คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นหนึ่งในพระที่นั่งแปดองค์ภายในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419 ตั้งอยู่ระหว่างพระมหามณเฑียรกับหมู่พระมหาปราสาท ประกอบด้วยปราสาทสามองค์ ทอดตัวตามแนวตะวันออก–ตะวันตก แต่ละองค์เชื่อมต่อกันด้วยมุขกระสันตลอดแนว
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทมีลักษณะโดดเด่นกว่าพระที่นั่งอื่นในหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เนื่องจากเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยโครงสร้างอาคารใช้รูปแบบตะวันตก ส่วนหลังคาเป็นสถาปัตยกรรมไทย จนเป็นที่รู้จักในชื่อเรียกขานว่า "ฝรั่งสวมชฎา"[2][3]

ด้วยความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม ทำให้พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญและดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดของพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นท้องพระโรง ใน พ.ศ. 2419 ภายหลังเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา โปรดเกล้าฯ ให้จ้างนายจอห์น คลูนิส ชาวอังกฤษ สถาปนิกจากสิงคโปร์ เป็นนายช่างหลวงออกแบบพระที่นั่ง นายเฮนรี คลูนิช โรส เป็นนายช่างผู้ช่วย โดยมีเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กอง พระยาเวียงในนฤบาลเป็นผู้กำกับดูแลการทุกอย่าง และพระประดิษฐการภักดีเป็นผู้ตรวจกำกับบัญชีและของทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2419
เดิมมีพระที่นั่งต่าง ๆ เรียงต่อเนื่องกันรวม 11 องค์ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 องค์ คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ และพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ ซึ่งพระที่นั่งทั้งอีก 2 องค์ที่กล่าวถึงนั้นได้รื้อลงแล้วสร้างใหม่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งนี้ ในพ.ศ. 2542 ได้มีโครงการสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทส่วนต่อเติมในพื้นด้านหลัง เพื่อใช้ในการพระราชทานเลี้ยงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549
เริ่มแรกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งองค์ใหม่เป็นแบบตะวันตก แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กราบบังคมทูลขอให้ทำเป็นปราสาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนทรงหลังคาเป็นหลังคายอดปราสาท 3 ยอดเรียงกันตามสถาปัตยกรรมไทย[4] และเสด็จยกยอดปราสาทใน พ.ศ. 2421 มีการเฉลิมพระราชมนเฑียรใน พ.ศ. 2425 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระที่นั่งองค์นี้ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์และพระมเหสีตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา เป็นที่เสด็จฯออกให้คณะทูตานุทูต ข้าราชการชั้นสูงเข้าเฝ้า หรือรับรองแขกผู้มีเกียรติ ภายในพระที่นั่งเป็นที่ประดิษฐาน พระที่นั่งพุดตานถม ซึ่งเป็นพระราชอาสน์ราชบัลลังก์ประจำพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท องค์พระที่นั่งทำด้วยไม้หุ้มเงินถมลงยาทาทองซึ่งเรียกว่า ถมตะทอง นับได้ว่าเป็นเครื่องถมทองชิ้นใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โคมไฟแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่ภายในพระที่นั่งนั้น ที่จริงแล้วมิใช่สั่งมาโดยตรง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้สั่งมาที่บ้านของตนเอง แต่ปรากฏว่าโคมนั้นมีขนาดใหญ่เกินไป ท่านจึงนำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทยังเป็นสถานที่แห่งแรกในประเทศไทยที่มีการใช้ไฟฟ้าเป็นครั้งแรกอีกด้วย ด้วยเหตุที่ว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ได้ทอดพระเนตรเห็นแสงไฟฟ้านั้นที่ประเทศทางตะวันตก และมีพระราชประสงค์ที่จะมาใช้ในประเทศไทย
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นสถานที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ไทยทรงใช้ในการรับรองผู้นำเอเปค ทั้งในการประชุมในปี พ.ศ. 2546[5][6] และ พ.ศ. 2565[7]
Remove ads
สถาปัตยกรรม
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นพระที่นั่ง 3 ชั้นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างไทยและตะวันตก แต่หลังคาเป็นยอดปราสาทแบบไทยมีมุข 3 มุข
ภายในพระที่นั่ง
สรุป
มุมมอง
ภายในพระที่นั่งจะประกอบไปด้วย
พระที่นั่งองค์ตะวันออก
- ชั้นบนเป็นที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่สำคัญของพระมหากษัตริย์
- ชั้นกลางเป็นห้องรับรองพระราชอาคันตุกะภายในประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระราชโอรส 5 พระองค์
- ชั้นล่างเป็นห้องสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ลงนามถวายพระพรและเป็นห้องสำหรับราชองครักษ์
พระที่นั่งองค์กลาง
- ชั้นบนเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7
- ชั้นกลางเป็นท้องพระโรงหน้า
- ชั้นล่างเป็นห้องสำหรับกองทหารรักษาการณ์
พระที่นั่งองค์ตะวันตก
- ชั้นบนเป็นหอพระอัฐิของพระมเหสีและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่
- ชั้นกลางเป็นออฟฟิตหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันเป็นสถานที่รอเข้าเฝ้าของพระราชอาคันตุกะ
- ชั้นล่างเป็นห้องเก็บของและห้องสมุด
มุขกระสันด้านตะวันออก
- ชั้นบนประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 รวมทั้งพระบวรสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
- ชั้นกลางเป็นที่สำหรับรับรองพระราชอาคันตุกะ
- ชั้นล่างเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องอาวุธโบราณ
มุขกระสันด้านตะวันตก
- ชั้นบนประดิษฐานพระสาทิสลักษณ์ของพระอัครมเหสี 6 พระองค์
- ชั้นกลางเป็นที่สำหรับรับรองพระราชอาคันตุกะ
- ชั้นล่างเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องอาวุธโบราณ
ท้องพระโรงกลาง

ท้องพระโรงกลางกว้าง 12.70 เมตร ยาว 24 เมตรเพดานสูง 14 เมตรภายในประดิษฐานพระที่นั่งพุดตานถมซึ่งเป็นพระราชอาสน์ประจำพระที่นั่งซึ่งกางกั้นด้วยนพปฎลมหาเศวตฉัตรใช้เป็นสถานที่สำหรับออกให้คณะทูตานุทูตเฝ้ารวมทั้งถวายพระราชสาสน์ตราตั้งและถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสสำคัญ ๆ ภายในท้องพระโรงกลางนี้ประดิษฐานพระราชบัลลังก์ประจำพระที่นั่ง มีชื่อว่า พระที่นั่งพุดตานถม
- พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
- พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์
- พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ
- พระที่นั่งดำรงสวัสดิ์อนัญวงศ์
- พระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร
- พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
- พระที่นั่งอมรพิมานมณี
- พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์
- พระที่นั่งบรรณาคมสรณี
- พระที่นั่งปรีดีราชวโรทัย
- พระที่นั่งเทพดนัยนันทยากร
- สวนสวรรค์
และเพิ่มมาอีก1องค์คือ
เหตุการณ์สำคัญ
สรุป
มุมมอง
พระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ (พระยศในขณะนั้น) และหม่อมเจ้าทิพยสัมพันธ์ (พระยศในขณะนั้น) จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานและพระราชทานน้ำสังข์[8]
พระราชพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี(พระยศในขณะนั้น) และเรืออากาศโทวีระยุทธ ดิษยะศริน (ยศในขณะนั้น) จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2525 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์เทพมนต์พระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี(พระยศในขณะนั้น)และเรืออากาศโท วีระยุทธ ดิษยะศริน หลังจากนั้น กราบถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และกราบเคารพ พลอากาศตรี ประหยัด ดิษยะศริน และนางวิจิตรา ดิษยะศริน และถวายคารวะแด่สมเด็จพระบรมวงศ์ ตามลำดับ หลังจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินออกประทับ ณ มุขกระสันตะวันออก ห้องพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ฯลฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้ลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงลงพระนาม และเรืออากาศโท วีระยุทธ ดิษยะศริน พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สักขีลงนามในทะเบียนนั้นด้วย หลังจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องพระโรงกลางทรงพระกุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลขาธิการพระราชวังอ่านประกาศการพระราชพิธีอภิเษกสมรสจากนั้นพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์แก่เรืออากาศโท วีระยุทธ ดิษยะศริน พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กราบบังคมทูลถวายพระพรมงคล จบแล้ว พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ประธานรัฐสภาในขณะนั้น นายบัญญัติ สุชีวะ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้น และนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้น ถวายของขวัญแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี[9]
Remove ads
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads