วันต่อมา[399]

Remove ads

การสอบสวน

สรุป
มุมมอง

FBI

หลังการโจมตีทันที สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ได้เริ่มเพนต์บอม (PENTTBOM) ซึ่งเป็นการสอบสวนคดีอาญาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ในช่วงที่เข้มข้นที่สุด มีเจ้าหน้าที่ FBI มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ทำงานสอบสวนและติดตามเบาะแสกว่าห้าแสนรายการ[400] FBI สรุปว่ามีหลักฐาน "ชัดเจนและไม่อาจโต้แย้งได้" ที่เชื่อมโยงอัลกออิดะฮ์และบิน ลาดินกับการโจมตี[401]

Thumb
มุฮัมมัด อะฏา เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมหลักในการวางแผนการโจมตีและเป็นผู้นำปฏิบัติการ รับผิดชอบการขับเครื่องบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 พุ่งชนอาคารนเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

FBI สามารถระบุตัวผู้ก่อการร้ายได้ทันที รวมถึงผู้นำ มุฮัมมัด อะฏา เมื่อพบกระเป๋าเดินทางของเขาที่ท่าอาาศยานโลแกนในบอสตัน อะฏาถูกบังคับให้โหลดกระเป๋าเดินทางสองในสามใบของเขาเนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่บนเครื่องบินขนาด 19 ที่นั่งที่เขาใช้เดินทางมาบอสตัน ด้วยนโยบายใหม่ที่นำมาใช้เพื่อป้องกันความล่าช้าของเที่ยวบิน กระเป๋าเดินทางดังกล่าวจึงไม่ได้ถูกบรรทุกขึ้นอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 ตามแผนที่วางไว้ กระเป๋าเดินทางนั้นบรรจุชื่อสลัดอากาศ ภารกิจ และการเชื่อมโยงกับอัลกออิดะฮ์ "มันมีเอกสารภาษาอาหรับ [ตามต้นฉบับ] เหล่านี้ทั้งหมด เปรียบได้กับศิลาโรเซตตาของการสอบสวน" เจ้าหน้าที่ FBI คนหนึ่งกล่าว[402] ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจมตี FBI ได้เผยแพร่ชื่อและในหลายกรณีคือรายละเอียดส่วนตัวของนักบินและสลัดอากาศที่ต้องสงสัย[403][404] อะบู ญันดัล ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าองครักษ์ของบิน ลาดินมาหลายปี ได้ยืนยันตัวตนของสลัดอากาศเจ็ดคนว่าเป็นสมาชิกกอัลกออิดะฮ์ในระหว่างการสอบปากคำกับ FBI เมื่อวันที่ 17 กันยายน เขาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำในเยเมนตั้งแต่ ค.ศ. 2000[405][406] วันที่ 27 กันยายน มีการเผยแพร่ภาพถ่ายของสลัดอากาศทั้ง 19 คน พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับสัญชาติที่เป็นไปได้และชื่อปลอม[407] ในจำนวนนี้มีผู้ชายสิบห้าคนมาจากซาอุดีอาระเบีย สองคนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หนึ่งคนจากอียิปต์ และหนึ่งคนจากเลบานอน[408]

ภายในช่วงเที่ยง สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐและหน่วยข่าวกรองของเยอรมนีได้ดักฟังการสื่อสารที่ชี้ไปที่อุซามะฮ์ บิน ลาดิน[409] สลัดอากาศสองคนเป็นที่รู้กันว่าได้เดินทางไปมาเลเซียพร้อมผู้ที่เกี่ยวข้องกับบิน ลาดินใน ค.ศ. 2000[410] และมุฮัมมัด อะฏาก็เคยเดินทางไปอัฟกานิสถานมาก่อน[411] เขาและคนอื่น ๆ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสลัดอากาศในฮัมบวร์ค ประเทศเยอรมนี[412] หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มฮัมบวร์คในเยอรมนีพบว่าได้ติดต่อกับคอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด ซึ่งได้รับการระบุว่าเป็นสมาชิกอัลกออิดะฮ์[413]

ทางการในสหรัฐและสหราชอาณาจักรยังได้รับข้อมูลการดักฟังทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการสนทนาทางโทรศัพท์และการโอนเงินทางธนาคารทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งระบุว่ามุฮัมมัด อะฏีฟ รองหัวหน้าของบิน ลาดิน เป็นบุคคลสำคัญในการวางแผนวินาศกรรม 9/11 นอกจากนี้ยังมีการดักฟังการสนทนาที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนวันที่ 11 กันยายนระหว่างบิน ลาดินกับผู้ที่เกี่ยวข้องในปากีสถาน โดยกล่าวถึง "เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอเมริกาในหรือประมาณวันที่ 11 กันยายน" และหารือถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ในการสนทนาอื่นกับผู้ที่เกี่ยวข้องในอัฟกานิสถาน บิน ลาดินได้พูดคุยเกี่ยวกับ "ขนาดและผลกระทบของปฏิบัติการที่กำลังจะมาถึง" การสนทนาเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เพนตากอน หรือรายละเอียดอื่น ๆ โดยเฉพาะเจาะจง[414]

ข้อมูลเพิ่มเติม สัญชาติ, จำนวน ...

ในดัชนีอาชญากรรมรุนแรงประจำปี 2001 FBI ได้บันทึกการเสียชีวิตจากการโจมตีว่าเป็นคดีฆาตกรรม ในตารางแยกต่างหากเพื่อไม่ให้ปะปนกับอาชญากรรมอื่นที่รายงานในปีนั้น[415] ในคำแถลงของ FBI ระบุว่า "จำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมีมากเสียจนการรวมเข้ากับสถิติอาชญากรรมแบบดั้งเดิมจะส่งผลให้เกิดความผิดเพี้ยนที่บิดเบือนการวิเคราะห์การวัดผลทุกประเภทในโครงการอย่างไม่ถูกต้อง"[416] นครนิวยอร์กก็ไม่ได้รวมการเสียชีวิตเหล่านี้ไว้ในสถิติอาชญากรรมประจำปี 2001 เช่นกัน[417]

CIA

ใน ค.ศ. 2004 จอห์น แอล. เฮลเกอร์สัน ผู้ตรวจการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) ได้ทำการตรวจสอบภายในประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานก่อน 9/11 และวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ที่ไม่ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อรับมือการก่อการร้าย[418] ตามรายงานของฟิลิป จิรัลดี ในดิอเมริกันคอนเซอร์เวทิฟ (The American Conservative) เฮลเกอร์สันวิจารณ์ความล้มเหลวของพวกเขาในการสกัดกั้นผู้ก่อการร้ายที่จี้เครื่องบินสองคน นวาฟ อัลฮาซิมีและ คอลิด อัลมัฮฎอร ขณะที่พวกเขาเดินทางเข้ามาในสหรัฐและความล้มเหลวในการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับชายสองคนนี้กับ FBI[419]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 วุฒิสมาชิกจากสองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐ (พรรคริพับลิกันและเดโมแครต) ได้ร่างกฎหมายเพื่อเปิดเผยรายงานดังกล่าวต่อสาธารณะ หนึ่งในผู้สนับสนุน วุฒิสมาชิกรอน ไวเดิน กล่าวว่า "ประชาชนชาวอเมริกันมีสิทธิที่จะรู้ว่าสำนักข่าวกรองกลางกำลังทำอะไรอยู่ในช่วงหลายเดือนที่สำคัญก่อน 9/11"[420] ในที่สุด รายงานดังกล่าวก็ถูกเปิดเผยใน ค.ศ. 2009 โดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา[418]

การสอบสวนของรัฐสภา

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 คณะกรรมาธิการวิสามัญข่าวกรองวุฒิสภาและคณะกรรมาธิการวิสามัญถาวรข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนร่วมเพื่อตรวจสอบการทำงานของชุมชนข่าวกรองสหรัฐ[421] รายงานความยาว 832 หน้าที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002[422] ได้ให้รายละเอียดถึงความล้มเหลวของ FBI และ CIA ในการใช้ข้อมูลที่มีอยู่ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายที่ CIA รู้ว่าอยู่ในสหรัฐ เพื่อขัดขวางแผนการ[423] การสอบสวนร่วมได้พัฒนาข้อมูลเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องที่เป็นไปได้ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียจากแหล่งข้อมูลที่ไม่เป็นความลับ[424] ฝ่ายบริหารของบุชเรียกร้องให้หน้ากระดาษที่เกี่ยวข้องจำนวน 28 หน้ายังคงเป็นความลับ[423] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 บ็อบ เกรแฮม ประธานคณะกรรมการสอบสวนได้เปิดเผยในการสัมภาษณ์ว่ามี "หลักฐานที่แสดงว่ามีรัฐบาลต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกแก่กิจกรรมของผู้ก่อการร้ายอย่างน้อยบางส่วนในสหรัฐ"[425] ครอบครัวเหยื่อรู้สึกหงุดหงิดกับคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบและเนื้อหาที่ถูกตัดออกจากการสอบสวนของรัฐสภาและเรียกร้องให้มีคณะกรรมการอิสระ[423] ครอบครัวเหยื่อ 11 กันยายน[426] สมาชิกรัฐสภา[427] และรัฐบาลซาอุดีอาระเบียยังคงพยายามให้มีการเปิดเผยเอกสารดังกล่าว[428][429] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 จอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการ CIA กล่าวว่าเขาเชื่อว่าหน้ากระดาษที่ถูกตัดออก 28 หน้าจากการสอบสวนของรัฐสภาเกี่ยวกับ 9/11 จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในไม่ช้า และจะพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวินาศกรรม 11[430]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 รัฐสภาได้ผ่านร่างรัฐบัญญัติความยุติธรรมต่อผู้สนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะอนุญาตให้ญาติของเหยื่อวินาศกรรม 11 กันยายนสามารถฟ้องร้องซาอุดีอาระเบียในข้อหาที่รัฐบาลของประเทศนี้มีบทบาทในการโจมตี[431][432][433]

คณะกรรมาธิการ 9/11

Thumb
หน้าปกของรายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 รายงานความหนา 585 หน้าที่เผยแพร่ใน ค.ศ. 2004 ว่าด้วยเหตุการณ์ที่นำไปสู่การวินาศกรรมและขั้นตอนที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในอนาคต

คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการโจมตีของผู้ก่อการร้ายต่อสหรัฐ หรือที่รู้จักในชื่อคณะกรรมาธิการ 9/11 ซึ่งมีทอมัส คีน เป็นประธาน[r] ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลาย ค.ศ. 2002 เพื่อจัดทำรายงานที่สมบูรณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวินาศกรรม รวมถึงการเตรียมพร้อมและการตอบสนองต่อการโจมตีในทันที[438] คณะกรรมการได้ออกรายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 ซึ่งเป็นรายงานความยาว 585 หน้าที่มาจากการสอบสวน รายงานดังกล่าวได้ให้รายละเอียดของเหตุการณ์ที่นำไปสู่วินาศกรรม โดยสรุปว่าการโจมตีเป็นฝีมือของกอัลกออิดะฮ์[439] คณะกรรมการยังได้ตรวจสอบว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงและข่าวกรองประสานงานกันอย่างไม่เพียงพอในการป้องกันวินาศกรรมได้อย่างไร

ตามรายงานระบุว่า "เราเชื่อว่าการวินาศกรรม 9/11 เผยให้เห็นความล้มเหลวสี่ประเภท: ในด้านจินตนาการ นโยบาย ความสามารถ และการจัดการ"[440] คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำมากมายเกี่ยวกับวิธีป้องกันการโจมตีในอนาคต และใน ค.ศ. 2011 ก็รู้สึกผิดหวังที่คำแนะนำหลายอย่างยังไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ[441]

สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ

Thumb
เสาค้ำภายนอกจากชั้นล่างของอาคารใต้ยังคงตั้งตระหง่านอยู่หลังอาคารถล่ม

สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐ (NIST) ได้ตรวจสอบการถล่มของอาคารแฝดและ 7 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (7 WTC) การสอบสวนได้ตรวจสอบว่าทำไมอาคารถึงถล่ม มาตรการป้องกันอัคคีภัยที่ใช้อยู่คืออะไร และประเมินว่าระบบป้องกันอัคคีภัยสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไรในการก่อสร้างในอนาคต[442] การสอบสวนการถล่มของ 1 WTC และ 2 WTC สรุปในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005 และ 7 WTC สรุปในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008[443]

NIST พบว่าฉนวนกันไฟที่เคลือบโครงสร้างเหล็กของอาคารแฝดได้ถูกแรงปะทะจากเครื่องบินทำให้หลุดออกไป และหากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อาคารเหล่านั้นก็อาจยังคงตั้งอยู่[444] การศึกษาใน ค.ศ. 2007 เกี่ยวกับการถล่มของอาคารเหนือที่เผยแพร่โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพอร์ดูระบุว่าเนื่องจากแรงปะทะของเครื่องบินได้ทำให้ฉนวนกันความร้อนของโครงสร้างส่วนใหญ่หลุดออกไป ความร้อนจากไฟไหม้ในสำนักงานทั่วไปจะทำให้คานใหญ่และเสาที่เปิดโล่งอ่อนตัวและอ่อนแรงลงมากพอจะเริ่มการถล่มได้โดยไม่คำนึงถึงจำนวนเสาที่ถูกตัดหรือเสียหายจากแรงปะทะ[445][446]

ผู้อำนวยการการสอบสวนดั้งเดิมระบุว่า "อาคารทั้งสองทำหน้าที่ได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เครื่องบินของผู้ก่อการร้ายไม่ได้ทำให้อาคารถล่มลงมา แต่เป็นไฟที่ตามมาต่างหาก ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าคุณสามารถถอดเสาสองในสามของอาคารออกได้ และอาคารก็ยังคงตั้งอยู่ได้"[447] ไฟได้ทำให้คานใหญ่ที่รองรับพื้นอ่อนแอลง ทำให้พื้นยุบตัวลง พื้นที่ยุบตัวได้ดึงเสาเหล็กภายนอก ทำให้เสาภายนอกงอเข้าด้านใน

ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเสาแกนกลาง เสาภายนอกที่โก่งงอจึงไม่สามารถรองรับอาคารได้อีกต่อไป ทำให้เกิดการถล่ม นอกจากนี้ รายงานยังพบว่าปล่องบันไดของอาคารไม่ได้ถูกเสริมความแข็งแรงอย่างเหมาะสมเพื่อการอพยพฉุกเฉินสำหรับผู้ที่อยู่เหนือพื้นที่ปะทะ[448] NIST สรุปว่าไฟที่ควบคุมไม่ได้ใน 7 WTC ทำให้คานพื้นและคานใหญ่ร้อนขึ้น และต่อมา "ทำให้เสาหลักรองรับที่สำคัญล้มเหลว ทำให้เกิดการถล่มต่อเนื่องที่เกิดจากไฟซึ่งทำให้อาคารพังลงมา"[443]

บทบาทที่ถูกกล่าวหาของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 ฝ่ายบริหารของโอบามาได้เผยแพร่เอกสารที่รวบรวมโดยผู้ตรวจสอบของสหรัฐ เดนา ลีสแมนน์และไมเคิล เจค็อบสัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "แฟ้ม 17"[449] ซึ่งมีรายชื่อบุคคลสามโหล (ประมาณ 36 คน) รวมถึงเจ้าหน้าที่ข่าวกรองซาอุดีอาระเบียที่ต้องสงสัยซึ่งประจำอยู่ที่สถานทูตซาอุดีอาระเบียในวอชิงตัน ดี.ซี.[450] ซึ่งเชื่อมโยงซาอุดีอาระเบียเข้ากับสลัดอากาศ[451][452]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 รัฐสภาได้ผ่านรัฐบัญญัติความยุติธรรมต่อผู้สนับสนุนการก่อการร้าย[453][454] ผลในทางปฏิบัติของกฎหมายนี้คือการอนุญาตให้ดำเนินคดีแพ่งที่ยืดเยื้อมานานซึ่งฟ้องร้องโดยครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากวินาศกรรม 11 กันยายนต่อซาอุดีอาระเบียในข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลของตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตี[455] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 ผู้พิพากษาของสหรัฐได้อนุญาตอย่างเป็นทางการให้คดีฟ้องร้องรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่นำโดยผู้รอดชีวิตและครอบครัวเหยื่อ 9/11 เดินหน้าต่อไปได้ [453]

ใน ค.ศ. 2022 ครอบครัวเหยื่อ 9/11 บางรายได้รับวิดีโอสองคลิปและสมุดบันทึกที่ศาลอังกฤษยึดมาจากโอมาร์ อัลบัยยูมี ชาวซาอุดีอาระเบีย วิดีโอแรกแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเจ้าภาพจัดงานปาร์ตีในแซนดีเอโกให้แก่นวาฟ อัลฮาซิมีและคอลิด อัลมัฮฎอร สลัดอากาศสองคนแรกที่เดินทางมาถึงสหรัฐ วิดีโออีกคลิปแสดงให้เห็นอัลบัยยูมีกำลังทักทายกับนักบวชอันวัร อัลเอาละกี ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าปลุกระดมชาวอเมริกันให้หัวรุนแรง และถูกสังหารในการโจมตีด้วยโดรนของ CIA ในเวลาต่อมา สมุดบันทึกมีภาพวาดเครื่องบินด้วยมือและสมการทางคณิตศาสตร์บางอย่าง ซึ่งตามคำให้การในศาลของนักบิน อาจถูกใช้ในการคำนวณอัตราการร่อนลงเพื่อไปถึงเป้าหมาย ตามบันทึกของ FBI ใน ค.ศ. 2017 ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 จนถึงการวินาศกรรม 9/11 อัลบัยยูมีเป็นผู้ร่วมงานที่ได้รับค่าตอบแทนของหน่วยข่าวกรองทั่วไปซาอุดีอาระเบีย ข้อมูลเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 เชื่อว่าเขาอาศัยอยู่ในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องใด ๆ ใน 9/11[456]

Remove ads

การสร้างทดแทนและอนุสรณ์

สรุป
มุมมอง

การสร้างทดแทน

Thumb
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่สร้างขึ้นใหม่, กันยายน ค.ศ. 2020

ในวันที่มีการโจมตี รูดี จูลีอานี นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กได้กล่าวว่า: "เราจะสร้างใหม่ เราจะออกมาจากเหตุการณ์นี้อย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม แข็งแกร่งทางการเมือง แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ เส้นขอบฟ้าจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง"[457]

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการโจมตี มีการเปิดปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยครั้งใหญ่ หลังปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมงนานหลายเดือน พื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก็ถูกเคลียร์เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002 [458] ส่วนที่เสียหายของเพนตากอนได้รับการสร้างขึ้นใหม่และกลับมาใช้งานได้ภายในหนึ่งปีหลังการโจมตี[459] สถานี PATH เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ชั่วคราวเปิดให้บริการในช่วงปลาย ค.ศ. 2003 และการก่อสร้าง 7 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ใหม่แล้วเสร็จใน ค.ศ. 2006 การทำงานเพื่อสร้างพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์หลักถูกเลื่อนออกไปจนถึงปลาย ค.ศ. 2006 เมื่อผู้เช่าพื้นที่ แลร์รี ซิลเวอร์สไตน์ และการท่าเรือนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ตกลงกันเรื่องเงินทุนได้[460] การก่อสร้างวันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (One World Trade Center) เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 และสร้างถึงความสูงเต็มที่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 ยอดแหลมถูกติดตั้งบนอาคารในวันนั้น ทำให้ความสูงของวันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อยู่ที่ 1,776 ฟุต (541 เมตร) และได้รับตำแหน่งอาคารที่สูงที่สุดในซีกโลกตะวันตก[461][462] วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์สร้างเสร็จและเปิดให้บริการในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014[462][463][464]

ในพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มีการวางแผนสร้างอาคารสำนักงานเพิ่มอีกสามแห่งห่างจากจุดที่อาคารดั้งเดิมเคยตั้งอยู่ไปทางตะวันออกหนึ่งช่วงตึก[465] 4 WTC เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ทำให้เป็นอาคารที่สองในพื้นที่ที่เปิดหลัง 7 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และเป็นอาคารแรกบนที่ดินของการท่าเรือ[466] 3 WTC เปิดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2018 กลายเป็นตึกระฟ้าลำดับที่สี่ในพื้นที่ที่สร้างเสร็จ[467] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2022 โบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์เซนต์นิโคลัสได้กลับมาเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ[468] ตามมาด้วยการเปิดศูนย์ศิลปะการแสดงโรนัลด์ โอ. เพเรลแมนในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023[469] การก่อสร้าง 2 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 2008[470] ยังคงไม่แล้วเสร็จจนถึง ค.ศ. 2025[471] แบบจำลองของอาคารได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในเดือนกันยายน ค.ศ. 2024 แม้ซิลเวอร์สไตน์พรอพเพอร์ทีส์จะยังคงพยายามระดมทุนสำหรับอาคารดังกล่าวอยู่ก็ตาม[472][473]

อนุสรณ์

Thumb
อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 11 กันยายนในโลเวอร์แมนแฮตตัน, สิงหาคม ค.ศ. 2016

ในช่วงไม่กี่วันหลังจากการโจมตี มีการจัดพิธีรำลึกและพิธีไว้อาลัยมากมายทั่วโลก และมีการติดรูปถ่ายของผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายรอบกราวนด์ซีโร (Ground Zero) พยานคนหนึ่งบรรยายว่าไม่สามารถ "หลีกหนีใบหน้าของเหยื่อผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตได้ รูปภาพของพวกเขาอยู่ทุกที่ บนตู้โทรศัพท์สาธารณะ ไฟถนน และผนังของสถานีรถไฟใต้ดิน ทุกอย่างทำให้ฉันนึกถึงงานศพครั้งใหญ่ ผู้คนเงียบและเศร้า แต่ก็ใจดีมากเช่นกัน ก่อนหน้านี้ นิวยอร์กทำให้ฉันรู้สึกเย็นชา แต่ตอนนี้ผู้คนต่างยื่นมือเข้าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน"[474] ประธานาธิบดีบุชได้ประกาศให้วันศุกร์ที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2001 เป็นวันรักประเทศชาติ (Patriot Day) [475]

Thumb
ทริบิวต์อินไลต์, นำเสนอเสาไฟสองต้นที่เป็นตัวแทนของอาคารแฝด, กันยายน ค.ศ. 2020

อนุสรณ์สถานแห่งแรก ๆ คือทริบิวต์อินไลต์ (Tribute in Light) ซึ่งเป็นการติดตั้งไฟสปอตไลท์ 88 ดวง ณ จุดที่เคยเป็นฐานของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ [476] ในนครนิวยอร์ก มีการจัดการประกวดออกแบบอนุสรณ์สถานพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เพื่อออกแบบอนุสรณ์สถานให้เหมาะสม ณ สถานที่นั้น[477] การออกแบบที่ชนะเลิศคือรีเฟล็กติงแอบเซินซ์ (Reflecting Absence) ได้รับการคัดเลือกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2006 และประกอบด้วยสระน้ำสะท้อนแสงสองสระตรงจุดที่เป็นฐานของอาคารแฝด ล้อมรอบด้วยรายชื่อเหยื่อในพื้นที่อนุสรณ์สถานใต้ดิน[478] อนุสรณ์สถานนี้สร้างเสร็จในวาระครบรอบ 10 ปีของการโจมตีใน ค.ศ. 2011[479] และมีการเปิดพิพิธภัณฑ์ในสถานที่เดียวกันในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014[480]

เดอะสเฟียร์ (The Sphere) โดยประติมากรชาวเยอรมัน ฟริทซ์ เคอนิก เป็นประติมากรรมสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสมัยใหม่ และเคยตั้งอยู่ระหว่างอาคารแฝดบนออสติน เจ. โทบินพลาซาตั้งแต่ ค.ศ. 1971 จนกระทั่งเกิดการโจมตี ประติมากรรมนี้มีน้ำหนักมากกว่า 20 ตัน เป็นงานศิลปะชิ้นเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่และกู้คืนมาได้เกือบทั้งหมดจากซากปรักหักพังของอาคาร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา งานศิลปะชิ้นนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักในสหรัฐในชื่อเดอะสเฟียร์ ก็ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นอนุสรณ์สถานเชิงสัญลักษณ์ของการรำลึกถึง 9/11 หลังถูกถอดและจัดเก็บไว้ใกล้โรงเก็บเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี ประติมากรรมนี้ก็กลายเป็นเรื่องราวในสารคดี ค.ศ. 2001 เรื่องเดอะสเฟียร์ โดยผู้สร้างภาพยนตร์ เพอร์ซี แอดลอน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2017 ผลงานนี้ได้ถูกนำไปติดตั้งที่ลิเบอร์ตีพาร์ก ใกล้เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์แห่งใหม่และอนุสรณ์สถาน 9/11[481]

Thumb
อนุสรณ์สถานแห่งชาติ 9/11 เพนตากอน ในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย, กันยายน 2008

ในเทศมณฑลอาร์ลิงตัน เคาน์ตี อนุสรณ์สถานเพนตากอนสร้างเสร็จและเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในวาระครบรอบเจ็ดปีของการโจมตีใน ค.ศ. 2008[482][483] ประกอบด้วยสวนภูมิทัศน์ที่มีม้านั่ง 184 ตัวหันหน้าเข้าหาเพนตากอน[484] เมื่อมีการซ่อมแซมเพนตากอนใน ค.ศ. 2001–2002 มีการสร้างโบสถ์น้อยส่วนตัวและอนุสรณ์สถานในอาคาร ณ จุดที่เที่ยวบินที่ 77 พุ่งชน[485]

ในแชงก์สวิลล์ มีการเปิดศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่สร้างด้วยคอนกรีตและกระจกใน ค.ศ. 2015[486] ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นจุดที่เครื่องตกและกำแพงหินอ่อนสีขาวที่สลักชื่อเหยื่อ[487] ทั้งแท่นชมวิวที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและกำแพงหินอ่อนสีขาวต่างตั้งเรียงกันตามเส้นทางการบินของเที่ยวบินที่ 93[487][488] นักดับเพลิงนครนิวยอร์กได้บริจาคกางเขนที่ทำจากเหล็กกล้าจากเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และติดตั้งบนแท่นที่มีรูปร่างคล้ายเพนตากอน[489] มีการติดตั้งนอกสถานีดับเพลิงเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2008[490] อนุสรณ์ถาวรอื่น ๆ อีกมากมายก็ตั้งอยู่ในที่อื่น ๆ มีการจัดตั้งทุนการศึกษาและองค์กรการกุศลโดยครอบครัวของเหยื่อ และโดยองค์กรและบุคคลอื่น ๆ อีกมากมาย[491]

ในทุกวันครบรอบในนครนิวยอร์ก จะมีการอ่านชื่อของผู้เสียชีวิตที่นั่นพร้อมกับเสียงดนตรี ประธานาธิบดีสหรัฐเข้าร่วมพิธีรำลึกที่เพนตากอน[492] และขอให้ชาวอเมริกันร่วมรำลึกถึงวันรักประเทศชาติด้วยการสงบนิ่งชั่วขณะ มีพิธีขนาดเล็กจัดขึ้นที่แชงก์สวิลล์ รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมักมีสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเข้าร่วม ใน ค.ศ. 2023 โจ ไบเดินไม่ได้เข้าร่วมพิธีในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แต่ไปทำเครื่องหมายวันดังกล่าวที่แองคอริจ รัฐอะแลสกา ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้นนับตั้งแต่เกิดวินาศกรรม[493][494][495]

