![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a4/Martyrs_Square_1982.jpg/640px-Martyrs_Square_1982.jpg&w=640&q=50)
สงครามกลางเมืองเลบานอน
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามกลางเมืองเลบานอน (อาหรับ: الحرب الأهلية اللبنانية, อักษรโรมัน: Al-Ḥarb al-Ahliyyah al-Libnāniyyah) เป็นสงครามกลางเมืองที่มีการปะทะของหลายฝ่ายที่เกิดขึ้นในประเทศเลบานอน ตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 1990 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 120,000 ราย[3] ข้อมูลจากปี 2012 ระบุว่ามีประชาชนราว 76,000 คนในเลบานอนที่ยังคงไม่สามารถกลับสู่ถิ่นฐานเดิมได้[4] นอกจากนี้ยังมีการอพยพของชาวเลบานอนออกจากประเทศราวหนึ่งล้านคนอันเป็นผลจากสงคราม[5]
สงครามกลางเมืองเลบานอน | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามเย็นอาหรับ, ความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับอิสราเอล และสงครามตัวแทนระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล | |||||||||
![]() จัตุรัสมรณสักขีกลางเมืองเบรุตในปี 1982 ระหว่างสงครามกลางเมือง | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
![]() |
ขบวนการสามัคคีอิสลาม (from 1982) |
![]() ![]() ![]() ขบวนการมาราดา (ออกจาก LF ในปี 1978; เพื่อเข้าร่วมกับซีเรีย) |
รายการ
| ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
![]() |
Said Shaaban |
![]() ![]() ![]() Tony Frangieh † |
![]() ![]() ![]() ![]() | ||||||
กำลัง | |||||||||
![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() | ||||||||
|
ก่อนสงคราม ประเทศเลบานอนเป็นประเทศนิกายนิยมทางการเมือง (sectarian) โดยมีมุสลิมซุนนีและคริสต์ชนนิกายตะวันออกเป็นหลักในเมืองชายฝั่ง, มุสลิมชีอะห์ในทางใต้และในแถบเทือกเขาเบกาห์ทางตะวันออก และมีประชากรบนเขาส่วนใหญ่เป็นชาวดรูซกับคริสต์ชน รัฐบาลเลบานอนได้อยู่ภายใต้อิทธิพลอย่างหนักจากชนชั้นสูงซึ่งเป็นคริสต์ชนเมรอไนต์[6][7] ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและการเมืองได้ถูกนำมาใช้โดยเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1920 ถึง 1943 และโครงสร้างในรัฐสภาที่มีคริสต์ชนอยู่ในตำแหน่งนำ อย่างไรก็ตาม ประเทศเลบานอนมีประชากรมุสลิมและแพน-อาหรับอยู่จำนวนมากโดยมี กลุ่มฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านรัฐบาลที่เอียงเอนไปทางตะวันตก การก่อตั้งประเทศอิสราเอลและการขับไล่ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์มายังเลบานอนในระหว่างเหตุการณ์เมื่อปี 1948 และ 1967 ได้นำไปสู่การเปลี่ยนสมดุลประชากรโดยมีอัตราส่วนของชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นมาก สงครามเย็นมีผลให้เกิดความแตกแยกอย่างมากในเลบานอนที่ซึ่งใกล้ชิดกับการแบ่งขั้วก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเมืองเลบานอน ปี 1958 เนื่องจากชาวเมรอไนต์ (Maronites) เลือกเข้าข้างตะวันตก ในขณะที่ฝ่ายซ้ายและกลุ่มแพนอาหรับเข้าข้างประเทศอาหรับที่เข้าข้างโซเวียต[8]
การต่อสู้ระหว่างกองกำลังเมรอไนต์และปาเลสไตน์เริ่มต้นขึ้นในปี 1975 ที่ซึ่งฝ่ายซ้าย กลุ่มแพนอาหรับ และชาวมุสลิมเลบานอนได้รวมกลุ่มเข้ากับชาวปาเลสไตน์[9] ระหว่างการต่อสู้ที่ดำเนินไปนั้น มีการเปลี่ยนฝั่งพันธมิตรอย่างรวดเร็วและอย่างทำนายไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีอำนาจจากนอกประเทศเช่นอิสราเอลและซีเรียที่เข้าร่วมในสงครามและต่อสู้ร่วมกับส่วนต่าง ๆ ของขั้วอำนาจที่ต่างกัน และยังมีกองกำลังเพื่อสันติภาพเช่นกองกำลังนานาชาติ และ กองกำลังของสหประชาชาติที่ตั้งทัพอยู่ในเลบานอน
ในปี 1989 ได้มีการลงนามในข้อตกลงทาอิฟที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของการต่อสู้ ในเดือนมกราคม 1989 คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยอาหรับลีกได้เริ่มที่จะหาทางออกต่อกรณีพิพาทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในเดือนมีนาคม 1991 รัฐสภาได้ผ่านร่างกฎหมายแอมเนสตีที่เป็นการแสดงการขอโทษต่ออาญชากรรมต่าง ๆ ที่รัฐได้ก่อขึ้นมาก่อนหน้า[10] ในเดือนพฤษภาคม 1991 กองกำลังต่าง ๆ ได้สลายตัวลงยกเว้นแต่เพียงที่เฮซบุลเลาะห์ ในขณะที่กองกำลังแห่งชาติเลบานอนค่อย ๆ เกิดขึ้นใหม่ในฐานะองค์กรที่ไม่เป็นนิกายนิยม (non-sectarian) สำคัญแห่งเดียวของเลบานอน[11] Religious tensions between Sunnis and Shias remained after the war.[12]