คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ยูซุ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ยูซุ (ญี่ปุ่น: ユズ; โรมาจิ: yuzu) เป็นผลของพืชชนิด Citrus x junos ซึ่งอยู่ในวงศ์ส้ม (Rutaceae) เอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นแหล่งปลูกยูซุที่สำคัญ แต่ในปัจจุบันมีการปลูกยูซุในประเทศออสเตรเลีย สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส[1]
เชื่อว่ายูซุมีต้นกำเนิดทางตอนกลางของจีน และเป็นพันธุ์ผสมข้ามของส้มแมนดารินกับมะส้าน (Citrus cavaleriei)[2] ภาษาเกาหลีเรียกยูซุว่า ยูจา (유자) โดยทั้งคำว่า ยูซุ และ ยูจา มาจากคำว่า โย่วจึ (柚子) ในภาษาจีนที่ปัจจุบันหมายถึงส้มโอ
Remove ads
ลักษณะ
ยูซุมีลักษณะคล้ายผลเกรปฟรูตขนาดเล็ก ผิวขรุขระ มีสีเหลืองถึงเขียวตามระดับความสุก มีกลิ่นหอม ผลยูซุมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5.5–7.5 เซนติเมตร และอาจมีขนาดเท่าผลเกรปฟรูตทั่วไป (10 เซนติเมตรหรือมากกว่า)
ยูซุออกผลตามกิ่งก้านที่มีหนามแหลม ใบยูซุมีขนาดใหญ่และมีก้านใบลักษณะคล้ายใบเหมือนใบมะกรูด และมีกลิ่นหอม
ยูซุมีความคล้ายคลึงกับซูดาจิ (Citrus sudachi) อย่างมาก ซูดาจิเป็นพืชสกุลส้มที่มีถิ่นกำเนิดในจังหวัดโทกูชิมะ และเป็นพันธุ์ผสมข้ามระหว่างยูซุกับส้มแมนดาริน แต่แตกต่างที่รสชาติของผล และยูซุจะมีสีเหลืองเมื่อสุก
Remove ads
แหล่งกำเนิดและการกระจายตัว
ยูซุมีต้นกำเนิดบริเวณตอนบนของแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน[3] จากนั้นจึงกระจายตัวเข้าไปในประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ในช่วงราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) และช่วงต้นยุคอะสุกะ (ค.ศ.593-710) นอกจากนี้ในปีค.ศ.1980 มีการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับทำอาหารระหว่างเชฟระดับแนวหน้าของฝรั่งเศสและเชฟอาหารไคเซกิในโตเกียว ทำให้ ยูซุถูกนำไปใช้ประกอบการทำอาหารฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โครงสร้างทางเคมีที่สำคัญ
เนื่องจากยูซุเป็นพืชในวงศ์ส้ม (Rutaceae) โครงสร้างทางเคมีจึงคล้ายกัน โดยสารเคมีสำคัญที่พบในยูซุมีดังนี้[4]
1.Nomilin
2.Obacunone
3.Ichangin glucoside
4.Limonin
5.Limonine glucoside
6.deacetylnomilin
ซึ่งสารเหล่านี้ล้วนเป็นสารให้ความขมซึ่งพบได้ทั่วไปในพืชวงศ์ส้ม นอกจากนี้ยูซุยังมีปริมาณวิตามินบี วิตามินอี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียมแคลเซียม และสังกะสี ไม่ต่างจากส้มชนิดอื่นๆ
ประวัติศาสตร์การใช้งาน
ในยุคเอโดะ(1603-1868) มีการกล่าวถึงการนำยูซุมาลอยในอ่างน้ำร้อน เพื่อแช่ตัวในวันเหมายันของชาวญี่ปุ่น เพราะ เชื่อว่าจะช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกและให้ความชุ่มชื้นกับผิว นอกจากนี้ยังเคยมีบันทึกว่ามีการนำยูซุมาเป็นส่วนผสมของยา
ประเทศที่ปลูกมากที่สุดในปัจจุบัน
ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำของตลาดยูซุทั้งในบทบาทของผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดและผู้บริโภครายใหญ่ที่สุด โดยยูซุส่วนใหญ่ปลูกในจังหวัดโคจิ เอฮิเมะ โทคุชิมะ และเกาะเล็กๆอย่างชิโกกุ
การเก็บเกี่ยว
ยูซุเป็นผลไม้ที่ใช้เวลาปลูกนานถึง 20 ปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งยูซุจะออกผลมาให้เก็บเกี่ยวได้แค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น โดยเมื่อถึงปีที่ยูซุพร้อมเก็บเกี่ยวให้สังเกตตามกิ่งจะเห็นดอกสีขาวขนาดเล็ก และยูซุจะพร้อมให้เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ในการเลือกผลยูซุที่จะเก็บให้เลือกเก็บผลที่ผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสก่อน
การสกัด
การสกัดสารในยูซุมักนิยมใช้ส่วนของเมล็ดมาทำการสกัดโดยเมล็ดของยูซุจะแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ Husk Shell Meal[5] โดยที่แต่ละส่วนจะให้สารสกัดออกมาเป็นชื่อเดียวกันเพียงแต่มีตัวเลขต่อท้ายชื่อสารที่ต่างกัน ซึ่งการสกัดมีขั้นตอนต่างๆดังนี้
1.ใช้ส่วน Husk Shell หรือ Meal อย่างใดอย่างนึง 200 กรัม
2.นำมาแช่ใน 100% EtOH ปริมาณ 2 ลิตร เป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นทำการปั่นเหวี่ยง 100 rpm 3 ครั้ง
3.จะได้สารที่ชื่อว่า Limonoid aglycone
4.หากนำกากที่เหลือไปทำการแช่ใน 100% Water ปริมาณ 2 ลิตร ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นทำการปั่นเหวี่ยง 400 rpm 3 ครั้ง
5.จะได้สารที่ชื่อว่า Limonoid glucoside
Remove ads
การใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน
มีการผลิตยูซุภายในประเทศญี่ปุ่นประมาณ 27,000 ตัน (ค.ศ. 2016)[6] ยูซุเป็นส่วนประกอบทั่วไปในอาหารญี่ปุ่น และเป็นส่วนประกอบสำคัญในพนซุและน้ำส้มสายชูยูซุ นอกจากนี้ยังใช้ทำยูซุโคโช ชายูซุ สุรา[7][8] และของหวาน
ยูซุใช้ในอาหารเกาหลีหลายประเภท เช่น มาร์มาเลดยูจา-ช็อง (유자청), ชายูจา, พันช์ยูจา-ฮวาแช (유자화채) และเป็นส่วนประกอบในสลัด[9]
กระทรวงเกษตรสหรัฐสั่งห้ามนำเข้ายูซุ ทั้งต้นและผลจากต่างประเทศ[10]
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads