คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลก 2025
การแข่งขันฟอร์มูลาวันครั้งที่ 76 ที่กำลังดำเนินอยู่ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
การแข่งขัน เอฟไอเอ ฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลก 2025 (อังกฤษ: 2025 FIA Formula One World Championship) เป็นการแข่งขันรถฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 75 ภายใต้การรับรองในฐานะการแข่งขันระดับสูงสุดของการแข่งรถประเภทล้อเปิดโดยสหพันธ์รถยนต์ระหว่างประเทศ (เอฟไอเอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกีฬาท้าความเร็วระดับโลก การแข่งขันชิงแชมป์โลกถูกกำหนดให้เป็นการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ด้วยกันทั้งสิ้น 24 รายการที่จัดขึ้นทั่วโลก โดยการแข่งขันเริ่มต้นในเดือนมีนาคมและจะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ออสการ์ พิแอสทรี และทีมของเขา แมกลาเรน-เมอร์เซเดส เป็นผู้นำตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับและผู้ผลิตตามลำดับ

นักขับและทีมผู้ผลิตเข้าร่วมการแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งแชมป์โลกประเภทนักขับ และแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตตามลำดับ มักซ์ แฟร์สตัปเปิน นักขับจากเรดบูลเรซซิง-ฮอนด้าอาร์บีพีที เป็นแชมป์โลกประเภทนักขับฤดูกาลก่อนหน้า ขณะที่แมกลาเรน-เมอร์เซเดส เป็นแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตทีมฤดูกาลก่อนหน้า[1][2]
การแข่งขันฤดูกาล 2025 ถูกกำหนดให้เป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ผู้เข้าแข่งขันจะใช้เครื่องยนต์ต้นกําลังแบบเดิมซึ่งกำหนดใช้ครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2014 เป็นเครื่องยนต์ที่ปรับปรุงโดยเลิกใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานความร้อน (motor generator unit–heat; MGU-H) และใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานจลน์ (motor generator unit–kinetic; MGU-K) ที่มีกำลังขาออกสูงกว่าแทนในกฎข้อบังคับของฤดูกาล 2026[3][4] นอกจากนี้ยังเป็นฤดูกาลสุดท้ายของรถรุ่นใช้หลักกราวด์เอฟเฟกต์ (ground-effect) ซึ่งใช้มาตั้งแต่ฤดูกาล 2022 และระบบลดแรงต้านอากาศ (drag reduction system; DRS) ซึ่งเข้ามาช่วยในการขึ้นนำตั้งแต่ฤดูกาล 2011 เนื่องจากรถที่ควบคุมอากาศพลศาสตร์ด้วยสปอยเลอร์หลังที่สามารถขยับได้เองจะเข้ามาแทนที่ในฤดูกาล 2026[5]
การแข่งขันฤดูกาล 2025 จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่เรอโนซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดหาเครื่องยนต์ให้แก่อาลปีน กำหนดการยุติการผลิตเครื่องยนต์หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2025[6]
Remove ads
ผู้เข้าแข่งขัน
สรุป
มุมมอง
รายชื่อทีมผู้ผลิตและนักขับต่อไปนี้เข้าร่วมการแข่งขันฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลก 2025 ซึ่งทุกทีมจะแข่งขันโดยใช้ยางรถยนต์ที่จัดหาโดยพีเรลลี่[7] แต่ละทีมจะต้องส่งนักขับเข้าร่วมการแข่งขันอย่างน้อยสองคน โดยกำหนดให้นักขับหนึ่งคนประจำรถหนึ่งคันจากรถทั้งหมดสองคันที่กำหนดให้ใช้แข่งขัน[8]
นักขับรอบฝึกซ้อม
ตลอดการแข่งขันทั้งฤดูกาล ทีมผู้ผลิตแต่ละทีมจำเป็นต้องส่งนักขับที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันไม่เกินสองรายการ เข้าฝึกซ้อมในรอบแรกหรือรอบที่สองของรอบฝึกซ้อมซึ่งต้องเข้าร่วมรวมกันให้ได้ทั้งหมดสี่ครั้ง โดยให้นักขับที่ส่งมาเข้าร่วมนั้นประจำรถของนักแข่งหลักในรอบฝึกซ้อมคันละสองครั้ง[8]
การเปลี่ยนแปลงทีม
อาร์บียกเลิกอักษรย่อในชื่อของทีม และเข้าแข่งขันในฤดูกาล 2025 ภายใต้ชื่อ เรซซิงบูลส์ โดยเปลี่ยนแปลงทั้งชื่อทีมและชื่อผู้ผลิต[26]
การเปลี่ยนแปลงนักขับ
โอลิเวอร์ แบร์แมน (บนซ้าย) อันเดรอา คีมี อันโตเนลลี (บนกลาง) แจ็ก ดูอัน (บนขวา) กาบรีแยล โบร์โตเลตู (ล่างซ้าย) เลียม ลอว์สัน (ล่างกลาง) และ อีซัก อาจาร์ (ล่างขวา) ต่างเปิดตัวเป็นนักแข่งหลักให้แก่ฮาส, เมอร์เซเดส, อาลปีน, เซาเบอร์, เรดบูลเรซซิง และเรซซิงบูลส์ตามลำดับ
ยูกิ สึโนดะ (ซ้าย) ย้ายจากเรซซิงบูลส์ไปยังเรดบูลเรซซิงนับตั้งแก่การแข่งขันเจแปนนีสกรังด์ปรีซ์ โดยแทนที่ เลียม ลอว์สัน ส่วน ฟรังโก โกลาปินโต (ขวา) แทนที่ แจ็ก ดูอัน ที่อาลปีนนับตั้งแต่การแข่งขันเอมีเลีย-โรมัญญากรังด์ปรีซ์
ลูวิส แฮมิลตัน ออกจากเมอร์เซเดสหลังจากอยู่กับทีมมานานถึงสิบสองฤดูกาลเพื่อเข้าร่วมแฟร์รารี ทำให้สถิติของเขาคือนักขับที่เข้าแข่งขันให้แก่ทีมผู้ผลิตเดียวในฤดูกาลติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสิ้นสุดลง และเป็นฤดูกาลแรกที่เขาเข้าแข่งขันโดยไม่ใช้เครื่องยนต์ของเมอร์เซเดส[42][43] โดยเขาเข้ามาแทนที่ การ์โลส ไซนซ์ ยูนิออร์ นักขับผู้อยู่กับแฟร์รารีมาถึงสี่ฤดูกาลซึ่งย้ายไปเซ็นสัญญาหลายปีกับวิลเลียมส์ เดิมทีไซนซ์จะเข้ามาเพื่อแทนที่ของ โลแกน ซาร์เจนต์ แต่ซาร์เจนต์ถูกเปลี่ยนตัวกับ ฟรังโก โกลาปินโต ก่อนในช่วงกลางฤดูกาล 2024[44][45][46] โกลาปินโตออกจากวิลเลียมส์และเข้าร่วมอาลปีนในฐานะนักขับสำรองในเดือนมกราคม ค.ศ. 2025[47] แฮมิลตันถูกแทนที่โดย อันเดรอา คีมี อันโตเนลลี นักขับจากทีมนักแข่งรุ่นใหม่ของเมอร์เซเดสที่เลื่อนขั้นมาจากการแข่งขันฟอร์มูลาทู[48][49]
ฮาสเปลี่ยนแปลงนักขับใหม่ทั้งหมดสำหรับฤดูกาล 2025 นักขับเดิมอย่าง นีโค ฮึลเคินแบร์ค ออกจากทีมหลังจากเข้าแข่งขันให้สองฤดูกาลเพื่อเข้าร่วมเซาเบอร์ ซึ่งเป็นทีมที่เขาเคยลงแข่งให้ในฤดูกาล 2013[50][51] เขาถูกแทนที่โดย โอลิเวอร์ แบร์แมน นักขับที่เลื่อนขั้นมาจากฟอร์มูลาทูและเคยเข้าแข่งขันในฤดูกาลก่อนหน้าที่ซาอุดีอาระเบียนกรังด์ปรีซ์ให้แก่แฟร์รารี และอาเซอร์ไบจานและเซาเปาโลกรังด์ปรีซ์ให้แก่ฮาส[52] เช่นเดียวกับนักขับเดิมอีกคนคือ เควิน เมานุสเซิน ที่ออกจากทีมหลังจากเข้าแข่งขันให้สองช่วงโดยรวมเป็นเวลาถึงเจ็ดฤดูกาล[53] เขาถูกแทนที่โดย แอ็สเตบาน ออกง นักขับที่แยกทางกับอาลปีนก่อนการแข่งขันอาบูดาบีกรังด์ปรีซ์ของฤดูกาลที่แล้ว หลังจากเข้าแข่งขันให้ทีมถึงห้าฤดูกาล[54] แจ็ก ดูอัน ซึ่งเป็นนักขับที่เข้าแข่งแทนในการแข่งขันดังกล่าว ได้เข้าแทนที่เป็นนักแข่งหลักให้แก่อาลปีนสำหรับฤดูกาล 2025[55][56]
วัลต์เตริ โบตตัส และ โจว กวั้นยฺหวี่ ต่างแยกทางกับเซาเบอร์หลังจากทั้งสองเข้าแข่งขันให้สามฤดูกาล[57] โบตตัสกลับไปเข้าร่วมเมอร์เซเดสอีกครั้งในฐานะนักขับสำรอง ซึ่งเขาเคยเข้าแข่งขันให้แก่ทีมมาก่อนหน้าแล้วตั้งแต่ฤดูกาล 2017 ถึง 2021[58] ส่วนโจวได้เข้าร่วมแฟร์รารีในฐานะนักขับสำรองเช่นเดียวกัน[59] โดยตำแหน่งว่างเคียงคู่กับฮึลเคินแบร์คนั้นได้เข้ามาแทนที่โดย กาบรีแยล โบร์โตเลตู แชมป์ฟอร์มูลาทู ฤดูกาล 2024[60]
เซร์ฆิโอ เปเรซ ออกจากเรดบูลเรซซิงหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2024 แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญากับทีมถึงฤดูกาล 2026 ไว้ก็ตาม[61] เขาถูกแทนที่โดย เลียม ลอว์สัน นักขับที่ได้เลื่อนขั้นมาจากทีมรองคือเรซซิงบูลส์ หลังจากเข้าร่วมการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ไปได้ห้ารายการในฤดูกาล 2023 กับสกูเดเรียอัลฟาทอรี และอีกหกรายการในฤดูกาล 2024 กับทีมในชื่อเดิมคืออาร์บี[62] อีซัก อาจาร์ นักขับสำรองของเรดบูลเรซซิงและรองแชมป์ฟอร์มูลาทู ฤดูกาล 2024 ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นนักแข่งหลักให้แก่เรซซิงบูลส์แทนที่ลอว์สัน[63]
การเปลี่ยนแปลงนักขับในฤดูกาล
เลียม ลอว์สัน ถูกลดตำแหน่งกลับมาเป็นนักขับให้แก่เรซซิงบูลส์ภายหลังการแข่งขันไชนีสกรังด์ปรีซ์ โดย ยูกิ สึโนดะ จะเข้าแข่งขันครั้งแรกให้แก่เรดบูลเรซซิงในการแข่งขันถัดมาคือเจแปนนีสกรังด์ปรีซ์[64]
แจ็ก ดูอัน ถูกลดตำแหน่งไปเป็นนักขับสำรองให้แก่อาลปีนภายหลังการแข่งขันไมอามีกรังด์ปรีซ์ โดยนักขับสำรองคนเดิมคือ ฟรังโก โกลาปินโต กลายมาเป็นนักแข่งหลักแทนภายใต้สัญญาแบบ "หมุนเวียนตำแหน่ง" ซึ่งมีผลตั้งแต่การแข่งขันเอมีเลีย-โรมัญญากรังด์ปรีซ์จนถึงการแข่งขันออสเตรียนกรังด์ปรีซ์[65] ถึงอย่างนั้นอาลปีนได้ออกมายืนยันก่อนการแข่งขันออสเตรียนกรังด์ปรีซ์ว่าโกลาปินโตจะยังคงทำหน้าที่เป็นนักแข่งหลักของทีมต่อไปจากการประเมินผลงานการแข่งขันในแต่ละรายการ[66] โกลาปินโตเคยเข้าร่วมการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ก่อนหน้านี้ด้วยกันทั้งสิ้นเก้ารายการกับวิลเลียมส์ในฤดูกาล 2024
Remove ads
ปฏิทินการแข่งขัน
สรุป
มุมมอง

ปฏิทินการแข่งขันฤดูกาล 2025 มีกำหนดการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ 24 รายการเท่ากับฤดูกาลก่อนหน้า[67][68] โดยการแข่งขันไชนีส, ไมอามี, เบลเจียน, ยูไนเต็ดสเตตส์, เซาเปาโล และการ์ตาร์กรังด์ปรีซ์ถูกกำหนดให้นำเสนอรูปแบบการแข่งขันแบบสปรินต์[69][70]
การเปลี่ยนแปลงปฏิทินการแข่งขัน
การแข่งขันออสเตรเลียนกรังด์ปรีซ์ถูกกำหนดให้เป็นการแข่งขันแรกสำหรับฤดูกาล 2025 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้จัดเปิดฤดูกาลนับตั้งแต่ฤดูกาล 2019 จากเดิมที่ถูกกำหนดให้เป็นการแข่งขันรายการที่สามในการแข่งขันสามฤดูกาลก่อนหน้า ถัดจากบาห์เรนและซาอุดีอาระเบียนกรังด์ปรีซ์ โดยการแข่งขันทั้งสองรายการถูกกำหนดจัดการแข่งขันให้หลังเดือนเราะมะฎอนในฤดูกาล 2025[71][72] การแข่งขันรัสเซียนกรังด์ปรีซ์อยู่ภายใต้สัญญาให้จัดการแข่งขันในฤดูกาล 2025[73] อย่างไรก็ตามสัญญาดังกล่าวถูกยุติลงในฤดูกาล 2022 เพื่อเป็นการตอบสนองต่อการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย[74]
Remove ads
การเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับ
สรุป
มุมมอง
กฎข้อบังคับด้านเทคนิค
น้ำหนักขั้นต่ำ
น้ำหนักขั้นต่ำของนักขับได้รับการอนุมัติให้เพิ่มขึ้นจากเดิมคือ 80 กิโลกรัม (176.4 ปอนด์) เป็น 82 กิโลกรัม (180.8 ปอนด์) ด้วยเหตุนี้ทำให้พิกัดน้ำหนักขั้นต่ำโดยรวมของตัวรถแข่งโดยไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจากเดิมคือ 798 กิโลกรัม (1,759 ปอนด์) เป็น 800 กิโลกรัม (1,764 ปอนด์) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาวะของนักขับ โดยเฉพาะนักขับที่มีส่วนสูงหรือน้ำหนักมากกว่าค่าเฉลี่ย[75][76][77]
ระบบระบายความร้อนสำหรับนักขับ
ชุดอุปกรณ์ระบายความร้อนสำหรับนักขับถูกนำมาใช้ในฤดูกาล 2025 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำกับนักขับที่เผชิญกับความร้อนสูงในการแข่งขันกาตาร์กรังด์ปรีซ์ 2023[78] ระบบจะได้รับการอนุมัติจากเอฟไอเอเมื่อมีการคาดการณ์อุณหภูมิในการแข่งขันมากกว่า 30.5 องศาเซลเซียส (86.9 องศาฟาเรนไฮต์) และออกคำเตือนถึงภัยอันตรายจากอากาศร้อนจัด (heat hazard) ทุกทีมจำเป็นต้องติดตั้งชุดอุปกรณ์ระบายความร้อนของตนเองให้แก่นักขับ โดยพิกัดน้ำหนักของรถจะปรับเพิ่มขึ้น 5 กิโลกรัม (11 ปอนด์) เพื่อชดเชยน้ำหนักของชุดอุปกรณ์[79]
ระบบลดแรงต้านอากาศ (ดีอาร์เอส)
ความกว้างของช่องว่าง หรือระยะห่างระหว่างส่วนปีกระนาบหลัก (mainplane) และปีกสร้างแรงยก (flap) ของสปอยเลอร์หลังขณะใช้งานระบบลดแรงต้านอากาศหรือดีอาร์เอส (drag reduction system; DRS) ทั้งสองรูปแบบได้รับการเปลี่ยนแปลง ความกว้างขั้นต่ำถูกปรับปรุงให้ลดลงจากเดิม 10–15 มิลลิเมตร (0.39–0.59 นิ้ว) เป็น 9.4–13 มิลลิเมตร (0.37–0.51 นิ้ว) ส่วนขอบบนขณะที่ดีอาร์เอสเปิดใช้งานกำหนดให้เป็นแบบเดิมที่ 85 มิลลิเมตร (3.3 นิ้ว) เอฟไอเอยังกำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับรูปแบบของดีอาร์เอสอย่างเข้มงวดขึ้น โดยระบุว่าตำแหน่งของสปอยเลอร์หลังในระหว่างการใช้งานดีอาร์เอสควรมีแค่สองตำแหน่ง และสปอยเลอร์หลังควรกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมตามที่กำหนดไว้ในรูปแบบเริ่มต้นหลังหยุดใช้งานดีอาร์เอสแล้ว[79]
ความยืดหยุ่นของสปอยเลอร์
เอฟไอเอดำเนินการทดสอบการแอ่นตัวของสปอยเลอร์หลังอย่างเข้มงวด โดยกำหนดให้ความกว้างของช่องว่างจากเดิมอยู่ที่ 2 มิลลิเมตร (0.079 นิ้ว) ภายใต้แรง 2 กิโลนิวตัน (450 ปอนด์ฟอร์ซ) ลดลงเป็น 0.5 มิลลิเมตร (0.020 นิ้ว) ตั้งแต่การแข่งขันไชนีสกรังด์ปรีซ์เป็นต้นไป เพื่อยับยั้งไม่ให้ทีมใช้การแอ่นตัวของสปอยเลอร์เพื่อเพิ่มความได้เปรียบ หรือที่เรียกว่า "มินิดีอาร์เอส"[80] การทดสอบปอยเลอร์หน้าเพิ่มได้ดำเนินการตามคำสั่งทางเทคนิคล่วงหน้าสี่เดือนก่อนการแข่งขันสเปนิชกรังด์ปรีซ์ โดยลดค่าของการแอ่นตัวภายใต้แรง 1 กิโลนิวตัน (220 ปอนด์ฟอร์ซ) จากเดิม 10 มิลลิเมตร (0.39 นิ้ว) เป็น 5 มิลลิเมตร (0.20 นิ้ว)[81][82]
กระปุกเกียร์
ไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนกระปุกเกียร์ที่แต่ละทีมใช้อีกต่อไป เนื่องจากสมรรถนะของรถที่ออกแบบอย่างมีเสถียรภาพในฤดูกาลนี้ทำให้ข้อจำกัดดังกล่าวหมดไป[81]
กฎข้อบังคับในการแข่งขัน
คะแนนรอบเร็วที่สุด
คะแนนที่มอบให้แก่นักขับผู้จบการแข่งขันภายในสิบอันดับแรกและทำรอบได้เร็วที่สุดในการแข่งขันนั้นถูกยกเลิก โดยระบบการให้คะแนนดังกล่าวถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งนับตั้งแต่ฤดูกาล 2019[8][83][84]
รอบฝึกซ้อม
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการส่งนักขับหน้าใหม่เข้าร่วมรอบฝึกซ้อมขยายจำนวนการเข้าร่วมฝึกซ้อมเพิ่มขึ้น จากเดิมที่แต่ละทีมจำเป็นต้องส่งนักขับหน้าใหม่ประจำรถของนักแข่งหลักในรอบฝึกซ้อมคันละหนึ่งครั้งต่อฤดูกาล เปลี่ยนมาให้นักขับหน้าใหม่ประจำรถของนักแข่งหลักในรอบฝึกซ้อมคันละสองครั้งต่อฤดูกาลแทน[8][85]
การทดสอบรถรุ่นก่อนหน้า
กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการทดสอบรถรุ่นก่อนหน้าหรือทีพีซี (testing of previous cars; TPC) ถูกกำหนดให้เข้มงวดขึ้น โดยจำกัดระยะเวลาการทดสอบเป็น 20 วัน และอนุญาตให้นักขับที่แข่งขันชิงแชมป์โลกทดสอบรถในระยะทางไม่เกิน 1,000 กิโลเมตร (620 ไมล์) ภายในเวลาทดสอบสี่วัน การทดสอบจะได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการในสนามแข่งที่มีกำหนดการในปฏิทินการแข่งขันของฤดูกาลปัจจุบันหรือฤดูกาลก่อนหน้าเท่านั้น อย่างไรก็ตามการทดสอบจะไม่สามารถดำเนินการในสนามแข่งที่มีกำหนดการจัดการแข่งขันภายในเวลาหกสิบวันหลังการทดสอบ และ "หากเอฟไอเอใช้ดุลยพินิจแต่เพียงผู้เดียวพิจารณาว่าสนามแข่งได้ผ่านการปรับปรุงสำคัญ" นับตั้งแต่การแข่งขันครั้งล่าสุด[86]
รอบคัดเลือก
กฎข้อบังคับในการแข่งขันได้กำหนดหลักเกณฑ์เฉพาะสำหรับการจัดกริดเริ่มต้นในการแข่งขันรอบสปรินต์และกรังด์ปรีซ์ในกรณีที่รอบคัดเลือกของการแข่งขันดังกล่าวถูกยกเลิก โดยให้จัดตามอันดับบนตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับแทน จากเดิมที่การตัดสินนั้นจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการควบคุมการแข่งขันแต่เพียงผู้เดียว และหากยังไม่สามารถจัดกริดเริ่มต้นได้ตามอันดับบนตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับ การตัดสินจะกลับไปใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการควบคุมการแข่งขันดังเดิม[8][87]
การจัดกริดเริ่มต้นและการเดินแถว
หลักเกณฑ์การร่นระยะกริดเริ่มต้นเมื่อรถของผู้เข้าแข่งขันบางส่วนไม่สามารถมาเริ่มต้นการแข่งขันได้นั้นได้รับการแก้ไขเพิ่มเติม หลังจากเกิดการจัดกริดเริ่มต้นสำหรับรถที่ถอนตัวก่อนเริ่มต้นการแข่งขันเซาเปาโลกรังด์ปรีซ์ 2024 โดยนับตั้งแต่ฤดูกาลนี้เป็นต้นไป กริดเริ่มต้นจะถูกกำหนดเป็นที่สิ้นสุดในเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มต้นการแข่งขัน รถของผู้เข้าแข่งขันที่ถอนตัวเกิน 75 นาที ก่อนเวลาเริ่มต้นจะไม่รวมอยู่ในกริดเริ่มต้น และรถของผู้เข้าแข่งขันในอันดับรองลงมาจะเลื่อนขึ้นมายังอันดับดังกล่าวแทน[78]
นักขับที่เริ่มต้นการแข่งขันจากช่องทางของโรงรถจำเป็นต้องเข้าร่วมในรอบเดินแถว (formation lap) ซึ่งแตกต่างจากฤดูกาลที่ผ่านมาที่นักขับสามารถอยู่ในโรงรถจนกว่าจะเริ่มต้นการแข่งขัน ภายใต้กฎข้อบังคับใหม่นี้กำหนดไว้ว่าเมื่อรถทั้งหมดบนสนามแข่งได้ผ่านทางออกจากโรงรถ นักขับที่เริ่มต้นจากช่องทางของโรงรถต้องออกมายังสนามแข่งตามอันดับที่กำหนดไว้เว้นแต่ว่าจะเกิดความล่าช้าในการแข่งขัน นักขับดังกล่าวจะต้องกลับเข้าไปที่ช่องทางของโรงรถอีกครั้งในช่วงท้ายของรอบเดินแถวก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น จุดประสงค์ของการปรับแก้กฎข้อบังคับก็เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการเริ่มต้นการแข่งขัน และส่งเสริมให้กระบวนงานก่อนต้นเริ่มการแข่งขันคงที่มากยิ่งขึ้น[88]
หลักเกณฑ์สำหรับรถที่ได้รับความเสียหาย
เอฟไอเอได้กำหนดกฎข้อบังคับใหม่เพื่อป้องกันการพยายามนำรถที่ได้รับความเสียหายรุนแรงกลับเข้าโรงรถ เนื่องด้วยข้อโต้เถียงที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันคะเนเดียนกรังด์ปรีซ์ 2024 หลังจาก เซร์ฆิโอ เปเรซ นำรถของตนกลับเข้าโรงรถเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินรถดูแลความปลอดภัย และช่วยให้นักขับร่วมทีมคือแฟร์สตัปเปินชนะการแข่งขัน เดิมทีนักขับสามารถกลับเข้าโรงรถได้ด้วยตนเองแม้ว่ารถจะได้รับความเสียหายและก่อความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อนักขับคนอื่นที่อยู่บนสนามแข่ง กฎข้อบังคับที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้อนุญาตให้ผู้ควบคุมการแข่งขันกำชับให้ทีมต้องถอนรถออกจากการแข่งขันหากรถได้รับความเสียหายของโครงสร้างสำคัญหรือความเสียหายวิกฤตซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายหรืออุปสรรคกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ในกรณีดังกล่าว นักขับจำเป็นต้องนำรถเข้าข้างทางในตำแหน่งปลอดภัยที่ใกล้ที่สุดแทนที่จะนำรถไปต่อเพื่อเข้าช่องทางของโรงรถ[88]
การแข่งขันโมนาโกกรังด์ปรีซ์
กฎข้อบังคับได้กำหนดจำนวนการเข้าโรงรถภาคบังคับเพิ่มเติมสำหรับการแข่งขันโมนาโกกรังด์ปรีซ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น[81] การแข่งขันจะดำเนินการตามกลยุทธ์หยุดเปลี่ยนยางรถยนต์อย่างน้อยสองครั้ง (two-stop strategy) ในสภาพของสนามแข่งทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ทีมยังถูกกำหนดให้ใช้ยางรถยนต์อย่างน้อยสามชุดในการแข่งขัน โดยต้องใช้ยางรถยนต์ที่มีคอมพาวนด์แตกต่างกันสองประเภทหากเป็นการแข่งขันในสนามแข่งแบบแห้ง[89]
การแสดงความคิดเห็นสาธารณะของนักขับ
การแสดงความคิดเห็นของนักขับจะถูกกำหนดอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับและบทลงโทษที่เคร่งครัดขึ้น ประเด็นดังกล่าวได้รับการเปิดเผยครั้งแรกโดย มุฮัมมัด บิน ซุลัยยิม ประธานเอฟไอเอ ซึ่งกล่าวในการสัมภาษณ์ที่การแข่งขันสิงคโปร์กรังด์ปรีซ์ 2024 ว่าเขาต้องการเห็นภาษาหยาบคายลดลงในฟอร์มูลาวัน[90] และหลังจากนั้นไม่นาน มักซ์ แฟร์สตัปเปิน และ ชาร์ล เลอแกลร์ ต่างถูกสอบสวนและลงโทษหลังใช้คำหยาบคายระหว่างการแถลงข่าวของฟอร์มูลาวัน[91][92] โทษฐาน "การประพฤติมิชอบของนักขับ" ครอบคลุมถึง "ภาษา [...] อากัปกิริยา และ/หรือ สัญลักษณ์ที่มีลักษณะน่ารังเกียจ ดูหมิ่น หยาบกระด้าง หยาบคาย หรือใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม และอาจคาดหมายหรือรับรู้ได้โดยไตร่ตรองแล้วว่าหยาบกระด้าง หรือหยาบคาย หรือทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ความอับอาย หรือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม" เฉกเช่นเดียวกับการประทุษร้ายและ "การยุยงให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งดังที่ระบุไว้ข้างต้น"[90] บุคคลที่ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับครั้งแรกจะได้รับค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 40,000 ยูโร หากฝ่าฝืนครั้งที่สองจะได้รับค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 80,000 ยูโร พร้อมกับโทษสั่งห้ามเข้าร่วมการแข่งขันแต่ยังให้รอการลงโทษไว้ก่อน และหากฝ่าฝืนครั้งที่สามจะได้รับค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 120,000 ยูโร พร้อมกับโทษสั่งห้ามเข้าร่วมการแข่งขันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน และการหักคะแนน อัตราโทษดังกล่าวยังให้ใช้บังคับกับ "ความเสียหายหรือความสูญเสียทางศีลธรรม" ใด ๆ ต่อ "เอฟไอเอ หน่วยงานภายในองค์กร สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารซึ่งกระทำในนามขององค์กร" หรือค่านิยมองค์กร นอกจากนี้การแสดง "ถ้อยแถลงหรือความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา และเหตุผลส่วนตัว" ซึ่งฝ่าฝืนหลักความเป็นกลางของเอฟไอเอนั้นอยู่ภายใต้การลงโทษเดียวกัน พร้อมคำเตือนให้นักขับจำเป็นต้องแถลงการณ์ขอโทษอย่างเต็มรูปแบบและถอนถ้อยแถลงที่เป็นประเด็นดังกล่าว[90]
การเผยแพร่แนวทางมาตรฐานการแข่งขัน
เอฟไอเอเผยแพร่แนวทางมาตรฐานการแข่งขันฉบับล่าสุดสู่สาธารณะก่อนหน้าการแข่งขันออสเตรียนกรังด์ปรีซ์ ซึ่งแนวคิดในการกำหนดและเผยแพร่แนวทางมาตรฐานการแข่งขันนั้นถูกนำเสนอในฤดูกาล 2024 โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักขับมีความเข้าใจถึงวินัยและมารยาทในการแข่งขันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงชี้แจงเหตุผลในการบริหารจัดการและตัดสินการแข่งขันบนสนามของเจ้าหน้าที่เอฟไอเอต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน[93]
Remove ads
สรุปฤดูกาล
สรุป
มุมมอง
การเปิดตัวฤดูกาล
ผู้เข้าแข่งขันจากทั้งสิบทีมต่างเข้าร่วมงานเปิดตัวฤดูกาลรวมในชื่อ เอฟวัน 75 ไลฟ์ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ที่ดิโอทูอะรีนาในลอนดอน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการแข่งขันฟอร์มูลาวันครบรอบ 75 ปี ภายในงานมีการเปิดเผยลวดลายบนรถสำหรับการแข่งขันในฤดูกาลของแต่ละทีม ในขณะที่นักขับและหัวหน้าทีมต่างให้สัมภาษณ์ต่อหน้าผู้ชมในอะรีนา พร้อมกับคั่นกลางด้วยการแสดงสดและตัวอย่างภาพยนตร์ฟอร์มูลาวัน งานได้รับการถ่ายทอดสดผ่านสกายสปอตส์ในสหราชอาณาจักร และอีเอสพีเอ็นในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับทางบัญชีสื่อสังคมของฟอร์มูลาวัน[94][95][96] การถ่ายทอดสดทางยูทูบมีผู้เข้าชมมากกว่าการถ่ายทอดสดที่ผ่านมาของฟอร์มูลาวันด้วยยอดผู้เข้าชม 1.1 ล้านคน[97]
ก่อนเริ่มต้นฤดูกาล
การทดสอบก่อนเริ่มฤดูกาลจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2025 ที่บาห์เรนอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิตในเศาะคีร[98] การ์โลส ไซนซ์ ยูนิออร์ นักขับของวิลเลียมส์ เป็นผู้ทำเวลาได้ดีที่สุดในการทดสอบทั้งสามวัน[99]
การแข่งขันช่วงเริ่มต้นฤดูกาล
ฤดูกาลเริ่มต้นด้วยการแข่งขันที่ออสเตรเลีย ซึ่งกลับมาจัดเป็นรายการแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2019 หลังจากการแข่งขันที่บาห์เรนและซาอุดีอาระเบียถูกเลื่อนจากเดือนเราะมะฎอน[71] แมกลาเรนเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีสิทธิ์สูงสุดที่จะได้รับตำแหน่งแชมป์ของฤดูกาล[100][101] แลนโด นอร์ริส เปิดเผยว่าเขาได้ "บทเรียนจำนวนมาก" จากความพยายามของเขาในการชิงแชมป์ประเภทนักขับของฤดูกาลที่ผ่านมา[102] ถึงอย่างนั้น ออสการ์ พิแอสทรี นักขับร่วมทีมก็ถูกคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นหนึ่งในคู่แข่งคนสำคัญในการชิงแชมป์ของนอร์ริส[103][104] การแข่งขันดำเนินการด้วยความล่าช้าหลังจาก อีซัก อาจาร์ ชนกับกำแพงกั้นในรอบเดินแถวจากสภาพอากาศแปรปรวน[105] นอร์ริสเริ่มต้นจากตำแหน่งโพลและนำรอบส่วนใหญ่ของการแข่งขัน[106][107] เขาเสียตำแหน่งไปชั่วขณะให้แก่ มักซ์ แฟร์สตัปเปิน เมื่อเสียการควบคุมในสนามแข่งสภาพกึ่งแห้งกึ่งเปียกพร้อมกับพิแอสทรี โดยนอร์ริสเข้าโรงรถในเวลาไม่นานหลังจากนั้น[108] ในขณะที่พิแอสทรีติดอยู่บนสนามหญ้าข้างทางเป็นเวลาสั้น ๆ ส่งผลให้เขาตกลงไปที่อันดับที่สิบสาม เขาได้อันดับคืนมาอยู่ที่อันดับที่เก้าหลังจากขึ้นนำ ลูวิส แฮมิลตัน ในรอบสุดท้ายของการแข่งขัน[109][110] นอร์ริสรักษาระยะห่างจากแฟร์สตัปเปินที่ไล่ตามหลังมาในช่วงท้ายแม้ว่าจะได้รับความเสียหายใต้ท้องรถ และชนะการแข่งขันให้แก่แมกลาเรนเป็นครั้งแรกที่ออสเตรเลียนับตั้งแต่ฤดูกาล 2012[111][112] นอร์ริสกลายเป็นผู้นำตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับครั้งแรกในอาชีพของเขา และหยุดสถิติการเป็นผู้นำของแฟร์สตัปเปินซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่การแข่งขันสเปนิชกรังด์ปรีซ์ 2022[113]
แฮมิลตันได้ตำแหน่งโพลและชัยชนะครั้งแรกกับแฟร์รารีในการแข่งขันรอบสปรินต์รายการแรกของฤดูกาลที่จีน ส่วนพิแอสทรีและแฟร์สตัปเปินได้อันดับรองลงมาตามลำดับ[114] นอร์ริสมีข้อผิดพลาดระหว่างออกตัวและปัญหาการจัดการยางในสนามแข่งที่มีแรงกดอากาศสูง ส่งผลให้เขาสะสมคะแนนได้เพียงหนึ่งแต้มจากอันดับที่แปด[115] พิแอสทรีได้ตำแหน่งโพลครั้งแรกในอาชีพสำหรับการแข่งขันกรังด์ปรีซ์ โดยเขารักษาตำแหน่งนำไว้ได้เกือบทุกรอบและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง ในขณะที่นอร์ริสขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สองแม้ว่ารถทั้งสองคันจะมีปัญหากับระบบเบรกในช่วงท้ายของการแข่งขัน[116][117] ผลงานที่ประสบความสำเร็จนี้ทำให้แมกลาเรนสะสมอันดับที่หนึ่งและสองบนโพเดียมเป็นครั้งที่ 50 นับตั้งแต่เข้าแข่งขันฟอร์มูลาวัน[118] จอร์จ รัสเซลล์ เข้าเส้นชัยตามหลังมาในอันดับที่สามและได้อับดับบนโพเดียมติดต่อกันให้แก่เมอร์เซเดส[119] แฟร์สตัปเปินจบการแข่งขันไปด้วยความยากลำบากแม้ว่าเขาจะได้อันดับที่สี่ก็ตาม โดยเขาอ้างถึงสมรรถนะของรถเรดบูลที่ลดลงจนตามหลังแฟร์รารีและเมอร์เซเดส[120] เช่นเดียวกับ เลียม ลอว์สัน นักขับร่วมทีมซึ่งอยู่ในอันดับที่ไม่ได้รับคะแนนเลยจากทั้งสองรอบ[121] รถของเลอแกลร์และ ปีแยร์ กัสลี จากอาลปีนได้รับการตรวจสอบหลังสิ้นสุดการแข่งขันว่ามีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เช่นเดียวกับแฮมิลตันที่แผ่นไม้ใต้ท้องรถ (skid block) สึกหรอจนมีความหนาต่ำกว่าเกณฑ์ นักขับทั้งสามคนจึงถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน[122][123] แอ็สเตบาน ออกง เลื่อนขึ้นมาในอยู่อันดับที่ห้า ซึ่งส่งเสริมความสำเร็จของฮาสในการแข่งขันนี้พร้อมกับ โอลิเวอร์ แบร์แมน ในอันดับที่แปด[124]

เรดบูลเปิดเจรจาแทนที่ลอว์สันด้วย ยูกิ สึโนดะ จากทีมรองในเครือคือเรซซิงบูลส์ หลังจากผลงานของเขาในการแข่งขันสองรายการแรกไม่บรรลุผลสำเร็จ[125] โดยได้ข้อตกลงให้สึโนดะเข้าสวมตำแหน่งแทนที่เรดบูลเรซซิงและย้ายลอว์สันกลับไปยังเรซซิงบูลส์ตั้งแต่การแข่งขันที่ญี่ปุ่นเป็นต้นไป[126] เฮ็ลมูท มาร์โค ที่ปรึกษาประจำเรดบูลเรซซิง ออกมายอมรับว่าทีมได้ "ทําผิดพลาด" ในการตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้แก่ลอว์สันตั้งแต่ต้น[127] รอบฝึกซ้อมก่อนการแข่งขันมีรายงานไฟไหม้หญ้าข้างทางส่งผลให้เกิดธงแดงหลายครั้ง เอฟไอเอจึงออกมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้กระทบต่อการแข่งขันกรังด์ปรีซ์[128][129] แฟร์สตัปเปินได้ตำแหน่งโพลนำหน้านอร์ริสและพิแอสทรีอย่างผิดคาด ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางจากสื่อในวงการแข่งความเร็ว[130][131][132] เขาป้องกันตำแหน่งนำจากนักขับทั้งสองคนของแมกลาเรนไว้ได้ แม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยกับนอร์ริสที่ทางออกจากโรงรถ[133][134] และชนะการแข่งขันที่ญี่ปุ่นเป็นสมัยที่สี่ติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2022[135] แอนดรูว์ เบนสัน จากบีบีซีสปอร์ต อธิบายถึงชัยชนะของแฟร์สตัปเปินว่าเป็น "สุดสัปดาห์แห่งความสมบูรณ์แบบที่หาได้ยาก ซึ่งจะหาได้จากนักขับคุณภาพสูงสุดเท่านั้น"[136] อันเดรอา คีมี อันโตเนลลี จากเมอร์เซเดสสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนำในช่วงกลางของการแข่งขันชั่วขณะหนึ่ง และเป็นนักขับที่ทำรอบได้เร็วที่สุดในการแข่งขัน ส่งผลให้เขากลายเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวันที่ทำสถิติดังกล่าวได้[137][138] จากชัยชนะในครั้งนี้ทำให้แฟร์สตัปเปินสะสมคะแนนเพิ่มขึ้นมา โดยตามหลังนอร์ริสบนตารางคะแนนชิงแชมป์เพียงแค่หนึ่งคะแนน[134]
พิแอสทรีได้ตำแหน่งโพลอีกครั้งในการแข่งขันที่บาห์เรน[139] ในขณะที่นอร์ริสซึ่งได้อันดับที่หกนั้นกล่าวว่าเขารู้สึกเหมือนกับเขา "ไม่รู้อะไรเลย" เกี่ยวกับรถของตัวเอง[140] พิแอสทรียังคงรักษาตำแหน่งนำในการแข่งขันและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง[141] รัสเซลล์และเมอร์เซเดสประสบกับปัญหาในระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์รับส่งสัญญาณของรถระหว่างการแข่งขัน ส่งผลให้อุปกรณ์หลายอย่างทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะดีอาร์เอสที่เปิดใช้งานนอกเหนือบริเวณที่ได้รับอนุญาต ถึงอย่างนั้นคณะกรรมการควบคุมการแข่งขันได้พิจารณาว่าไม่ใช่การกระทำที่เพิ่มความได้เปรียบจึงไม่บังคับใช้บทลงโทษ[142][143] อย่างไรก็ตามรัสเซลล์สามารถรักษาระยะห่างออกจากนอร์ริสซึ่งไล่มาติด ๆ จนถึงเส้นชัยเป็นอันดับที่สอง และได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางกับผลงานการปรับตัวของเขาในครั้งนี้[144][145] ส่วนนอร์ริสได้อันดับที่สามแม้จะได้รับโทษปรับเวลาฐานนำรถจอดเกินช่องกริดเริ่มต้นขณะออกตัว[146] แฟร์รารีได้ตำแหน่งที่เหลือในห้าอันดับแรก โดยแฮมิลตันไต่อันดับขึ้นมาจากอันดับที่เก้าสู่อันดับที่ห้า[147][148] เรดบูลเรซซิงเกิดความล่าช้าในช่วงเปลี่ยนยางตลอดการแข่งขัน ส่งผลให้แฟร์สตัปเปินและสึโนดะอยู่ในอันดับที่หกและเก้าตามลำดับ[149][150] แบร์แมนและฮาสไต่อันดับขึ้นมามากที่สุดในการแข่งขันจากอันดับสุดท้ายมายังอันดับที่สิบ[151] รถเซาเบอร์ของ นีโค ฮึลเคินแบร์ค ได้รับการตรวจสอบหลังสิ้นสุดการแข่งขันว่าแผ่นไม้ใต้ท้องรถมีความหนาต่ำกว่าเกณฑ์ จึงทำให้เขาถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน[152] พิแอสทรีขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สองบนตารางคะแนนชิงแชมป์แทนที่แฟร์สตัปเปิน โดยตามหลังนอร์ริสเพียงแค่สามคะแนน[140]
นอร์ริสยังคงประสบกับการแข่งขันที่ยากลำบาก หลังจากรถของเขาชนเข้ากับกำแพงกั้นในรอบคัดเลือกช่วงที่สามของการแข่งขันที่ซาอุดีอาระเบีย และรั้งท้ายสิบอันดับแรกในกริดเริ่มต้น[153] ในขณะที่แฟร์สตัปเปินกลับมาได้ตำแหน่งโพลอีกครั้งอย่างหวุดหวิดจากพิแอสทรีและรัสเซลล์ โดยเขาเชื่อว่ารถของเขา "กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง" ในรอบคัดเลือก[154][155] การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการช่วงชิงตำแหน่งนำระหว่างแฟร์สตัปเปินและพิแอสทรี ขณะพิแอสทรีกำลังจะขึ้นนำในโค้งแรก แฟร์สตัปเปินได้นำรถออกนอกขีดจำกัดเส้นทางเพื่อชิงความได้เปรียบ ทำให้เขาได้รับโทษปรับเวลาห้าวินาทีในภายหลัง[156][157] ระหว่างนั้นเกิดการปะทะของสึโนดะกับกัสลีจนกระทั่งรถของอีกฝ่ายพุ่งชนกับกำแพงกั้นและถอนตัวจากการแข่งขันในทันที ส่วนสึโนดะถอนตัวหลังจากได้รับการประเมินความเสียหายที่โรงรถ[158] พิแอสทรีขึ้นมาได้ตำแหน่งนำในช่วงท้ายของการแข่งขันและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง ตามมาด้วยแฟร์สตัปเปินและเลอแกลร์กับโพเดียมแรกในฤดูกาลของแฟร์รารี[159][160] นอร์ริสกลับคืนจากรอบคัดเลือกและขึ้นนำมาอยู่ในอันดับที่สี่[161] การ์โลส ไซนซ์ ยูนิออร์ และ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน ต่างสะสมคะแนนจากอันดับที่แปดและเก้าตามลำดับ ผลักดันให้วิลเลียมส์ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ห้าบนตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทผู้ผลิต[162] พิแอสทรีสะสมคะแนนจากชัยชนะในครั้งนี้นำหน้านอร์ริสบนตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับ ทำให้เขากลายเป็นผู้นำตารางครั้งแรกในอาชีพ และนักขับชาวออสเตรเลียคนแรกที่ทำได้นับตั้งแต่สถิติของ มาร์ก เว็บเบอร์ ในการแข่งขันเจแปนนีสกรังด์ปรีซ์ 2010[163]
อันโตเนลลีเริ่มต้นในตำแหน่งแรกของการแข่งขันรอบสปรินต์ที่ไมอามี สร้างสถิติเป็นนักขับอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวันที่ได้ตำแหน่งโพลจากการแข่งขันทุกรูปแบบ[164] การแข่งขันดำเนินการด้วยความล่าช้าเนื่องจากฝนตกหนัก และอุบัติเหตุของเลอแกลร์ที่ไถลบนพื้นเปียกชนกับกำแพงกั้นระหว่างรอบเดินแถว เขาจึงไม่ได้เริ่มต้นการแข่งขัน[165] นอร์ริสได้ผลประโยชน์จากการเดินรถดูแลความปลอดภัยในช่วงสุดท้ายเพื่อขึ้นนำพิแอสทรีมาอยู่ในอันดับที่หนึ่งจนจบการแข่งขัน[166] ในขณะที่อันโตเนลลีตกลงมาอยู่ในอันดับที่เจ็ด พร้อมกับอุบัติเหตุที่ช่องทางโรงรถกับแฟร์สตัปเปิน โดยแฟร์สตัปเปินได้รับโทษปรับเวลาฐานปล่อยตัวออกมาอย่างไม่ปลอดภัยและตกลงมาอยู่ในอันดับที่สิบเจ็ด นับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้คะแนนใดเลยจากการแข่งขันทุกรูปแบบนับตั้งแต่การแข่งขันเบลเจียนกรังด์ปรีซ์ 2016[167][168] อย่างไรก็ตามแฟร์สตัปเปินก็ได้ตำแหน่งโพลสำหรับการแข่งขันกรังด์ปรีซ์[169] เขารักษาตำแหน่งนำไว้ได้เพียงแค่ในช่วงต้นของการแข่งขัน ก่อนจะถูกพิแอสทรีและนอร์ริสขึ้นนำและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ[170] รัสเซลล์ได้โอกาสเปลี่ยนยางระหว่างการเดินรถดูแลความปลอดภัยเสมือนจริงและขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สามแทนที่แฟร์สตัปเปิน[171][172] การแข่งขันในครั้งนี้กลายเป็นการแข่งขันรายการสุดท้ายของ แจ็ก ดูอัน กับอาลปีน ก่อนที่เขาจะถูกสลับตำแหน่งกับ ฟรังโก โกลาปินโต[65][66]
การแข่งขันที่ยุโรปและแคนาดา

การแข่งขันที่อีโมลาจะถูกจัดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายตามสัญญาที่สิ้นสุดลงเมื่อพ้นฤดูกาลนี้[173] รอบคัดเลือกช่วงที่หนึ่งของการแข่งขันเกิดอุบัติเหตุรถเรดบูลเรซซิงของสึโนดะพลิกคว่ำและชนกับกำแพงกั้นอย่างรุนแรง เขาไม่ได้รับอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่ไม่ก็สามารถดำเนินการคัดเลือกต่อได้และเริ่มต้นการแข่งขันที่ช่องทางของโรงรถ[174][175] พิแอสทรีได้ตำแหน่งโพลมาครองนำหน้าแฟร์สตัปเปินและรัสเซลล์[176] ส่วนรถของแฟร์รารีทั้งสองคันถูกคัดออกจากรอบคัดเลือกช่วงที่สองซึ่งถือเป็นครั้งแรกของฤดูกาล เช่นเดียวกับอันโตเนลลีและเมอร์เซเดส[177][178] การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการชิงตำแหน่งนำระหว่างนักขับสามอันดับแรก จนกระทั่งมาถึงบริเวณโค้งวารีอันเต ตัมบูเรลโลในขณะที่พิแอสทรีพยายามกันไม่ให้รัสเซลล์เข้าชิงพื้นที่ภายใน แฟร์สตัปเปินได้ใช้โอกาสนี้ขึ้นนำจากด้านนอกและรักษาตำแหน่งนำไว้ได้ตลอดการแข่งขัน[179][180] แฟร์สตัปเปินได้รับเสียงชื่นชมจากผลงานดังกล่าวและถูกยกให้เป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมที่สุดของเขา[181][182][183] นอร์ริสขึ้นนำพิแอสทรีเป็นอันดับที่สองจากอันดับที่สี่ในช่วงท้ายของการแข่งขันด้วยยางที่ใหม่กว่า[184][185] แฟร์รารีทั้งสองคันต่างได้อันดับเพิ่มขึ้นมาจากรอบคัดเลือก โดยแฮมิลตันได้อันดับที่สี่และเลอแกลร์ในอันดับที่หก หลังจากคืนอันดับที่ห้าให้แก่อัลบอนเพื่อลดความเสี่ยงรับโทษปรับเวลา[186][187] เมอร์เซเดสถอนตัวระหว่างการแข่งขันครั้งแรกในฤดูกาลจากปัญหายางเสื่อมสภาพจากอุณหภูมิสูงและลิ้นปีกผีเสื้อ[178][188] สึโนดะสามารถไต่อันดับขึ้นมาได้มากที่สุดในการแข่งขันด้วยอันดับที่สิบ ถึงอย่างนั้นเขาก็กล่าวว่าจะไม่พยายามเป็น "ฮีโร" ในครั้งต่อไป[189]
การแข่งขันที่โมนาโกดำเนินการภายใต้กฎข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับจำนวนขั้นต่ำในการเข้าโรงรถที่เพิ่มขึ้นเป็นสองครั้ง โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น[89] นอร์ริสได้ตำแหน่งโพลนำหน้าเลอแกลร์และพิแอสทรีด้วยเวลาดีที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมาในการแข่งขันที่โมนาโก[190][191] นอร์ริสถูกกดดันจากเลอแกลร์ขณะออกตัวและเข้าโค้งแรก แต่เขาก็ยังคงป้องกันตำแหน่งนำไว้ได้[192] แฟร์สตัปเปินขึ้นมานำแทนระหว่างที่นอร์ริสเข้าโรงรถ โดยเขาพยายามประวิงเวลาการเข้าโรงรถของตนเองให้ได้มากที่สุดเพื่อรอธงแดงที่อาจเกิดขึ้น[193] ถึงอย่างนั้นนอร์ริสก็ได้ตำแหน่งกลับคืนมาเมื่อแฟร์สตัปเปินเข้าโรงรถก่อนรอบสุดท้าย และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่งพร้อมกับนำชัยชนะครั้งแรกที่โมนาโกมาให้แก่แมกลาเรนนับตั้งแต่ฤดูกาล 2008[194][195] รถแต่ละคันต่าง "ผ่านขึ้นหน้า" ได้ยากลำบากเนื่องจากสนามแข่งมีลักษณะที่แคบและคดเคี้ยว หนึ่งในสองครั้งที่เกิดขึ้นเป็นของรัสเซลล์ที่จงใจขับออกนอกเส้นทางเพื่อหนีจาก "การขับที่เอาแน่เอานอนไม่ได้" ของอัลบอนและวิลเลียมส์ ซึ่งใช้กลยุทธ์ชะลอความเร็วรถเพื่อสร้างช่องว่างให้นักขับร่วมทีมคือไซนซ์เข้าโรงรถโดยไม่เสียอันดับ แต่รัสเซลล์ได้รับโทษให้หยุดในโรงรถสิบวินาทีจากการกระทำดังกล่าว[196][197][c] นักขับหลายคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการแข่งขันหลังสิ้นสุดลง นอร์ริสคิดว่ากฎข้อบังคับเข้าโรงรถสองครั้งเป็นการเสี่ยงโชคมากกว่าการแข่งขันกันเอง[198] ไซนซ์ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับไปมากกว่านี้ เพราะกลยุทธ์ขัดขวางนักขับคนอื่นจะเพิ่มขึ้นในการแข่งขันครั้งต่อไป[199] ส่วนแฟร์สตัปเปินและรัสเซลล์ต่างออกความเห็นเชิงขบขัน[197][200] ในขณะที่หัวหน้าทีมต่างมีความเห็นส่วนใหญ่ตรงกันว่ากฎข้อบังคับใหม่นั้นไม่สัมฤทธิ์ผล และต้องการให้สนามแข่งได้รับการปรับปรุงมากกว่า[198][201]
นักขับจากแมกลาเรนทั้งสองคนต่างเข้าเส้นชัยในสองอันดับแรกในการแข่งขันที่สเปน โดยพิแอสทรีกลับมาได้ตำแหน่งโพลอีกครั้งและชนะการแข่งขัน ตามมาด้วยนอร์ริสและเลอแกลร์[202] แลนซ์ สโตรลล์ จากแอสตันมาร์ตินถอนตัวก่อนเริ่มต้นการแข่งขันแม้ว่าเขาจะผ่านรอบคัดเลือกในอันดับที่สิบสี่ อันเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่มือและข้อมือ[16] อันโตเนลลีถอนตัวระหว่างการแข่งขันหลังจากเครื่องยนต์สูญเสียแรงดันน้ำมัน[203] การแข่งขันดำเนินต่อหลังสิ้นสุดช่วงเดินรถดูแลความปลอดภัย แฟร์สตัปเปินนั้นร่วงลงมาจากอันดับที่สามเพราะข้อผิดพลาดในกลยุทธ์เปลี่ยนยางและได้รับคำสั่งให้คืนตำแหน่งแก่รัสเซลล์หลังจากออกนอกเส้นทางเพื่อขึ้นนำ แต่รถของเขากลับกระแทกกับรถของรัสเซลล์แทน สุดท้ายเขาจึงได้รับโทษปรับเวลาสิบวินาทีและคะแนนลงโทษสามแต้มซึ่งทำให้อันดับของเขาตกลงไปอยู่ที่สิบ[204][d] ฮึลเคินแบร์คเป็นหนึ่งในนักขับที่ได้รับผลประโยชน์ โดยอันดับของเขาเลื่อนขึ้นมาที่ห้า และกลายเป็นผลการแข่งขันที่ดีที่สุดของเซาเบอร์นับตั้งแต่การแข่งขันเอมีเลีย-โรมัญญากรังด์ปรีซ์ 2022[209] ในขณะที่ เฟร์นันโด อาลอนโซ สะสมคะแนนแรกของฤดูกาลด้วยอันดับที่เก้า[210]
แฟร์สตัปเปินเสี่ยงได้รับโทษแบนในการแข่งขันสองรายการถัดมา หลังจากเขาเหลือหนึ่งคะแนนก่อนถึงเกณฑ์ลงโทษอันเป็นผลมาจากอุบัติเหตุกับรัสเซลล์ที่สเปน[211] ในขณะที่รัสเซลล์นำตำแหน่งโพลมาให้แก่เมอร์เซเดสในการแข่งขันที่แคนาดา ซึ่งเขาเป็นนักขับคนแรกของฤดูกาลนอกเหนือจากแมกลาเรนหรือเรดบูลเรซซิงที่ทำได้ แฟร์สตัปเปินและพิแอสทรีได้อันดับรองลงมา ส่วนนอร์ริสผ่านรอบคัดเลือกในอันดับที่เจ็ดหลังจากมีข้อผิดพลาดในรอบทำเวลาของตนเอง[212] การแข่งขันเริ่มต้นด้วยนักขับสามอันดับแรกยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ยกเว้นพิแอสทรีที่ถูกขึ้นนำโดยอันโตเนลลีในโค้งที่สาม[213] นอร์ริสชนท้ายกับพิแอสทรีขณะพยายามขึ้นนำบนเส้นทางตรงในช่วงท้ายของการแข่งขัน ส่งผลให้รถของนอร์ริสกระเด็นออกไปชนกับกำแพงกั้นจนอุปกรณ์ระบบรองรับได้รับความเสียหาย นอร์ริสยอมรับว่าเขา "ตัดสินใจผิดพลาด" และถอนตัวจากการแข่งขันในเวลาต่อมา[214] การแข่งขันสิ้นสุดลงภายใต้การเดินรถดูแลความปลอดภัย ทำให้เมอร์เซเดสมีอันดับบนโพเดียมด้วยกันสองตำแหน่งจากรัสเซลล์ที่ชนะการแข่งขันนำหน้าแฟร์สตัปเปิน และอันโตเนลลีที่ขึ้นโพเดียมครั้งแรกในอาชีพด้วยอันดับที่สาม พร้อมกับเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดอันดับที่สามในประวัติศาสตร์ฟอร์มูลาวันบนโพเดียม[215][216]
นอร์ริสกลับมาได้ตำแหน่งโพลอีกครั้งในการแข่งขันที่ออสเตรีย โดยทำเวลาเร็วกว่าเลอแกลร์ในอันดับที่สองถึงครึ่งวินาที[217] การแข่งขันเริ่มต้นด้วยการเดินแถวที่ไม่สมบูรณ์จากปัญญาที่รถของไซนซ์[218] อันโตเนลลีล็อกล้อหน้าระหว่างเบรกเข้าโค้งที่สามแต่กลับพุ่งตรงเข้าชนแฟร์สตัปเปินแทน ส่งผลให้ทั้งสองคนต้องถอนตัวจากการแข่งขันตั้งแต่รอบแรก โดยอันโตเนลลีได้รับคะแนนลงโทษและปรับตำแหน่งกริดเริ่มต้นสามอันดับในการแข่งขันถัดไป[219][220] ส่วนนักขับร่วมทีมของไซนซ์และแฟร์สตัปเปินอย่างอัลบอนและสึโนดะเองก็ไม่ได้มีผลงานที่ดีไปกว่าพวกเขา หลังจากทั้งคู่ต่างถอนตัวและได้อันดับสุดท้ายในการแข่งขันด้วยโทษปรับเวลาตามลำดับ[221][222] พิแอสทรีซึ่งขึ้นนำเลอแกลร์มาอยู่ในอันดับที่สองนั้นพยายามแย่งชิงตำแหน่งนอร์ริสต่อด้วยการใช้ประโยชน์จากลมดูด (slipstream) และบริเวณเปิดใช้งานดีอาร์เอส แต่เขาก็ไม่สามารถขึ้นนำได้ นอร์ริสจึงได้ชัยชนะครั้งที่สามในฤดูกาลไปครอง ตามมาด้วยนักขับของแฟร์รารีคือเลอแกลร์และแฮมิลตันในอันดับที่สามและสี่ตามลำดับ[223] นักขับจากเซาเบอร์ต่างจบการแข่งขันภายในสิบอันดับแรก โดย กาบรีแยล โบร์โตเลตู สะสมคะแนนชิงแชมป์ครั้งแรกในอันดับที่แปด และฮึลเคินแบร์คในอันดับที่เก้า ถือเป็นการสะสมคะแนนจากนักขับทั้งสองคนครั้งแรกของเซาเบอร์นับตั้งแต่การแข่งขันกาตาร์กรังด์ปรีซ์ 2023[224][225]

แฟร์สตัปเปินได้ตำแหน่งโพลไปครองในการแข่งขันที่บริเตนใหญ่ หลังจากนักขับจากแมกลาเรนและแฟร์รารีที่แย่งชิงตำแหน่งกันนั้นต่างมีข้อผิดพลาดระหว่างรอบทำเวลาของพวกเขาเอง[226] การแข่งขันดำเนินการบนสนามแข่งที่เปียกซึ่งเอื้ออำนวยในการใช้ยางสำหรับสนามกึ่งแห้งกึ่งเปียก (intermediate) แต่นักขับบางส่วนได้เปลี่ยนไปใช้ยางสลิกและออกตัวที่โรงรถแทน ยกเว้นโกลาปินโตที่ไม่สามารถออกตัวได้จากปัญหาที่กระปุกเกียร์[227][228] นักขับหน้าใหม่นอกจากแบร์แมนต่างถอนตัวจากอุบัติเหตุในช่วงแรกของการแข่งขัน จนกระทั่งรถดูแลความปลอดภัยออกมาขับนำหน้าขบวนเนื่องจากเกิดฝนตกหนัก พิแอสทรีซึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำในรอบที่แปดนั้นเบรกกะทันหันระหว่างเริ่มต้นการแข่งขันใหม่ ทำให้เขาได้รับโทษปรับเวลาสิบวินาที[229] นักขับเปลี่ยนมาใช้ยางสลิกหลังสนามแข่งกลับสู่สภาวะปกติในช่วงท้ายของการแข่งขัน โดยขณะที่พิแอสทรีกำลังรับโทษอยู่ที่โรงรถ นอร์ริสได้ขึ้นมาเป็นผู้นำและชนะการแข่งขันสนามบ้านเกิดของเขาเป็นครั้งแรก ส่วนพิแอสทรีเข้าเส้นชัยตามมาในอันดับที่สอง[230] ฮึลเคินแบร์คสามารถพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สามจากอันดับเริ่มต้นที่สิบเก้า หลังจากได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนยางล่วงหน้าภายในสิบรอบแรก และได้ขึ้นโพเดียมครั้งแรกในอาชีพจากการออกตัวในการแข่งขันด้วยกันทั้งสิ้น 239 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสถิตินักแข่งรถฟอร์มูลาวันที่ใช้เวลานานที่สุดในการขึ้นโพเดียม นอกจากนี้เขายังเป็นนักขับคนแรกของเซาเบอร์ที่มีอันดับบนโพเดียม นับตั้งแต่เมื่อ คามูอิ โคบายาชิ ได้อันดับที่สามในการแข่งขันเจแปนนีสกรังด์ปรีซ์ 2012[231][232]
ภายหลังการแข่งขันที่บริเตนใหญ่เพียงสามวัน คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีมเรดบูลเรซซิงถูกปลดออกจากตำแหน่งและแทนที่โดย โลร็อง เมอเกียส ซึ่งส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าทีมเรซซิงบูลส์ให้แก่ แอลัน เพอร์เมน ทำให้การแข่งขันที่เบลเยียมเป็นการแข่งขันแรกของเรดบูลเรซซิงโดยไม่มีฮอร์เนอร์เป็นหัวหน้าทีมนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมขึ้นมา[233] พิแอสทรีได้ตำแหน่งโพลสำหรับการแข่งขันรอบสปรินต์ แต่เสียตำแหน่งนำตั้งแต่รอบแรกให้แก่แฟร์สตัปเปินซึ่งชนะการแข่งขัน[234] ในขณะที่นอร์ริสได้ตำแหน่งโพลสำหรับการแข่งขันกรังด์ปรีซ์นำหน้าพิแอสทรีและเลอแกลร์[235] แฮมิลตันถูกคัดออกจากการคัดเลือกรอบแรกหลังจากรอบทำเวลาของเขาถูกลบเพราะออกนอกขีดจำกัดเส้นทาง แต่ถึงอย่างนั้นเขาจำเป็นต้องเริ่มต้นการแข่งขันจากช่องทางของโรงรถเพื่อจัดเตรียมรถสำหรับสภาพอากาศชื้น เช่นเดียวกับไซนซ์ อันโตเนลลี และอาลอนโซ[236][237] การแข่งขันกรังด์ปรีซ์ดำเนินการด้วยความล่าช้าเกือบ 80 นาทีเนื่องจากฝนตกหนัก และกำหนดให้รถออกตัวด้วยยางสำหรับสนามกึ่งแห้งกึ่งเปียกขณะวิ่งตามหลังรถดูแลความปลอดภัยครบสี่รอบถ้วน พิแอสทรีใช้ประโยชน์จากลมดูดของรถนอร์ริสเพื่อขึ้นนำหลังจากออกตัวได้ไม่นานนัก และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่งและสองให้แก่แมกลาเรน[238] เลอแกลร์รักษาอันดับที่สามไว้ได้ให้แก่แฟร์รารี ในขณะที่แฮมิลตันไต่อันดับขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่สิบสามในช่วงแรกของการแข่งขันและขึ้นนำรถคันอื่นมาอยู่ในอันดับที่เจ็ดด้วยกลยุทธ์เปลี่ยนไปใช้ยางสำหรับสนามแห้งเป็นคนแรกของสนาม อย่างไรก็ตามแฮมิลตันได้แสดงความคิดเห็นว่าการแข่งขันในครั้งนี้เป็น "สัปดาห์ที่ไม่น่าจดจำ" สำหรับเขา[239]
เลอแกลร์ได้ตำแหน่งโพลครั้งแรกของฤดูกาลอย่างไม่คาดคิดในการแข่งขันที่ฮังการี โดยนำหน้านักขับของแมกลาเรนทั้งสองคนคือพิแอสทรีและนอร์ริส[240] การแข่งขันดำเนินไปด้วยกลยุทธ์เปลี่ยนยางที่แตกต่างกันระหว่างนักขับแต่ละคน เลอแกลร์และพิแอสทรีซึ่งอยู่ในสองอันดับแรกตั้งแต่ออกตัวเลือกที่จะใช้กลยุทธ์เปลี่ยนยางสองครั้ง ส่งผลให้พวกเขาเสียตำแหน่งนำให้กับนอร์ริสที่ลองเสี่ยงกับกลยุทธ์เปลี่ยนยางเพียงครั้งเดียว นอร์ริสถูกไล่ตามอย่างกระชั้นชิดโดยพิแอสทรีในช่วงท้ายของการแข่งขันแต่เขาก็สามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้จนกระทั่งเข้าเส้นชัย โดยชัยชนะในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 200 ของแมกลาเรนนับตั้งแต่เข้าแข่งขันฟอร์มูลาวัน และสะสมคะแนนเพิ่มขึ้นมาตามหลังพิแอสทรีเพียงแค่เก้าแต้มบนตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับก่อนช่วงพักร้อนของฤดูกาล[241][242] เลอแกลร์เผชิญกับปัญหาการจัดเตรียมรถและเสียอันดับที่สามให้แก่รัสเซลล์ พร้อมทั้งได้รับโทษปรับเวลาห้าวินาทีฐานขับรถฉวัดเฉวียนขณะป้องกันไม่ให้รัสเซลล์ขึ้นนำ[243] นักขับของแอสตันมาร์ตินทั้งอาลอนโซและสโตรลล์ต่างมีผลงานที่ดีในรอบคัดเลือกและจบการแข่งขันในอันดับที่ห้าและเจ็ดตามลำดับ เช่นเดียวกับโบร์โตเลตูจากเซาเบอร์ที่อยู่ในอันดับที่หก[244][245]
Remove ads
ผลการแข่งขันและตารางคะแนน
สรุป
มุมมอง
ผลการแข่งขันกรังด์ปรีซ์
ระบบการให้คะแนน
คะแนนจะมอบให้กับนักขับที่ได้รับการจัดอันดับในสิบอันดับแรกของการแข่งขัน และนักขับในแปดอันดับแรกของรอบสปรินต์[248][g] ในกรณีที่คะแนนของนักขับเสมอกัน ระบบนับคะแนนถอยหลังจะถูกใช้โดยนักขับที่มีผลการแข่งขันดีที่สุดจะได้รับการจัดอันดับสูงกว่า หากผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเหมือนกันจะตัดสินโดยผลลัพธ์ถัดไปที่ดีที่สุดและไล่ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผู้ชนะ[250] คะแนนจะมอบให้โดยใช้ระบบดังต่อไปนี้:
ตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทนักขับ
- หมายเหตุ
- † นักขับที่ไม่จบการแข่งขันแต่ถูกจัดอันดับ เนื่องจากแข่งขันมากกว่าร้อยละ 90 ของระยะทางการแข่งขัน
ตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทผู้ผลิต
- หมายเหตุ
- † นักขับที่ไม่จบการแข่งขันแต่ถูกจัดอันดับ เนื่องจากแข่งขันมากกว่าร้อยละ 90 ของระยะทางการแข่งขัน
- แถวในตารางไม่ได้หมายถึงคะแนนของนักขับคนใดคนหนึ่ง ตารางคะแนนชิงแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตนั้นจะอ้างอิงอันดับการแข่งขันในแต่ละกรังด์ปรีซ์ โดยจัดเรียงตามการจัดอันดับอันเป็นที่สิ้นสุดหลังจบการแข่งขันเท่านั้น (ไม่ได้จัดตามคะแนนสะสมทั้งหมดที่ทำได้ในการแข่งขันนั้น ซึ่งรวมถึงคะแนนจากรอบสปรินต์ด้วย)
Remove ads
หมายเหตุ
- แลนซ์ สโตรลล์ เข้าร่วมการแข่งขันสเปนิชกรังด์ปรีซ์ แต่ถอนตัวในภายหลังเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่มือและข้อมือ[16]
- โทษปรับเวลาสิบวินาทีเป็นบทลงโทษตามกฎข้อบังคับสำหรับ "การออกนอกเส้นทางและสร้างความได้เปรียบ" รัสเซลล์ได้รับโทษหนักกว่าเป็นการให้หยุดในโรงรถ (drive-through penalty) เนื่องจากเขาได้รับการพิจารณาว่าจงใจขับออกนอกเส้นทาง[196]
- การแข่งขันไชนีส, ไมอามี, เบลเจียน, ยูไนเต็ดสเตตส์, เซาเปาโล และการ์ตาร์กรังด์ปรีซ์นำเสนอรูปแบบการแข่งขันแบบสปรินต์[69]
- เดิมที ลูวิส แฮมิลตัน เป็นผู้ทำรอบได้เร็วที่สุด แต่เขาถูกตัดสิทธิ์ในภายหลังเนื่องจากแผ่นไม้กันกระแทกใต้ท้องรถมีความหนาต่ำกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำ[123] แลนโด นอร์ริส ซึ่งทำรอบได้เร็วเป็นอันดับรองลงมาจึงกลายเป็นผู้ทำรอบได้เร็วที่สุดในการแข่งขันแทน[246]
- ในกรณีที่การแข่งขันสิ้นสุดลงก่อนกำหนด จำนวนคะแนนที่มอบให้กับแต่ละอันดับอาจลดลง ขึ้นอยู่กับว่าการแข่งขันนั้นดำเนินการไปมากน้อยเพียงใด[249]
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads