คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
จักรพรรดิญี่ปุ่น
พระประมุขแห่งรัฐญี่ปุน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
จักรพรรดิญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本天皇) ทรงเป็นผู้นำราชวงศ์ญี่ปุ่นและประมุขแห่งรัฐของญี่ปุ่น รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1947 มาตรา 1 บัญญัติว่า "จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งญี่ปุ่นและสัญลักษณ์แห่งความสมัครสมานของชนชาวญี่ปุ่น ตำแหน่งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความยินยอมของชนชาวญี่ปุ่นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย"[1]
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวที่ประมุขแห่งรัฐเรียกว่า "จักรพรรดิ" และราชวงศ์ญี่ปุ่นก็เป็นราชวงศ์เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน[2] ต้นกำเนิดในทางประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นปรากฏในปลายยุคโคฟุง (คริสต์ศตวรรษที่ 3–7) แต่เอกสารในทางประเพณีที่เรียกว่า โคจิกิ (เขียนเสร็จใน ค.ศ. 712) และ นิฮงโชกิ (เขียนเสร็จใน ค.ศ. 720) ระบุว่า จักรพรรดิจิมมุทรงสถาปนาประเทศขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล และถือกันว่า ทรงสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอามาเตราซุ เทพธิดาแห่งดวงตะวัน[3][4] จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน คือ จักรพรรดินารูฮิโตะ ผู้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 หนึ่งวันหลังจากจักรพรรดิอากิฮิโตะ พระบิดา ทรงสละราชบัลลังก์
ในทางประวัติศาสตร์ บทบาทของจักรพรรดิญี่ปุ่นสลับไปมาระหว่างหน้าที่เชิงพิธีการกับหน้าที่ของผู้ปกครองอย่างแท้จริง เพราะนับแต่เกิดระบอบโชกุนเมื่อ ค.ศ. 1199 เป็นต้นมา โชกุน ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็สำเร็จราชการแทนจักรพรรดิ และบางสมัย เช่น ยุคคามากูระ (ค.ศ. 1203–1333) ก็มีชิกเก็งมาใช้อำนาจแทนโชกุนอีกทอดหนึ่ง ทำให้โชกุนและชิกเก็งเป็นผู้ปกครองประเทศโดยพฤตินัย แม้ว่าโดยนิตินัยแล้วจะได้รับแต่งตั้งจากจักรพรรดิอีกที กระทั่งมีการปฏิรูปเมจิเมื่อ ค.ศ. 1867 โชกุนโทกูงาวะ โยชิโนบุ ถวายอำนาจคืนจักรพรรดิเมจิ ทำให้พระองค์ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยโดยบริบูรณ์ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1889 แต่เมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับ ค.ศ. 1947 ก็กำหนดให้จักรพรรดิกลับไปเป็นประมุขแต่ในทางพิธีการดังเดิม ไม่มีแม้กระทั่งอำนาจการเมืองในทางนิตินัย
จักรพรรดิประทับ ณ เคียวโตะ เมืองหลวงเดิม มาเกือบ 11 ศตวรรษ จนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงแปรพระราชฐานมายังพระราชวังหลวงในโตเกียว เมืองหลวงใหม่ นอกจากนี้ วันพระราชสมภพของจักรพรรดิ (พระองค์ปัจจุบัน คือ 23 กุมภาพันธ์) ยังเป็นวันหยุดราชการ
Remove ads
บทบาท
สรุป
มุมมอง
จักรพรรดิญี่ปุ่นมิได้เป็นผู้บริหารสูงสุดในทางนิตินัยของประเทศ ซึ่งต่างจากพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1947 มาตรา 65 และ 66 ระบุไว้ชัดเจนว่า อำนาจบริหารเป็นของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งมีนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นหัวหน้า[5] ทั้งจักรพรรดิก็มิใช่ผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังป้องกันตนเอง เพราะตามกฎหมายแล้วเป็นบทบาทของนายกรัฐมนตรี
อำนาจของจักรพรรดิจำกัดอยู่แต่ทางพิธีการ รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1947 มาตรา 4 ระบุว่า "จักรพรรดิทรงปฏิบัติกิจที่เกี่ยวข้องกับราชการแผ่นดินตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญนี้เท่านั้น และไม่ทรงมีอำนาจในราชการแผ่นดิน"[6] ส่วนมาตรา 3 ก็ระบุว่า "กิจของจักรพรรดิที่เกี่ยวเนื่องกับราชการแผ่นดิน ต้องเป็นไปตามคำแนะนำและความยินยอมของคณะรัฐมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีรับผิดชอบกิจดังกล่าว"[7]
รัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ระบุว่า "จักรพรรดิทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามที่สภานิติบัญญัติถวายชื่อ จักรพรรดิทรงแต่งตั้งประธานศาลสูงสุดตามที่คณะรัฐมนตรีถวายชื่อ"[8]
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ให้จักรพรรดิทรงปฏิบัติกิจดังต่อไปนี้ในนามของประชาชน แต่เมื่อทรงได้รับคำแนะนำและความยินยอมของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น[9]
- ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม, พระราชบัญญัติ, พระราชกฤษฎีกา, และสนธิสัญญา
- เรียกประชุมสภานิติบัญญัติ
- ยุบสภาผู้แทนราษฎร
- ประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติเป็นการทั่วไป
- รับรองการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีและข้าราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด และรับรองหนังสือมอบอำนาจและตราตั้งเอกอัครราชทูตและอัครราชทูต
- รับรองการนิรโทษกรรมหมู่, การนิรโทษกรรมพิเศษ, การลดโทษ, การรอการลงโทษ, และการคืนสถานะ
- พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- รับรองสัตยาบันสารและเอกสารอื่นในทางการทูตตามที่กฎหมายกำหนด
- ออกรับเอกอัครราชทูตและอัครราชทูตต่างประเทศ
- ปฏิบัติพิธีการ
ปรกติแล้ว พิธีการที่รัฐธรรมนูญกล่าวถึง คือ ชินนินชิกิ (การแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่ เช่น นายกรัฐมนตรี, ประธานศาลสูงสุด ฯลฯ) ซึ่งกระทำในพระราชวังหลวง และการเปิดประชุมวุฒิสภา ณ อาคารสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งสมัยสามัญและวิสามัญ[10]
Remove ads
ที่มาฐานันดรศักดิ์จักรพรรดิญี่ปุ่น
สรุป
มุมมอง
จักรพรรดิญี่ปุ่น เรียกว่า เทนโนะ มีต้นกำเนิดมาจากจีน คือคำว่า "เทียนหวงต้าตี้ (天皇大帝)[11]" ซึ่งแปลว่า จักพรรดิมหาราช โดยมีจักรพรรดิถังเกาจง ทรงเป็นพระองค์แรกที่ได้รับพระราชสมัญญานามนี้ แต่ภายหลังทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามใหม่ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิสวรรค์ต้าเซิ่งต้าหงเซี่ยว (天皇大圣大弘孝皇帝)
ในประเทศจีน ย้อนกลับไปก่อนยุคปฐมจักรพรรดิ นั้นปรากฏคำว่า"หวง (皇)" และ"ตี้ (帝)" เป็นฐานันดรศักดิ์ของเทพเจ้าจีนอย่างสามราชาห้าจักรพรรดิ โดยก่อนหน้านั้น พระองค์ถูกเรียกว่ามหาราชา (大王) แต่หลังจากเมื่อรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงมีพระราชประสงค์ จะใช้พระบรมราชอิสริยยศที่สูงกว่าเดิม บรรดาข้าราชการ จึงทูลเกล้าฯ ถวายฐานันดรศักดิ์ต่างๆ เช่น จักรพรรดิสวรรค์ (天皇), จักรพรรดิพิภพ (地皇), จักรพรรดิยิ่งใหญ่ (泰皇)
อย่างไรก็ตามจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงถือว่าพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ มากล้นด้วยพระบารมี และคุณูปการอันยิ่งใหญ่เหนือกว่าสามราชาห้าจักรพรรดิ ดังนั้นฐานันดรศักดิ์เดิมอย่าง "หวง (皇)" , "ตี้ (帝)" , "มหาราชา (大王)" ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงถึงสถานะอันสูงส่งของพระองค์ได้
จึงทรงสถาปนาฐานันดรศักดิ์ใหม่ คือฮ่องเต้ (皇帝) จึงกลายเป็นฐานันดรศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินจีนใช้สืบต่อกันมาพันปี
เดิมในอดีตเมื่อครั้งญี่ปุ่นมีการส่งราชทูตไปจีน ได้เรียกพระมหากษัตริย์ของตนว่า โคะคุโอ (国王) แปลว่า พระราชาธิบดี
ตามบันทึกของญี่ปุ่นเมื่อมีการส่งคณะราชทูตเยือนราชวงศ์สุยครั้งที่ 2 พระราชสาส์นที่ส่งไปยังจักรพรรดิสุยหยางตี้ ได้เขียนว่า:
「日出處天子 致書 日沒處天子」
โอรสสวรรค์แดนอาทิตย์อุทัยมีข้อความพระราชสาส์นถึงโอรสสวรรค์แดนอาทิตย์อัสดง
ทั้งสองฝ่ายจึงต่างใช้คำว่า 「天子」 ซึ่งเป็นคำเฉพาะที่ใช้เรียกจักรพรรดิจีนเท่านั้น นี่จึงทำให้จักรพรรดิสุยมีพระพิโรธ เพราะเห็นว่าเป็นการวางตนเสมอพระองค์
ข้อความพระราชสาส์นจากราชวงศ์สุยถึงญี่ปุ่น (ตามบันทึกของญี่ปุ่น) มีข้อความว่า:
「皇帝問倭皇」
"ฮ่องเต้ตรัสถึงจักรพรรดิเถื่อน"
จากข้อความ ทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างใช้คำว่า「皇」แต่รูปแบบของพระราชสาส์นนั้น เป็นแบบที่ฮ่องเต้ส่งถึงเจ้าชั้นต่ำของชาติป่าเถื่อน เรียกว่าจากบนลงล่าง กล่าวถึงผู้มีสถานะต่ำกว่าพระองค์
ข้อความพระราชสาส์นจากญี่ปุ่นถึงราชวงศ์สุย (ตามบันทึกของญี่ปุ่น) มีข้อความว่า:
「東天皇 敬白 西皇帝」
"จักรพรรดิบูรพา ถวายบังคมจักรพรรดิประจิม"[12]
จากข้อความพระราชสาส์นเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนถ้อยคำในพระราชสาส์นใหม่ โดยใช้คำว่าเทนโนะ 「天皇」 แทนพระนามของพระมหากษัตริย์ตน และเรียกจักรพรรดิสุยว่าฮ่องเต้ 「皇帝」 ตามแบบของจีน อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ปรากฏในพงศาวดารของญี่ปุ่นเท่านั้น[13]。 และไม่มีบันทึกในพงศาวดารของจีน เนื่องจากจักรพรรดิเท็มมุ ต้องการเพิ่มความชอบธรรมในการใช้พระบรมราชอิสริยยศ "จักรพรรดิ" ของพระองค์[14]
ซึ่งจักรพรรดิเท็มมุ พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 40 พระองค์เริ่มใช้ฐานันดรศักดิ์ (天皇) ภายในประเทศ เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจาก จักรพรรดิถังเกาจง ที่เดิมมีพระราชสมัญญานามว่า จักพรรดิมหาราช (天皇大帝) โดยจักรพรรดิเท็มมุ ได้นำอักษร 2 ตัวแรกคืออักษร "ฟ้า (天)" และ "ผู้ทรงศักดิ์ (皇)" มาใช้เป็นฐานันดรศักดิ์ และพระองค์ก็ได้มีการสถาปนาฐานันดรศักดิ์แด่พระมหาบูรพกษัตริย์ญี่ปุ่นในรัชกาลก่อนๆ ขึ้นเป็นจักรพรรดิ
แต่ราชวงศ์ถัง ไม่ยอมรับคำว่า「天皇」โดยเลือกใช้คำว่า "เจ้าชาย (王子)" หรือ「王」แทนพระเจ้าแผ่นดินญี่ปุ่นในพระราชสาส์น สะท้อนถึงความขัดแย้งเรื่องการยอมรับสถานะของจีนที่มีต่อญี่ปุ่น
จนถึงช่วงรัชศกถงจื้อ ของราชวงศ์ชิงตอนปลาย ราชสำนักได้ ยอมรับสถานะของญี่ปุ่น ว่าเป็นอารยรัฐที่มีสถานะ เท่าเทียมกับจีน และยอมรับฐานันดรศักดิ์พระเจ้าแผ่นดินญี่ปุ่นว่าเป็นจักรพรรดิ (天皇)[15]
Remove ads
การเรียกขาน
ในภาษาญี่ปุ่น มีคำสองคำซึ่งเทียบเท่ากับคำว่า "จักรพรรดิ" (emperor) คือ คำว่า "เท็นโน" (天皇) แปลตรงตัวว่า "เจ้าฟ้า" (heavenly sovereign) ใช้เรียกจักรพรรดิญี่ปุ่น และ "โคเต" (皇帝) ซึ่งมาจากภาษาจีนว่า "หฺวังตี้" (ฮ่องเต้) ใช้เรียกจักรพรรดิชาติอื่น
ในภาษาญี่ปุ่นเก่า ก่อนใช้คำว่า "เท็นโน" นั้น เรียกขานพระมหากษัตริย์ญี่ปุ่นว่า "ยามาโตโอกิมิ" (大和大王) แปลว่า "มหาราชาแห่งยามาโตะ" (Great King of Yamato), "วาโอ" (倭王) แปลว่า "ราชาแห่งวะ" (King of Wa), หรือ "วาโกกูโอ" (倭国王) แปลว่า "ราชาแห่งรัฐวะ" (King of Wa State)
จักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ปัจจุบัน มักเรียกขานว่า "เท็นโนเฮกะ" (天皇陛下) แปลว่า "สมเด็จพระจักรพรรดิ", หรือ "คินโจเฮกะ" (今上陛下) แปลว่า "สมเด็จพระองค์ปัจจุบัน", หรือสั้น ๆ ว่า "เท็นโน"
คำว่า "เท็นโน" นั้นใช้มาจนถึงยุคกลาง ก็เลิกใช้ไป แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 จวบจนปัจจุบัน[16]
ในภาษาอังกฤษ เคยเรียกจักรพรรดิญี่ปุ่นว่า "มิกาโดะ" (御門) แปลตรงตัวว่า "ประตูอันทรงเกียรติ" (honorable gate) หมายถึง ประตูพระราชวัง[17]
นับแต่สมัยจักรพรรดิเมจิ มีธรรมเนียมตั้งชื่อรัชศกสำหรับจักรพรรดิแต่ละพระองค์ และเมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว จะเรียกขานพระองค์ด้วยชื่อรัชศก เช่น จักรพรรดิอากิฮิโตะ มีชื่อรัชศกว่า "เฮเซ" และเป็นที่คาดหมายว่า เมื่อสวรรคตแล้ว พระนามจะเปลี่ยนไปเป็น "จักรพรรดิเฮเซ"
ทรัพย์สิน
สรุป
มุมมอง
เดิมเชื่อกันจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองว่า จักรพรรดิญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก[18] กฎหมายพระราชทรัพย์ (Imperial Property Law) ที่มีผลใช้บังคับในเดือนมกราคม ค.ศ. 1911 แยกพระราชทรัพย์ของจักรพรรดิออกเป็นสองประเภท คือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (crown estate) กับทรัพย์สินส่วนพระองค์ (personal property) และให้เสนาบดีกระทรวงวัง (Imperial Household Minister) รับผิดชอบคดีความเกี่ยวกับพระราชทรัพย์ กฎหมายดังกล่าวยังให้เก็บภาษีจากพระราชทรัพย์ได้ตราบที่ไม่มีบทบัญญัติว่าไว้เป็นอื่น และให้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ออกใช้เพื่อกิจการสาธารณะหรือกิจการที่ได้รับพระราชานุญาตได้ ส่วนพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์ เช่น จักรพรรดินีม่าย, จักรพรรดินี, มกุฏราชกุมาร, มกุฏราชกุมารี, ราชนัดดา, และคู่ครองของราชนัดดา ได้รับการยกเว้นภาษี[19] ดังนั้น เมื่อประสบปัญหาทางการเงินใน ค.ศ. 1921 ราชวงศ์จึงขายที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ 289,259.25 เอเคอร์ (ร้อยละ 26 ของทั้งหมด) ไปให้เอกชน หรือโอนให้รัฐบาล ต่อมาใน ค.ศ. 1930 ยังบริจาคปราสาทนาโงยะให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมขายและบริจาคพระตำหนักอีกหกหลังออกไปจากความครอบครองของราชวงศ์[19] ครั้น ค.ศ. 1939 มีการบริจาคปราสาทนิโจ ที่พำนักเก่าของโชกุนตระกูลโทกูงาวะในเคียวโตะ ให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเช่นกัน
ปลาย ค.ศ. 1935 รัฐบาลคำนวณว่า ที่ดินในกรรมสิทธิ์ของราชสำนักถือมีราว 3,111,965 เอเคอร์ โดย 2,599,548 เอเคอร์เป็นที่ดินส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ และราว 512,161 เอเคอร์เป็นที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ดินทำนองนี้ประกอบด้วย หมู่พระราชวัง, ป่า, ไร่, และสถานที่ใช้ประทับหรือใช้เพื่อการพาณิชย์ จึงประเมินมูลค่าพระราชทรัพย์ประเภทที่ดินทั้งหมดไว้ที่ 650 ล้านเยน (195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[19][20] ส่วนทรัพย์สินส่วนพระองค์ในรูปมรดก, เครื่องเรือน, ปศุสัตว์สายพันธุ์แท้, และการลงทุนในหน่วยงานใหญ่ เช่น ธนาคารแห่งญี่ปุ่น, บรรษัทโรงแรมหลวง, และบรรษัทนิปปงยูเซ็ง มีมูลค่ารวมหลายร้อยล้านเยน[19]
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เกิดการปฏิรูปรัฐธรรมนูญซึ่งบีบให้ราชวงศ์ขายสินทรัพย์ให้แก่เอกชนหรือรัฐบาล เจ้าหน้าที่ในราชสำนักก็ตัดจำนวนลงจากราว 6,000 คนเป็นประมาณ 1,000 คน ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งประเมินไว้ที่ 17.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็โอนไปยังเอกชนหรือรัฐบาล เหลือไว้แต่ที่ดินเพียง 6,810 เอเคอร์ ส่วนค่าใช้จ่ายของราชวงศ์นั้น รัฐบาลจะอนุมัติงบสนับสนุนเป็นรายปี[21]
ใน ค.ศ. 2017 มีการประเมินว่า จักรพรรดิอากิฮิโตะมีพระราชทรัพย์เป็นมูลค่าทั้งสิ้น 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[22] แต่มูลค่าที่แท้จริงของพระราชทรัพย์และค่าใช้จ่ายของจักรพรรดิและราชวงศ์นั้นไม่ทราบแน่ชัด เพราะปกปิดจากสาธารณะมาตั้งแต่ ค.ศ. 2003 หลังเกิดกรณีที่นักข่าวของ ไมนิจิชิมบุง นาม โมริ โยเฮ (Mori Yohei) ไปได้เอกสารราชการ 200 ฉบับ แล้วนำมาเขียนเป็นหนังสือเปิดเผยรายละเอียดของเงินปีที่รัฐบาลอนุมัติให้ราชวงศ์ โดยระบุว่า เงินปีสำหรับ ค.ศ. 2003 อยู่ที่ 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[23] ทั้งยังเปิดเผยว่า ราชวงศ์จ้างคนมาใช้งานเป็นเจ้าหน้าที่มากกว่า 1,000 คน นอกเหนือไปจากข้อมูลอื่น ๆ[24]
Remove ads
ดูเพิ่ม
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ จักรพรรดิญี่ปุ่น
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads