คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

พระเจ้าเลนเต้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads

พระเจ้าเลนเต้[2] (ค.ศ. 156/157[a] – 13 พฤษภาคม ค.ศ. 189[b]) หรือ จักรพรรดิฮั่นหลิงตี้ (จีน: 漢靈帝; พินอิน: Hàn Líng Dì) พระนามส่วนพระองค์ เล่าเหี้ยน[1] หรือในภาษาจีนกลางเรียกว่า หลิว หง (จีน: 劉宏; พินอิน: Liú Hóng)[4] เป็นจักรพรรดิลำดับที่ 12 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก พระองค์ยังเป็นจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกที่สามารถใช้พระราชอำนาจอย่างแท้จริงในรัชสมัยของพระองค์ พระองค์เป็นพระโอรสของผู้ดำรงฐานันดรศักดิ์เฮา (侯 โหว) ระดับล่างผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระเจ้าเจียงเต้ (漢章帝 ฮั่นจางตี้; จักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นตะวันออกลำดับที่ 3) เล่าเหี้ยนทรงได้รับเลือกให้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 168 ขณะมีพระชนมายุ 12 พรรษาหลังการสวรรคตของพระเจ้าหวนเต้ (漢桓帝 ฮั่นหฺวานตี้) จักรพรรดิองค์ก่อนหน้าที่ไม่มีพระโอรสสืบราชบัลลังก์ พระเจ้าเลนเต้ทรงครองราชย์เป็นเวลาประมาณ 21 ปีจนกระทั่งสวรรคตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 189

ข้อมูลเบื้องต้น พระเจ้าเลนเต้ (ฮั่นหลิงตี้) 漢靈帝, จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น ...
ข้อมูลเบื้องต้น อักษรจีนตัวเต็ม, อักษรจีนตัวย่อ ...

ในรัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้ เหล่าขันทีทุจริตเข้าครอบงำราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกอีกครั้งเช่นเดียวกับรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ก่อน เตียวเหยียง (張讓 จาง ร่าง) ผู้นำของขันทีกลุ่มสิบเสียงสี (十常侍 ฉือฉางชื่อ) สามารถครอบงำการปกครองของราชสำนักได้สำเร็จหลังเอาชนะกลุ่มขุนนางที่นำโดยเตาบู (竇武 โต้ว อู่) ผู้เป็นบิดาของจักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยว (竇妙) และตันผวน (陳蕃 เฉิน ฝาน) ผู้เป็นขุนนางและบัณฑิตลัทธิขงจื๊อในเดือนตุลาคม ค.ศ. 168 หลังพระเจ้าเลนเต้ทรงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว พระองค์ทรงไม่สนพระทัยในด้านราชการแผ่นดินและโปรดการหลงระเริงกับสตรีและการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ขุนนนางที่ทุจริตในราชสำนักราชวงศ์ฮั่นก็เรียกเก็บภาษีจากชาวนาอย่างหนัก พระองค์กลับทรงทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นโดยนำระบบการซื้อขายตำแหน่งทางราชการด้วยเงินมาใช้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบราชการของราชวงศ์ฮั่นและนำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแพร่หลาย ความไม่พอใจของราษฎรต่อราชสำนักราชวงศ์ฮั่นที่เพิ่มมากขึ้นได้นำไปสู่การเกิดกบฏโพกผ้าเหลืองที่นำโดยกลุ่มชาวนาในช่วงต้น ค.ศ. 184

รัชสมัยของพระเจ้าเลนเต้ทำให้ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกอ่อนแอจนใกล้จะล่มสลาย หลังพระองค์สวรรคต จักรวรรดิของราชวงศ์ฮั่นก็แตกแยกท่ามกลางความวุ่นวายในช่วงหลายทศวรรษถัดมาเพราะขุนศึกตามภูมิภาคต่าง ๆ ต่างก็ต่อสู้เพื่อชิงอำนาจและความเป็นใหญ่ (ดู ปลายราชวงศ์ฮั่น) ราชวงศ์ฮั่นสิ้นสุดในช่วงปลาย ค.ศ. 220 เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ (漢獻帝 ฮั่นเซี่ยนตี้) ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้าเลนเต้สละราชบัลลังก์ อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การเริ่มต้นของยุคสามก๊กของจีน

Remove ads

ภูมิหลังครอบครัวและการขึ้นครองราชย์

สรุป
มุมมอง
Thumb
สตรีสวมเสื้อฮั่นฝู (漢服) ทำจากไหม
Thumb
สตรีที่มีทรงผมแบบราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
Thumb
รายละเอียดของฉากงานเลี้ยง
Thumb
สตรีสวมเสื้อฮั่นฝู
ภาพจิตรกรรมฝาฝนังของสุสานต๋าหู่ถิง (打虎亭漢墓 ต๋าหู่ถิงฮั่นมู่) ของช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25–220) ตั้งอยู่ในนครเจิ้งโจว (鄭州) มณฑลเหอหนาน (河南) ประเทศจีน แสดงภาพชีวิตประจำวันในยุคนั้น

เล่าเหี้ยนได้สิบทอดฐานันดรศักดิ์เตงเฮาแห่งเจี่ยตู๋ (解瀆亭侯 เจี่ยตู๋ถิงโหว) ในยุคราชวงศ์ฮั่น ฐานันดรศักดิ์เตงเฮา (亭侯 ถิงโหว) หรือเฮา (侯 โหว) ระดับหมู่บ้านมักมีศักดินาเพียงหมู่บ้านเดียว หรือในบางกรณีที่พบได้น้อยอาจมีศักดินา 2 หรือ 3 หมู่บ้าน เล่าเหี้ยนเป็นรุ่นที่ 3 ในเชื้อสายที่ได้ฐานันดรศักดิ์นี้ บิดาของเล่าเหี้ยนคือหลิว ฉาง (劉萇) และปู่ของเล่าเหี้ยนคือหลิว ชู (劉淑) ก็เคยมีฐานันดรศักดิ์เป็นเตงเฮาแห่งเจี่ยตู๋ ส่วนทวดของเล่าเหี้ยนคือหลิว ไค (劉開) มีฐานันศักดิ์เป็นอ๋องเซี่ยวแห่งโฮกั้น (河間孝王 เหอเจียนเซี่ยวหวาง) และเป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าเจียงเต้ (漢章帝 ฮั่นจางตี้) จักรพรรดิลำดับที่ 3 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มารดาของเล่าเหี้ยนมีชื่อสกุลว่าตัง (董 ต่ง) ซึ่งภายหลังคือตังไทฮอ (董太后 ต่งไท่โฮ่ว) เป็นภรรยาหลวงของหลิว ฉาง

เมื่อพระเจ้าหวนเต้ (漢桓帝 ฮั่นหฺวานตี้) สวรรคตเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 168[c] โดยไม่มีพระโอรสสืบราชบัลลังก์ จักรพรรดินีโต้ว เมี่ยว (竇妙) พระมเหสีของพระองค์ได้ขึ้นเป็นไทเฮา (太后 ไท่โฮ่ว) หรือจักรพรรดินีพันปีหลวง พระองค์ทรงตรวจสอบพงศาวลีของราชตระกูลเพื่อเลือกผู้สืบราชบัลลังก์เป็นจักรพรรดิองค์ถัดไป หลิว ชู (劉儵) ผู้ช่วยของพระองค์ทูลเสนอชื่อเล่าเหี้ยนผู้เป็นเตงเฮาแห่งเจี่ยตู๋ด้วยเหตุผลที่ไม่ปรากฏแน่ชัด จักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวทรงปรึกษากับเตาบู (竇武 โต้ว อู่) ผู้เป็นบิดาของพระองค์และตันผวน (陳蕃 เฉิน ฝาน) ผู้เป็นขุนนางและบัณฑิตลัทธิขงจื๊อ แล้วจึงตัดสินพระทัยตั้งให้เล่าเหี้ยนวัย 12 ปีขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 168[d] ตัวจักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวทรงได้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เล่าเหี้ยนหรือพระเจ้าเลนเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ทรงพระราชทานสมัญญานามแก่พระอัยกา พระอัยกี และพระบิดาผู้ล่วงลับ แต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินี ส่วนพระมารดาของพระองค์ที่มีชื่อสกุลตังยังไม่ได้ขึ้นเป็นไทเฮา (จักรพรรดินีพันปีหลวง) แต่ได้รับตำแหน่งเป็นท่านหญิงแทน

Remove ads

รัชสมัยช่วงต้น

สรุป
มุมมอง

เตาบูและตันผวนซึ่งขึ้นเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักได้พยายามจะกวาดล้างกลุ่มขันที ภายหลังเมื่อ ค.ศ. 168 ทั้งสองถึงกับเสนอให้กำจัดขันทีผู้ทรงอิทธิพลทั้งหมด แต่จักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวทรงปฏิเสธข้อเสนอ อย่างไรก็ตาม บทสนทนาเกี่ยวกับแผนการนี้รั่วไหล เหล่าขันทีจึงลักพาตัวจักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวและกักบริเวณพระเจ้าเลนเต้ (หลังทูลโน้มน้าวพระองค์ว่าเพื่อเป็นการถวายการอารักขา) จากนั้นจึงจับกุมและประหารชีวิตตันผวน ด้านเตาบูพยายามต้านทานแต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้และถูกบีบให้ฆ่าตัวตาย ตระกูลเตา (竇 โต้ว) ถูกสังหารหมู่ เหล่าขันทีผู้มีอำนาจนำโดยเทาเจียด (曹節 เฉา เจี๋ย) และหวาง ฝู่ (王甫) ขึ้นเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก

หลังการล่มจมของตระกูลเตา ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 169 พระเจ้าเลนเต้ทรงเลื่อนให้พระมารดาขึ้นดำรงตำแหน่งไทเฮา แม้ว่ายังทรงยกย่องจักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวที่เวลานี้ถูกกักบริเวณให้ยังอยู่ในฐานะไทเฮาด้วยเช่นกัน สมาชิกตระกูลตังเริ่มเข้ามามีตำแหน่งในราชสำนักแต่ไม่มีอิทธิพลมากนัก ต่อมาในปีเดียวกันนั้น เหล่าขันทีทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ว่าเหล่า "พลพรรค" (黨人 ต่างเหริน; หมายถึงเหล่าข้าราชการที่เป็นบัณฑิตในลัทธิขงจื๊อและเหล่าผู้สนับสนุน) กำลังวางแผนต่อต้านพระองค์ พลพรรคจำนวนมากจึงถูกจับกุมและถูกสังหาร ส่วนคนอื่น ๆ ก็ถูกเพิกถอนสิทธิ์การรับราชการโดยสมบูรณ์ เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักในทางประวัติศาสตร์ในคำเรียกว่าวิบัติการกีดกันพลพรรคครั้งที่สอง

จักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยวสิ้นพระชนม์เมื่อ ค.ศ. 172 แม้ว่ามีการเสนอจากเหล่าขันทีให้ฝังพระศพของพระองค์ในฐานะพระสนมและไม่ให้ทรงรับเกียรติในฐานะพระมเหสีของพระเจ้าหวนเต้ แต่พระเจ้าเลนต้ก็โปรดให้ฝังพระศพอย่างสมเกียรติไทเฮาในสุสานของพระเจ้าหวนเต้ หลังการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดินีพันปีหลวงโต้ว เมี่ยว มีคนร้ายมาเขียนข้อความที่ประตูพระราชวังว่า "ทุกสิ่งในใต้ฟ้าตกอยู่ในความวุ่นวาย เทา (เจียด) และหวาง (ฝู่) ปลงพระชนม์ไทเฮา ขุนนางคนสำคัญรู้เพียงวิธีการเป็นขุนนางและไร้คำพูดสัตย์ซื่อจะเอื้อนเอ่ย"

เหล่าขันทีที่ขุ่นเคืองสั่งให้มีการไต่สวน นำไปสู่การจับกุมคนมากกว่า 1,000 คน แต่ก็ไม่พบข้อสรุปใด ๆ ในปีนั้น เหล่าขันทียังกล่าวหาเท็จต่อหลิว คุย (劉悝) อ๋องแห่งปุดไฮ (勃海王 ปั๋วไห่หวาง) ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าหวนเต้ในข้อหากบฏ และบีบให้พระองค์กระทำอัตวินิบาตกรรม สมาชิกในพระตำหนักของพระองค์ทั้งหมดรวมถึงพระชายา พระสนม พระราชบุตร ผู้ช่วยและข้าราชการประจำราชรัฐล้วนถูกจับกุมและถูกประหารชีวิต เมื่อราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเพิ่มขึ้น ราษฎรก็รับภาระภาษีที่หนักขึ้น เมื่อพระเจ้าเลนต้ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์ไม่เพียงไม่ทรงแก้ไขใด ๆ แต่ยังทรงเพิกเฉยต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวงของเหล่าขันทีเป็นส่วนใหญ่ ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของทัพราชวงศ์ฮั่นต่อชนเผ่าเซียนเปย์ (鮮卑) เมื่อ ค.ศ. 177 ยิ่งทำให้พระคลังหลวงร่อยหรอยิ่งขึ้น

เมื่อ ค.ศ. 178 จักรพรรดินีซ่ง (宋皇后 ซ่งหฺวางโฮ่ว) พระมเหสีของพระเจ้าเลนเต้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีเมื่อ ค.ศ. 171 แต่ไม่เป็นที่โปรดปราน ได้ตกเป็นเหยื่อต่อเล่ห์กลของเหล่าขันที ป้าหรือน้าผู้หญิงของจักรพรรดินีซ่งเป็นพระชายาของหลิว คุย เหล่าขันทีจึงกังวลว่าจักรพรรดินีซ่งอาจจะทรงหาทางแก้แค้นพวกตน เหล่าขันทีจึงร่วมมือกับพระสนมคนอื่น ๆ ที่ต้องการชิงตำแหน่งจักรพรรดินีในการกล่าวหาเท็จว่าจักรพรรดินีซ่งใช้เวทมนตร์ในการสาปพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทรงหลงเชื่อจึงทรงปลดจักรพรรดินีซ่ง จักรพรรดินีซ่งทรงถูกคุมขังและสิ้นพระชนม์ด้วยความสิ้นหวัง ซ่ง เฟิง (宋酆) บิดาของจักรพรรดินีซ่งรวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่เหลือก็ถูกกำจัด

Remove ads

รัชสมัยช่วงกลาง

สรุป
มุมมอง

เมื่อ ค.ศ. 178 พระเจ้าเลนเต้ทรงริเริ่มการขายตำแหน่งราชการเพื่อแลกกับเงิน วิธีการเช่นนี้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบราชการพลเรือนของราชวงศ์ฮั่น (察舉制 ฉาจฺวี่จื้อ)[e] และนำไปสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวาง ผู้ที่จ่ายเงินซื้อตำแหน่งก็ฉ้อราษฎร์บังหลวงหลังเข้ารับตำแหน่ง สิ่งที่พระเจ้าเลนเต้ดำริคือพระองค์ทรงอนุญาตให้ข้าราชการสามารถผ่อนชำระได้หลังเข้ารับตำแหน่ง หากข้าราชการเหล่านี้ยังไม่สามารถจ่ายได้ทั้งหมดในตอนแรก

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 181 พระเจ้าเลนเต้ทรงแต่งตั้งโฮเฮา (何后 เหอโฮ่ว) เป็นจักรพรรดินีองค์ใหม่ และแต่งตั้งโฮจิ๋น (何進 เหอ จิ้น) พี่ชายของโฮเฮาให้เป็นขุนนางตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก (ตำนานระบุว่าในตอนแรกโฮเฮาเข้ามาเป็นพระสนมของพระเจ้าเลนเต้ได้เพราะครอบครัวของพระองค์ติดสินบนเหล่าขันทีซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกสตรีให้จักรพรรดิ) โฮเฮาได้รับตำแหน่งจักรพรรดินีเพราะพระองค์ทรงให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าเลนเต้คือเล่าเปียน (劉辯 หลิว เปี้ยน) หรือหองจูเปียน[f] (皇子辯 หฺวางจื่อเปี้ยน) พระเจ้าเลนเต้มีพระโอรสองค์อื่น ๆ ก่อนหน้าหองจูเปียน แต่ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ก่อนหน้าการประสูติของหองจูเปียน

ในช่วงเวลาหลายปีนั้น พระเจ้าเลนเต้ทรงสนพระทัยที่จะสร้างอุทยานหลวง จึงทรงมีรับสั่งให้ข้าราชการของเมืองและราชรัฐทั่วจักรวรรดิของราชวงศ์ฮั่นให้ถวายบรรณาการแก่พระองค์โดยตรง เพื่อที่พระองค์จะนำเงินไปใช้ในโครงการก่อสร้าง เรื่องนี้กลับบีบเหล่าข้าราชการให้ใช้วิธีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเพื่อรีดเอาภาษีมากขึ้นจากเขตปกครองของพวกตนเพื่อถวายจักรพรรดิ แม้ว่าพระเจ้าเลนเต้จะทรงมีข้อบกพร่องจำนวนมาก แต่พระองค์ก็ทรงรับฟังคำแนะนำที่ดีจากข้าราชบริพารของพระองค์เป็นครั้งคราว แต่พระองค์ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ข้าราชบริพารของพระองค์มักรู้สึกไม่พอใจขณะพยายามโน้มน้าวพระองค์ในประเด็นเรื่องนโยบาย เพราะพระองค์ทรงรับฟังเฉพาะเมื่อพระองค์ทรงต้องการเท่านั้น

กบฏโพกผ้าเหลือง

สรุป
มุมมอง
Thumb
รถรบและทหารม้า รายละเอียดจากสุสานต๋าหู่ถิง (打虎亭漢墓 ต๋าหู่ถิงฮั่นมู่) ในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25–220) ตั้งอยู่ในนครเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน

ในช่วงก่อน ค.ศ. 183 ขบวนการกบฏลัทธิเต๋าครั้งใหญ่เริ่มก่อการขึ้นในมณฑลกิจิ๋ว (冀州 จี้โจว) ซึ่งคือนิกายไทแผง (太平教 ไท่ผิงเจี้ยว) ที่นำโดยเตียวก๊ก (張角 จาง เจฺว๋) ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้มีพลังวิเศษในการรักษาคนป่วยได้ เมื่อถึง ค.ศ. 183 คำสอนและสานุศิษย์ของเตียวก๊กได้แพร่หลายไปทั่ว 8 มณฑลจากทั้งหมด 13 มณฑลของจักรวรรดิราชวงศ์ฮั่น ได้แก่ กิจิ๋ว, เฉงจิ๋ว (青州 ชิงโจว), ชีจิ๋ว (徐州 สฺวีโจว), อิวจิ๋ว (幽州 โยวโจว), เกงจิ๋ว (荊州 จิงโจว), ยังจิ๋ว (揚州 หยางโจว), กุนจิ๋ว (兗州 เหยี่ยนโจว) และอิจิ๋ว (豫州 ยฺวี่โจว) ขุนนางราชสำนักคนสำคัญหลายคนเริ่มกังวลเรื่องที่เตียวก๊กมีสานุศิษย์จำนวนมาก จึงทูลเสนอให้ดำเนินการยุบนิกายไทแผง แต่พระเจ้าเลนเต้ไม่ทรงฟัง

แท้จริงแล้วเตียวก๊กวางแผนจะก่อกบฏ เตียวก๊กแต่งตั้งแม่ทัพ 36 คน จัดตั้งรัฐบาลเงา และเขียนประกาศว่า "ฟ้าครามพินาศแล้ว ฟ้าเหลืองจะผงาดขึ้น เมื่อถึงปีเจี๋ยจื่อ (甲子) ใต้ฟ้ามหามงคล!" (ตามวิธีของปฏิทินวงรอบ 60 ปีของจีนดั้งเดิม ค.ศ. 184 จะเป็นปีแรกของวงรอบ เรียกว่าปีเจี๋ยจื่อ) เตียวก๊กให้สานุศิษย์เขียนคำว่าเจี๋ยจื่อเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ด้วยดินสอขาวในทุก ๆ ที่ที่ทำได้ รวมถึงประตูของที่ว่าราชการในนครหลวงและเมืองอื่น ๆ ม้าอ้วนยี่ (馬元義 หม่า ยฺเหวียนอี้) สานุศิษย์คนหนึ่งของเตียวก๊กลอบวางแผนกับขันทีสองคนให้เริ่มก่อกบฏภายในพระราชวัง

ช่วงต้น ค.ศ. 184 แผนการถูกเปิดเผย ม้าอ้วนยี่จึงถูกจับกุมและประหารชีวิตในทันที พระเจ้าเลนเต้ทรงมีรับสั่งให้จับกุมและประหารชีวิตสมาชิกของนิกายไทแผง เตียวก๊กจึงประกาศการก่อกบฏในทันที สมาชิกกบฏทุกคนสวมผ้าโพกผ้าศีรษะสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ กบฏกลุ่มนี้จึงเป็นที่รู้จักในคำเรียกว่ากบฏโพกผ้าเหลือง ภายในหนึ่งเดือน เตียวก๊กได้ยึดครองอาณาเขตเป็นวงกว้าง ขันทีลฺหวี่ เฉียง (呂強) ที่มีความเห็นอกเห็นใจเหล่าพลพรรคทูลเสนอพระเจ้าเลนเต้ให้ทรงประกาศนิรโทษกรรมแก่เหล่าพลพรรคเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าพลพรรคไปเข้าร่วมกับกบฏโพกผ้าเหลือง (อย่างไรก็ตาม ตัวลฺหวี่ เฉียงก็ตกเป็นเหยื่อเมื่อขันทีคนอื่น ๆ กล่าวหาเท็จว่าลฺหวี่ เฉียงต้องการปลดจักรพรรดิ ลฺหวี่ เฉียงได้ฆ่าตัวตายในเวลาต่อมาในปีเดียวกันนั้น )

พระเจ้าเลนเต้ทรงส่งแม่ทัพจำนวนหนึ่งไปปราบกบฏโพกผ้าเหลือง มีแม่ทัพหลายคนที่มีบทบาทโดดเด่นในการรบ เช่น ฮองฮูสง (皇甫嵩 หฺวางฝู่ ซง), โจโฉ (曹操 เฉา เชา), ฟู่ เซี่ย (傅燮), จูฮี (朱儁 จู จฺวิ้น), โลติด (盧植 หลู จื๋อ) และตั๋งโต๊ะ (董卓 ต่ง จั๋ว) พัฒนาการทางการทหารที่สำคัญที่มีความเกี่ยวพันอย่างมากในภายหลังคือกบฏโพกผ้าเหลืองรบกับกำลังพลจากมณฑลเลียงจิ๋ว (涼州 เหลียงโจว) เป็นหลัก ซึ่งทหารมณฑลเลียงจิ๋วนั้นคุ้นชินกับการปราบปรามกบฏชนเผ่าเกี๋ยง (羌 เชียง) ในช่วงปลาย ค.ศ. 184 เตียวก๊กเสียชีวิต ส่วนกบฏโพกผ้าเหลืองที่เหลือยังไม่พ่ายแพ้ในทันที แต่ก็ค่อย ๆ สลายตัวไปในปีต่อมา (แม้ว่ากบฏกลุ่มเล็ก ๆ หลายกลุ่มจะยังไม่ถูกปราบปรามจนกระทั่ง ค.ศ. 205) เนื่องจากผลงานของทัพมณฑลเลียงจิ๋วในการศึก ทัพมณฑลเลียงจิ๋วจึงเริ่มเป็นที่หวั่นเกรงและตัวทัพมณฑลเลียงจิ๋วก็เริ่มดูแคลนกำลังพลจากมณฑลอื่น ๆ ในช่วงเวลาที่กบฏโพกผ้าเหลืองก่อการและหลังจากนั้น ผู้คนจำนวนมากจากมณฑลต่าง ๆ รวมตัวกันเป็นกองกำลังเพื่อป้องกันตนจากการถูกปล้นโดยกบฏโพกผ้าเหลืองหรือทัพของราชสำนัก และมีผู้มีฝีมือจำนวนมากที่ต่อต้านทัพราชสำนัก แม้ภายหลังกบฏโพกผ้าเหลืองพ่ายแพ้ การควบคุมมณฑลต่าง ๆ โดยราชสำนักก็ไม่อาจเป็นไปเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

Remove ads

รัชสมัยช่วงปลาย

สรุป
มุมมอง

แม้หลังกบฏโพกผ้าเหลืองถูกปราบปรามแล้ว พระเจ้าเลนเต้ก็ไม่ได้ทรงเปลี่ยนวิถีทางหรูหราฟุ่มเฟือยและทุจริตของพระองค์ พระองค์ยังคงทรงเก็บภาษีอย่างหนักและขายตำแหน่งราชการต่อไป ส่งผลทำให้การก่อกบฏจากชาวนาและจากทหารยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อ ค.ศ. 185 เกิดเหตุเพลิงไหม้ทางส่วนทิศใต้ของพระราชวัง ขันทีกลุ่มสิบเสียงสีทูลเสนอพระเจ้าเลนต้ให้ทรงเก็บภาษี 10 เฉียน (錢; หน่วยน้ำหนัก) ต่อ 1หมู่ (畝; หน่วยพื้นที่) ของทุกที่นาเพื่อรวบรวมเป็นทุนสำหรับบูรณะพระราชวัง พระเจ้าเลนเต้จึงทรงมีพระราชโองการให้ข้าราชการในเมืองไท่หยวน (太原 ไท่-ยฺเหวียน) โฮตั๋ง (河東 เหอตง) และเต๊กโตเสีย (狄道 ตี๋เต้า) ให้ขนไม้และหินมีลวดลายเข้ามายังนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) เพื่อเป็นวัสดุก่อสร้าง เมื่อวัสดุถูกจัดส่งมาถึงพระราชวัง เหล่าขันทีที่รับวัสดุได้ต่อว่าคนงานที่ส่งวัสดุด้อยคุณภาพมาให้และยืนกรานที่จะจ่ายด้วยราคาที่ต่ำเพียงหนึ่งในสิบของราคาตลาด จากนั้นจึงนำวัสดุเหล่านั้นมาขายให้กับขันทีคนอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ปฏิเสธที่จะซื้อ เวลาผ่านไปนานเข้า กองไม้ที่สะสมไว้ก็เริ่มผุพัง งานก่อสร้างจึงล่าช้าไปเป็นเวลาหลายปี ข้าราชการท้องถิ่นบางคนจึงเรียกเก็บภาษีหนักขึ้นและบังคับราษฎรให้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อให้พระเจ้าเลนเต้พอพระทัย ทำให้ราษฎรต่างไม่พอใจเป็นอันมาก[7]

พระเจ้าเลนเต้ทรงแต่งตั้งนายทหารม้าให้เป็นคนนำสารทุกครั้งที่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้นำวัสดุมาส่งที่ลกเอี๋ยง นายทหารเหล่านี้ซึ่งเป็นที่รู้จักในคำเรียกว่า จงฉื่อ (中使; "ทูตส่วนกลาง") ใช้อำนาจในทางมิชอบโดยการบังคับเหล่าข้าราชการส่วนภูมิภาคที่ยำเกรงพวกตนให้มอบสินบนให้พวกตน การแต่งตั้งข้าราชการที่มีระดับต่ำกว่าข้าหลวงมณฑล (刺史 ชื่อฉื่อ) ถูกกำหนดโดยจำนวนเงินที่ข้าราชการเหล่านี้สามารถจ่ายได้เพื่อเป็นทุนให้กองทัพและการก่อสร้างพระราชวัง ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ข้าราชการเหล่านี้ต้องผ่านการประเมินเพื่อกำหนด "มูลค่า" ของแต่ละคน บางคนที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายตามจำนวนที่ต้องการได้ถึงกับฆ่าตัวตาย ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ปฏิเสธการรับตำแหน่งก็จะถูกบังคับให้รับตำแหน่ง[8]

ในช่วงเวลานั้นมีคนผู้หนึ่งชื่อซือหม่า จื๋อ (司馬直) เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง (太守 ไท่โฉ่ว) ของเมืองกิลกกุ๋น (鉅鹿郡 จฺวี้ลู่จฺวิ้น) ซือหม่า จื๋อนั้นมีชื่อเสียงในฐานะข้าราชการที่ซื่อสัตย์จึงมีคำสั่งให้ซือหม่า จื๋อจ่ายด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่าปกติคือสามพันเฉียน เมื่อซือหม่า จื๋อได้รับคำสั่งก็คร่ำครวญว่า "ข้าควรเป็นดั่งบิดาผู้รักราษฎรเหมือนลูก แต่ข้ากลับถูกบังคับให้เอารัดเอาเปรียบราษฎรเพื่อสนองพระประสงค์ (ของจักรพรรดิ) ข้าไม่อาจทนกระทำเช่นนี้ได้" ซือหม่า จื๋อพยายามขอลาออกจากตำแหน่งโดยอ้างว่าป่วย แต่คำร้องของซือหม่า จื๋อถูกปฏิเสธ เมื่อซือหม่า จื๋อเดินทางไปถึงท่าข้ามเมิ่งจิน (孟津) ใกล้กับลกเอี๋ยง ได้เขียนฎีกาเพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาทั้งหมดของราชสำนักและอ้างถึงอุทาหรณ์ในประวัติศาสตร์เพื่อทูลเตือนจักรพรรดิ จากนั้นซือหม่า จื๋อก็ฆ่าตัวตายด้วยการกลืนยาพิษ หลังพระเจ้าเลนเต้ทรงอ่านฎีกาของซือหม่า จื๋อ พระองค์ก็ทรงหยุดการระดมทุนเพื่อบูรณะพระราชวังเป็นการชั่วคราว[9] แต่ก็ดำเนินโครงการก่อสร้างต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน พระองค์โปรดให้สร้างหอภายในอุทยานตะวันตกแล้วบรรจุทรัพย์สมบัติและผ้าไหมที่นำมาจากกรมการเกษตร พระองค์ยังเสด็จประพาสบ้านเกิดของพระองค์ในเมืองโฮกั้น (河間郡 เหอเจียนจฺวิ้น) พระองค์เข้าถือสิทธิ์ในที่ดินในเมืองโฮกั้นและใช้ก่อสร้างพระนิเวศและหอสูง เนื่องจากพระเจ้าเลนเต้ทรงมีพื้นเพที่ยากจนเมื่อครั้งยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นเฮาระดับล่าง พระองค์จึงมีพระประสงค์แรงกล้าที่จะสะสมทรัพย์สินส่วนพระองค์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อทรงเห็นว่าพระเจ้าหวนเต้ซึ่งเป็นจักรพรรดิลำดับก่อนหน้าพระองค์ทรงหลงเหลือมรดกไม่มากนักให้กับพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้จึงไม่เพียงนำทรัพย์สินมาจากพระคลังหลวง แต่ยังทรงได้รับมาจากขันทีระดับล่างที่รับใช้พระองค์ด้วย[10]

พระเจ้าเลนเต้มักตรัสว่า "เตียวเสียงสี[g] (เตียวเหยียง) เป็นบิดาของเรา เตียวเสียงสี[h] (เตียวต๋ง) เป็นมารดาของเรา"[11] ด้วยความที่เหล่าขันทีเป็นที่ไว้วางพระทัยและเป็นที่โปรดปรานจากพระเจ้าเลนเต้เป็นอย่างสูง เหล่าขันทีจึงประพฤติผิดจากกฎหมายบ้านเมืองและใช้อำนาจในทางมิชอบ ถึงขนาดสร้างคฤหาสน์ส่วนตนอย่างฟุ่มเพือยโดยมีลักษณะเฉกเช่นพระราชวังหลวง ครั้งหนึ่งพระเจ้าเลนเต้เสด็จเยี่ยมหอสูงหย่งอันโหว (永安侯臺 หย่งอันโหวไถ) เหล่าขันทีต่างกังวลว่าพระองค์จะทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์ของพวกตนและรู้สึกผิดสังเกต จึงทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า "ฝ่าบาทมิควรเสด็จขึ้นที่สูง หาไม่แล้วราษฎรจะแตกตื่น" พระเจ้าเลนเต้ทรงเชื่อและยกเลิกการเสด็จเยี่ยมหอสูงทั้งปวง[12]

เมื่อ ค.ศ. 186 พระเจ้าเลนเต้ทรงมอบหมายขันทีซ่ง เตี่ยน (宋典) และปี้ หลาน (畢嵐) ร่วมกับขุนนางคนอื่น ๆ ให้กำกับดูแลการโครงการก่อสร้างใหม่ อันได้แก่โถงพระโรงใหม่หนึ่งแห่ง รูปหล่อสำริดขนาดใหญ่สี่รูป ระฆังสัมฤทธิ์ใบใหญ่สี่ใบ และรูปปั้นสัตว์พ่นน้ำได้ พระองค์ยังมีพระราชโองการให้สร้างเหรียญเงินและให้ใช้หมุนเวียนอย่างกว้างขวาง หลายคนต่างเห็นว่านี่เป็นการแสดงถึงความสุรุ่ยสุร่ายของพระเจ้าเลนเต้และส่อเค้าว่าท้ายที่สุดแล้วเหรียญเงินเหล่านี้จะกระจัดกระจายไปทุกแห่งหน ซึ่งเกิดเป็นความจริงขึ้นมาเมื่อเกิดเหตุความวุ่นวายในลกเอี๋ยงหลังการสวรรคตของพระเจ้าเลนเต้[13] พระเจ้าเลนเต้ทรงแต่งตั้งให้ขันทีเตียวต๋ง (趙忠 เจ้า จง) เป็นขุนพลทหารม้าและรถรบ (車騎將軍 เชอฉีเจียงจฺวิน) แต่หลังจากนั้น 100 วัน พระองค์ทรงปลดเตียวต๋งออกจากตำแหน่ง[14]

เมื่อ ค.ศ. 188 พระเจ้าเลนเต้ทรงดำเนินการต่อการทูลเสนอของเล่าเอี๋ยน (劉焉 หลิว เยียน) โดยทรงเพิ่มอำนาจทางการเมืองและการทหารของผู้ปกครองมณฑลและทรงเลือกข้าราชการคนสำคัญให้ไปดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองมณฑล

เมื่อ ค.ศ. 189 พระเจ้าเลนเต้ประชวรหนัก จึงเกิดประเด็นปัญหาเรื่องการสืบราชบัลลังก์ขึ้น พระเจ้าเลนเต้มีพระโอรสที่ยังทรงพระชนม์ชีพในเวลานั้นอยู่ 2 พระองค์ ได้แก่ หองจูเปียนหรือเล่าเปียนพระโอรสที่ประสูติจากโฮเฮา และหองจูเหียบ[i] (皇子協 หฺวางจื่อเสีย) หรือเล่าเหียบ (劉協 หลิว เสีย) พระโอรสที่ประสูติจากพระสนมอองบีหยิน (王美人 หวางเหม่ย์เหริน) เนื่องจากพระโอรสองค์ก่อน ๆ ของพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์อยู่บ่อยครั้ง ภายหลังพระเจ้าเลนเต้จึงทรงเชื่อว่าพระโอรสจะต้องทรงได้รับการเลี้ยงดูนอกพระราชวังโดยพ่อแม่บุญธรรม ดังนั้นเมื่อหองจูเปียนประสูติ พระเจ้าเลนเต้จึงทรงมอบหมายให้ฉือ จื๋อเหมี่ยว (史子眇) นักพรตลัทธิเต๋าที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัย ให้เป็นผู้ถวายการเลี้ยงดูหองจูเปียน หองจูเปียนจึงทรงถูกกล่าวถึงในคำเรียกว่า "ฉื่อโหว" (史侯) มีความหมายว่า "เฮา (侯 โหว) ผู้มีชื่อสกุลฉื่อ (史)" ภายหลังเมื่อหองจูเหียบประสูติ พระองค์ทรงได้รับการเลี้ยงดูจากตังไทฮอผู้เป็นพระมารดาของพระเจ้าเลนเต้ หองจูเหียบจึงทรงถูกกล่าวถึงในคำเรียกว่า "ต่งโหว" (董侯) มีความหมายว่า "เฮาผู้มีชื่อสกุลตัง (董 ต่ง)" หองจูเปียนซึ่งประสูติจากจักรพรรดินีมีพระชนมายุมากกว่า แต่พระเจ้าเลนเต้ทรงมองว่าความประพฤติของหองจูเปียนไม่เอาจริงเอาจังเพียงพอ จึงทรงพิจารณาจะแต่งตั้งให้หองจูเหียบเป็นรัชทายาท แต่พระองค์ยังทรงลังเลตัดสินพระทัยไม่ได้

ภายหลังพระเจ้าเลนเต้เลนเต้สวรรคตในปีเดียวกันนั้น เกียนสิด[j] (蹇碩 เจี่ยน ชั่ว) ขันทีผู้มีอำนาจซึ่งพระเจ้าเลนเต้ไว้วางพระทัย ต้องการสังหารมหาขุนพลโฮจิ๋นพี่ชายของโฮเฮาเสียก่อน จากนั้นจึงจะตั้งให้หองจูเหียบเป็นจักรพรรดิ จึงวางกำลังดักซุ่มในงานเลี้ยงที่เกียนสิดเชิญโฮจิ๋นมาเข้าร่วม แต่โฮจิ๋นรู้เรื่องนี้และประกาศตั้งหองจูเปียนเป็นจักรพรรดิอย่างเด็ดขาด

Remove ads

ชื่อศักราช

พระราชวงศ์

พระมเหสีและพระราชบุตร

  • จักรพรรดินีซ่งแห่งตระกูลซ่ง (皇后 宋氏 หฺวางโฮ่ว ซ่งชื่อ; สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 178)
  • โฮเฮา (何后 เหอโฮ่ว) หรือจักรพรรดินีหลิงซือแห่งตระกูลเหอ (靈思皇后 何氏 หลิงซือหฺวางโฮ่ว เหอชื่อ; สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 189)
    • หองจูเปียน (皇子辯 หฺวางจื่อเปี้ยน) หรือเล่าเปียน อ๋องแห่งฮองหลง (弘農懷王 劉辯 หงหนางหวาง หลิวเปี้ยน; ค.ศ. 176–190) พระโอรสองค์แรก
  • อองบีหยิน (王美人 หวางเหม่ย์เหริน) หรือจักรพรรดินีหลิงหฺวายแห่งตระกูลหวาง (靈懷皇后 王氏 หลิงหฺวายหฺวางโฮ่ว หวางชื่อ; เสียชีวิต ค.ศ. 181) ชื่อตัว หรง ()
    • หองจูเหียบ (皇子協 หฺวางจื่อเสีย) หรือเล่าเหียบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ (孝獻皇帝 劉協 เซี่ยวเซี่ยนหฺวางตี้ หลิวเสีย; ค.ศ. 181–234) พระโอรสองค์ที่สอง
  • ไม่ทราบ
    • เจ้าหญิงว่านเหนียน (萬年公主 ว่านเหนียนกงจู่) พระธิดาองค์แรก
Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. บทพะราชประวัติพระเจ้าเลนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าพระองค์ทรงขึ้นเป็นจักรพรรดิขณะมีพระชนมายุ 12 พรรรษา (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) หากบันทึกนี้ถูกต้อง ปีประสูติของพระองค์ควรเป็น ค.ศ. 157
  2. บทพะราชประวัติพระเจ้าเลนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าพระองค์สวรรคตขณะมีพระชนมายุ 34 พรรษา (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) เมื่อวันปิ่งเฉิน (丙辰) ในเดือน 4 ของศักราชจงผิง (中平) ปีที่ 6 ในรัชสมัยของพระองค์ เทียบได้กับวันที่ 18 พฤษาคม ค.ศ. 183 ในปฏิทินเกรกอรี เมื่อคำนวณแล้ว ปีประสูติของพระองค์ควรเป็น ค.ศ. 156[3]
  3. บทชีวประวัติพระเจ้าหวนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าพระเจ้าหวนเต้สวรรคตในวันติงโฉ่ว (丁丑) ในเดือน 12 ของศักราชหย่งคาง (永康) ปีที่ 1 ในรัชสมัยของพระองค์ เทียบได้กับวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 168 ในปฏิทินเกรกอรี[5]
  4. บทชีวปรระวัติพระเจ้าเลนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าพระเจ้าเลนเต้ทรงขึ้นครองราชย์ขณะพระชนมายุ 12 พรรษา (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ในวันเกิงจื่อ (庚子) ของเดือน 1 ในศักราชเจี้ยนหนิง (建宁) ปีที่ 1 ในรัชสมัยของพระองค์ เทียบได้กับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 168 ในปฏิทินเกรกอรี[6]
  5. ฉาจฺวี่จื้อ หรืออาจเรียกว่าเป็น "การเลื่อนตำแหน่งตามการเสนอชื่อ" เป็นระบบราชการพลเรือนที่พระเจ้าฮั่นบู๊เต้ (漢武帝 ฮั่นอู่ตี้) ทรงริเริ่มขึ้น ฉาจฺวี่จื้อยังเป็นระบบราชการพลเรือนระบบแรกในประวัติศาสตร์จีน ประกอบด้วยด้วยสองส่วนโดยเฉพาะ ได้แก่การเสนอชื่อและการสอบ โดยส่วนใหญ่ขึ้นกับการเสนอชื่อ
  6. "หองจูเปียน" เป็นพระนามที่ปรากฏในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีความหมายว่า "ราชบุตรเปียน (辯 เปี้ยน)"
  7. "เตียวเสียงสี" ในที่นี้ตรงกับคำในภาษาจีนกลางว่า "จางฉางชื่อ" (張常侍) หมายถึงเตียวเหยียง (張讓 จาง ร่าง) ผู้นำของขันทีกลุ่มสิบเสียงสี
  8. "เตียวเสียงสี" ในที่นี้ตรงกับคำในภาษาจีนกลางว่า "เจ้าฉางชื่อ" (趙常侍) หมายถึงเตียวต๋ง (趙忠 เจ้า จง) ขันทีในกลุ่มสิบเสียงสี
  9. "หองจูเหียบ" เป็นพระนามที่ปรากฏในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีความหมายว่า "ราชบุตรเหียบ (協 เสีย)"
  10. ในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีการเรียกเกียนสิดด้วยชื่อ "เกนหวน" อีกชื่อ[15]

อ้างอิง

บรรณานุกรม

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads