คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สงครามนโปเลียน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สงครามนโปเลียน
Remove ads

สงครามนโปเลียน (ฝรั่งเศส: Guerres napoléoniennes; ค.ศ. 1803 – 1815) เป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่สำคัญในระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่างจักรวรรดิฝรั่งเศสและพันธมิตร ซึ่งนำโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ต่อกรกับรัฐต่าง ๆ ในยุโรปที่ดูผันผวนซึ่งได้รวมตัวกันเป็นพันธมิตรที่หลากหลาย ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินและนำโดยสหราชอาณาจักร และทำให้เกิดช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสปกครองเหนือยุโรปภาคพื้นทวีปเป็นส่วนใหญ่ สงครามครั้งนี้เกิดจากข้อพิพาทที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติฝรั่งเศสและผลลัพธ์ของความขัดแย้งครั้งนี้ สงครามมักแบ่งออกเป็นความขัดแย้งห้าครั้ง แต่ละครั้งจะเรียกตามชื่อสหสัมพันธมิตรที่ต่อสู้กับนโปเลียน ประกอบด้วย: สหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม (ค.ศ. 1805-06) ครั้งที่สี่ (ค.ศ. 1806–07) ครั้งที่ห้า (ค.ศ. 1809) ครั้งที่หก (ค.ศ. 1813–14) และครั้งที่เจ็ด (ค.ศ. 1815) ซึ่งรวมไปถึงสงครามคาบสมุทร (ค.ศ. 1807–14) และการรุกรานรัสเซียโดยฝรั่งเศส (ค.ศ. 1812)

ข้อมูลเบื้องต้น สงครามนโปเลียน, วันที่ ...

เมื่อนโปเลียนได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งกงสุลคนแรกของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1799 ได้รับช่วงต่อจากสาธารณรัฐอันวุ่นวาย ต่อมาเขาได้สร้างรัฐที่มีการเงินที่มั่นคง ระบบราชการที่แข็งแกร่ง และกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ใน ค.ศ. 1805 ออสเตรียและรัสเซียได้จัดตั้งสหสัมพันธมิตรครั้งที่สามและทำสงครามกับฝรั่งเศส ในการตอบโต้ นโปเลียนได้เอาชนะกองทัพรัสเซีย-ออสเตรียที่เป็นพันธมิตรกันที่เอาสเทอร์ลิทซ์ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1805 ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ ในทางด้านทะเล บริติชได้เอาชนะกองทัพเรือร่วมกันของฝรั่งเศส-สเปนอย่างหนักหน่วงในยุทธนาวีที่ตราฟัลการ์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1805 ชัยชนะครั้งนี้ทำให้อังกฤษสามารถควบคุมทางทะเลและป้องกันเกาะอังกฤษจากการถูกบุกครอง ด้วยความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจของฝรั่งเศส ปรัสเซียเป็นผู้นำในการก่อตั้งสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่กับรัสเซีย ซัคเซิน และสวีเดน และการเริ่มต้นของสงครามในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1806 นโปเลียนได้เอาชนะปรัสเซียอย่างรวดเร็วที่เจนาและรัสเซียที่ฟรายด์ลันด์ ได้นำพาความสงบสุขที่ไม่สบายใจมาสู่ทวีป แม้ว่าสันติภาพจะล้มเหลว เมื่อสงครามได้ปะทุขึ้นมาใน ค.ศ. 1809 เมื่อสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้าซึ่งเตรียมการที่แย่ นำโดยออสเตรีย ซึ่งพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วที่วากรัม

ด้วยความหวังที่จะแบ่งแยกและทำให้บริติชอ่อนแลลงทางเศรษฐกิจผ่านทางระบบภาคพื้นทวีป นโปเลียนได้เปิดฉากการบุกครองโปรตุเกสซึ่งเป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวของอังกฤษที่เหลืออยู่ในทวีปยุโรป ภายหลังจากการยึดครองลิสบอนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1807 และด้วยกองทหารฝรั่งเศสจำนวนมากที่อยู่ในสเปน นโปเลียนจึงฉวยโอกาสในการจัดการกับสเปน อดีตพันธมิตรของพระองค์ ซึ่งได้ทำการขับไล่ราชวงศ์สเปนที่ปกครองอยู่ออกไปและประกาศให้พระเชษฐาของพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสเปนแทนใน ค.ศ. 1808 เป็นพระเจ้าโฮเซที่ 1 สเปนและโปรตุเกสได้ออกมาลุกฮือโดยได้รับการสนับสนุนจากบริติชและขับไล่ฝรั่งเศสออกจากคราบสมุทรไอบีเรียในปี ค.ศ. 1814 ภายหลังจากหกปีของการสู้รบ

ในขณะเดียวกัน รัสเซียไม่เต็มใจที่จะแบกรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการค้าที่ลดลงและละเมิดระบบทวีปอยู่เป็นประจำ ทำให้นโปเลียนเปิดฉากการบุกครองรัสเซียครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1812 ผลลัพธ์ของการทัพครั้งนี้ได้จบลงด้วยหายนะและความพินาศย่อยยับของกองทัพใหญ่ของนโปเลียน

ด้วยแรงบันดาลใจจากความพ่ายแพ้ ออสเตรีย ปรัสเซีย และรัสเซียได้ก่อตั้งสหสัมพันธมิตรครั้งที่หกและเริ่มการทัพครั้งใหม่เพื่อต่อกรกับฝรั่งเศส โดยเอาชนะนโปเลียนที่ไลพ์ซิชอย่างเด็ดขาดในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1813 ภายหลังจากการสู้รบที่ยังหาบทสรุปไม่ได้หลายครั้ง จากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้บุกครองฝรั่งเศสจากทางด้านตะวันออก ในขณะที่สงครามคาบสมุทรได้แผ่ขยายออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ายึดกรุงปารีสไว้ได้ เมื่อปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1814 และบีบบังคับให้นโปเลียนสละราชบังลังก์ในเดือนเมษายน พระองค์ถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบาและราชวงศ์บูร์บงได้รับการฟื้นฟูกลับมาเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง แต่นโปเลียนได้หลบหนีออกมาในในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1815 และกลับเข้ามาควบคุมฝรั่งเศสอีกครั้งจากราวหนึ่งร้อยวัน ภายหลังจากการก่อตั้งสหสัมพันธมิตรครั้งที่เจ็ด ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เอาชนะพระองค์อย่างถาวรที่วอเตอร์ลูในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1815 และเนรเทศพระองค์ไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา ซึ่งพระองค์ได้สวรรคตในอีกหกปีต่อมา[30]

การประชุมใหญ่แห่งเวียนนาได้ทำให้ชายแดนของทวีปยุโรปได้ถูกเขียนขึ้นใหม่และนำมาซึ่งช่วงเวลาแห่งความสงบสุข สงครามได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์โลก รวมทั้งการแพร่กระจายของลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยม การเถลิงอำนาจของบริติชในฐานะที่เป็นมหาอำนาจที่มีทั้งอำนาจควบคุมทางทะเลและเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของโลก การปรากฏตัวของขบวนการเพื่อเรียกร้องเอกราชในละตินอเมริกา และการล่มสลายของจักรวรรดิสเปนและจักรวรรดิโปรตุเกสในเวลาต่อมา การปรับโครงสร้างพื้นฐานของดินแดนเยอรมันและอิตาลีทำให้กลายเป็นรัฐขนาดใหญ่มากขึ้น และการได้รับแนะนำวิธีการใหม่ ๆ ในการทำสงคราม แต่ยังรวมไปถึงกฎหมายทางแพ่งอีกด้วย

Remove ads

ภาพรวม

สรุป
มุมมอง

นโปเลียนได้กระทำการยึดอำนาจใน ค.ศ. 1799 ซึ่งก่อให้เกิดเผด็จการทหาร[31] โดยมีข้อคิดเห็นอยู่หลายประการเกี่ยวกับวันและเวลาที่จะนำมาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามนโปเลียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1803 มักถูกนำไปใช้ หลังจากที่บริเตนและฝรั่งเศสยุติช่วงเวลาแห่งสันติภาพซึ่งเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1792 ถึง ค.ศ. 1814 เพียงเท่านั้น[32] สงครามนโปเลียนเริ่มต้นด้วยสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม ซึ่งเป็นสงครามสหสัมพันธมิตรที่ต่อกรกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่หนึ่งเป็นครั้งแรก หลังจากที่นโปเลียนขึ้นมาเป็นผู้นำของฝรั่งเศส

บริเตนได้ยุติสนธิสัญญาอาเมียงและได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1803 ในบรรดาสาเหตุอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนแปลงของนโปเลียนต่อระบบในยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะในสวิตเซอร์แสนด์ เยอรมนี อิตาลีและเนเธอร์แลนด์ นักประวัติศาสตร์อย่าง เฟรเดอริค คากาน ได้ออกมาให้เหตุผลว่า บริเตนรู้สึกโกรธเคือง โดยเฉพาะกับการอ้างสิทธิ์เกี่ยวกับการควบคุมสวิตเซอร์แลนด์ของนโปเลียน นอกจากนี้ บริเตนยังรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม เมื่อนโปเลียนได้กล่าวว่า "ดินแดนของพวกเขาไม่สมควรที่จะมีสิทธิ์มีเสียงในกิจของยุโรป" ถึงแม้ว่าพระเจ้าจอร์จที่ 3 จะทรงเป็นผู้คัดเลือกของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ในส่วนของรัสเซียนั้น รัสเซียตัดสินใจที่จะเข้าแทรกแซงสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่านโปเลียนไม่ได้มองหาข้อแก้ไขเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างนโปเลียน กับชาติมหาอำนาจในยุโรปอื่น ๆ โดยวิธีอย่างสันติ[32]

บริเตนบังคับให้รีบปิดล้อมทะเลของฝรั่งเศส เพื่อให้ฝรั่งเศสขาดแคลนทรัพยากร นโปเลียนจึงได้ทำการตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อบริเตน และพยายามที่จะกำจัดพันธมิตรภาคพื้นทวีปของบริเตน เพื่อทำลายพันธมิตรที่จะต่อต้านนโปเลียน ในชื่อ ระบบภาคพื้นทวีป ในขณะเดียวกัน ก็มีการก่อตั้งสันนิบาตกองกำลังไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดขึ้น เพื่อขัดขวางการปิดล้อมทางทะเลของบริเตนและการบังคับใช้การค้าเสรีกับฝรั่งเศส บริเตนจึงตอบโต้ด้วยการยึดกองเรือเดนมาร์กเพื่อเป็นการทำลายสันนิบาต และในเวลาต่อมาบริเตนได้ครอบครองอำนาจเหนือทะเล ทำให้บริเตนสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างอิสระ แต่นโปเลียนกลับได้รับชัยชนะในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สามที่เอาสเทอร์ลิทซ์ ซึ่งเป็นการบังคับให้จักรวรรดิออสเตรียออกจากสงคราม และทำการยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งภายในเวลาไม่กี่เดือน ปรัสเซียได้ทำการประกาศสงครามต่อฝรั่งเศส ก่อให้เกิดสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความย่อยยับของปรัสเซีย ซึ่งภายใน 19 วัน นับตั้งแต่เริ่มการทัพ ปรัสเซียได้รับความพ่ายแพ้และถูกยึดครองดินแดน ต่อมานโปเลียนสามารถเอาชนะรัสเซียที่ฟรีดลันด์ ซึ่งสามารถสร้างรัฐบริวารที่มีอำนาจในยุโรปตะวันออก และทำให้สงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สี่สิ้นสุดลง

ในขณะเดียวกัน การที่โปรตุเกสปฏิเสธที่จะเข้าร่วมระบบภาคพื้นทวีปและสเปนล้มเหลวในการรักษาระบบดังกล่าว จึงส่งผลให้เกิดสงครามคาบสมุทร และทำให้สงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้าก็ได้ปะทุขึ้น ฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองสเปนและสถาปนาราชอาณาจักรบริวารสเปน ซึ่งทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง ภายหลังจากที่ความพยายามในการยึดเมืองแอนต์เวิร์ปนั้นล้มเหลวได้ไม่นานนัก บริเตนก็ได้แทรกแซงจำนวนมากในสงครามที่สู้รบกันคาบสมุทรไอบีเรีย นโปเลียนได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ในคาบสมุทรไอบีเรีย ฝรั่งเศสสามารถเอาชนะสเปนและขับไล่บริเตนให้ออกจากคาบสมุทร ออสเตรียซึ่งกระตือรือร้นกับการกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม ก็ได้รุกรานรัฐบริวารของฝรั่งเศสซึ่งอยู่ในยุโรปตะวันออก นโปเลียนสามารถเอาชนะสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้าที่วากรัม

เนื่องด้วยความโกรธเคืองของสหรัฐต่อการกระทำของกองเรือบริเตน นั่นจึงทำให้สหรัฐประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักร ในชื่อสงคราม ค.ศ. 1812 แต่สหรัฐกลับไม่ได้เป็นพันธมิตรของฝรั่งเศส และด้วยความคับข้องใจเกี่ยวกับการปกครองโปแลนด์ ประกอบกับการที่รัสเซียถอนตัวออกจากระบบภาคพื้นทวีป จึงนำไปสู่การรุกรานรัสเซียโดยนโปเลียนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1812 การรุกรานในครั้งนี้ถือว่าเป็นหายนะอย่างไม่ลดละสำหรับนโปเลียน ด้วยกลยุทธ์ผลาญภพ การถอยทัพเข้าไปในดินแดนลึกของรัสเซีย ความล้มเหลวทางกลยุทธ์ของฝรั่งเศส และการเริ่มต้นฤดูหนาวของรัสเซีย จึงทำให้นโปเลียนต้องถอยทัพพร้อมกับความสูญเสียอย่างมหาศาล นโปเลียนต้องประสบกับความพ่ายแพ้ที่เพิ่มมากขึ้น เมื่ออำนาจของฝรั่งเศสที่อยู่ในคาบสมุทรไอบีเรียถูกทำลายลงในยุทธการที่บิตอเรีย ในฤดูร้อนของปีถัดมา และสหสัมพันธมิตรครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก

ฝ่ายสหสัมพันธมิตรสามารถเอาชนะนโปเลียนที่ไลพ์ซิช ซึ่งทำให้พระองค์ทรงสูญเสียพระอำนาจ และในท้ายที่สุด พระองค์ก็ทรงสละราชสมบัติในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1814 ฝ่ายของผู้ชนะในสงครามได้เนรเทศนโปเลียนไปยังเกาะเอลบา และทำการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง นโปเลียนสามารถหลบหนีออกจากเกาะเอลบาได้ใน ค.ศ. 1815 โดยได้ทำการรวบรวมการสนับสนุน เพื่อให้มีมากพอสำหรับการล้มล้างราชาธิปไตยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 อันก่อให้เกิดสหสัมพันธมิตรครั้งที่เจ็ด และเป็นครั้งสุดท้ายที่ต่อกรกับนโปเลียน นโปเลียนพ่ายแพ้อย่างราบคาบที่วอเตอร์ลู และพระองค์ก็ทรงสละราชสมบัติอีกครั้งในวันที่ 22 มิถุนายน นโปเลียนได้ยอมจำนนต่อบริเตนที่เมืองรอชฟอร์ในวันที่ 15 กรกฎาคม และถูกเนรเทศไปยังเกาะเซนต์เฮเลนาอันห่างไกลเป็นการถาวร สนธิสัญญาปารีสได้รับการลงนามในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1815 อันเป็นการยุติสงครามนโปเลียนอย่างเป็นทางการ

Remove ads

ภูมิหลัง

วันเริ่มของสงครามและการตั้งชื่อ

กลยุทธ์การรบของนโปเลียน

หมายเหตุ

  1. The term "Austrian Empire" came into use after Napoleon crowned himself Emperor of the French in 1804, whereby Francis II, Holy Roman Emperor took the title Emperor of Austria (Kaiser von Österreich) in response. The Holy Roman Empire was dissolved in 1806, and consequently "Emperor of Austria" became Francis' primary title. For this reason, "Austrian Empire" is often used instead of "Holy Roman Empire" for brevity's sake when speaking of the Napoleonic Wars, even though the two entities are not synonymous.
  2. ทั้งออสเตรียและปรัสเซียเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสอยู่ชั่วระยะหนึ่งและส่งกองทัพไปสนับสนุนการรุกรานรัสเซียของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1812
  3. รัสเซียเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสหลังจากสนธิสัญญาทิลซิทในปี ค.ศ. 1807 แต่มายุติลงในปี ค.ศ. 1810 ที่ทำให้ฝรั่งเศสเข้ารุกรานรัสเซียในปี ค.ศ. 1812 ในช่วงนั้นรัสเซียก็ทำสงครามกับสวีเดน (ค.ศ. 1808-1809) และกับ จักรวรรดิออตโตมัน (ค.ศ. 1806-1812) และบางส่วนกับบริเตน (ค.ศ. 1807-1812)
  4. สเปนเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสจนกระทั่งฝรั่งเศสรุกรานในปี ค.ศ. 1808 จากนั้นฝรั่งเศสก็ต่อสู้ในสงครามคาบสมุทร
  5. สวีเดนประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักรหลังจากพ่ายแพ้แก่รัสเซียในสงครามฟินแลนด์ (ค.ศ. 1808–1809)
  6. แฮโนเฟอร์เป็นรัฐร่วมประมุขร่วมกับสหราชอาณาจักร
  7. The Kingdom of Hungary participated in the war with separate Hungarian regiments[13][14] in the Imperial and Royal Army, and also by a traditional army ("insurrectio").[15] The Hungarian Diet voted to join in war and agreed to pay one third of the war expenses.
  8. The Ottoman Empire fought against Napoleon in the French Campaign in Egypt and Syria as part of the French Revolutionary Wars. During the Napoleonic era of 1803 to 1815, the Empire participated in two wars against the Allies: against Britain in the Anglo-Turkish War (1807–1809) and against Russia in the Russo-Turkish War (1806–1812). Russia was allied with Napoleon 1807–1810.
  9. ราชวงศ์กอญัรทำสงครามกับรัสเซียใน ค.ศ. 1804 ถึง 1813 ในขณะที่รัสเซียยังคงเป็นพันธมิตรกับนโปเลียนใน ค.ศ. 1807–1812.
  10. ซิซิลีที่ยังยังเป็นสหอาณาจักรกับเนเปิลส์กลายมาเป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศสหลังจากยุทธการแคมโพเทเนเซในปี ค.ศ. 1806
  11. จักรวรรดิฝรั่งเศสผนวกราชอาณาจักรฮอลแลนด์ใน ค.ศ. 1810 กองทหารดัตช์ต่อสู้กับนโปเลียนในสมัยร้อยวันในปี ค.ศ. 1815
  12. จักรวรรดิฝรั่งเศสผนวกราชอาณาจักรอีทรูเรียใน ค.ศ. 1807
  13. ราชอาณาจักรเนเปิลส์เป็นพันธมิตรกับออสเตรียอยู่ชั่วระยะหนึ่งใน ค.ศ. 1814, เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสอีกครั้งและต่อสู้กับออสเตรียระหว่างสงครามเนเปิลส์ในปี ค.ศ. 1815
  14. นโปเลียนก่อตั้งดัชชีวอร์ซอปกครองโดย ราชอาณาจักรแซกโซนีในปี ค.ศ. 1807 ก่อนหน้านั้นกองทัพของโปแลนด์ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในกองทัพฝรั่งเศสแล้ว
  15. รัฐเยอรมันสิบหกรัฐที่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส (รวมทั้งบาวาเรียและเวิร์ตเต็มแบร์ก) ก่อตั้งเป็นสมาพันธรัฐแห่งลุ่มแม่น้ำไรน์ในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1806 หลังจากยุทธการเอาสเทอร์ลิทซ์ (ธันวาคม ค.ศ. 1805) และหลังจากยุทธการเยนา-เออร์ชเต็ดท์ (ตุลาคม ค.ศ. 1806) รัฐเยอรมันอื่นที่เดิมต่อสู้ร่วมกับฝ่ายต่อต้านฝรั่งเศสรวมทั้งแซกโซนีและเวสต์ฟาเลียก็หันกลับมาเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและเข้าร่วมในสมาพันธรัฐ แต่แซกโซนีก็เปลี่ยนข้างอีกครั้งในปี ค.ศ. 1813 ระหว่างยุทธการไลพ์ซิกที่ทำให้รัฐอื่นรีบทำตามและประกาศสงครามกับฝรั่งเศส
  16. ทั้งสี่รัฐนี้[ไหน?] เป็นรัฐนำของสมาพันธ์ แต่สมาพันธ์ประกอบด้วยอาณาเขตของราชรัฐ, ราชอาณาจักรและดัชชี่ รวมทั้งหมด 43 แห่ง
  17. เดนมาร์ก-นอร์เวย์ยังคงรักษาความเป็นกลางมาจนถึงยุทธการโคเปนเฮเกน (ค.ศ. 1807) เดนมาร์กถูกบังคับให้ยกนอร์เวย์ให้แก่สวีเดนตามสนธิสัญญาคีลในปี ค.ศ. 1814 หลังจากการรบทางทหารของสวีเดนต่อนอร์เวย์ นอร์เวยก็รวมเป็นสหอาณาจักรกับสวีเดน
Remove ads

อ้างอิง

หนังสืออ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads