Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อเมเนมเฮตที่ 4 (หรือเรียกได้อีกอย่างว่า อเมเนมฮัตที่ 4) เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณพระองค์ที่เจ็ดและพระองค์สุดท้าย[7]จากราชวงศ์ที่สิบสอง (ระหว่าง 1990–1800 ปีก่อนคริสตกาล) ในช่วงปลายสมัยราชอาณาจักรกลาง (ระหว่าง 2050–1710 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งพระองค์ครองราชย์เป็นระยะเวลา 9 ปี ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 หรือช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสตกาล[3][5]
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อัมเมเนเมส | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สฟิงซ์ขนาดเล็กที่ทำจากหินไนส์ จารึกพระนามของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ซึ่งนำกลับมาทำใหม่ในช่วงราชวงศ์ทอเลมี ปัจจุบันตั้งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์บริติช.[2] | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | 9 ปี 3 เดือน กับ 27 วัน (บันทึกพระนามแห่งตูริน) แต่อาจจะมากกว่านั้น,[3] 1822–1812 ปีก่อนคริสตกาล,[4] 1815–1806 BC,[5] 1808–1799 ปีก่อนคริสตกาล,[6] 1807–1798 BC,[7] 1786–1777 ปีก่อนคริสตกาล,[8] 1772–1764 ปีก่อนคริสตกาล[9] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผู้ครองราชสมบัติร่วม | อย่างมากที่สุด 2 ปีร่วมกับอเมเนมเฮตที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | อเมเนมเฮตที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | โซเบคเนเฟรู | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบุตร | ยังคลุมเครือ, อาจจะเซเคมเร คูทาวี โซเบคโฮเทป และ โซนเบฟ[5] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | ยังคลุมเครือ, อาจจะอเมเนมเฮตที่ 3 (อาจจะเป็นพระราชบิดาบุญธรรม) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชมารดา | เฮเทปิ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สุสาน | ยังคลุมเครือ พีระมิดแห่งมาซกูนาใต้ ? | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ |
พระองค์อาจจะเป็นพระราชโอรส พระราชนัดดา หรือพระราชโอรสบุญธรรมของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าพระองค์ และรัชสมัยของพระองค์เริ่มต้นการสำเร็จราชการร่วมกันเป็นระยะเวลา 2 ปีที่เหมือนว่าจะเป็นเวลาอันสงบสุขกับกับฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 พระองค์ทรงส่งคณะเดินทางไปยังคาบสมุทรไซนายสำหรับขุดแร่เทอร์ควอยซ์ หาแร่อเมทิสต์ในอียิปต์บน และไปยังดินแดนพุนต์ พระองค์ยังทรงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับไบบลอสรวมถึงแผ่อำนาจของพระราชอาณาจักรในนิวเบียต่อไป
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ทรงโปรดให้ต่อเติมบางส่วนของวิหารแห่งเทพีฮาธอร์ที่เซราบิต เอล-คาดิม ในไซนาย และสร้างวิหารแห่งเทพีเรเนนูเทตที่ยังหลงเหลือในสภาพที่ดีในเมดิเนต มาดิ ยังไม่ทราบว่าที่ใดเป็นสุสานฝังพระศพของพระองค์ ถึงแม้ว่าพีระมิดแห่งมาสกูนาใต้จะมีความเป็นไปได้ก็ตาม
ฟาโรห์โซเบคเนเฟรูได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ ซึ่งอาจจะเป็นพระขนิษฐาหรือพระขนิษฐาบุญธรรมของพระองค์ ซึ่งพระองค์เป็นพระราชธิดาในฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 และรัชสมัยของฟาโรห์โซเบคเนเฟรูถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ที่สิบสองและเป็นจุดเริ่มต้นการเสื่อมอำนาจลงของพระราชอาณาจักรกลางและนำไปสู่สมัยช่วงระหว่างกลางที่สอง
พระราชมารดาของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เป็นสตรีนามว่า เฮเทปิ ซึ่งมีหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่เกี่ยวข้องคือ จารึกบนผนังของวิหารแห่งเทพีเรเนนูเทตที่เมดิเนต มาดิ ซึ่งพระองค์ได้รับสมัญญาว่า "พระราชมารดาแห่งกษัตริย์" แต่ไม่ปรากฏสมัญญาอื่นอย่างเช่น "พระมเหสีแห่งกษัตริย์", "พระราชธิดาแห่งกษัตริย์" หรือ "พระภคินีพระขนิษฐาแห่งกษัตริย์"[3] อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะไม่ใช่พระมเหสีในฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 เพราะพระองค์คงมีตำแหน่งอื่น ๆ ที่หลงเหลือทั้งหมด เมื่อพระโอรสของพระองค์ขึ้นครองพระราชบัลลังก์
ความสัมพันธ์ระหว่างฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 กับฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ โดยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 หากเชื่อตามคำกล่าวของมาเนโน จะทำให้พระชนมพรรษาของทั้งสองพระองค์ห่างกันถึง 84 ปี นักประวัติศาสตร์บางคนจึงเชื่อว่า พระองค์เป็นพระราชนัดดา[3][12] อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงเนเฟรูพทาห์ ซึ่งเป็นพระภคินีหรือพระขนิษฐาเพียงพระองค์เดียวที่ทีพระชนมายุที่มากว่าฟาโรห์โซเบคเนเฟรู ได้สิ้นพระชนม์ก่อนหน้าการเสด็จพระพระราชสมภพของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เนื่องจากฟาโรห์โซเบคเนเฟรูที่ทรงถูกกล่าวถึงว่า เป็นองค์รัชทายาท โดยสันนิษฐานเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระราชบิดาของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถเป็นพระราชมารดาของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ได้ และไม่มีบันทึกอื่นอีเลยที่เกี่ยวกับพระราชโอรสพระองค์อื่นของอเมเนมเฮตที่ 3 คือ ถ้าหากเจ้าชายเหล่านั้นยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เจ้าชายเหล่านั้นจะกลายเป็นองค์รัชทายาทหลังจากการสวรรคตของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ไม่ใช่ฟาโรห์โซเบคเนเฟรู
มาเนโนได้ระบุว่า ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ทรงได้อภิเษกสมรสกับพระนางโซเบคเนเฟรู ผู้เป็นพระภคินีหรือพระขนิษฐาพระองค์ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นพระราขธิดาของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 และในที่สุดก็ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยสิทธิโดยชอบธรรมของพระองค์เองภายหลังจากการสวรรคตของพระสวามี อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างของมาเนโน เกี่ยวกับการอภิเษกสมรสนั้นยังไม่ได้รับยืนยันว่าถูกต้องประการใด และไม่ทราบว่าฟาโรห์โซเบคเนเฟรูได้รับพระสมัญญาว่า "พระมเหสีแห่งกษัตริย์" ท่ามกลางพระสมัญญาอื่นๆ ของพระองค์ คิม รีฮอล์ต นักไอยคุปต์วิทยา ได้เสนอความเห็นอีกทางหนึ่งว่า ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 เป็นบุตรชายของสามีคนก่อนหน้าของพระนางเฮเทปิ และฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ทรงชุบเลี้ยงพระองค์ให้เป็นพระราชโอรสบุญธรรม ดังนั้นพระองค์จึงกลายเป็นพระเชษฐาหรือพระอนุชาบุญธรรมของฟาโรห์โซเบคเนเฟรู ซึ่งสามารถอธิบายได้ตามคำกล่าวของมาเนโทได้[13]
และเป็นไปได้มากว่า ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 อาจจะเสด็จสวรรตโดยไม่มีองค์รัชทายาทชายเลย ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดฟาโรห์โซเบคเนเฟรูจึงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์[14] นักไอยคุปต์วิทยาบางคน เช่น ไอเดน ดอดสัน และคิม รีฮอล์ต ได้เสนอความเห็นว่า ผู้ปกครองสองพระองค์แรกของราชวงศ์ที่สิบสามคือ ฟาโรห์โซเบคโฮเทปที่ 1 และฟาโรห์อาเมนเอมฮัต โซนเบฟ อาจจะเป็นพระราชโอรสนอกราชวงศ์ของพระองค์[15]
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ขึ้นสู่อำนาจครั้งแรกในฐานะผู้สำเร็จราชการร่วม[17]ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าพระองค์ โดยปกครองอียิปต์อยู่ในช่วงเจริญจนถึงขีดสุดของสมัยราชอาณาจักรกลาง พบอนุเสาวรีย์และสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจำนวนมากได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดซึ่งปรากฏพระนามของฟาโรห์ทั้งสองพระองค์อยู่ร่วมกัน[17] ยังไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอนในการสำเร็จราชการร่วมในครั้งนี้ ซึ่งสามารถมีระยะเวลาอยู่ได้ตั้งแต่ 1 ถึง 7 ปี[17] ถึงแม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า อาจจะเป็นระยะเวลาเพียงสองปีเท่านั้น[3][17] แต่ในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูริน ซึ่งบันทึกพระนามกษัตริย์ที่บันทึกในช่วงต้นสมัยรามเสส ได้บันทึกพระนามของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ไว้ในคอลัมน์ 6 บรรทัดที่ 1 และบัยทึกระยะเวลาแห่งการครองราชย์ที่ 9 ปี 3 เดือน 27 วัน[4] นอกจากนี้ ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ยังถูกบันทึกไว้ในรายการที่ 65 ของบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งอไบดอส และรายการที่ 38 ของบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งซัคคารา ซึ่งบันทึกพระนามทั้งสองมีอายุย้อนไปถึงสมัยราชอาณาจักรใหม่
ถึงแม้ว่าจะสามารถยืนยันจากบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินได้ แต่ระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 นั้นยังคงไม่แน่นอน และในงานเขียนของมาเนโทที่มีนามว่า แอจิปเทียกา ได้กล่าวว่า ฟาโรห์อัมเมเนเมสทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา 8 ปี อย่างไรก็ตาม ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ทรงปกครองอียิปต์ในช่วงเวลาที่สงบและไม่มีเหตุการณ์พิเศษใดที่เกิดขึ่นภายในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งสามารถยืนยันอย่างแน่ชัดได้จากหลักฐานชั้นต้นร่วมสมัย รวมทั้งตราประทับสคารับและตราประทับทรงกระบอกอีกจำนวนหนึ่ง[18]
มีการเดินทาง 4 ครั้งไปยังเหมืองแร่เทอร์ควอยซ์ที่เซราบิต เอล-คาดิม ในคาบสมุทรไซนายได้ลงปีในรัชสมัยของพระองค์ โดยจารึกที่อยู่ที่นั้น และในการเดินทางครั้งสุดท้ายในรัชสมัยที่ได้เดินทางไปยังเหมืองดังกล่าวเกิดขึ้นในปีที่ 9 แห่งการครองราชย์ของพระองค์และอาจจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของสมัยอาณาจักรกลาง และได้ว่างเว้นยาวนานจนถึงในรัชสมัยของฟาโรห์อาโมสที่ 1 ก็ได้เดินทางมาที่เหมืองแห่งนี้อีกในอีกประมาณ 200 ปีต่อมา[3] ในปีที่ 2 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ได้ทรงส่งคณะเดินทางไปยังเหมืองแร่อเมทิสต์อีกครั้งในวาดิ เอล-ฮูดิ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนอียิปต์ โดยหัวหน้าคณะเดินทาง คือ ผู้ช่วยผู้ดูแลพระคลังฯ นามว่า ซาฮาธอร์[19] ไกลออกไปทางใต้ พบบันทึกระดับแม่น้ำไนล์จากคุมนาในนิวเบีย ซึ่งระบุเวลาอย่างชัดเจนย้อนไปถึงปีที่ 5, 6 และ 7 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดินแดนอียิปต์ยังคงอยู่ในภูมิภาคนี้ตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์[3]
ในรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่สำคัญกับเมืองไบลอสที่บนชายฝั่งของเลบานอนสมัยใหม่ ซึ่งพบหีบหินออบซิเดียนและทองคำ รวมทั้งฝาโถที่มีพระนามของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4[3] และพบแผ่นทองคำที่แสดงให้เห็นภาพฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 กำลังการถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน[20]
ในปี ค.ศ. 2010 มีรายงานการขุดอย่างต่อเนื่องที่วาดิ กาวาซิสบนชายฝั่งทะเลแดง ระบุว่า พบหีบไม้สองกล่องและชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่จารึกด้วยข้อความอักษรเฮียราติกที่กล่าวถึง การเดินทางไปยังดินแดนพุนต์ในตำนานในปีที่ 8 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ซึ่งบันทึกขึ้นโดยราชอาลักษณ์หลวงนามว่า ดเจดิ พบชิ้นส่วนของจารึกสองชิ้นที่แสดงภาพสลักของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 และมีอายุย้อนไปถึงปีที่ 7 แห่งการครองราชย์ของพระองค์ที่เมืองเบเรนิซบนชายฝั่งทะเลแดง[21][22]
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ได้ทรงโปรดให้สร้างวิหารแห่งเทพีเรเนนูเทตและเทพโซเบคให้ขึ้นที่เมดิเนต มาดิให้แล้วเสร็จ ได้เริ่มสร้างขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3[23] ซึ่งเป็น "วิหารที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลือจากยุตสมัยราชอาณาจักรกลาง" ตามที่ ซาฮี ฮาวาส อดีตเลขาธิการใหญ่แห่งสภาโบราณวัตถุสูงสุดของอียิปต์ (SCA) กล่าว[24] โครงสร้างพื้นฐานของวิหาร ตัวอาคารหลัก ยุ้งฉาง และที่อยู่อาศัยถูกค้นพบโดยการสำรวจทางโบราณคดีของอียิปต์ในต้นปี ค.ศ. 2006 และเป็นไปได้ว่าพระองค์ยังทรงโปรดให้สร้างวิหารในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไฟยุมที่กาสร์ เอล-ซากา[25]
ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ยังทรงรับผิดชอบในการสร้างศาลเทพเจ้าที่วิหารแห่งเทพีฮาธอร์ในคาบสมุทรไซนาย[26]ให้แล้วเสร็จ และอาจจะดำเนินการก่อสร้างในคาร์นัก ซึ่งได้ค้นพบแท่นสำหรับเรือศักดิ์สิทธิ์ที่จารึกพระนามฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 และฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ในปี ค.ศ. 1924[3][27][28][29][30]
ราชวงศ์ที่สิบสองสิ้นสุดลงในเพียงระยะเวลาไม่ถึงสิบปีหลังจากการเสด็จสวรรคตของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 และราชวงศ์ที่สิบสามที่อ่อนแอกว่ามากก็ขึ้นมามีอำนาจแทน[5] ถึงแม้ว่าผู้ปกครองสองพระองค์แรกของราชวงศ์ใหม่นี้อาจจะเป็นพระราชโอรสของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ก็ตาม แต่ความไม่มั่นคงทางการเมืองก็ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและฟาโรห์หลายพระองค์ก็ปกครองอียิปต์ในระยะเวลาไม่เกินสองปี[5] การไหลบ่าเข้ามาของผู้อพยพชาวเอเซียในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ที่เริ่มเข้ามาตั้งแต่รัชสมัยของผู้ปกครองก่อนหน้าของพระองค์ และก็ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกภายใต้รัชสมัยของพระองค์เอง[31] ภายใต้การปกครองราชวงศ์ที่สิบสาม ประชากรชาวเอเซียในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ได้สถาปนาราชอาณาจักรอิสระขึ้นที่ปกครองโดยกษัตริย์แห่งคานาอันที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ที่สิบสี่ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองอาวาริส ในระยะเวลาประมาณ 80 ปีหลังจากรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 และมีการกล่าวว่า "การบริหาร [ของพระราชอาณาจักรอียิปต์] ดูเหมือนจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์"[5] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยช่วงระหว่างกลางที่สอง
ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถระบุที่ตั้งสุสานฝังพระศพของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ได้ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่พระองค์อาจจะเกี่ยวข้องกับพีระมิดแห่งมาซกูนาใต้ที่เสียหายไปแล้ว ไม่พบจารึกภายในพีระมิดแห่งนี้เพื่อระบุตัวตนของเจ้าของ แต่ความคล้ายคลึงทางด้านสถาปัตยกรรม[32] กับพีระมิดแห่งที่สองของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ในฮาวาราได้ให้นักไอยคุปต์วิทยาระบุช่วงเวลาการสร้างพีระมิดอยู่ที่ช่วงปลายของราชวงศ์ที่สิบสองถึงช่วงต้นของราชวงศ์ที่สิบสาม[33] และมีความเป็นไปได้ที่น้อยมากที่ฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 อาจจะถูกฝังอยู่ในพีระมิดแห่งแรกของฟาโระห์อเมเนมเฮตที่ 3 ในเดาห์ชูร์ เนื่องจากพระนามของพระองค์ถูกพบอยู่บนจารึกในวิหารฝังพระศพ[3]
ถัดจากพีระมิดของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 2 ที่ดาห์ชูร์ ได้ค้นพบซากของพีระมิดอีกแห่งหนึ่งที่มีอายุย้อนไปจนถึงสมัยราชอาณาจักรกลางที่ถูกทิ้งระหว่างการก่อสร้าง พีระมิดแห่งนี้ยังไม่ได้รับการขุดค้น แต่มีการค้นพบชิ้นส่วนที่สลักคาร์ทูชว่า "อเมเนมเฮต" ซึ่งเป็นไปได้ว่าพีระมิดแห่งนี้จะเป็นของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 4 ถึงแม้ว่าจะมีฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบสาม ซึ่งมีพระนามว่า อเมเนมเฮต เช่นกัน และผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถสร้างพีระมิด อีกทางหนึ่ง ชิ้นส่วนจารึกดังกล่าวอาจจะมาจากพีระมิดที่อยู่ใกล้ ๆ กับพีระมิดของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 2 ก็เป็นได้[34]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.