Loading AI tools
การสักการะใครหรืออะไรก็ตามนอกจากอัลลอฮ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ในศาสนาอิสลาม ชิริก (อาหรับ: شرك) เป็นบาปจากการบูชาเทวรูปหรือพหุเทวนิยม (เช่น สักการะใครหรืออะไรก็ตามเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์)[1] ตามหลัก เตาฮีด (เอกเทวนิยม)[2] มุชริกูน (مشركون พหุพจน์ของ มุชริก مشرك) คือผู้ที่ทำ ชิริก ซึ่งหมายถึง "มีความสัมพันธ์" และอิงถึงการยอมรับพระเจ้าและความศักดิ์สิทธิ์คู่กับอัลลอฮ์ (ในฐานะ "ผู้มีหุ้นส่วน" กับพระเจ้า)[3][4]
ในกฎหมายชะรีอะฮ์ ชิริกเป็นอาชญากรรมที่อภัยไม่ได้ เพราะเป็นบาปขั้นร้ายแรง: อัลลอฮ์ทรงอภัยบาปทุกชนิด ยกเว้น ชิริก โดยผู้ที่ได้รับการยกเว้นคือ ผู้ศรัทธาที่สำนึกผิดจากชิรก์ก่อนตาย[2][5]
คำว่า ชิริก มาจากรากสามอักษรว่า ช-ร-ก (ش ر ك) มีความหมายทั่วไปว่า "เพื่อแบ่งปัน"[6] ในอัลกุรอาน มักหมายถึง "แบ่งปันในฐานะหุ้นส่วน" ดังนั้น พหุเทวนิยม จึงหมายถึง "อ้างเป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์" ในอัลกุรอาน ชิริก กับคำว่า มุชริกูน (مشركون)—ผู้ทำชิริกและเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอิสลาม—มักกล่าวเป็นศัตรูของศาสนาอิสลาม (ในซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ อายะฮ์ 9:1–15)[7]: 9:1-15
นักวิจารณ์ศาสนาอิสลามกล่าวถึงอัลกุรอานว่าได้เน้นไปถึงการสักการะรูปปั้นของชาวอาหรับก่อนการมาของอิสลาม โดยเฉพาเทพีหลักทั้งสาม มะนาต, อัลลาต และอัลอุซซา คู่กับอัลลอฮ์ (ในอัลกุรอานซูเราะฮ์ที่ 53) และคำว่า มุชริกูน (เอกพจน์: มุชริก) มักแปลเป็นภาษาไทยว่า "พวกบูชาเจว็ด; มุชริก; ผู้ปฏิเสธศรัทธา"
อัลกุรอานกล่าวถึงสังคมในสมัยนบีนูฮ์ว่า พวกบูชารูปปั้นปฏิเสธและล้อเลียนนูฮ์ว่า "และพวกเขาได้กล่าวว่า "พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งวัดด์ และซุวาอ์ และยะฆูษ และยะอูก และนัซร์ เป็นอันขาด" (กุรอานซูเราะฮ์นูฮ์ 71:23)[8]: 71:23
อีกรูปหนึ่งของ ชิริก คือการสักการะทรัพยสืนหรือวัสดุอื่น ๆ เช่นในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ ในเรื่องราวของลูกหลานอิสราเอลที่บูชาลูกวัวที่ทำด้วยทอง[9] และมูซา สั่งให้พวกเขาขออภัยโทษ
อีกรูปแบบหนึ่งของชิรก์ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ คือ การนำนักวิชาการศาสนา, พระ, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือนักกฎหมายทางศาสนาเป็นพระเจ้าในทางปฏิบัติ[10][11]
มุสลิมยุคกลางและนักปรัชญาชาวยิวเชื่อว่าหลักตรีเอกภาพเป็น ชิริก ในภาษาอาหรับ (หรือ ชีตุฟ ในภาษาฮีบรู) หมายถึง "การเชื่อมโยง" ในการการจำกัดความเป็นอนันต์ของพระเจ้าโดยการเชื่อมโยงพระผู้เป็นเจ้ากับการดำรงอยู่ทางกายภาพ[12]
ในบริบททางเทววิทยา ผู้ที่ทำ ชิริก คือผู้ที่ตั้งสิ่งที่ถูกสร้างกับอัลลอฮ์ โดยจะเป็นบาปนี้ในตอนที่คนหนึ่งจินตนาการว่ามีหุ้นส่วนที่เหมาะกับการสักการะคู่กับ อัลลอฮ์ ตามที่อัลกุรอานกล่าวว่า: "แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคี ขึ้นแก่พระองค์และพระองค์ทรงอภัยให้แก่สิ่งอื่นจากนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮฺแล้วแน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวงขึ้น" (กุรอาน ซูเราะฮ์อันนิซาอ์ 4:48)[13]: 4:48
ผู้ติดตามลัทธิศูฟีบางส่วน มีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งอื่นคู่กับพระเจ้าว่าเป็นหนึ่งในพหุเทวนิยม (ชิริก) นั่นไม่รวมถึงพระเทียมเท็จ แต่รวมความเชื่อในการมีตัวตนของสิ่งอื่น ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยเอกเทวนิยม เช่น มารเป็นต้นกำเนิดของความชั่ว หรือเจตจำนงเสรีเป็นต้นกำเนิดของหน้าที่ของสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า เท่ากับการเชื่อว่ามีอำนาจอื่นนอกจากพระเจ้า[14]
สถานะของชาวคัมภีร์ (อะฮ์ลุลกิตาบ) โดยเฉพาะชาวยิวและคริสต์ แนวคิดของการไม่เชื่อในมุมมองของศาสนาอิสลามยังไม่เป็นที่กระจ่าง ชาลส์ อดัมส์ (Charles Adams) เขียนว่า กุรอานตำหนิชาวคัมภีร์ด้วยคำว่า กุฟร์ เพราะปฏิเสธโองการของมุฮัมมัด เมื่อพวกเขาควรเป็นกลุ่มแรกที่ยอมรับมันในฐานะผู้สืบทอดวจนะในยุคก่อน และเลือกเฉพาะชาวคริสต์ที่ปฏิเสธหลักฐานความเป็นเอกภาพของพระเจ้า[15] โองการจากซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ 5:73[16]: 5:73 ("แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ที่สามของสามองค์ นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว...") คู่กับอายะฮ์อื่น เป็นที่เข้าใจว่าศาสนาอิสลามได้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องตรีเอกภาพของศาสนาคริสต์[17] อีกอะยะฮ์หนึ่งปฏิเสธการเป็นพระเจ้าของอีซา บุตรของมัรยัม (พระเยซู บุตรของพระแม่มารีย์) อย่างเด็ดขาดและกล่าวถึงผู้คนที่ให้พระเยซูเท่ากับพระเจ้าเป็นผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะถูกลงโทษในนรกตลอดกาล[18][19] อัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงพระเยซูในฐานะบุตรของพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้า แต่ได้กล่าวเป็นศาสดาและศาสนทูตของพระเจ้าที่ส่งมายังลูกหลานอิสราเอล[20] นักคิดมุสลิมบางคน เช่น มุฮัมมัด อัฏฏอลิบี มีมุมมองแบบรุนแรงในโองการที่เกี่ยวกับความเชื่อในหลักตรีเอกภาพและการเป็นพระเจ้าของพระเยซู (อัลมาอิดะฮ์ 5:19, 5:75-76, 5:119)[16] ว่าเป็นหลักการที่ไม่ใช่คริสเตียนซึ่งถูกปฏิเสธโดยคริสตจักร[21]
Cyril Glasse วิจารณ์การใช้คำว่า กาฟิรูน [พหุพจน์ของ กาฟิร] เพื่อกล่าวถึงชาวคริสต์ว่าเป็น "การใช้งานอย่างหละหลวม"[22] รายงานจากสารานุกรอิสลาม ในหลักนิติศาสตร์อิสลาม อะฮ์ลุลกิตาบ นั้น "มักใจกว้างกว่าพวก กุฟฟาร [พหุพจน์ของ กาฟิร] อื่น ๆ..." และ "ในทางทฤษฎี" มุสลิมจะถูกลงโทษ ถ้าเขาพูดกับชาวยิวหรือคริสต์ว่า: "เจ้าผู้ปฏิเสธศรัทธา"[23]
ในทางประวัติศาสตร์ ชาวคัมภีร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม จะได้สถานะใหม่ว่า ซิมมี ในขณะที่ผู้มาเยียมชมดินแดนมุสลิมจะได้สถานะเป็น มุสตะอ์มิน[23]
หลังจากศตวรรษที่ 18 ด้วยความรุ่งเรืองของวะฮาบีย์ ชิริก ถูกขยายกรอบให้กว้างกว่าเดิม เช่นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ดูแผลกในศาสนาอิสลาม หรือยึดมั่นประเพณีทางศาสนา เชื่อว่าไม่ได้อยู่ในหลักการอิสลาม[24]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.