เดวิด ลอยด์ จอร์จ
From Wikipedia, the free encyclopedia
เดวิด ลอยด์ จอร์จ เอิร์ลลอยด์-จอร์จแห่งดไวฟอร์ (อังกฤษ: David Lloyd George, Earl Lloyd-George of Dwyfor; 17 มกราคม พ.ศ. 2406 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2488) คือนักการเมืองจากพรรคเสรีนิยมและรัฐบุรุษของสหราชอาณาจักร เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านการกล่าวสุนทรพจน์ เข้าสู่วงการเมืองครั้งแรกในฐานะสมาชิกสภาสามัญชนจากพรรคเสรีนิยม ในปี พ.ศ. 2433 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2451 - 2457 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปี พ.ศ. 2458 จนในที่สุดได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2459 - 19 ตุลาคม พ.ศ. 2465
เอิร์ลลอยด์-จอร์จแห่งดไวฟอร์ | |
---|---|
นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร | |
ดำรงตำแหน่ง 6 ธันวาคม 1916 – 19 ตุลาคม 1922 | |
กษัตริย์ | พระเจ้าจอร์จที่ 5 |
ก่อนหน้า | เฮอร์เบิร์ท เฮนรี แอสควิธ |
ถัดไป | โบนาร์ ลอว์ |
หัวหน้าพรรคเสรีนิยม | |
ดำรงตำแหน่ง 14 ตุลาคม 1926 – 4 พฤศจิกายน 1931 | |
นายกรัฐมนตรี | แรมเซย์ แมคโดนัล สแตนลีย์ บอลดวิน |
ก่อนหน้า | เฮอร์เบิร์ท เฮนรี แอสควิธ |
ถัดไป | เฮอร์เบิร์ต แซมมูเอล |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 17 มกราคม ค.ศ. 1863 ( 1863 -01-17) ชอร์ลตัน-ออน-เมดล็อก แมนเชสเตอร์ อังกฤษ สหราชอาณาจักร |
เสียชีวิต | 26 มีนาคม ค.ศ. 1945(1945-03-26) (82 ปี) ทีนิววีด ลานีสตัมดวี แคร์นาฟอนเชอร์ เวลส์ สหราชอาณาจักร |
เชื้อชาติ | เวลส์ |
ศาสนา | ไม่มีศาสนา |
พรรคการเมือง | เสรีพรรค (1890–1916 &1924–45) เสรีพรรคแห่งชาติ (1922–1923) |
วิชาชีพ | ทนายความและนักการเมือง |
ลายมือชื่อ | |
แม้นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรหลายคนจะเคยเป็นทนายว่าความ (barristers) มาก่อน แต่นับมาถึงปัจจุบัน เดวิด ลอยด์ จอร์จ คือทนายที่ปรึกษากฎหมาย (solicitor) เพียงคนเดียวที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร[1] และเป็นชาวเวลส์เพียงคนเดียวที่เคยดำรงตำแหน่งนี้ด้วย[2] ทั้งยังเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่ใช้ภาษาเวลส์เป็นภาษาแม่และภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง[3] เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้รับการลงคะแนนให้เป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับที่สาม สำรวจโดยบริษัทวิจัยการตลาดโมรี (MORI) จากนักวิชาการ 139 คน และในปี พ.ศ. 2545 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในชาวบริติชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งร้อยลำดับจากการสำรวจประชาชนทั่วสหราชอาณาจักร[4][5]