การปฏิวัติเม็กซิโก
From Wikipedia, the free encyclopedia
การปฏิวัติเม็กซิโก (สเปน: Revolución mexicana) เป็นที่รู้จักในนาม สงครามกลางเมืองเม็กซิโก (guerra civil mexicana) เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งสำคัญ เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1910–1920 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเม็กซิโกและรัฐบาลเม็กซิโกอย่างรุนแรง แม้ว่างานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้จะมุ่งเน้นไปที่การปฏิวัติในระดับท้องถิ่นและภูมิภาค แต่ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้เป็นการปฏิวัติในระดับชาติเลยทีเดียว[6] การปฏิวัติปะทุขึ้นใน ค.ศ. 1910 โดยเป็นผลมาจากความล้มเหลวของระบอบที่ปกครองโดยปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ที่ยาวนานกว่า 31 ปี แต่ไม่สามารถหาผู้สืบทอดระบอบในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในหมู่ชนชั้นนำซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรก่อการจลาจล[7] เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งที่มีนามว่า ฟรันซิสโก อี. มาเดโร ท้าทายอำนาจของระบอบดิอัซผ่านการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1910 และจากผลการเลือกตั้ง ทำให้เกิดการก่อกบฏตามแผนซานลุยส์โปโตซี[8] การปะทะกันด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นได้ขับไล่ดิอัซออกจากอำนาจ การเลือกตั้งครั้งใหม่จัดขึ้นใน ค.ศ. 1911 ผลักดันให้มาเดโรขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
การปฏิวัติเม็กซิโก | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
รวมภาพเหตุการณ์การปฏิวัติเม็กซิโก | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ค.ศ. 1910–1911: กองทัพสหพันธรัฐนำโดยปอร์ฟิริโอ ดิอัซ |
ค.ศ. 1910–1911: กลุ่มมาเดริสตา กลุ่มโอโรซกิสตา กลุ่มมาโกนิสตา กลุ่มซาปาติสตา | ||||||
ค.ศ. 1911–1913: กลุ่มมาเดริสตา |
ค.ศ. 1911–1913: กองทัพนำโดยเบร์นาร์โด เรเยส กองทัพนำโดยเฟลิกซ์ ดิอัซ กลุ่มโอโรซกิสตา กลุ่มมาโกนิสตา กลุ่มซาปาติสตา | ||||||
ค.ศ. 1913–1914: กองทัพนำโดยบิกโตเรียโน อูเอร์ตา |
ค.ศ. 1913–1914: การ์รันซิสตา กลุ่มบิยิสตา กลุ่มซาปาติสตา | ||||||
ค.ศ. 1914–1919: กลุ่มบิยิสตา กลุ่มซาปาติสตา กองทัพนำโดยเฟลิกซ์ ดิอัซ กองทัพนำโดยเอาเรเลียโน บลังเกต |
ค.ศ. 1914–1919: เซดิติโอนิสตา เยอรมนี (c.1917) | ||||||
ค.ศ. 1920: สหรัฐ (ค.ศ. 1910–1913) เยอรมนี (ประมาณ ค.ศ. 1913–1919) |
ค.ศ. 1920: สหรัฐ (ค.ศ. 1913–1918) สหราชอาณาจักร (ค.ศ. 1916–1918) | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
ค.ศ. 1910–1911: ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ รามอน กอร์รัล มานูเอล มอนดรากอน โฆเซ อิบส์ ลิมันตูร์ ค.ศ. 1911–1913: ปัสกวล โอโรซโก (ก่อการปฏิวัติหลังจากดิอัซถูกโค่นอำนาจ และภายหลังเข้าร่วมกับฝ่ายอูเอร์ตาหลังจากอูเอร์ตาขึ้นสู่อำนาจ) เบร์นาร์โด เรเยส † (นำการปฏิวัติเองจนกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1913) เฟลิกซ์ ดิอัซ (อยู่กับฝ่ายเรเยส ต่อมาเข้ากับฝ่ายอูเอร์ตา หลังจากเรเยสเสียชีวิตใน ค.ศ. 1913) เอมิเลียโน ซาปาตา (อยู่ฝ่ายโอโรซโกจนกระทั่งอูเอร์ตาขึ้นสู่อำนาจ) ริการ์โด โฟลเรส มากอน (เชลย) ค.ศ. 1913–1914: บิกโตเรียโน อูเอร์ตา เอาเรเลียโน บลังเกต ปัสกวล โอโรซโก ( † ใน ค.ศ. 1915) มานูเอล มอนดรากอน (จนถึงมิถุนายน ค.ศ. 1913) ฟรันซิสโก เลออน เด ลา บาร์รา ฟรันซิสโก เอเซ. การ์บาฆัล ค.ศ. 1914–1919: ปันโช บิยา เอมิเลียโน ซาปาตา † เฟลิกซ์ ดิอัซ เอาเรเลียโน บลังเกต † ค.ศ. 1920: อัลบาโร โอเบรกอน |
ค.ศ. 1910–1911: ฟรันซิสโก อี. มาเดโร ปัสกวล โอโรซโก เบร์นาร์โด เรเยส ปันโช บิยา เอมิเลียโน ซาปาตา ริการ์โด โฟลเรส มากอน ค.ศ. 1911–1913: ฟรันซิสโก อี. มาเดโร † โฆเซ มาริอา ปิโน ซัวเรซ † ปันโช บิยา เบนุสเตียโน การ์รันซา บิกโตเรียโน อูเอร์ตา (เข้าร่วมฝ่ายเรเยสอย่างลับ ๆ ในการต่อต้านมาเดโร จนกระทั่งเรเยสเสียชีวิตใน ค.ศ. 1913 อูเอร์ตาจึงเข้ามานำการปฏิวัติเอง) เอาเรเลียโน บลังเกต (เข้าร่วมฝ่ายเรเยสอย่างลับ ๆ เช่นกัน) ค.ศ. 1913–1914: เบนุสเตียโน การ์รันซา ปันโช บิยา เอมิเลียโน ซาปาตา อัลบาโร โอเบรกอน ปลูตาร์โก เอลิอัส กาเยส ค.ศ. 1914–1919: เบนุสเตียโน การ์รันซา อัลบาโร โอเบรกอน ค.ศ. 1920: เบนุสเตียโน การ์รันซา † | ||||||
กำลัง | |||||||
ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ: 250,000–300,000 นาย |
ฝ่ายปฏิวัติ: 255,000–290,000 นาย | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ชาวเยอรมันถูกสังหาร 2 คน | ชาวอเมริกันถูกสังหาร 500 คน | ||||||
ชาวเม็กซิโกเสียชีวิต 1.7 คน?[3] ถึง 2.7 ล้านคน[4] (พลเรือนและทหาร) พลเรือนเสียชีวิต 700,000 คน[5] ถึง 1,117,000 คน[5] (ใช้ตัวเลข 2.7 ล้านคน) |
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งมีพื้นฐานมาจากการต่อต้านระบอบของดิอัซในวงกว้าง การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1910 เป็นตัวเร่งให้เกิดการก่อกบฏในทางการเมือง การปฏิวัติเกิดขึ้นจากองค์ประกอบความขัดแย้งของเหล่าชนชั้นนำที่เป็นปฏิปักษ์กับดิอัซ นำโดยมาเดโรและปันโช บิยา และความขัดแย้งขยายไปสู่กลุ่มคนชนชั้นกลาง กลุ่มชาวนาในบางภูมิภาค และองค์กรของแรงงาน[9] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1911 มาเดโรได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในการเลือกตั้งที่เป็นอิสระและยุติธรรม ฝ่ายต่อต้านระบอบใหม่ของเขามาจากทั้งฝั่งอนุรักษนิยมที่มองว่าเขาอ่อนแอเกินไปและหัวเสรีนิยมมากเกินไป และฝั่งอดีตนักปฏิวัติด้วยกันและกลุ่มผู้ถูกยึดทรัพย์ที่มองว่าเขานั้นเป็นอนุรักษนิยมมากเกินไป
ประธานาธิบดีมาเดโรและรองประธานาธิบดีโฆเซ มาริอา ปิโน ซัวเรซ ถูกบีบบังคับให้ลาออกในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913 และทั้งคู่ก็ถูกลอบสังหาร ระบอบการเมืองฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติของบิกโตเรียโน อูเอร์ตา ก้าวขึ้นสู่อำนาจ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจและผู้สนับสนุนเดิมในระบอบเก่า ประธานาธิบดีอูเอร์ตาอยู่ในอำนาจในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913 จนถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1914 เมื่อเขาถูกขับไล่ออกจากอำนาจโดยกองกำลังผสมของฝ่ายปฏิวัติในระดับภูมิภาค เมื่อฝ่ายปฏิวัติพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงทางการเมืองระหว่างกันแต่สุดท้ายล้มเหลว เม็กซิโกจึงตกอยู่ในวังวนของสงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1914–1915) ฝ่ายรัฐธรรมนูญนิยมที่นำโดยเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งนามว่า เบนุสเตียโน การ์รันซา ก้าวขึ้นเป็นผู้ชนะใน ค.ศ. 1915 เขาสามารถกำจัดกองทัพปฏิวัติของปันโช บิยา อดีตสมาชิกฝ่ายรัฐธรรมนูญนิยม และผลักไสให้เอมิเลียโน ซาปาตา กลับไปสู้รบในรูปแบบสงครามกองโจร ซาปาตาถูกลอบสังหารใน ค.ศ. 1919 โดยสายลับที่ประธานาธิบดีการ์รันซาส่งไป
การปะทะกันด้วยอาวุธกินเวลาเกือบทศวรรษในคริสต์ทศวรรษ 1920 และเกิดขึ้นหลายระยะ[10] เมื่อเวลาผ่านไปการปฏิวัติเปลี่ยนจากการกบฏเพื่อต่อต้านระบอบของดิอัซไปเป็นสงครามกลางเมืองหลายฝ่ายในบางภูมิภาค โดยมีการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจผ่านการต่อสู้ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ในการปฏิวัติ ผลที่สำคัญประการหนึ่งคือมีการยุบเลิกกองทัพสหพันธรัฐใน ค.ศ. 1914 ซึ่งฟรันซิสโก มาดูโร ดำเนินการเมื่อเขาได้รับการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1911 และอูเอร์ตาใช้เหตุนี้ในการโค่นอำนาจมาดูโร กองกำลังปฏิวัติร่วมมือกันต่อต้านระบอบต่อต้านการปฏิวัติของอูเอร์ตาและสามารถกำจัดกองทัพสหพันธรัฐได้[11] แม้ว่าความขัดแย้งส่วนใหญ่จะเป็นสงครามกลางเมือง แต่มหาอำนาจต่างชาติที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในเม็กซิโกเป็นผู้กำหนดผลของความขัดแย้งทางอำนาจในเม็กซิโก สหรัฐเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์นี้[12] จากประชากรของเม็กซิโกจำนวน 15 ล้านคน ความสูญเสียเกิดขึ้นในระดับสูง แต่การประมาณการตัวเลขนั้นแตกต่างกันอย่างมาก อาจมีประชาชนเสียชีวิต 1.5 ล้านคน และมีผู้ลี้ภัยไปต่างประเทศเกือบ 200,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ลี้ภัยไปยังสหรัฐ[3][13]
นักวิชาการหลายคนเห็นว่าการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเม็กซิโก ค.ศ.1917 เป็นจุดยุติการปะทะกันทางอาวุธ "สภาพเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้นตามข้อตกลงของนโยบายฝ่ายปฏิวัติ เพื่อให้สังคมใหม่เกิดขึ้นภายใต้กรอบของสถาบันของฝ่ายปฏิวัติที่เป็นทางการ" โดยมีรัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดกรอบสถาบันดังกล่าว[14] ช่วง ค.ศ. 1920–1940 มักถูกเรียกว่าเป็นระยะแห่งการปฏิวัติ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มีความมั่นคงทางอำนาจ ฝ่ายบาทหลวงและสถาบันคาทอลิกถูกโจมตีในคริสต์ทศวรรษ 1920 และรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1917 ของฝ่ายปฏิวัติได้ถูกนำมาใช้[15]
ความขัดแย้งทางอาวุธครั้งนี้มักได้รับการอธิบายว่ามีลักษณะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางสังคมการเมืองที่สำคัญที่สุดของเม็กซิโกและเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20[16] มันทำให้เกิดแผนการสำคัญในการทดลองและปฏิรูปองค์การทางสังคม[17] การปฏิวัติก่อให้เกิดระบอบทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วย "ความยุติธรรมทางสังคม" จนกระทั่งเม็กซิโกได้ผ่านกระบวนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมซึ่งเริ่มขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1980[18]