Remove ads

ดูเพิ่ม

  • การโจมตีสหรัฐ
  • การก่อการร้ายในสหรัฐ
  • โคเรียนแอร์ เทียวบินที่ 085, เที่ยวบินอีกเที่ยวหนึ่งที่ถูกสงสัยอย่างผิ ดๆ ว่าถูกจี้เป็นส่วนหนึ่งของวินาศกรรม 11 กันยายน
  • รายชื่อการอ้างอิงทางวัฒนธรรมถึงวินาศกรรม 11 กันยายน
  • เหตุระเบิดอาคารโคบาร์
  • รายชื่ออุบัติการณ์ทางการบินที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
  • รายชื่อการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในสหรัฐ
  • รายชื่อการโจมตีของผู้ก่อการร้ายอิสลาม
  • รายชื่ออุบัติการณ์ก่อการร้ายใน ค.ศ. 2001
  • รายชื่ออุบัติการรณ์การก่อการร้ายในนครนิวยอร์ก
    • เค้าโครงของวินาศกรรม 11 กันยายน
  • เส้นเวลาการโจมตีของอัลกออิดะฮ์
  • ไทม์ไลน์วินาศกรรม 11 กันยายน
  • เหตุระเบิดยูเอสเอส โคล
  • รายชื่อแผนการก่อการร้ายที่ไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอหลังวินาศกรรม 11 กันยายน


Remove ads

หมายเหตุ

  1. สถานที่โจมตีรองอื่น ๆ ได้แก่ น่านฟ้าของรัฐแมสซาชูเซตส์ นิวเจอร์ซีย์ รัฐโอไฮโอ เคนทักกี และเวสต์เวอร์จิเนีย
  2. สลัดอากาศเริ่มการโจมตีครั้งแรกในเวลาประมาณ 08:13 น. เมื่อกลุ่มสลัดอากาศห้าคนเข้าควบคุมเครื่องบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 โดยได้ทำร้ายผู้คนสองคนและสังหารหนึ่งคน ก่อนจะบุกเข้าห้องนักบิน
  3. เครื่องบินลำที่สี่และลำสุดท้ายที่ถูกจี้ได้ตกลงในทุ่งแห่งหนึ่งในรัฐเพนซิลเวเนียในเวลา 10:03 น. ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดการโจมตีเนื่องจากผู้โจมตีทั้งหมดเสียชีวิตแล้วและเครื่องบินที่ถูกจี้ทั้งหมดก็ถูกทำลาย อย่างไรก็ดี ความเสียหายที่เกิดจากผู้โจมตียังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากอาคารเหนือยังคงลุกไหม้ต่อไปอีก 25 นาทีจนกระทั่งถล่มลงในที่สุดในเวลา 10:28 น.และแีกประมาณ 7 ชั่วโมง อาคาร เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 7 ก็ถล่มจากเพลิงไหม้
  4. มีผู้คนอีกหลายพันคนที่เชื่อว่าเสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี[1][2] อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่แน่นอนไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเนื่องจากเป็นการยากที่จะระบุว่าอาการเจ็บป่วยเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับการโจมตีหรือไม่
  5. แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ระบุจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ตรงกัน บางแหล่งระบุว่ามี 6,000 คน[3] ขณะที่บางแหล่งระบุสูงถึง 25,000 คน[4]
  6. อัลกออิดะฮ์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การจู่โจมแมนแฮตตัน(Manhattan Raid) แม้ชื่อนี้จะไม่ค่อยถูกใช้โดยแหล่งข้อมูลที่ไม่ใช่ญิฮาด[5]
  7. เวลาที่แน่นอนนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน รายงานคณะกรรมาธิการ 9/11 ระบุว่าเที่ยวบินที่ 175 ชนอาคารใต้ในเวลา 09:03:11 น.[6][7] ขณะที่ NIST รายงานว่าเวลา 09:02:59 น.[8] และแหล่งข้อมูลอื่นบางแหล่งอ้างว่าเวลา 09:03:02 น.[9] อย่างไรก็เ ระยะเวลาห่างกัน 16 นาทีระหว่างการชนแต่ละครั้งนั้นถูกปัดขึ้นเป็น 17 นาที[10]
  8. แม้ NIST และคณะกรรมาธิการ 9/11 จะให้ข้อมูลช่วงเวลาที่อาคารเหนือเริ่มถล่มไม่ตรงกัน โดย NIST ระบุเวลา 10:28:22 น.[11][12] และคณะกรรมการระบุเวลา 10:28:25 น.[13] แต่โดยทั่วไปแล้วเป็นที่ยอมรับกันว่าเที่ยวบินที่ 11 ไม่ได้พุ่งชนอาคารเหนือก่อนเวลา 8:46:26 น.[14] ดังนั้นไม่ว่าจะนับตามเวลาใดก็ เวลาที่อาคารเหนือใช้ในการถล่มก็ยังคงขาดอีกไม่กี่วินาทีก็จะครบ 102 นาที
  9. ไม่รวมสลัดอากาศ
  10. เครื่องบินลำนี้เป็นโบอิง 767-200(รุ่นขยายพิสัยพิสัยไกล "อีอาร์"); โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกแทรกในหมายเลขรุ่น ณ เวลาที่สร้างเครื่องบิน ดังนั้น "767-223(อีอาร์)" จึงหมายถึง 767-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับอเมริกันแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 23)
  11. เครื่องบินลำนี้เป็นโบอิง 767-200; โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกแทรกในหมายเลขรุ่น ณ เวลาที่สร้างเครื่องบิน ดังนั้น "767-222" จึงหมายถึง 767-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 22)
  12. เครื่องบินนี้เป็นโบอิง 757-200; โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกแทรกในหมายเลขรุ่น ณ เวลาที่สร้างเครื่องบิน ดังนั้น "757-222" จึงหมายถึง 757-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับอเมริกันแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 23)
  13. เครื่องบินลำนี้เป็นโบอิง 757-200; โบอิงจะกำหนดรหัสเฉพาะสำหรับแต่ละบริษัทที่ซื้อเครื่องบินของตน ซึ่งจะถูกแทรกในหมายเลขรุ่น ณ เวลาที่สร้างเครื่องบิน ดังนั้น "757-222" จึงหมายถึง 757-200 ที่สร้างขึ้นสำหรับยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (รหัสลูกค้า 22)
  14. ทั้ง NIST และคณะกรรมาธิการ 9/11 ระบุว่าการถล่มเริ่มขึ้นในเวลา 09:58:59 น. ซึ่งมีการปัดเศษเป็น 09:59 น.[135]:84[136]:322 เพื่อความง่าย หากคำกล่าวอ้างของคณะกรรมการที่ว่าอาคารใต้ถูกเครื่องบินชนในเวลา 09:03:11 น. เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ หมายความว่าการถล่มเริ่มต้นขึ้นใน 55 นาที 48 วินาทีหลังเครื่องบินชน ไม่ใช่ 56 นาที
  15. เวลาที่แน่นอนของการเริ่มถล่มของอาคารเหนือยังคงเป็นที่ถกเถียง โดย NIST ระบุว่าช่วงเวลาที่อาคารเริ่มถล่มคือ 10:28:22 น.[137] ขณะที่คณะกรรมาธิการ 9/11 บันทึกเวลาไว้ที่ 10:28:25 น.[138]:329
  16. การสังหารหมู่ที่ค่ายสไปเกอร์–มักถูกอธิบายว่าเป็นการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์รองจาก 9/11–กล่าวกันว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 1,095 ถึง 1,700 คน[148] หากพิจารณาจากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ประมาณการไว้สูงสุด ตัวเลขนี้จะเท่ากับการโจมตีอาคารเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่จนกว่าจะทราบจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงของการสังหารหมู่ครั้งนี้ การจี้บังคับและเครื่องบินตกของเที่ยวบินที่ 11 จึงยังคงเป็นการก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้
  17. ประธานาธิบดีบารัก โอบามาประกาศการเสียชีวิตของเขาในวันที่ 1 พฤษภาคม ในช่วงเวลาที่ทำการจู่โจมนั้น เป็นช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 พฤษภาคมในปากีสถาน และเป็นช่วงบ่ายแก่ของวันที่ 1 พฤษภาคมในสหรัฐ
  18. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฮนรี คิสซินเจอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะกรรการในตอนแรก[434] แต่ได้ลาออกเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังได้รับการแต่งตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน[435] อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐ จอร์จ มิตเชล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานในตอนแรก แต่เขาก็ลาออกในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2002 เนื่องจากไม่ต้องการตัดสัมพันธ์กับสำนักงานกฎหมายของเขา[436] วันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2002 บุชได้แต่งตั้งอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทอมัส คีน ให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการ[437]
Remove ads

อ้างอิง

บรรณานุกรม

อ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads