คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

จู เต๋อ

นายพลและนักการเมืองชาวจีน (ค.ศ. 1886–1976) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จู เต๋อ
Remove ads

จู เต๋อ หรือ จู เต้ (จีน: 朱德; พินอิน: Zhū Dé; เวด-ไจลส์: Chu Teh; 1 ธันวาคม ค.ศ. 1886 – 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1976) เป็นนายพล นักยุทธศาสตร์การทหาร นักการเมือง และนักปฏิวัติชาวจีนในพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ข้อมูลเบื้องต้น จอมพลจู เต๋อ, ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ คนที่ 2 ...

จูเกิดในครอบครัวยากจนเมื่อ ค.ศ. 1886 ในเสฉวน เขาถูกรับเลี้ยงโดยลุงผู้ร่ำรวยเมื่ออายุได้ 9 ปีและได้รับการศึกษาขั้นสูงในช่วงปฐมวัยที่นำไปสู่การเข้าศึกษาในโรงเรียนการทหาร หลังเรียนจบ เขาเข้าร่วมกองทัพกบฏและกลายเป็นขุนศึก หลังจากนั้นเขาได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพลู่ที่แปดในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีน เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง เขายังเป็นเจ้าหน้าที่พรรคระดับสูงอีกด้วย

จูถือเป็นผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นบุคคลทางการเมืองที่มีชื่อเสียงกระทั่งเสียชีวิตใน ค.ศ. 1976 ใน ค.ศ. 1955 เขาได้รับยศเป็น 1 ใน 10 จอมพล เขาเป็นประธานคณะกรรมธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1976

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ชีวิตช่วงต้น

จูเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1886 ในครอบครัวผู้เช่าไร่นาที่ยากจนในเมืองหุ่ง ในอำเภออี๋หล่ง จังหวัดหนานชง พื้นที่เนินเขาที่อยู่ห่างไกลทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน[1] จากลูก ๆ 15 คนที่เกิดในครอบครัวมีเพียง 8 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ครอบครัวของเขาย้ายไปยังเสฉวนระหว่างการอพยพจากมณฑลหูหนานและมณฑลกวางตุ้ง[2][3] บ่อยครั้งที่กล่าวกันว่าเขาสืบเชื้อสายจากชาวแคะ แต่ในชีวประวัติที่เขียนโดยแอกเนส สเมดลีย์ กล่าวว่าบรรพบุรุษของเขามาจากกวางตุ้งและพูดถึงชาวแคะเพียงแค่ว่าเป็นผู้ร่วมงานของเขา[4] เธอยังเล่าอีกว่ารุ่นปู่ย่าตายายของเขาเคยพูดภาษา "กวางตุ้ง" (ซึ่งใกล้เคียงแต่อาจต่างจากภาษากวางตุ้งมาตรฐานในปัจจุบัน) และรุ่นของเขาพูดภาษาเสฉวน ภาษาถิ่นที่มาจากกลุ่มภาษาจีนกลางตะวันตกเฉียงใต้ที่ผู้พูดภาษาจีนมาตรฐานคนอื่น ๆ ไม่สามารถเข้าใจได้ [5]

แม้ครอบครัวของเขาจะมีฐานะยากจน แต่ด้วยการรวมทรัพย์สินที่มีอยู่ ทำให้จูได้รับเลือกให้ส่งไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนระดับภูมิภาคใน ค.ศ. 1892 เมื่ออายุได้ 9 ปี เขาได้รับการรับเลี้ยงโดยลุงผู้มีฐานะมั่งคั่ง ซึ่งอิทธิพลทางการเมืองของลุงทำให้เขาสามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนการทหารยูนนานได้[6] เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมเสฉวนราว ค.ศ. 1907 และสำเร็จการศึกษาใน ค.ศ. 1908 ต่อมาเขากลับไปที่โรงเรียนประถมของอี๋หล่งในฐานะครูสอนพละ ในฐานะผู้สนับสนุนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และการสอนการเมืองมากกว่าการศึกษาแบบเคร่งครัดตามแบบฉบับดั้งเดิมที่โรงเรียนจัดให้ เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่ง[3] และเข้าเรียนที่โรงเรียนการทหารยูนนานในคุนหมิง[7]:151 ที่นั่นเขาเข้าร่วมกองทัพเป่ย์หยางและสมาคมการเมืองลับถงเหมิงฮุ่ย (ต้นแบบของก๊กมินตั๋ง)[8]

ชาตินิยมและลัทธิขุนศึก

Thumb
จู เต๋อใน ค.ศ. 1916

ที่โรงเรียนการทหารยูนนานในคุนหมิง เขาพบกับไช่ เอ้อเป็นครั้งแรก[9] เขาสอนหนังสือที่นั่นหลังสำเร็จการศึกษาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1911[10] หลังการปฏิวัติจีน เขาเข้าร่วมกับพลจัตวาไช่ เอ้อในกองกำลังรบนอกประเทศในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1911 ที่เดินทัพโจมตีกองกำลังราชวงศ์ชิงในเสฉวน เขาทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกรมทหารในการทัพโค่นยฺเหวียน ชื่อไข่ในช่วง ค.ศ. 1915–16 เมื่อไช่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการเสฉวนหลังจากยฺเหวียนเสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1916 จูก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลน้อย[11]

หลังการเสียชีวิตของไช่ เอ้อ อาจารย์ของเขา และเซียว จฺวี๋ฟาง ภรรยาคนแรกใน ค.ศ. 1916 จูก็เริ่มติดฝิ่นอย่างหนักซึ่งเป็นปัญหารบกวนเขาหลายปีกระทั่งใน ค.ศ. 1922 เขาเข้ารับการบำบัดในเซี่ยงไฮ้[12] กองทหารของเขายังคงสนับสนุนเขา และด้วยเหตุนี้เขาจึงรวบรวมกำลังทหารของตนจนกลายเป็นขุนศึก ใน ค.ศ. 1920 หลังกองทหารของเขาถูกขับไล่จากเสฉวนไปยังชายแดนทิเบต เขากลับมายังยูนนานในฐานะกรรมาธิการความมั่นคงมหาชนของรัฐบาลมณฑล ในช่วงเวลานี้เขาตัดสินใจออกจากจีนเพื่อไปเรียนที่ยุโรป[13] เขาเดินทางไปเซี่ยงไฮ้เป็นครั้งแรก ที่ซึ่งเขาเลิกเสพฝิ่น และพบปะกับซุน ยัตเซ็น ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์ก๊กมินตั๋ง เขาพยายามเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงต้นปี ค.ศ. 1922 แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเป็นขุนศึก[14]

การเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์ 

Thumb
จูในเบอร์ลิน (ค.ศ. 1922)

ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1922 จูเดินทางไปเบอร์ลินพร้อมกับเหอ จื้อหฺวา คู่หูของเขา เขาอาศัยอยู่ในเยอรมนีจนถึง ค.ศ. 1925 และศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกิททิงเงินอยู่ช่วงหนึ่ง[15] ที่นี่เขาพบกับโจว เอินไหลและถูกไล่ออกจากเยอรมนีเพราะมีส่วนร่วมในการประท้วงนักศึกษาหลายครั้ง[16] ในช่วงเวลานี้ เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมีโจว เอินไหลเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของเขา (การมีผู้สนับสนุนถือเป็นเงื่อนไขในการเป็นสมาชิกทดลองงาน ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนจะเป็นสมาชิกจริง)[17] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1925 หลังถูกขับไล่ออกจากเยอรมนี เขาเดินทางไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อศึกษาเรื่องการทหารและลัทธิมากซ์ที่มหาวิทยาลัยคอมมิวนิสต์แห่งกรรมกรตะวันออก ขณะอยู่ในมอสโก เหอ จื้อหฺวาได้ให้กำเนิดลูกสาวคนเดียวของเขาชื่อจู หมิ่น จูเดินทางกลับจีนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1926 เพื่อโน้มน้าวขุนศึกหยาง เซินแห่งเสฉวนให้สนับสนุนการกรีธาทัพขึ้นเหนือ แต่ไม่สำเร็จ[15]

ใน ค.ศ. 1927 หลังแนวร่วมที่หนึ่งล่มสลาย ทางการก๊กมินตั๋งสั่งให้จูเป็นหัวหน้ากองกำลังต่อต้านการก่อการกำเริบหนานชางของโจว เอินไหลและหลิว ปั๋วเฉิง[15] หลังช่วยวางแผนการก่อการกำเริบแล้ว จูและกองทัพของเขาจึงตัดสินใจออกจากก๊กมินตั๋ง[18] อย่างไรก็ตาม การก่อการกำเริบไม่สามารถรวบรวมการสนับสนุนได้ และจูถูกบังคับให้หนีออกจากหนานชางพร้อมกับกองทัพของเขา ภายใต้ชื่อปลอมของหวัง ไข่ จูสามารถหาที่พักพิงให้กองกำลังที่เหลือของเขาได้โดยการเข้าร่วมกับขุนศึก ฟาน ฉือเชิง[19]

จูเหมา

Thumb
จู (ที่สองจากขวา) ถ่ายภาพร่วมกับเหมา เจ๋อตง, โจว เอินไหล (ที่สองจากซ้าย) และปั๋ว กู่ (ซ้าย) ใน ค.ศ. 1937

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างจูกับเหมา เจ๋อตงเริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1928 เมื่อจูแปรพักตร์จากการปกป้องของฟ่าน ฉือเชิงด้วยความช่วยเหลือของเฉิน อี้และหลิน เปียว และยกกองทัพจำนวน 10,000 นายไปยังเจียงซีและเทือกเขาจิ่งกัง[20] ที่นี่ เหมาได้ก่อตั้งโซเวียตขึ้นใน ค.ศ. 1927 และจูเริ่มสร้างกองทัพของเขาขึ้นเป็นกองทัพแดง รวบรวมและขยายพื้นที่ควบคุมของโซเวียต[21] การประชุมซึ่งเกิดขึ้นบนสะพานหลงเจียงในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1928 ได้รับการสนับสนุนจากเหมา เจ๋อถาน น้องชายของเหมาที่รับใช้ภายใต้การนำของจู[22] เขานำจดหมายไปหาเหมา เจ๋อตง พี่ชายของเขา โดยจูกล่าวว่า "พวกเราต้องรวมพลังกันและดำเนินนโยบายการทหารและเกษตรกรรมที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน"[22] การพัฒนาครั้งนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยน เมื่อกองกำลังรวมตัวจัดตั้งเป็น "กองทัพแดงที่สี่" โดยมีจูเป็นผู้บัญชาการทหารและเหมาเป็นผู้แทนของพรรค[23]

ความเป็นผู้นำของจูทำให้เขาเป็นบุคคลที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ชาวบ้านยังยกย่องเขาว่ามีความสามารถเหนือธรรมชาติอีกด้วย[24] ในช่วงเวลานี้ เหมาและจูมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากจนชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกพวกเขาโดยรวมว่า "จูเหมา"[25][26] ใน ค.ศ. 1929 จูกับเหมาถูกบังคับให้หนีจากจิ่งกังชานไปยังรุ่ยจินภายหลังแรงกดดันทางทหารจากเจียง ไคเชก[27] ที่นี่พวกเขาก่อตั้งโซเวียตเจียงซีขึ้น[ต้องการอ้างอิง] ใน ค.ศ. 1931 จูได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำกองทัพแดงในรุ่ยจินโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน[28] เขาประสบความสำเร็จในการนำกองกำลังทหารแบบธรรมดาเข้าต่อสู้กับก๊กมินตั๋งในช่วงนำไปสู่การทัพต่อต้านการโอบล้อมครั้งที่สี่[29] อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกันในช่วงการทัพต่อต้านการโอบล้อมครั้งที่ห้าและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงหลบหนีไป[30] จู ช่วยในการหลบหนีครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1934 อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล[31]

ผู้นำกองทัพแดง

ระหว่างการเดินทัพทางไกล จูและโจว เอินไหลได้จัดการสู้รบบางอย่างร่วมกัน มีผลดีน้อยมากเนื่องจากอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือของปั๋ว กู่และอ็อทโท เบราน์ ในการประชุมจุนอี้ จูสนับสนุนการวิพากษ์วิจารณ์ปั๋วและเบราน์ของเหมา เจ๋อตง[32] หลังการประชุม จูร่วมมือกับเหมาและโจวในด้านกิจการทหาร ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1935 จูและหลิว ปั๋วเฉิงอยู่ร่วมกับกองทัพแดงที่สี่ ขณะที่เหมา เจ๋อตงและโจว เอินไหลอยู่ร่วมกับกองทัพแดงที่หนึ่ง[33] เมื่อมีการแยกเป็นสองฝ่าย จูถูกจาง กั๋วเทา ผู้นำกองทัพแดงที่สี่บังคับให้ไปทางใต้ [34] กองทัพแดงที่สี่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการล่าถอยผ่านมณฑลเสฉวน เมื่อมาถึงเหยียนอาน จูได้ดูแลการฟื้นฟูกองทัพแดงภายใต้การชี้นำทางการเมืองของเหมา[35]

ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีน เขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพแดง[36] และใน ค.ศ. 1940 จูร่วมกับเผิง เต๋อหวย ได้คิดและจัดระเบียบการรุกร้อยกรม ในช่วงแรก เหมาสนับสนุนการรุกครั้งนี้[37] ขณะที่การทัพประสบความสำเร็จ เหมาในได้ระบุในเวลาต่อมาว่าการทัพดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดนโยบาย Three Alls ของญี่ปุ่นที่เลวร้ายในเวลาต่อมา และใช้เรื่องนี้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์เผิงที่การประชุมหลูชาน[38]

ชีวิตช่วงหลัง

Thumb
จูและเผิง เต๋อหวย (ซ้าย) ในพิธีมอบยศจอมพลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

ใน ค.ศ. 1949 จูได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชน[39] ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 ถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1950 เขาทำหน้าที่เป็นเลขาธิการคณะกรรมการสอบวินัยส่วนกลางคนที่ 1[40] จูยังเคยดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์ (1956–1966) และรองประธานสาธารณรัฐประชาชนจีน (1954‐1959) อีกด้วย[41] จูดูแลกองทัพปลดปล่อยประชาชนในช่วงสงครามเกาหลีภายใต้อำนาจของเขาในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด[ต้องการอ้างอิง] ใน ค.ศ. 1955 เขาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจอมพล[42] ในการประชุมหลูชาน เขาพยายามปกป้องเผิง เต๋อหวย ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เผิงเล็กน้อย แทนที่จะกล่าวประณามเขา เขากลับตำหนิสหายที่เป็นเป้าหมายของเหมาอย่างอ่อนโยน เหมาไม่พอใจกับพฤติกรรมของจู[43] หลังการประชุม จูถูกปลดจากตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ส่วนหนึ่งไม่ใช่เพราะความภักดีที่มีต่อเผิง[36]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1969 ระหว่างการประชุมสุดยอดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม จูถูกปลดจากตำแหน่งในคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน และกิจกรรมของสภาประชาชนแห่งชาติถูกระงับ[44] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1969 หลิน เปียวได้ออกคำสั่งที่มีชื่อว่า "คำสั่งหมายเลขหนึ่ง" ที่อพยพบุคลากรทางทหารที่สำคัญไปยังพื้นที่ห่างไกลเนื่องจากความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และจูก็ถูกนำตัวไปที่กวางตุ้ง[45][46] ใน ค.ศ. 1973 จูได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญกรมการเมืองอีกครั้ง[47]

เขาทำงานในฐานะนักการเมืองกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1976[48] การเสียชีวิตของเขาเกิดขึ้นหกเดือนหลังการเสียชีวิตของโจว เอินไหล[49] และเพียงสองเดือนก่อนการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง[50] จูถูกฌาปนกิจและได้รับการฝังศพในอีกไม่กี่วันต่อมา[51][52]

Remove ads

ชีวิตส่วนตัว

สรุป
มุมมอง

การแต่งงาน

จูแต่งงานสี่ครั้ง ตามชีวประวัติที่ยังเขียนไม่เสร็จของแอกเนส สเมดลีย์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่าเขาแต่งงานกับแม่ของลูกสาวคนเดียวของเขา ความสัมพันธ์ที่ทราบของเขาได้แก่:

  • เซียน จฺวี๋ฟาง (จีน: 萧菊芳) เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของจูที่สถาบันครูคุนหมิง (昆明师范学院)[53] ทั้งคู่แต่งงานกันใน ค.ศ. 1912 เซียวเสียชีวิตด้วยอาการไข้ใน ค.ศ. 1916 หลังให้กำเนิดจู เป่า ลูกชายคนเดียวของจู[54][53]
  • เฉิน ยฺวี่เจิน (陈玉珍) หลังจากการเสียชีวิตของเซียว จฺวี๋ฟาง จูได้รับคำแนะนำให้หาแม่ให้กับลูกชายวัยทารกของเขา เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักเฉินโดยเพื่อนในกองทัพ เฉินได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมปฏิวัติใน ค.ศ. 1911 เช่นเดียวกับใน ค.ศ. 1916 มีรายงานว่าเฉินตั้งเงื่อนไขว่าเธอจะไม่แต่งงานเว้นแต่ว่าสามีในอนาคตของเธอจะขอเธอแต่งงานเป็นการส่วนตัว ซึ่งจูก็ทำเช่นนั้น ทั้งสองแต่งงานกันใน ค.ศ. 1916 เฉินดูแลบ้านแม้กระทั่งสร้างห้องทำงานเพื่อให้จูและเพื่อนนักวิชาการของเขาได้พบกัน โดยเธอจัดเตรียมเอกสาร แผ่นพับ หนังสือ และแถลงการณ์เกี่ยวกับการปฏิวัติเดือนตุลาคมของรัสเซียให้ ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1922 จูออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมหยาง เซิน ขุนศึกแห่งเสฉวน[53] ตามชีวประวัติของแอกเนส สเมดลีย์ จูคิดว่าตนเองแยกทางกับเฉินแล้วหลังจากทิ้งเธอและรู้สึกอิสระที่จะแต่งงานอีกครั้ง แม้จะไม่มีการหย่าอย่างเป็นทางการก็ตาม เฉินถูกก๊กมินตั๋งสังหารใน ค.ศ. 1935[55]
  • เฮ่อ จื้อหฺวา (贺治华) เธอพบกับจูในเซี่ยงไฮ้และติดตามเขาไปเยอรมนีในปลายปี ค.ศ. 1922 เมื่อจูถูกเนรเทศออกจากเยอรมนีใน ค.ศ. 1925 เธอกำลังตั้งครรภ์และต่อมาได้ให้กำเนิดลูหในหมู่บ้านหนึ่งนอกเขตชานเมืองมอสโก จูตั้งชื่อลูกสาวว่าซื่อสฺวิน (四旬) แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ลดลง และเฮ่อปฏิเสธทางเลือกของเขา โดยตั้งชื่อทารกว่าเฟย์เฟย์ (菲菲) แทน เฮ่อส่งลูกสาวของเธอไปอาศัยอยู่กับน้องสาวของเธอที่เฉิงตูไม่นานหลังจากคลอด จากนั้นเธอก็แต่งงานกับฮั่ว เจียซิน (霍家新) ในปีเดียวกัน เขากลับมาเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1928 มีรายงานว่าเธอทรยศต่อก๊กมินตั๋งที่ต้องการตัวคอมมิวนิสต์ ก่อนถูกทหารกองทัพแดงยิงจนตาบอดและสามีของเธอเสียชีวิต หลังจากนั้นเธอเดินทางกลับมายังเสฉวนและเสียชีวิตด้วยโรคร้ายก่อน ค.ศ. 1949[ต้องการอ้างอิง]
  • อู่ รั่วหลาน (伍若兰) เป็นลูกสาวของปัญญาชนจากจิ๋วเหยี่ยนถาง (九眼塘) ในหูหนาน จูพบกับเธอหลังจากโจมตีเหล่ย์หยางด้วยกองทัพชาวนาและกรรมกร ทั้งสองแต่งงานกันใน ค.ศ. 1928[56] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1929 จูและอู่ถูกกองกำลังก๊กมินตั๋งล้อมรอบที่วัดแห่งหนึ่งในเทือกเขาจิ่งกัง จูหลบหนีไปได้ แต่อู่ถูกจับตัวไป เธอถูกประหารชีวิตโดยการตัดศีรษะและศีรษะของเธอถูกส่งไปที่ฉางชาเพื่อประจาน[57]
  • คัง เค่อชิง (康克清) จูแต่งงานกับคังใน ค.ศ. 1929 เมื่อเขาอายุ 43 ปี[57] เธอเป็นสมาชิกกองทัพแดงและเป็นผู้นำชาวนาด้วย คังเป็นคนขยันเรียนมากและจูก็สอนให้เธออ่านและเขียนก่อนที่พวกเขาจะแต่งงาน คังมีชีวิตอยู่นานกว่าเขา[58] ต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการเดินทัพทางไกล เธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยโฆษณาชวนเชื่อที่เดินขบวนอยู่ด้านหลัง คังต่อสู้เคียงข้างสามีของเธอ โดยโดดเด่นทั้งในฐานะทหารรบ นักแม่นปืน และผู้นำหน่วย[59]

ลูก

  • จู เป่าจู้ (朱保柱) เกิด ในค.ศ. 1916 และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น จู ฉี (朱琦) เสียชีวิตจากอาการป่วยใน ค.ศ. 1974
  • จู หมิ่น (朱敏) เกิดที่มอสโกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1926 เป็นลูกของเฮ่อ จื้อหฺวา (贺治华) จูเต๋อตั้งชื่อให้เธอว่าซื่อสฺวิน (四旬) แต่เธอปฏิเสธและเลือกชื่อเฟย์เฟย์ (菲菲) แทน เฮ่อ จื้อหฺวาส่งลูกสาวของเธอไปหาพี่สาวของเธอที่เฉิงตูไม่นานหลังจากเธอเกิด ซึ่งเธอใช้ชื่อว่าเฮ่อ เฟย์เฟย? (贺飞飞) เธอศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มอสโกระหว่าง ค.ศ. 1949 ถึง 1953 ก่อนที่จะสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยครูปักกิ่ง เธอเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บใน ค.ศ. 2009[60]
Remove ads

รางวัลและเกียรติยศ

 กัมพูชา
เครื่องอิสริยยศพระราชาณาจักรกัมพูชา (ชั้นมหาเสรีวัฒน์) (ค.ศ. 1964)[61]
 อินโดนีเซีย
เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ชั้นอธิประธานา) (ค.ศ. 1961)[62]

ผลงาน

  • จู เต๋อ (1986). สรรนิพนธ์ของจู เต๋อ (1st ed.). ปักกิ่ง: สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ. ISBN 0-8351-1573-9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2020. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2020.

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

    อ้างอิง

    แหล่งข้อมูลอื่น

    Loading related searches...

    Wikiwand - on

    Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

    Remove ads