ตำนานพระทอง-นางนาค
From Wikipedia, the free encyclopedia
พระทอง (พระเจ้าเกาฑิณยะวรมันเทวะ) และ นางนาค (พระราชินีโสมา) เป็นเรื่องแต่งขึ้นของชาวกัมพูชา โดยมีบันทึกจากราชทูตจีนที่ได้เดินทางมายังเอเชียตะวันออกเชียงใต้กล่าวว่ามีแรงบันดาลใจมาจากจารึกเกี่ยวกับราชวงศ์ปัลลวะของอินเดียใต้ กล่าวถึง อัศวัตถามัน ผู้เป็นบุตรแห่งโทรณาจารย์(มหาภารตะ) ไปแต่งงานกับนางนาค สืบเชื้อสายเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปัลลวะ แต่ทว่าเสาจารึกที่ถูกค้นพบในเมืองอมราวดี ปัจจุบันอยู่ในรัฐอานธรประเทศ ข้อความเป็นภาษาสันสกฤต มิได้กล่าวถึงนางนาค แต่ปรากฎนามนางฟ้ามทนี ในโศลกที่ 5-6 ว่า "สุเรนฺทฺรกนฺยา มทนีติ วิศฺรุตา" แปลได้ว่า "นางฟ้าผู้งดงามนามว่า มทนี นางสวย ฉลาด เพียบพร้อมไปทุกอย่าง" และในโศลกที่ 7 กล่าวถึงการครองคู่ของทั้งสองคือ อัศวัตถามัน และนางฟ้ามทนี และในโศลกที่ 8 นางฟ้าได้ให้กำเนิดบุตรผู้ปกป้องคุ้มครองโลก ประโยคภาษาสันสกฤตต่อมาว่า "สปลฺลวำฆาสฺตรเณ ศยานํ ปิตา สุตํ ปลฺลว อิตฺยวาทีตฺ" แปลได้ว่า "บิดาของเขาได้ตั้งชื่อลูกซึ่งนอนบนเตียงที่ปูลาดด้วยใบไม้อ่อนว่า ปัลลวะ" ทั้งนี้เพื่อผูกโยงถึงพระเจ้าชัยวรมัน การอภิเษกสมรสของพระทองและนางนาคถือเป็นจุดกำเนิดของประเทศกัมพูชา ทำให้เกิดอาณาจักรเขมรโบราณก่อนยุคเมืองพระนครหรืออาณาจักรฟูนันขึ้น
ในปัจจุบันประเพณีการแต่งงานของเขมรส่วนใหญ่สามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงการแต่งงานของพระทองและยุคกลาง
ชาวกัมพูชาอ้างว่ามีบันทึกของเอกสารนักสำรวจชาวจีนสองคนได้แก่ คัง ไตและจู หยิง ในศตวรรษที่ 1 รัฐฟูนันก่อตั้งขึ้นโดยพราหมณ์ชาวอินเดีย นามว่ากามพู สวยัมภูวะ หรือ เกาฑินยะ ได้เดินทางมายังชายฝั่งของดินแดนเขมรสุวรรณภูมิ เกาฑินยะได้รับคำสั่งในความฝันให้เอาธนูวิเศษจากวิหารเพื่อเอาชนะเจ้าหญิงนาคนามว่า โสมา (ตามเอกสารจีน:หลิวเย่), ธิดาของราชาพญานาค เกาฑินยะได้เสกเวทมนตร์คาถายิงธนูวิเศษมาที่เรือธิดาพญานาค ทำให้นางตกพระทัยกลัว แล้วยินยอมอภิเษกด้วย ส่วนพญานาคผู้บิดาได้ทรงดื่มน้ำทะเลจนเหือดแห้งเพื่อสร้างอาณาจักรให้ราชบุตรเขยและธิดา
เมื่อเจ้าหญิงโสมาได้อภิเษกสมรสกับเกาฑินยะ (เอกสารจีน: ฮุนเตียน) ถือกำเนิดเชื้อสายปฐมวงศ์ของราชวงศ์วรมัน
ส่วนเกาฑินยะได้ทรงขึ้นเป็นพระเจ้าเกาฑินยะวรมันเทวะ (พระมหากษัตริย์กัมพูชาพระองค์แรกแห่งอาณาจักรฟูนัน) ต่อมาพระองค์ได้สร้างเมืองหลวงและเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น กัมโพชะ หรือ กัมพูชา[1] อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงนิทานจากชาวกัมพูชาที่ถูกแต่งขึ้นไม่สามารถอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆได้ และการแต่งกายในอดีตล้วนต้องได้รับอิทธิพลการแต่งกายจากอินเดียเป็นหลัก แต่ปัจจุบันนั้นชาวกัมพูชาพยายามแต่งกายเลียนแบบชาวสยามเพื่อผูกโยงกับนิทานเรื่องดังกล่าวอีกทอดหนึ่ง