คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ประเทศไทย)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ย่อว่า สกอ.; อังกฤษ: Office of the Higher Education Commission, OHEC) เป็นหนึ่งในห้าองค์กรหลัก และอดีตหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ มีคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ทำหน้าที่ในการดูแลและรับผิดชอบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตั้งอยู่ 328 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2562[2] และ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562[3] สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ยุติบทบาทลง โดยได้ถ่ายโอนหน้าที่และความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป[4]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
การอุดมศึกษาของไทย เริ่มต้นขึ้นภายหลังการปฏิรูประบบราชการ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ริเริ่มโรงเรียนสำหรับพัฒนาข้าราชการ อาทิ โรงเรียนราชแพทยาลัย, โรงเรียนกฎหมาย และ โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน เพื่อผลิตบุคลากรที่เป็นคนไทยเข้าสู่ระบบราชการสมัยใหม่
ครั้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว การขยายตัวทางการศึกษาของสยาม เริ่มมีความต้องการมากขึ้น และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระองค์ประดิษฐาน โรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในปี 2459 พร้อมๆ กับการตั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องคือ กรมมหาวิทยาลัย ขึ้นในกระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2460 (ตามปฏิทินเดิม)[5] โดยโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นไชยนาทนเรนทร (พระอิสริยยศในเวลานั้น) รับตำแหน่งเสด็จอธิบดีพระองค์แรก
ในเวลาต่อมา ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาการศึกษา อันเป็นหลักใหญ่ในการพัฒนาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย จึงได้มีการแยกแผนกวิชาที่อยู่ภายใต้สังกัดจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยและยกฐานะโรงเรียนวิชาชีพต่างๆ ออกมาตั้งเป็นมหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร ในปี 2486 โดยแต่ละมหาวิทยาลัย ต่างมีสถานะเป็นกรมหนึ่งในกระทรวง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยศิลปากร สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สังกัดกระทรวงเกษตราธิการ, มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ สังกัดกระทรวงการสาธารณสุข
กระทั่งในปี 2499 รัฐบาลภายใต้การนำของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้จัดตั้ง สภามหาวิทยาลัยแห่งชาติ ขึ้น โดยมีหน้าที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยในประเทศ โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี[6] กระทั่งปี 2502 ภายใต้รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้จัดตั้งหน่วยงานหนึ่งคือ สภาการศึกษาแห่งชาติ และตราพระราชบัญญัติโอนมหาวิทยาลัยของรัฐในขณะนั้น ไปสังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นการสิ้นสุดบทบาทของกรมมหาวิทยาลัยในปีดังกล่าวด้วย[7][8]
ในปี 2507 ได้มีการขยายโอกาสการศึกษาไปสู่ภูมิภาคอื่น โดยเป็นหน้าที่ของ สภาการศึกษาแห่งชาติ ก่อนจะโอนย้ายและตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกของประเทศ และต่อเนื่องในปี 2509 (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) และ 2511 (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) และในช่วงเวลาเดียวกันได้จัดตั้งสถาบันบัณฑิตศึกษา โดยตราพระราชบัญญัติจัดตั้ง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในปี 2509
ปี 2514 สภาการศึกษาแห่งชาติ ได้มีการประชุมร่วมกับ ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัย เสนอกับรัฐบาลในการที่มหาวิทยาลัยจะมีอิสระในการบริหารงาน และเสรีภาพในทางวิชาการ จึงควรแยกมหาวิทยาลัยให้เป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐบาล หรือตั้งทบวงอิสระในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยได้ทีการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดในครั้งนั้น กระทั่งในปี 2515 มีประกาศคณะปฏิวัติจัดตั้ง ทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ มีสถานะเป็น ทบวง ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแล ซึ่งรัฐมนตรีคนแรก คือ บุญรอด บิณฑสันต์
ปี 2517 ยกระดับวิทยาลัยวิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และ รวม 3 วิทยาลัย เป็น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า และอีก 3 ปีต่อได้ยกระดับ วิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงใหม่ใหม่เป็น "สถาบันเทคโนโลยีการเกษตร" และย้ายสังกัดจากกรมอาชีวศึกษาไปสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยแทน
โดยในปี 2520 ได้มีพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อ ทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็น ทบวงมหาวิทยาลัย (อักษรย่อ:ทม) และยกฐานะเป็นทบวงอิสระ ไม่อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ทบวงมหาวิทยาลัย มีสถานะเป็นส่วนราชการระดับเทียบเท่ากระทรวงถึง 31 ปี จึงมีประกาศพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ทำให้ ทบวงมหาวิทยาลัย เปลี่ยนเป็น "สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา" มีสถานะเป็นหน่วยงานเทียบเท่า กรม ในสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ[9]
กระทั่งในปี 2562 ได้มีการจัดตั้ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2562 โดยโอนย้ายหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม เป็นต้นไป[10] และโอนภาระหน้าที่และงบประมาณ ของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ไปเป็นของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม[11]
Remove ads
สัญลักษณ์ประจำสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
เครื่องหมายราชการ
สืบเนื่องมาจากทบวงมหาวิทยาลัยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว นั่นคือ "พระวชิระ" เป็นตราประจำทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาทบวงมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนเป็น "สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา" จึงได้อัญเชิญ "พระวชิระ" มาเป็นตราประจำสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาสืบเนื่องมา
สีประจำสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
สีประจำสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้แก่ สีม่วง-น้ำเงิน โดย
- สีม่วง เป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
- สีน้ำเงิน เป็นสีประจำสถาบันพระมหากษัตริย์
Remove ads
หน้าที่ ความรับผิดชอบ
สรุป
มุมมอง
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย ปัญหาและแนวทางการพัฒนาการอุดมศึกษาและจัดทำข้อเสนอนโยบายและมาตรฐานการอุดมศึกษา จัดทำแผนพัฒนาการอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการศึกษาแห่งชาติและพันธสัญญาที่เป็นไปตามข้อเสนอตกลงระหว่างประเทศ พร้อมทั้งวิเคราะห์ หลักเกณฑ์ และแนวทางการสนับสนุนทรัพยากร จัดตั้ง จัดสรรงบประมาณอุดหนุนสถาบันอุดมศึกษาและวิทยาลัยชุมชนตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กำหนด ตลอดจนเสนอแนะการจัดตั้ง ยุบ รวม ปรับปรุงและยกเลิกสถาบันอุดมศึกษาและวิทยาลัยชุมชน นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษายังมีหน้าที่ประสานและส่งเสริมการดำเนินงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และศักยภาพนักศึกษา รวมทั้งผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ในระบบอุดมศึกษา และการประสาน ส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ รวมทั้งพัฒนาระบบและดำเนินการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการจัดการอุดมศึกษา และการรวบรวมข้อมูล จัดทำสารสนเทศด้านการอุดมศึกษา และดำเนินงานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการอุดมศึกษาและคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนปฏิบัติงานอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือตามที่กระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
- สำนักอำนวยการ (สอ.)
- สำนักนโยบายและแผนการอุดมศึกษา (สนผ.)
- สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา (สสอ.)
- สำนักมาตรฐานและคุณภาพอุดมศึกษา (สมอ.)
- สำนักยุทธศาสตร์อุดมศึกษาต่างประเทศ (สยต.)
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอุดมศึกษา (สพน.)
- สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร (สพบ.)
- สำนักติดตามและประเมินผลอุดมศึกษา (สตป.)*
- สำนักนิติการ (สนก.)*
*หน่วยงานภายในที่จัดตั้งขึ้นใหม่
รายนามเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
สรุป
มุมมอง
Remove ads
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads