เบาหวานชนิดที่ 1
From Wikipedia, the free encyclopedia
เบาหวานชนิดที่ 1 หรือ เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน เป็นโรคภูมิต้านตนเองชนิดหนึ่งที่ทำให้กลุ่มเซลล์แลงเกอร์ฮานส์ในตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยมากหรือผลิตไม่ได้เลย[4] อินซูลินเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ และมีส่วนในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด[2] ในตอนที่ไม่ได้รับการรักษาภาวะนี้จะทำให้ในเลือดมีระดับน้ำตาลสูง[1] อาการที่พบได้บ่อยในขณะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลด และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต[4][9] อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วม เช่น ตามัว อ่อนล้า บาดแผลหายช้า[2] โดยทั่วไปแล้วในระยะแรกของการมีอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆ จนเห็นได้ชัดในระยะเวลาค่อนข้างสั้น คือในระดับไม่กี่สัปดาห์[1]
เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 diabetes) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Diabetes mellitus type 1, insulin-dependent diabetes,[1] juvenile diabetes[2] |
สัญลักษณ์วงกลมสีน้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์สากลสำหรับโรคเบาหวาน[3] | |
การออกเสียง | |
สาขาวิชา | วิทยาต่อมไร้ท่อ |
อาการ | ปัสสาวะบ่อย, ดื่มน้ำบ่อย, หิวบ่อย, น้ำหนักลด[4] |
ภาวะแทรกซ้อน | ภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวาน(DKA), ภาวะเลือดมีน้ำตาลสูงและความเข้มข้นสูงแบบไม่ใช่คีโตน (HHS), บาดแผลหายช้า, โรคหัวใจ, โรคจอประสาทตา[2][4][5] |
การตั้งต้น | เมื่อเป็นแล้วจะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว[1] |
ระยะดำเนินโรค | ระยะยาว[4] |
สาเหตุ | ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ[4] |
ปัจจัยเสี่ยง | ประวัติครอบครัว, โรคซีลิแอ็ก[5][6] |
วิธีวินิจฉัย | ระดับน้ำตาลในเลือด, HbA1C[5][7] |
การป้องกัน | ไม่มี[4] |
การรักษา | ยาอินซูลิน, อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน, ออกกำลังกาย[1][2] |
ความชุก | ~7.5% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด[8] |
สาเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด[4] แต่เชื่อว่าเป็นผลจากหลายๆ ปัจจัยทั้งทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม[1] กลไกที่ทำให้เกิดโรคคือภาวะภูมิต้านตนเองที่ทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลิน[2] มีรายงานการศึกษาวิจัยหลายฉบับที่บ่งชี้ว่าภาวะภูมิต้านตนเองต่อเซลล์เบต้าจนทำให้กลุ่มเซลล์ของแลงเกอร์ฮานส์ถูกทำลายนี้อาจถูกกระตุ้นได้ด้วยการติดเชื้อไวรัสบางชนิดอย่างต่อเนื่อง[10] การวินิจฉัยเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ทำได้โดยการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หรือตรวจวัดระดับฮีโมโกลบินที่จับกับน้ำตาล (HbA1C) ในเลือด[5][7] และสามารถแยกจากกันได้ด้วยการตรวจหาสารภูมิต้านตนเองในเลือด[5]
ยังไม่มีวิธีป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1[4] การรักษาจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนอินซูลิน[1] โดยทั่วไปจะใช้การให้ยาอินซูลินผ่านการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง โดยอาจเป็นการฉีดตามปกติหรือใช้เครื่องฉีดอัตโนมัติ[11] การออกกำลังกายและการปรับอาหารเพื่อผู้ป่วยเบาหวานเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นกัน[2] หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง[4] ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วได้แก่ ภาวะเลือดเป็นกรดคีโตนจากเบาหวาน (DKA) และภาวะเลือดมีน้ำตาลสูงและความเข้มข้นสูงแบบไม่ใช่คีโตน (HHS)[5] ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้แก่โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ไตวาย แผลเรื้อรัง และโรคจอประสาทตา[4] นอกจากนี้แล้วการรักษาด้วยอินซูลินหากใช้ไม่เหมาะสมยังทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ด้วย[5]
ในบรรดาผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด จะมีอยู่ประมาณ 5-10% เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1[8] ยังไม่มีข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคนี้ทั่วโลกที่แน่ชัด แต่มีข้อมูลประมาณไว้ว่าในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 รายใหม่ที่เป็นเด็กประมาณ 8 หมื่นคน[5] ในสหรัฐมีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 อยู่ประมาณ 1-3 ล้านคน[5][12] อัตราการเกิดโรคแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ โดยในเอเชียตะวันออกและละตินอเมริกาพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณปีละ 1 ต่อแสนคน ในขณะที่สแกนดิเนเวียและคูเวตพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณปีละ 30 ต่อแสนคน[13][14] ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ส่วนใหญ่จะเริ่มวินิจฉัยได้ตั้งแต่วัยเด็กและผู้ใหญ่ตอนต้น[1]