คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
พุทธศาสนสถานในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เป็นพุทธศาสนสถานในประเทศไทย มีสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อว่า "วัดบางหว้าใหญ่" คู่กับวัดบางหว้าน้อย (ปัจจุบันคือวัดอมรินทรารามวรวิหาร) เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชย์ในสมัยกรุงธนบุรี ทรงบูรณะวัดนี้และยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องและโปรดให้นำระฆังที่ขุดพบมาเก็บไว้ พร้อมทั้งสร้างระฆังใหม่ โดยพระองค์ทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดระฆังโฆสิตาราม" เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์การพบระฆังนั้น
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
วัดระฆังโฆสิตารามเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะที่ตั้งของรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดซึ่งเป็นที่เคารพนับถือสูง อีกทั้งที่วัดนี้ยังเป็นสถานที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกและอัญเชิญคัมภีร์พระไตรปิฎกจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมาเก็บรักษา วัดระฆังโฆสิตารามจึงมีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา วัดระฆังโฆสิตารามยังมีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการพระเครื่อง โดยเฉพาะ "พระสมเด็จวัดระฆัง" ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สร้างขึ้น พระสมเด็จวัดระฆังเป็นพระเครื่องที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในชุดพระเครื่องเบญจภาคีที่มีคุณค่าและมีพุทธคุณสูง นอกจากนี้วัดยังมีสถาปัตยกรรมที่สำคัญ เช่น หอพระไตรปิฎกที่งดงามและมีคุณค่าทางศิลปกรรม
Remove ads
ประวัติ
เดิมเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด และได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูกไก่
Remove ads
ศิลปกรรม
สรุป
มุมมอง
พระอุโบสถ

สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นทรงแบบไทยประเพณีที่สืบทอดรูปแบบมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เครื่องหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดมีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 3 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 4 ตับ ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีมุขโถงด้านหน้าและหลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาตามรูปแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีคันทวยรอบรับชายคา คันทวยมีขนาดใหญ่เป็นไม้แกะสลักลงรักปิดทอง บริเวณมุขด้านหน้าและหลังทำปีกนกคลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจั่ว หน้าบันแบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นไม้แกะสลักจำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑประดับลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก หน้าบันชั้นล่างเจาะเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง แต่ไม่สามารถเปิดได้เป็นเพียงงานประดับ ซุ้มประตู - หน้าต่าง รอบพระอุโบสถทำเป็นทรงบรรพแถลง เว้นประตูกลางด้านหน้าทำเป็นซุ้มทรงปราสาท บานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำรูประฆัง ด้านในเขียนภาพทวารบาลยืนแท่นระบายสี บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมเทพชุมนุมและทศชาติชาดก ผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ เขียนโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ[1]
พระประธานในพระอุโบสถ ( พระประธานยิ้มรับฟ้า )

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ไม่มีประวัติการสร้างและไม่ปรากฏพระนาม แต่ผู้คนทั่วไปเรียกพระประธานองค์นี้ว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" มีที่มาจากพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 5 ที่รับสั่งว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนวัดระฆัง พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกทีไป" ลักษณะพุทธศิลป์ของพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระขนงโก่ง ระหว่างเส้นขอบพระเนตรกับพระขนงป้ายเป็นแผ่น คล้ายกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย พระโอษฐ์กว้าง แย้มพระโอษฐ์ จึงได้รับการเรียกว่าพระประธานยิ้มรับฟ้า ชายผ้าสังฆาฏิเป็นริ้วซ้อนกัน มีส่วนโค้งบรรจบกันเป็นวงแหลมรูปกลีบบัว คล้ายกับพระพุทธรูปที่พบในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แต่สังฆาฏิมีขนาดใหญ่และอยู่กึ่งกลางพระวรกายอันเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปในสมัยรัตรโกสินทร์ แต่โดยรวมแล้วยังคงลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนปลาย ด้านบนประดับพระเศวตฉัตร 9 ชั้น[2]
พระวิหาร (พระอุโบสถหลังเก่า)

พระวิหารเป็นพระอุโบสถหลังเดิมที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอาคารที่มีขนาดเล็กแบบไทยประเพณี หลังคาเป็นเครื่องไม้ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ช่อฟ้าประดับเป็นปูนปั้นรูปเศียรนาค เครื่องลำยองรวมถึงหางหงส์เป็นงานปูนปั้นคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง มีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 2 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 3 ตับ หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน แบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปพรรณพฤกษาซึ่งคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง หน้าบันชั้นล่างทำเป็นปูนปั้นเสาประดับ 2 เสา มีบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาไม่ประดับคันทวย ซุ้มประตู-หน้าต่างทำเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบศิลปะเปอร์เซียร์ ด้วยเหตุที่พระอุโบสถเก่านี้มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการสังฆกรรมในช่วงเวลาที่วัดได้รับการสถาปนาใหม่แล้วจึงได้มีการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ด้านทิศเหนือในรัชกาลที่ 3[3]
เจดีย์ประธานทรงปรางค์

เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระวิหาร ด้านข้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ 1 มีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา) ได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบที่สุดในประเทศไทย พระปรางค์องค์นี้จัดเป็นพระปรางค์แบบ สถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น ที่มีทรวดทรงงดงามมาก จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา รูปแบบของเจดีย์ประกอบไปด้วยส่วนฐานมีฐานประทักษิณเป็นรูปแบบฐานสิงห์ 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงายรองรับฐานสิงห์ชั้นที่ 1 ถัดไปเป็นชั้นฐานบัวลูกแก้วอกไก่และฐานสิงห์ชั้นที่ 2 รองรับเรือนธาตุ ฐานทั้งหมดอยู่ในผังย่อมุมไม้ 36 ถัดขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุ มีซุ้มจรนำทั้ง 4 ด้าน ภายในซุ้มทุกด้านประดิษฐานพระพุทธรูปยืนพนมมือ ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอดประกอบไปด้วยชั้นเชิงบาตร ประดับประติมากรรมครุฑแบกทั้ง 4 ทิศ และโดยรอบประดับประติมากรรมอสูรถือกระบอง ส่วนยอดเป็นทรงพุ่ม ป้อมเตี้ย เป็นเรือนชั้นซ้อนชั้น 5 ชั้น ประดับช่องวิมาน ซุ้มวิมาน บรรพแถลง ยอดบนสุดประดับนพศูล ซึ่งรูปแบบของเจดีย์ประธานวัดระฆังนี้ยังมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัยศิลปะอยุธยา[4]
หอพระไตรปิฎก

เป็นรูปเรือน 3 หลังแฝด หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนมเรียงรายเป็นระยะๆ เปลี่ยนฝาสำหรวดไม้ขัดแตะเสียบกระแชงเป็นขัดด้วยหน้ากระดานไม้สักระหว่างลูกสกล ใช้แผ่นกระดานไม้สักเลียบฝาภายในแล้วเขียนรูปภาพต่าง ๆ บานประตูด้านใต้เขียนลายรดน้ำ บานประตูหอกลางด้านตะวันออกแกะเป็นลายกนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยกนกเครือเถา บานซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกรลายกนกดอกไม้ภายนอกติดคันทวยสวยงาม ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ 2 ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ 1 ตู้ หอด้านใต้ 1 ตู้ หอพระไตรปิฎกนี้ตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส ทิศใต้ของพระอุโบสถ
หอระฆัง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเป็นระฆังที่มีเสียงไพเราะยิ่งนัก ที่ขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ที่ใด ทรงขอระฆังเสียงดีลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงทรงสร้างหอระฆังพร้อมพระราชทานระฆัง 5 ใบไว้แทนใบเดิม เพราะเหตุแห่งการขุดระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา ลักษณะโดยรวมของหอระฆังคือ คือ เป็นหอระฆังแบบจตุรมุขยกฐานสูง ตรงกลาง 1 และที่มุขทั้ง 4 ด้านละ 1 ใบ มีหลังคาแบบไทยประเพณี คือเป็นหลังคาจั่วซ้อนชั้น 2 ซ้อน ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นไม้แกะสลักรูปเทพพนม ล้อมด้วยลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก ประดับบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีคันทวยรับชายคา[5]
พระเจดีย์สามองค์
สร้างโดยเจ้านายวังหลัง 3 องค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล ต้นสกุล ปาลกะวงศ์) กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดยเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ที่มีรูปแบบและขนาดเดียวกัน เป็นเจดีย์ทรงเครื่อง อยู่ในผังย่อมุมไม้ 20 มีฐานประทักษิณเตี้ยๆ 1 ฐาน ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียง 1 ชั้น รองรับชุดฐานสิงห์ 3 ชั้น ถัดไปเป็นบัวทรงคลุ่มรองรับองค์ระฆัง ต่อด้วยองค์ระฆัง บัลลังก์ ส่วนยอดเป็นบัวทรงคลุ่มเถา ปลี ลูกแก้ว ปลียอด ประดับส่วนบนสุดด้วยเม็ดน้ำค้างตามลำดับ[6] ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน
- เจดีย์กรมหมื่นนราเทเวศร์
- เจดีย์กรมหมื่นนเรศร์โยธี
- เจดีย์กรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์
ศาลาการเปรียญ

ศาลาการเปรียญเป็นอาคารแบบพระราชราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ เป็นศิลปะไทยผสมศิลปะจีน หน้าบันก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายปูนปั้นรูปพรรณพฤกษา ในตำแหน่งของเครื่องลำยองทำเป็นลวดลายปูนปั้นเป็นลวดลายผ้าที่ผูกลายกับลายพรรณพฤกษาจำพวกดอกไม้ หลังคามีจำนวนซ้อนหลังคา 2 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 3 ตับ มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง ไม่มีระเบียงรอบอาคาร เสาเฉลียงรองรับมุขหน้า-หลังเป็นรูปแบบเสาเหลี่ยมทึบตันขนาดใหญ่ ซึ่งนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ซุ้มประตู-หน้าต่างทำเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบศิลปะเปอร์เซียร์ ด้านในมีเสาร่วมในเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตันเช่นเดียวกับเสาเฉลียง พระประธานในศาลาการเปรียญเป็นพระพุทธรูปสำริด ปางสมาธิ พุทธลักษณะแบบพระพุทธรูปในสมัยรัชกาลที่ 3 คือ มีพระวรกายเพรียวบาง สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่จรดพระนาภี พระพักตร์ค่อนข้างกลมกึ่งไข่ ขมวดพระเกษาเล็ก มีพระรัสมีเป็นเปลว พระขนงโก่ง พระเนตรเปิดและมองตรง พระนาสิกค่อนข้างเล็กและโด่ง พระโอษฐ์เล็กแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย เส้นพระโอษฐ์โค้งเล็กน้อยเกือบเป็นเส้นตรง เรียกว่า "พระพักตร์อย่างหุ่น"[7]
หอพระไตรปิฎก (คณะ 2)
อยู่หน้าตำหนักแดง ในคณะ 2 เป็นเรือนไม้ฝาปะกน ปิดทอง ทาสีเขียวสด ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำสวยงามมาก
Remove ads
สถานที่น่าสนใจภายในวัด
สรุป
มุมมอง
พระวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์โต
เป็นพระวิหารทรงเดียวกับ พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน มีเครื่องหมายสำคัญที่หน้าบันทั้งสองข้าง เป็นรูปพัดยศจารึกอักษรไว้ว่า “พระวิหารสมเด็จ ๒๕๐๓” เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัดนี้ 3 องค์ ได้แก่
- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “สมเด็จโต” หรือ “หลวงพ่อโต” พระเถระผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ
- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสรีวงศ์) เป็นพระเถระที่มีพระเกียรติคุณปรากฏอีกองค์หนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงได้รับการถวายเจ้านายโดยเฉพาะ เป็นเหตุให้พระเครื่องที่ทรงทำร่วมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ผู้เป็นอาจารย์ ได้รับขนานนามว่า “สมเด็จปิลันทน์” และมีชื่อเสียงควบคู่กันมา
- สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร) ผู้มีชื่อเสียงในทางเทศนาวิธีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชี่ยวชาญการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร หรือมีอายุได้ 14 ปี เท่านั้น และสำเร็จเป็นเปรียญ 8 ประโยค ในเวลาต่อมา เมื่อครั้งเป็นที่พระพิมลธรรม ท่านได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏเป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะองค์อื่น ๆ และเมื่อมรณภาพ ในรัชกาลที่ 6 ก็ได้รับการพระราชทานเพลิงที่พระเมรุสนามหลวงเป็นเกียรติด้วย
พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบติดคันทวยตามเสาสวยงาม หน้าบันทั้งสองด้าน จำหลักรูปฉัตร 3 ชั้นอันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช วิหารหลังนี้เดิมหลังคาเป้นทรงปั้นหยา เรียกว่าศาลาเปลื้องเครื่อง พระราชธรรมภาณี (ละมูล) ได้เปลี่ยนเป็นหลังคาทรงไทยมีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เมื่อ พ.ศ. 2504 เพื่อประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆัง ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานที่พระวิหารที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์
พิพิธภัณฑ์วัดระฆังโฆสิตาราม (อาคารเฉลิมพระเกียรติริมแม่น้ำเจ้าพระยา)
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลำดับเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ มีอธิบดีสงฆ์ปกครองวัดมาแล้ว 12 รูปด้วยกัน ดังนี้
- ภายในพระอุโบสถ
- บานประตูพระอุโบสถลงรักปิดทอง
- ตู้พระธรรมลายรดน้ำภายในหอพระไตรปิฎก
Remove ads
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads