คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์
Remove ads

สมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbund; ฝรั่งเศส: États confédérés du Rhin (ชื่ออย่างเป็นทางการ) Confédération du Rhin (ชื่อในทางพฤตินัย)) เป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ก่อตั้งจากรัฐเยอรมันทั้ง 16 รัฐ โดยจักรพรรดินโปเลียนหลังจากรบชนะจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซียในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ การลงนามในสนธิสัญญาเพรซเบิร์กได้นำไปสู่การก่อตั้งสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปี 1806]] ถึงปี 1813]]

ข้อมูลเบื้องต้น สมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ Rheinische Bundesstaaten (เยอรมัน) États confédérés du Rhin (ฝรั่งเศส), สถานะ ...

สมาชิกของสมาพันธ์คือบรรดาเจ้าฟ้าผู้ครองรัฐในความปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ 16 รัฐ ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว เจ้าฟ้าเหล่านี้ล้วนมิใช่ประมุขของรัฐซึ่งตนเองปกครองอยู่ ภายหลังได้มีรัฐอื่นอีก 19 รัฐเข้าร่วมในสมาพันธรัฐ ทำให้เมื่อรวมกันแล้วทำให้มีประชากรภายใต้การปกครองมากกว่า 15 ล้านคน ก่อให้เกิดผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์อย่างมากต่อจักรวรรดิฝรั่งเศสในแนวรบด้านตะวันออก

Remove ads

การก่อตั้ง

สรุป
มุมมอง

ในวันที่ 12 กรกฎาคมปี 1806]] นครรัฐ 16 แห่ง ซึ่งรวมกันเป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ได้ลงนามในสนธิสัญญาสมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ (เยอรมัน: Rheinbundakte) เพื่อแยกตัวจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐในชื่อ "สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์" (états confédérés du Rhin) โดยอิงตามชื่อของกลุ่มรัฐเยอรมันในยุคก่อนหน้าที่เรียกว่า "สันนิบาตแห่งแม่น้ำไรน์" มีจักรพรรดินโปเลียนเป็นดำรงตำแหน่ง "ผู้อารักขา" แห่งสมาพันธรัฐ หลังจากนั้นในวันที่ 6 สิงหาคม ด้วยการยื่นคำขาดของนโปเลียน จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จึงได้สละตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และประกาศล้มเลิกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ บรรดารัฐเยอรมันมากกว่า 23 รัฐก็เข้าร่วมสมาพันธรัฐ โดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์คของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 จะปกครองส่วนที่เหลืออยู่ของจักรวรรดิในชื่อจักรวรรดิออสเตรีย มีเฉพาะออสเตรีย ปรัสเซีย ฮ็อลชไตน์ส่วนที่เป็นของเดนมาร์ก และปอมเมอเรเนียของสวีเดนเท่านั้นที่อยู่นอกสมาพันธรัฐ ไม่นับรวมดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และราชรัฐเออร์เฟิร์ตซึ่งถูกยึดครองโดยจักรวรรดิฝรั่งเศส

ตามสนธิสัญญาดังกล่าว สมาพันธรัฐจะดำเนินการโดยผู้แทนร่วมตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐใหญ่ ต่างก็ต้องการมีอำนาจอธิปไตยอย่างไม่จำกัด

สมาพันธรัฐนี้มิได้มีประมุขเป็นกษัตริย์ตามอย่างที่เคยใช้ในจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตำแหน่งสูงสุดในสมาพันธรัฐนี้เป็นของคาร์ล เทโอดอร์ ฟอน ดัลแบร์ก อดีตอัครมหาเสนาบดีผู้ที่เบื่อตำแหน่งเจ้าชาย-ไพรเมตของสมาพันธรัฐ ในฐานะดังกล่าวเขาเป็นประธานของคณะพระมหากษัตริย์ (College of Kings) และมีอำนาจเหนือ สภานิติบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐ (Diet of the Confederation) ซึ่งมีลักษณะองค์กรคล้ายกับรัฐสภา อย่างไรก็ตาม องค์กรดังกล่าวนี้ไม่เคยมีการประชุมแต่อย่างไร ส่วนประธานสภาของเจ้าผู้ครองนครคือเจ้าชายแห่งนัสเซา-อูซินเงน

ในความเป็นจริงแล้ว สมาพันธรัฐมีสถานะเป็นพันธมิตรทางการทหาร กล่าวคือ รัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐจะต้องส่งกำลังทหารสนับสนุนจำนวนมากให้แก่ฝรั่งเศส โดยที่ผู้ปกครองรัฐจะได้รับการยกสถานะดินแดนของตนขึ้นเป็นการตอบแทน เช่น บาเดิน (ปัจจุบันดินแดนส่วนตะวันตกอยู่ในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค) เฮ็สเซิน คลีฟส์ (Cleves) และเบิร์ก (ทั้งสองแห่งปัจจุบันอยู่ในรัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน) ได้ยกฐานะขึ้นเป็นแกรนด์ดัชชี ส่วนเวือร์ทเทิมแบร์คและบาวาเรีย ได้ยกฐานะขึ้นเป็นราชอาณาจักร นอกจากนี้บางรัฐยังมีอาณาเขตเพิ่มมากขึ้นโดยได้รับเอา "Kleinstaaten" หรือรัฐขนาดเล็กหลาย ๆ แห่งที่เคยเป็นสมาชิกของจักรวรรดิมาควบรวมเข้าไป

หลังปรัสเซียพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสในปี 1806 รัฐขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากก็เข้าร่วมกับสมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ โดยมีการขยายตัวมากที่สุดในปี 1808]] ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร 5 แกรนด์ดัชชี 13 ดัชชี 17 พรินซิพาลิตี และนครรัฐอิสระฮันเซียติค ได้แก่ เมืองฮัมบวร์ค ลือเบค และ เบรเมิน

ในปี 1810 ส่วนใหญ่ของเยอรมนีตะวันออกเฉียงเหนือก็รวมเข้ากับจักรวรรดินโปเลียนอย่างเร่งด่วน ตามคำสั่งการห้ามค้าขายระหว่างประเทศกับสหราชอาณาจักร ตามนโยบายการปิดล้อมภาคพื้นทวีป ซึ่งบังคับให้ชาวยุโรปค้าขายกันเองโดยไม่ต้องพึ่งอังกฤษ

สมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ล่มสลายในปี 1813 อันเนื่องมาจากการที่จักรพรรดินโปเลียนพ่ายสงครามแก่จักรวรรดิรัสเซีย สมาชิกจำนวนมากย้ายฝ่ายหลังจากสิ้นสุดยุทธการที่ไลพ์ซิก เมื่อการณ์ปรากฏชัดว่าจักรพรรดินโปเลียนจะแพ้ในสงครามประสานมิตรครั้งที่หก อย่างแน่นอนแล้ว

Remove ads

ประเภทของรัฐภายในสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์

สรุป
มุมมอง

อิทธิพลของฝรั่งเศสและระดับของเอกราชภายในสมาพันธรัฐมีความแตกต่างกันอย่างมากตลอดช่วงเวลาที่สมาพันธรัฐดำรงอยู่ นอกจากนี้ อำนาจและอิทธิพลของแต่ละรัฐก็มีความแตกต่างกันอย่างมากเช่นกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

กลุ่มแรก: "รัฐต้นแบบ"

รัฐเหล่านี้ส่วนใหญ่ปกครองโดยญาติของนโปเลียน ได้แก่

รัฐต้นแบบเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่รัฐอื่น ๆ ภายในสมาพันธรัฐ ผ่านนโยบายทางกฎหมายและสังคม เช่น ประมวลกฎหมายนโปเลียนอย่างไรก็ตาม เนื่องจากการล่มสลายของอำนาจของนโปเลียน รัฐเหล่านี้จึงไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป

กลุ่มที่สอง: รัฐที่ปฏิรูปแล้ว

รัฐเหล่านี้ประกอบด้วย บาวาเรีย, ราชอาณาจักรเวือร์ทเทิมแบร์ค, บาเดิน, แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน-ดาร์มชตัท รัฐเหล่านี้ไม่ได้เป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศสโดยตรง แต่เป็นพันธมิตรที่แท้จริงของนโปเลียน แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะได้รับอิทธิพลจากแบบแผนของฝรั่งเศส แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายของตนเองในหลายด้าน นักประวัติศาสตร์ โลธาร์ กัลล์ (Lothar Gall) ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ปกครองของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ได้กลายเป็นนักปฏิวัติโดยอิทธิพลของนโปเลียนเอง การต่อต้านจักรพรรดิย่อมหมายถึงการละทิ้งอำนาจที่เขามอบให้ "นโปเลียนไม่ได้สร้างรัฐบริวารที่ไร้อำนาจทางการเมืองและต้องเชื่อฟังเพราะถูกบังคับด้วยกำลัง แต่พระองค์สร้างพันธมิตรที่แท้จริง ซึ่งดำเนินตามเหตุผลทางรัฐศาสตร์ที่เข้าใจได้ดี"[2]

กลุ่มที่สาม: รัฐที่เข้าร่วมหลังปี 1806

กลุ่มนี้ประกอบด้วยรัฐขนาดเล็กจำนวนมากในเยอรมันตอนเหนือและตอนกลาง ยกเว้นซัคเซิน โดยการเปลี่ยนแปลงภายในรัฐเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อย[3] การปฏิรูปยังคงจำกัดอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างรัฐเหล่านี้

Remove ads

รัฐที่เป็นสมาชิก

สรุป
มุมมอง

ตารางต่อไปนี้แสดงรายนามรัฐสมาชิกของสมาพันธรัฐและวันที่เข้าร่วม พร้อมทั้งจำนวนกำลังทหารในความปกครอง (แสดงด้วยตัวเลขในวงเล็บ)[4]

รัฐในสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์
Thumb
ค.ศ. 1806
Thumb
ค.ศ. 1808
Thumb
ค.ศ. 1812

คณะกษัตริย์

ข้อมูลเพิ่มเติม ร้ฐสมาชิก, เข้าร่วมเมื่อ ...

คณะเจ้าชาย

ข้อมูลเพิ่มเติม รัฐสมาชิก, เข้าร่วมเมื่อ ...
Remove ads

เหตุการณ์ในช่วงหลัง

ฝ่ายสหสัมพันธมิตรที่ต่อต้านนโปเลียนได้ประกาศยุบสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนปี 1813]] ต่อมาหลังยุบสมาพันธรัฐ มีความพยายามที่จะรวมชาติเยอรมนีอีกครั้ง คือ สภาบริหารกลาง (เยอรมัน: Zentralverwaltungsrat) โดยประธานสภาได้แก่ ไฮน์ริช ฟรีดริช คาร์ล ไรช์สไฟร์แฮร์ ฟอม อุนด์ ซุม ชไตน์) ซึ่งต่อมาสภานี้ก็ได้ถูกยุบในวันที่ 20 มิถุนายน 1815 และสนธิสัญญาปารีสได้ประกาศให้บรรดารัฐเยอรมันได้รับเอกราชในวันที่ 30 พฤษภาคม 1814]]

ในปี 1815 ที่การประชุมใหญ่แห่งเวียนนาได้ปรับเปลี่ยนแผนที่การเมืองของทวีปยุโรปขึ้นใหม่ โดยการยุบอาณาจักรที่นโปเลียนสร้างขึ้น เช่น ราชอาณาจักรเว็สท์ฟาเลิน, แกรนด์ดัชชีแบร์ค, และ แกรนด์ดัชชีเวือทซ์บวร์ค นอกจากนี้ ยังมีการฟื้นฟูรัฐที่เคยถูกผนวก เช่น ฮันโนเฟอร์, ดัชชีเบราน์ชไวค์, เฮ็สเซิน-คัสเซิล, และ อ็อลเดินบวร์ค อย่างไรก็ตาม รัฐส่วนใหญ่ของสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ที่ตั้งอยู่ในเยอรมนีกลางและตอนใต้ ยังคงอยู่รอดโดยมีการเปลี่ยนแปลงพรมแดนเพียงเล็กน้อย พวกเขาได้ร่วมมือกับรัฐที่ได้รับการฟื้นฟู รวมถึงปรัสเซียและออสเตรีย ในการก่อตั้ง สมาพันธรัฐเยอรมัน[5]

Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads