คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ราชวงศ์ญี่ปุ่น
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ราชวงศ์ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 皇室; โรมาจิ: Kōshitsu; ทับศัพท์: โคชิตสึ; อังกฤษ: Imperial House of Japan) เป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่มีอายุยืนยาวนานมากที่สุดในโลก และเป็นราชวงศ์ที่มีการสืบสันตติวงศ์มากที่สุดในโลก[1] โดยนับตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิจิมมุ เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 660 ปีก่อนคริสตกาล[1][2][3] (116 ปีก่อนพุทธศักราช) จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ รวมเป็นระยะเวลากว่า 2684 ปี โดยมีจักรพรรดิ/จักรพรรดินีที่ปกครองรวมทั้งหมด 126 รัชกาล
จักรพรรดิจิมมุ และจักรพรรดิในยุคแรกๆ จะถือว่าเป็นยุคตำนาน ซึ่งไม่ได้มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน มีแต่การเล่าขานเป็นส่วนใหญ่[4] จึงยังเป็นข้อถกเถียงกันว่าควรนับจุดเริ่มต้นของราชวงศ์ญี่ปุ่นจากจักรพรรดิจิมมุหรือไม่ นักวิชาการบางส่วนระบุว่ามีหลักฐานมากพอที่จะนับจุดเริ่มต้นของราชวงศ์ญี่ปุ่นจากจักรพรรดิจิมมุ[1][3] แต่นักวิชาการบางส่วนก็ระบุว่าควรเริ่มนับจาก จักรพรรดิคิมเม มากกว่า ซึ่งพระองค์ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1052 เนื่องจากมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้[5][6] ถ้าหากนับตามทฤษฎีหลัง ราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบันจะมีอายุ 1516 ปี และมีจักรพรรดิ/จักรพรรดินีที่ปกครองรวมทั้งหมด 98 รัชกาล
สัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ญี่ปุ่น คือ ตราราชวงศ์ดอกเบญจมาศ (ญี่ปุ่น: 菊花紋章; โรมาจิ: Kiku-Ka-Mon-Shou; ทับศัพท์: คิกู-กา-มน-โช) ซึ่งเป็นหนึ่งในตราดอกเบญจมาศ (ญี่ปุ่น: 菊花紋; โรมาจิ: Kiku-Ka-Mon; ทับศัพท์: คิกู-กา-มน) สำหรับราชวงศ์ญี่ปุ่นนั้น จะมีการออกแบบตราดอกเบญจมาศออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- ตราดอกเบญมาศกลีบซ้อน 16 กลีบ จะใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของจักรพรรดิ หรือที่เรียกว่า "พระราชลัญจกรดอกเบญจมาศ"[7]
- ตราดอกเบญจมาศกลีบเดี่ยว 14 กลีบ จะใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์[7] เช่น ตราประจำ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา)
Remove ads
นิยามและขอบเขต
สรุป
มุมมอง
"โคชิตสึ" (ราชวงศ์ญี่ปุ่น) โดยคำนิยามหมายถึง "จักรพรรดิและพระบรมวงศานุวงศ์"[8] ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นคำว่า "คิวชิตสึ" (宮室)[9] และ "เทชิตสึ" (帝室)[10] มาก่อน
ขอบเขตของ "โคชิตสึ" (ราชวงศ์ญี่ปุ่น) จะมีความแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย สำหรับยุคปัจจุบันนั้น หลังจากที่จักรวรรดิญี่ปุ่นพ้ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ชนะสงคราม ได้ทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้กับญี่ปุ่น โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 และมีผลบังคับใช้เป็นรัฐธรรมนูญในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา[11][12]
ซึ่งในมาตรา 2 และ มาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญได้มีการระบุถึงกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範) จึงทำให้ทางสภานิติบัญญัติแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น (帝国議会) ทำการร่างกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นขึ้นมาแทนฉบับเดิม โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2490 และเป็นกฎหมายต้นฉบับที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน[12][13]
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14][15] ได้ระบุว่า "โคชิตสึ" (ราชวงศ์ญี่ปุ่น) จะประกอบไปด้วย โคโง (จักรพรรดินี), โจโก (จักรพรรดิพระเจ้าหลวง), ไทโคไตโง (พระราชอัยยิกา), โคไตโง (จักรพรรดินีพระพันปีหลวง), โจโกโง (จักรพรรดินีพระพันปีหลวง), ชินโน (เจ้าชายชั้นเอก), ชินโนฮิ (พระชายาในเจ้าชายชั้นเอก), ไนชินโน (เจ้าหญิงชั้นเอก), โอ (เจ้าชายชั้นรอง), โอฮิ (พระชายาในเจ้าชายชั้นรอง), และโจโอ (เจ้าหญิงชั้นรอง) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ อิสริยยศและฐานันดร
นอกจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ผลกระทบของการแพ้สงครามยังทำให้พระบรมวงศานุวงศ์จำนวน 51 พระองค์ (เป็นราชวงศ์ชาย 26 พระองค์ และราชวงศ์หญิง 25 พระองค์) ของ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ต่างๆ จำนวน 11 ราชวงศ์ ถูกลดฐานันดรศักดิ์ไปเป็นสามัญชน โดยให้เหลือเพียงแค่พระบรมวงศานุวงศ์ใกล้ชิดของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะเท่านั้น ได้แก่ สมเด็จพระจักรพรรดินี, จักรพรรดินีพระพันปีหลวง, พระราชโอรส, พระราชธิดา, พระราชอนุชา, และพระราชภาติยะ จึงทำให้จำนวนพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบันลดลงเป็นอย่างมาก[16][17]
Remove ads
จักรพรรดิ
บทความหลัก: จักรพรรดิญี่ปุ่น
จักรพรรดิ (ญี่ปุ่น: 天皇; โรมาจิ: Tennō; ทับศัพท์: เท็นโน; อังกฤษ: Emperor) ทรงเป็นผู้นำราชวงศ์ญี่ปุ่นและประมุขแห่งรัฐของญี่ปุ่น โดยรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น พ.ศ. 2490 มาตรา 1 บัญญัติไว้ว่า "จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งญี่ปุ่นและสัญลักษณ์แห่งความสมัครสมานของชนชาวญี่ปุ่น ตำแหน่งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความยินยอมของชนชาวญี่ปุ่นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย อีกทั้งจะทรงกระทำเฉพาะกิจการของรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และจะทรงไม่มีพระราชอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง"[12]
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่ยังคงเรียกประมุขแห่งรัฐว่า "จักรพรรดิ"[1]
จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ซึ่งเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 126 ของราชวงศ์ญี่ปุ่น โดยเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[18]
ลำดับการสืบสันตติวงศ์
บทความหลัก: ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ญี่ปุ่น
ลำดับการสืบสันตติวงศ์จะเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ใน กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範) หมวดที่ 1[14]
Remove ads
พระบรมวงศานุวงศ์
สรุป
มุมมอง
พงศาวลีของราชวงศ์ญี่ปุ่น
พงศาวลีของราชวงศ์ญี่ปุ่น โดยพระองค์ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์/พระฉายาลักษณ์ คือพระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบัน
รายพระนามพระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบัน
ปัจจุบันราชวงศ์ญี่ปุ่นมีพระบรมวงศานุวงศ์อยู่ทั้งหมด 16 พระองค์[19] ดังนี้
อดีตพระบรมวงศานุวงศ์
อดีตพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยนับตั้งแต่หลังยุคสงครามเป็นต้นมา มีดังนี้
Remove ads
อิสริยยศและฐานันดร
สรุป
มุมมอง
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ลงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562[14] ได้ระบุในมาตรา 5 ว่า ราชวงศ์ญี่ปุ่นจะประกอบไปด้วย
- โคโง (จักรพรรดินี)
- ไทโคไตโง (พระราชอัยยิกา)
- โคไตโง (จักรพรรดินีพระพันปีหลวง)
- ชินโน (เจ้าชายชั้นเอก)
- ชินโนฮิ (พระชายาในเจ้าชายชั้นเอก)
- ไนชินโน (เจ้าหญิงชั้นเอก)
- โอ (เจ้าชายชั้นรอง)
- โอฮิ (พระชายาในเจ้าชายชั้นรอง)
- โจโอ (เจ้าหญิงชั้นรอง)
นอกจากนี้ ตามกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562[15] มีการสถาปนาอิสริยยศเพิ่มเติม ได้แก่
- โจโก (จักรพรรดิพระเจ้าหลวง)
- โจโกโง (จักรพรรดินีพระพันปีหลวง)
จักรพรรดินี
บทความหลัก: จักรพรรดินีญี่ปุ่น
จักรพรรดินี (ญี่ปุ่น: 皇后; โรมาจิ: Kōgō; ทับศัพท์: โคโง; อังกฤษ: Empress Consort) เป็นอิสริยยศสำหรับพระอัครมเหสีในจักรพรรดิ[21]
จักรพรรดินีพระองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ ทรงดำรงพระอิสริยยศนี้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 หลังจากพระราชสวามี สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ขึ้นครองราชย์[22]
จักรพรรดินีในอีกความหมายหนึ่งคือ "สตรีผู้เป็นประมุขของจักรวรรดิ" โดยญี่ปุ่นจะใช้ศัพท์อีกคำว่า "โจเซเท็นโน" (ญี่ปุ่น: 女性天皇[23]; โรมาจิ: Josei Tennō; อังกฤษ: Empress Regnent) ซึ่งกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบัน[14] ไม่อนุญาตให้สตรีขึ้นครองราชย์เป็นประมุข อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่น เคยมีสตรีผู้ที่เคยครองราชย์จำนวน 8 พระองค์[1][24]
โจโก
โจโก (ญี่ปุ่น: 上皇; โรมาจิ: Jōkō; อังกฤษ: Emperor Emeritus) เป็นอิสริยยศสำหรับอดีตจักรพรรดิที่สละราชสมบัติ โดยสื่อไทยมีการระบุอิสริยยศ "โจโก" ว่าเป็น "จักรพรรดิพระเจ้าหลวง"[25][26][27]
ตามกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562[15] ได้ระบุเกี่ยวกับอิสริยยศ "โจโก" ดังนี้
- มาตรา 1: กฎหมายพิเศษนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดมาตรการที่จำเป็นอันเนื่องมาจากการสละราชสมบัติของจักรพรรดิ การขึ้นครองราชย์ของรัชทายาทในกรณีพิเศษ ที่ถือว่ามาตรา 4 ในกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น เป็นข้อยกเว้น (รัชทายาทจะครองราชย์ก็ต่อเมื่อจักรพรรดิสวรรคต)[14] รวมถึงพระอิสริยยศของจักรพรรดิภายหลังการสละราชสมบัติ
- มาตรา 3:
- วรรค 1: จักรพรรดิที่สละราชสมบัติ ให้เรียกว่า "โจโก"
- วรรค 2: เคโช (敬称) หรือคำยกย่องพระเกียรติ ให้ใช้คำว่า "เฮกะ" (陛下)
- วรรค 3: การขึ้นทะเบียนต่าง ๆ, ข้อกำหนดพระราชพิธีบรมศพ, และข้อกำหนดเกี่ยวกับสุสานหลวง ให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมเหมือนกับจักรพรรดิ
- วรรค 4: นอกจากที่กล่าวไปในวรรค 1 - 3 แล้ว ให้ปฏิบัติตามที่ระบุในกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น[14] เหมือนกับพระบรมวงศานุวงศ์อื่น ๆ (ยกเว้นมาตรา 2, มาตรา 28 วรรค 2 และ 3, และมาตรา 30 วรรค 2)
พระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์ญี่ปุ่นที่ดำรงพระอิสริยยศ "โจโก" มีดังนี้
ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่นเคยมีจักรพรรดิที่สละราชสมบัติถึง 58 พระองค์ โดยพระองค์ล่าสุดคือ จักรพรรดิโคกากุ เมื่อ พ.ศ. 2360 ซึ่งในอดีต จักรพรรดิที่สละราชสมบัติจะดำรงพระอิสริยยศ "ไดโจเท็นโน" (ญี่ปุ่น: 太上天皇; โรมาจิ: Daijō Tennō)[28] อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ ถือว่าเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่สละราชสมบัติภายใต้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น และดำรงพระอิสริยยศ "โจโก"[28]
ไทโคไตโง
ไทโคไตโง (ญี่ปุ่น: 太皇太后; โรมาจิ: Tai-Kōtaigō; อังกฤษ: Grand Empress Dowager) เป็นอิสริยยศสำหรับพระราชอัยยิกา (ย่า) ในจักรพรรดิ[29] ซึ่งตั้งแต่กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นฉบับยุคหลังสงครามถูกประกาศใช้มา ยังไม่เคยมีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงพระอิสริยยศนี้
โคไตโง
โคไตโง (ญี่ปุ่น: 皇太后; โรมาจิ: Kōtaigō; อังกฤษ: Empress Dowager) เป็นอิสริยยศสำหรับอดีตจักรพรรดินีในจักรพรรดิที่สวรรคตแล้ว [30] ซึ่งในปัจจุบันไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงอิสริยยศนี้
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงพระอิสริยยศ "โคไตโง" โดยนับตั้งแต่ยุคหลังสงครามเป็นต้นมา มีดังนี้
หลังจากที่สวรรคต จะมีการถวายพระสมัญญานามให้กับพระองค์ ควบคู่กับการใช้พระอิสริยยศว่า "โคโง" (จักรพรรดินี) เนื่องจากเป็นพระอิสริยยศสูงสุดที่พระองค์เคยได้รับ เช่น หลังการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง ได้มีการถวายพระสมัญญานามของพระองค์เป็น "โคจุงโคโง" (香淳皇后) หรือ จักรพรรดินีโคจุง[31]
ในยุคก่อนสงคราม เคยมีราชวงศ์หญิงที่ดำรงอิสริยยศนี้ โดยที่พระองค์ไม่เคยดำรงพระอิสริยยศ จักรพรรดินี มาก่อน ซึ่งในกรณีนี้จะเป็นการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ เช่น
- พระสนมที่เป็นพระราชมารดาในจักรพรรดิ เช่น จักรพรรดินีโคโนเอะ พระพันปีหลวง (พระราชมารดาในจักรพรรดิโคกากุ)
- พระสนมที่เป็นพระราชมารดาบุญธรรมในจักรพรรดิ เช่น จักรพรรดินีเอโช พระพันปีหลวง (พระราชมารดาบุญธรรมในจักรพรรดิเมจิ)[32]
โจโกโง
โจโกโง (ญี่ปุ่น: 上皇后; โรมาจิ: Jōkogō; อังกฤษ: Empress Emerita) เป็นอิสริยยศสำหรับพระอัครมเหสีในอดีตจักรพรรดิที่สละราชสมบัติ โดยสื่อไทยได้มีการระบุอิสริยยศ "โจโกโง" ว่าเป็น "จักรพรรดินีพระพันปีหลวง"[33][34][35]
ตามกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562[15] ได้ระบุเกี่ยวกับอิสริยยศ "โจโกโง" ดังนี้
- มาตรา 4
- วรรค 1: พระอัครมเหสีใน โจโก (จักรพรรดิที่สละราชสมบัติ) จะดำรงอิสริยยศ "โจโกโง"
- วรรค 2: สิ่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น[14]สำหรับ "โจโกโง" ให้ปฏิบัติตามอิสริยยศ โคไตโง
พระบรมวงศานุวงศ์ในราชวงศ์ญี่ปุ่นที่ดำรงพระอิสริยยศ "โจโกโง" มีดังนี้
ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่เคยมีพระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงอิสริยยศนี้มาก่อน โดยสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะ ทรงดำรงพระอิสริยยศ "โจโกโง" เป็นพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่น และพระองค์ยังคงทรงดำรงพระอิสริยยศนี้ในปัจจุบัน
ชินโน
ชินโน (ญี่ปุ่น: 親王; โรมาจิ: Shinnō; อังกฤษ: Prince) เป็นฐานันดรสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ชายชั้นสูง (เจ้าชายชั้นเอก) ซึ่งทรงได้รับตั้งแต่แรกประสูติ อันได้แก่ พระราชโอรส และพระราชนัดดา (ชาย) ในจักรพรรดิ เมื่อ "ชินโน" บรรลุนิติภาวะ จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับฐานันดร "ชินโน" ดังนี้
- มาตรา 6: พระราชโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายในจักรพรรดิ รวมถึงพระราชนัดดา (ชาย) ที่สืบเชื้อสายจากพระราชโอรสในจักรพรรดิและถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นชายจะดำรงฐานันดร "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) ส่วนพระราชทายาทลำดับที่ 3 เป็นต้นไปในจักรพรรดิ หากเป็นชายจะดำรงฐานันดร "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง)
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | ชินโน (รุ่น 1) | ไนชินโน (รุ่น 1) | |||||||||||||||||||||||||||
ชินโน/ไนชินโน | ชินโน (รุ่น 2) | ไนชินโน (รุ่น 2) | |||||||||||||||||||||||||||
โอ (รุ่น 3) | โจโอ (รุ่น 3) | ||||||||||||||||||||||||||||
โอ/โจโอ | |||||||||||||||||||||||||||||
- มาตรา 7: หาก "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ พระอนุชาของพระองค์จะได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็น "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก)
- มาตรา 11 วรรค 2: "ชินโน" (ยกเว้นรัชทายาท) สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ หากมีเหตุผลสำคัญ และต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 13: หาก "ชินโน" สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของพระองค์ (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
"ชินโน" ในปัจจุบัน
พระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบันที่ยังคงดำรงฐานันดร "ชินโน" มีดังนี้
"ชินโน" ในอดีต
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงฐานันดร "ชินโน" (โดยนับตั้งแต่ยุคเมจิเป็นต้นมา) มีดังนี้
ชินโนฮิ
ชินโนฮิ (ญี่ปุ่น: 親王妃; โรมาจิ: Shinnō-Hi; อังกฤษ: Princess) เป็นอิสริยยศสำหรับพระชายาใน "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) ซึ่งจะได้รับการสถาปนาเมื่ออภิเษกสมรส และจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นประถมาภรณ์ (มงกุฎดอกพอโลเนีย)
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับอิสริยยศ "ชินโนฮิ" ดังนี้
- มาตรา 13: หาก "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของเจ้าชาย (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 14:
- หาก "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) สิ้นพระชนม์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" (พระชายา) สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ตามพระประสงค์
- นอกเหนือจากกรณีในวรรค 1 หากมีเหตุผลสำคัญที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "ชินโนฮิ" (พระชายา) สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- หาก "ชินโนฮิ" (พระชายา) หย่าร้างกับพระสวามี จะต้องสละฐานันดรศักดิ์
- วรรค 1 และ วรรค 3 สามารถอนุโลมใช้ได้กับ "ชินโนฮิ" (พระชายา) ในสมาชิกราชวงศ์สาขาอื่นๆ
"ชินโนฮิ" ในปัจจุบัน
พระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบันที่ยังดำรงอิสริยยศ "ชินโนฮิ" มีดังนี้
"ชินโนฮิ" ในอดีต
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงอิสริยยศ "ชินโนฮิ" (โดยนับตั้งแต่ยุคเมจิเป็นต้นมา) มีดังนี้
ไนชินโน
ไนชินโน (ญี่ปุ่น: 内親王; โรมาจิ: Nai-Shinnō; อังกฤษ: Princess) เป็นฐานันดรสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์หญิงชั้นสูง (เจ้าหญิงชั้นเอก) ซึ่งทรงได้รับตั้งแต่แรกประสูติ อันได้แก่ พระราชธิดา และพระราชนัดดา (หญิง) ในจักรพรรดิ เมื่อ "ไนชินโน" บรรลุนิติภาวะ จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นประถมาภรณ์ (มงกุฎดอกพอโลเนีย)
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับฐานันดร "ไนชินโน" ดังนี้
- มาตรา 6: พระราชธิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายในจักรพรรดิ รวมถึงพระราชนัดดา (หญิง) ที่สืบเชื้อสายจากพระราชโอรสในจักรพรรดิและถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นหญิงจะดำรงฐานันดร "ไนชินโน" (เจ้าหญิงชั้นเอก) ส่วนพระราชทายาทลำดับที่ 3 เป็นต้นไปในจักรพรรดิ หากเป็นหญิงจะดำรงฐานันดร "โจโอ" (เจ้าหญิงชั้นรอง)
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | ชินโน (รุ่น 1) | ไนชินโน (รุ่น 1) | |||||||||||||||||||||||||||
ชินโน/ไนชินโน | ชินโน (รุ่น 2) | ไนชินโน (รุ่น 2) | |||||||||||||||||||||||||||
โอ (รุ่น 3) | โจโอ (รุ่น 3) | ||||||||||||||||||||||||||||
โอ/โจโอ | |||||||||||||||||||||||||||||
- มาตรา 7: หาก "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ พระเชษฐภคณี/พระขณิษฐาของพระองค์ จะได้รับการสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็น "ไนชินโน" (เจ้าหญิงชั้นเอก)
- มาตรา 11
- วรรค 1: "ไนชินโน" ที่พระชนมายุ 15 ชัณษาขึ้นไป สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ตามพระประสงค์ แต่ต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- วรรค 2: นอกจากกรณีในวรรคแรกแล้วนั้น "ไนชินโน" สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ หากมีเหตุผลสำคัญซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 12: หากพระบรมวงศานุวงศ์หญิงเสกสมรสกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่จักรพรรดิหรือพระบรมวงศานุวงศ์ชาย พระองค์จะต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์
- มาตรา 13: หาก "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของพระองค์ (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
"ไนชินโน" ในปัจจุบัน
พระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบันที่ยังคงดำรงฐานันดร "ไนชินโน" มีดังนี้
"ไนชินโน" ในอดีต
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงฐานันดร "ไนชินโน" (โดยนับตั้งแต่ยุคเมจิเป็นต้นมา) มีดังนี้
โอ
โอ (ญี่ปุ่น: 王; โรมาจิ: Ō; อังกฤษ: Prince) เป็นฐานันดรสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ชาย ที่สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิในลำดับที่ 3 เป็นต้นไป ซึ่งทรงได้รับตั้งแต่แรกประสูติ เมื่อ "โอ" บรรลุนิติภาวะ จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดอกคิริ ชั้นมหาปรมาภรณ์
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับฐานันดรศักดิ์ "โอ" ดังนี้
- มาตรา 6: พระราชโอรสที่ถูกต้องตามกฎหมายในจักรพรรดิ รวมถึงพระราชนัดดา (ชาย) ที่สืบเชื้อสายจากพระราชโอรสในจักรพรรดิและถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นชายจะดำรงฐานันดร "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) ส่วนพระราชทายาทลำดับที่ 3 เป็นต้นไปในจักรพรรดิ หากเป็นชายจะดำรงฐานันดร "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง)
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | ชินโน (รุ่น 1) | ไนชินโน (รุ่น 1) | |||||||||||||||||||||||||||
ชินโน/ไนชินโน | ชินโน (รุ่น 2) | ไนชินโน (รุ่น 2) | |||||||||||||||||||||||||||
โอ (รุ่น 3) | โจโอ (รุ่น 3) | ||||||||||||||||||||||||||||
โอ/โจโอ | |||||||||||||||||||||||||||||
- มาตรา 7: หาก "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ จะทำให้พระอนุชาของพระองค์ ได้รับการสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็น "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) รวมถึงพระเชษฐภคณี/พระขณิษฐาของพระองค์ ก็จะได้รับการสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็น "ไนชินโน" (เจ้าหญิงชั้นเอก)
- มาตรา 11
- วรรค 1: "โอ" ที่พระชนมายุ 15 ชัณษาขึ้นไป สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ตามพระประสงค์ แต่ต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- วรรค 2: นอกจากกรณีในวรรคแรกแล้วนั้น "โอ" สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ หากมีเหตุผลสำคัญซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 13: หาก "โอ" สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "โอฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของพระองค์ (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงพระฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
จากเหตุการณ์การลดจำนวนพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2490 จึงทำให้ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงฐานันดร "โอ" อยู่เลยจนถึงปัจจุบัน[16][17]
โอฮิ
โอฮิ (ญี่ปุ่น: 王妃; โรมาจิ: Ō-Hi; อังกฤษ: Princess) เป็นอิสริยยศสำหรับพระชายาใน "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) ซึ่งจะได้รับการสถาปนาเมื่ออภิเษกสมรส
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับอิสริยยศ "โอฮิ" ดังนี้
- มาตรา 13: หาก "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) / "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" / "โอฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของเจ้าชาย (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 14:
- หาก "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) สิ้นพระชนม์แล้วนั้น "โอฮิ" (พระชายา) สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ตามพระประสงค์
- นอกเหนือจากกรณีในวรรค 1 หากมีเหตุผลสำคัญที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "โอฮิ" สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- หาก "โอฮิ" หย่าร้างกับพระสวามี จะต้องสละฐานันดรศักดิ์
- วรรค 1 และ วรรค 3 สามารถอนุโลมใช้ได้กับ "โอฮิ" ในสมาชิกราชวงศ์สาขาอื่นๆ
จากเหตุการณ์การลดจำนวนพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2490 จึงทำให้ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงฐานันดร "โอฮิ" อยู่เลยจนถึงปัจจุบัน[16][17]
โจโอ
โจโอ (ญี่ปุ่น: 女王; โรมาจิ: Jo-Ō; อังกฤษ: Princess) เป็นฐานันดรสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์หญิง ที่สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิในลำดับที่ 3 เป็นต้นไป ซึ่งทรงได้รับตั้งแต่แรกประสูติ เมื่อ "โจโอ" บรรลุนิติภาวะ จะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นทวีติยาภรณ์ (มงกุฎดอกโบตั๋น)
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับฐานันดร "โจโอ" ดังนี้
- มาตรา 6: พระราชธิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายในจักรพรรดิ รวมถึงพระราชนัดดา (หญิง) ที่สืบเชื้อสายจากพระราชโอรสในจักรพรรดิและถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นหญิงจะดำรงฐานันดร "ไนชินโน" (เจ้าหญิงชั้นเอก) ส่วนพระราชทายาทลำดับที่ 3 เป็นต้นไปในจักรพรรดิ หากเป็นหญิงจะดำรงฐานันดร "โจโอ" (เจ้าหญิงชั้นรอง)
จักรพรรดิ | |||||||||||||||||||||||||||||
จักรพรรดิ | ชินโน (รุ่น 1) | ไนชินโน (รุ่น 1) | |||||||||||||||||||||||||||
ชินโน/ไนชินโน | ชินโน (รุ่น 2) | ไนชินโน (รุ่น 2) | |||||||||||||||||||||||||||
โอ (รุ่น 3) | โจโอ (รุ่น 3) | ||||||||||||||||||||||||||||
โอ/โจโอ | |||||||||||||||||||||||||||||
- มาตรา 7: หาก "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ จะทำให้พระเชษฐภคณี/พระขณิษฐาของพระองค์ ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "ไนชินโน" (เจ้าหญิงชั้นเอก)
- มาตรา 11
- วรรค 1: "โจโอ" ที่พระชนมายุ 15 ชัณษาขึ้นไป สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ตามพระประสงค์ แต่ต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- วรรค 2: นอกจากกรณีในวรรคแรกแล้วนั้น "โจโอ" สามารถสละฐานันดรศักดิ์ได้ หากมีเหตุผลสำคัญซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องผ่านการอนุมัติของสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
- มาตรา 12: หากพระบรมวงศานุวงศ์หญิงเสกสมรสกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่จักรพรรดิหรือพระบรมวงศานุวงศ์ชาย พระองค์จะต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์
- มาตรา 13: หาก "ชินโน" (เจ้าชายชั้นเอก) / "โอ" (เจ้าชายชั้นรอง) สละฐานันดรศักดิ์แล้วนั้น "ชินโนฮิ" / "โอฮิ" (พระชายา), พระทายาททั้งหมด รวมถึงคู่สมรสของพระทายาท ต้องสละฐานันดรศักดิ์ด้วย (ยกเว้นทายาทหญิงที่ไปสมรสกับ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) อื่นแล้ว) อย่างไรก็ตามทายาทสายตรงของพระองค์ (เช่น พระโอรสพระองค์โต, พระนัดดาชายพระองค์โต) สามารถคงฐานันดรศักดิ์อยู่ได้ แต่ต้องมีการอนุมัติจากสภาราชวงศ์ญี่ปุ่น
จากเหตุการณ์การลดจำนวนพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2490 จึงทำให้ไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงฐานันดร "โจโอ" อยู่เลยเป็นเวลา 34 ปี[16][17] จนกระทั่งการประสูติของเจ้าหญิงอากิโกะ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2524
"โจโอ" ในปัจจุบัน
พระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบันที่ยังดำรงฐานันดร "โจโอ" มีดังนี้
"โจโอ" ในอดีต
พระบรมวงศานุวงศ์ที่เคยดำรงฐานันดรศักดิ์ "โจโอ" โดยนับตั้งแต่ภายหลังยุคสงครามเป็นต้นมา มีดังนี้
Remove ads
รัชทายาท
สรุป
มุมมอง
โคชิ (ญี่ปุ่น: 皇嗣; โรมาจิ: Kōshi) ตามคำนิยาม หมายถึง รัชทายาทของจักรพรรดิ หรือผู้มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์เป็นอันดับแรก[36]
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] ระบุเกี่ยวกับ "โคชิ" ดังนี้
- มาตรา 3: หาก "โคชิ" มีอาการป่วยทางจิตหรือทางร่างกายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นสามารถพิจารณาให้มีการเปลี่ยนแปลงการสืบทอดราชบัลลังก์ได้ ตามลำดับในมาตรา 2
- มาตรา 4: หากจักรพรรดิสวรรคต "โคชิ" จะขึ้นครองราชสมบัติทันที
- มาตรา 8: พระราชโอรสที่มีสถานะเป็น "โคชิ" (รัชทายาท) ให้เรียกว่า "โคไตชิ" (ญี่ปุ่น: 皇太子; โรมาจิ: Kōtaishi) หากไม่มี "โคไตชิ" พระราชนัดดาที่มีสถานะเป็น "โคชิ" (รัชทายาท) ให้เรียกว่า "โคไตซน" (ญี่ปุ่น: 皇太孫; โรมาจิ: Kōtaison)
ดังนั้น "โคชิ" จึงเป็นคำนิยามที่ใช้เรียกรัชทายาทของจักรพรรดิ ส่วน "โคไตชิ" และ "โคไตซน" เป็นคำที่ใช้เพื่อระบุว่ารัชทายาทนั้นเป็นพระราชโอรส หรือพระราชนัดดาในจักรพรรดิ ตามมาตรา 8 ในกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น
โคไตชิ และ โคไตชิฮิ
บทความหลัก: โคไตชิ และ โคไตชิฮิ
โคไตชิ (ญี่ปุ่น: 皇太子; โรมาจิ: Kōtaishi; อังกฤษ: Crown Prince) เป็นอิสริยยศสำหรับพระราชโอรสในจักรพรรดิที่มีสถานะเป็นรัชทายาท (โคชิ) ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตรา 8[14] โดยสำนักพระราชวังระบุอิสริยยศนี้ในภาษาอังกฤษว่า "Crown Prince"[37] ซึ่งศัพท์บัญญัติ คือ "มกุฎราชกุมาร"[38]
ปัจจุบันไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงอิสริยยศนี้ โดยผู้ที่ดำรงอิสริยยศนี้ล่าสุดคือ เจ้าชายนารูฮิโตะ มกุฎราชกุมาร (皇太子殿下)[39] ซึ่งพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ จักรพรรดิพระองค์ที่ 126 ของราชวงศ์ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[18]
โคไตชิฮิ (ญี่ปุ่น: 皇太子妃; โรมาจิ: Kōtaishi-Hi; อังกฤษ: Crown Princess) เป็นอิสริยยศสำหรับพระชายาใน "โคไตชิ" โดยสำนักพระราชวังระบุอิสริยยศนี้ในภาษาอังกฤษว่า "Crown Princess"[37] ซึ่งศัพท์บัญญัติ คือ "มกุฎราชกุมารี"[40]
ปัจจุบันไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงอิสริยยศนี้ ผู้ที่ดำรงอิสริยยศนี้ล่าสุดคือ เจ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารี (皇太子妃殿下)[39] ซึ่งปัจจุบันพระองค์ดำรงอิสริยยศเป็น "จักรพรรดินี" หลังจากที่พระราชสวามีของพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[18]
โคไตซน
โคไตซน (ญี่ปุ่น: 皇太孫; โรมาจิ: Kōtaison) เป็นอิสริยยศสำหรับพระราชนัดดาในจักรพรรดิที่มีสถานะเป็นรัชทายาท (โคชิ) ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น มาตรา 8[14]
ปัจจุบันไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์ที่ดำรงอิสริยยศนี้ และในอดีตก็ไม่ปรากฏการใช้อิสริยยศ "โคไตซน" เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์มีกรณีที่ใกล้เคียง เช่น เจ้าชายโยชิโยริ (慶頼王) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดิไดโงะ (จักรพรรดิพระองค์ที่ 60) พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นรัชทายาท (แหล่งอ้างอิงใช้คำว่า "โคไตชิ") เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 1466 หลังจากเจ้าชายยาซุอากิระ (保明親王) พระชนก (พระราชโอรสพระองค์โตในจักรพรรดิไดโงะ) สิ้นพระชนม์ อย่างไรก็ตาม เจ้าชายโยชิโยริ (慶頼王) ก็ไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีก 2 ปีต่อมาหลังจากการสถาปนา[41]
โคชิ และ โคชิฮิ (อิสริยยศ)
บทความหลัก: โคชิ
โคชิ (ญี่ปุ่น: 皇嗣; โรมาจิ: Kōshi; อังกฤษ: Crown Prince) นอกจากเป็นคำนิยามที่ใช้เรียกรัชทายาทของจักรพรรดิแล้วนั้น[36] ปัจจุบันมีการใช้คำว่า "โคชิ" เป็นอิสริยยศสำหรับรัชทายาทอีกด้วย โดยสำนักพระราชวังระบุอิสริยยศนี้ในภาษาอังกฤษว่า "Crown Prince"[42] ซึ่งศัพท์บัญญัติ คือ "มกุฎราชกุมาร"[38]
ตามกฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562[15] ได้ระบุเกี่ยวกับอิสริยยศ "โคชิ" ในมาตรา 5 ว่า สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีสถานะเป็น "โคชิ" (รัชทายาท) ตามลำดับการสืบสันตติวงศ์ในมาตรา 2 ของกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น[14] ให้ปฏิบัติตามแบบอย่างของอิสริยยศ "โคไตชิ"
ปัจจุบันผู้ที่ดำรงอิสริยยศนี้คือ "秋篠宮皇嗣殿下"[43] (Akishino-no-Miya Koshi Denka) หรือเจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงได้รับการสถาปนาอิสริยยศ "โคชิ" อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563[44]
โคชิฮิ (ญี่ปุ่น: 皇嗣妃; โรมาจิ: Kōshi-Hi; อังกฤษ: Crown Princess) เป็นอิสริยยศสำหรับของพระชายาใน "โคชิ" โดยสำนักพระราชวังระบุอิสริยยศนี้ในภาษาอังกฤษว่า "Crown Princess"[42] ซึ่งศัพท์บัญญัติคือ "มกุฎราชกุมารี"[40]
ปัจจุบันผู้ที่ดำรงอิสริยยศนี้คือ "秋篠宮皇嗣妃殿下"[43] (Akishino-no-Miya Koshi-Hi Denka) หรือเจ้าหญิงอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารี ซึ่งทรงได้รับการสถาปนาอิสริยยศ "โคชิฮิ" ตามพระราชสวามี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563[44]
Remove ads
มิยาเกะ
สรุป
มุมมอง
มิยาเกะ (ญี่ปุ่น: 宮家; โรมาจิ: Miya-Ke) เป็นตระกูลหรือราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่โดยเจ้าชายในราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งราชวงศ์ใหม่จะได้รับพระนามพระราชทานที่เรียกว่า "มิยาโง"[45][46] ราชวงศ์ใหม่นี้ถือว่าอยู่ภายใต้ราชวงศ์หลัก หรือเรียกได้ว่าเป็นราชวงศ์สาขาที่แตกออกมาจากราชวงศ์ญี่ปุ่น
มิยาโง (ญี่ปุ่น: 宮号; โรมาจิ: Miya-Gou) เป็นพระนามพระราชทานจากจักรพรรดิ เพื่อใช้เป็นพระนามของ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ใหม่ที่ก่อตั้งโดยเจ้าชาย[47]
การก่อตั้ง
เจ้าชายผู้ที่ไม่ใช่ทายาทสายหลัก (เช่น พระราชโอรสในจักรพรรดิพระองค์ที่ 2 เป็นต้นไป, พระโอรสในเจ้าชายพระองค์ที่ 2 เป็นต้นไป) เมื่อทรงอภิเษกสมรส จะก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์ขึ้น และได้รับพระราชทาน "มิยาโง" จากจักรพรรดิ ตัวอย่างเช่น
กรณีเจ้าชายทายาทสายหลัก
- เจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ทรงไม่ได้ก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์เอง เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ หลังจากที่พระชนกขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ซึ่งมีสถานะเป็นทายาทของจักรพรรดิ[48]
- เจ้าชายโทโมฮิโตะ ทรงไม่ได้ก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์เอง เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระโอรสพระองค์แรกในเจ้าชายมิกาซะ ซึ่งมีสถานะเป็นผู้สืบทอดมิยาโง "มิกาซะ" ต่อจากพระชนก[49]
กรณีเจ้าชายที่ไม่ใช่ทายาทสายหลัก
- เจ้าชายอายะ (ฟูมิฮิโตะ) ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ หลังจากที่พระองค์อภิเษกสมรสแล้ว พระองค์ทรงก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์ขึ้น และได้รับพระราชทาน "มิยาโง" จากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ว่า "อากิชิโนะ"[44]
- เจ้าชายโนริฮิโตะ ทรงเป็นพระโอรสพระองค์ที่ 3 ในเจ้าชายมิกาซะ หลังจากที่พระองค์อภิเษกสมรสแล้ว พระองค์ทรงก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ของพระองค์ขึ้น และได้รับพระราชทาน "มิยาโง" จากจักรพรรดิโชวะ ว่า "ทากามาโดะ"[50]
การออกพระนามในภาษาอังกฤษ
ผู้ก่อตั้ง
สำหรับเจ้าชายที่ทรงก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) สำนักพระราชวังจะออกพระนามในภาษาอังกฤษโดยใช้ "มิยาโง" แทนการออกพระนามจริง ด้วยรูปแบบว่า "Prince ○○" เช่น Prince Akishino[42] (เจ้าชายอากิชิโนะ), Prince Hitachi[51] (เจ้าชายฮิตาจิ)
ผู้สืบทอด
สำหรับเจ้าชายที่เป็นผู้สืบทอด สำนักพระราชวังจะออกพระนามในภาษาอังกฤษโดยใช้พระนามจริง โดยมีการระบุ "มิยาโง" ควบคู่ด้วย ในรูปแบบว่า "Prince xx of ○○" เช่น เจ้าชายโทโมฮิโตะทรงมีสถานะเป็นผู้สืบทอดมิยาโง "มิกาซะ" ต่อจากพระชนก (เจ้าชายมิกาซะ) จึงมีการออกพระนามเป็น "Prince Tomohito of Mikasa"[52] (เจ้าชายโทโมฮิโตะแห่งมิกาซะ)
พระชายา
พระชายาจะออกพระนามตามพระสวามีโดยใช้ "มิยาโง" แทนการออกพระนามจริง ด้วยรูปแบบว่า "Princess ○○" เช่น Princess Akishino[42] (เจ้าหญิงอากิชิโนะ), Princess Hitachi[51] (เจ้าหญิงฮิตาจิ)
สำหรับกรณีของพระชายาในเจ้าชายโทโมฮิโตะ ที่ทรงมีสถานะเป็นผู้สืบทอดมิยาโง "มิกาซะ" สำนักพระราชวังจะออกพระนามของพระชายาในภาษาอังกฤษตามพระสวามีเป็น "Princess Tomohito of Mikasa"[52] (เจ้าหญิงโทโมฮิโตะแห่งมิกาซะ)
สมาชิก
สำหรับเจ้าชาย/เจ้าหญิง ผู้ที่เป็นสมาชิกใน "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) สำนักพระราชวังจะออกพระนามในภาษาอังกฤษโดยใช้เพียงแค่พระนามจริง โดยไม่ระบุว่าพระองค์อยู่ใน "มิยาเกะ" ใด เช่น "Princess Kako"[42] (เจ้าหญิงคาโกะ), "Prince Hisahito"[42] (เจ้าชายฮิซาฮิโตะ), "Princess Akiko"[52] (เจ้าหญิงอากิโกะ)
การใช้ "มิยาโง" แทนนามสกุล
เนื่องด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ไม่มีนามสกุลเหมือนประชาชนทั่วไปในญี่ปุ่น จึงทำให้สมาชิกใน "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) มีการใช้ "มิยาโง" ที่พระองค์สังกัดอยู่ แทนนามสกุล ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในบริบททางวิชาการ เช่น Fumihito Akishinonomiya[53][54], Hisahito Akishinonomiya[55]
การสืบทอดและการสิ้นสุดของ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา)
หากเจ้าชายผู้ก่อตั้ง "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) สิ้นพระชนม์ ปกติแล้วตำแหน่งผู้นำ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) จะตกแก่พระโอรสพระองค์โต ซึ่งพระองค์ก็จะสืบทอด "มิยาโง" ของพระชนกด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามในยุคหลังสงครามเป็นต้นมา ยังไม่มีกรณีการสืบทอด "มิยาโง" โดยมีกรณีใกล้เคียง คือกรณีของเจ้าชายโทโมฮิโตะแห่งมิกาซะ แต่พระองค์สิ้นพระชนม์ก่อนพระชนก (เจ้าชายมิกาซะ) จึงยังไม่เกิดการสืบทอดมิยาโง "มิกาซะ" เกิดขึ้น
แต่ถ้าหาก "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ใด ไม่มีพระโอรสผู้เป็นทายาทให้สืบต่อแล้ว ตามธรรมเนียมแล้วตำแหน่งผู้นำของ "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) จะตกเป็นของพระชายาก่อน[56] แล้วค่อยตามด้วยสมาชิกพระองค์อื่น ๆ ที่เหลืออยู่ แต่จะไม่มีการสืบทอด "มิยาโง" ซึ่งในปัจจุบันการสืบทอดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ธรรมเนียม ไม่ได้มีกฎหมายฉบับใดที่ระบุว่าตำแหน่งของผู้นำคนถัดไปจะต้องเป็นพระองค์ใด แต่ตำแหน่งผู้นำจะต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการเศรษฐกิจราชวงศ์เสมอ[57]
หากสมาชิกใน "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) ทุกพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึงจะถือว่า "มิยาเกะ" (ราชวงศ์สาขา) นั้นสิ้นสุดลง
มิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ในยุคหลังสงคราม
รายชื่อมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ที่ไม่โดนปลดฐานันดรศักดิ์หลังจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2489 และมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ที่ก่อตั้งใหม่ในยุคหลังสงคราม มีดังนี้
เนื่องด้วยเจ้าชายโยชิฮิโตะ ไม่ได้อภิเษกสมรส จึงแยกพระองค์ออกจากมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) "มิกาซะ" ของพระชนก (เจ้าชายมิกาซะ) โดยพระองค์จะมีสถานะเป็น "เจ้าชายที่ทรงดำรงชีพแบบอิสระ" (独立の生計を営む親王) และได้รับพระราชทานพระนาม "โชโง" (ญี่ปุ่น: 称号; โรมาจิ: Shogō) จากจักรพรรดิโชวะ ว่า "คัตสึระ" ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 เมื่อพระชนมายุ 40 ชัณษา[58] สำนักพระราชวังมีการออกพระนามพระองค์ในภาษาอังกฤษว่า "Prince Katsura"[59] (เจ้าชายคัตสึระ)
มิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) ในอดีต
รายชื่อมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) จำนวน 11 ราชวงศ์ ที่โดนปลดฐานันดรศักดิ์ หลังจากที่จักรวรรดิญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มีดังนี้
Remove ads
ธรรมเนียมพระยศ
สรุป
มุมมอง
เคโช
เคโช (ญี่ปุ่น: 敬称; โรมาจิ: Kei-Shō; อังกฤษ: Title of Honor) เป็นคำเรียกชื่อ หรือต่อท้ายชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติ[60] อย่างคำว่า 様 (ซามะ) หรือ さん (ซัง) เช่น "โยโกะซามะ" (瑶子様) แปลว่า "ท่านโยโกะ" หรือ "โคมูโระซัง" (小室さん) แปลว่า "คุณโคมูโระ" เป็นต้น
กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น (皇室典範)[14] มาตรา 23 ได้ระบุเกี่ยว "เคโช" ดังนี้
- วรรค 1: สำหรับ จักรพรรดิ, จักรพรรดินี, ไทโคไตโง (พระราชอัยยิกา), โคไตโง (จักรพรรดินีพระพันปีหลวง) ให้ใช้ "เคโช" ว่า "เฮกะ" (ญี่ปุ่น: 陛下; โรมาจิ: Heka)
- วรรค 2: พระบรมวงศานุวงศ์ที่นอกเหนือจากการระบุในวรรค 1 ให้ใช้ "เคโช" ว่า "เด็งกะ" (ญี่ปุ่น: 殿下; โรมาจิ: Denka)
ตัวอย่างการใช้งาน
- ใช้ต่อท้ายพระนามหรือพระอิสริยยศ เช่น
- "เท็นโนเฮกะ" (天皇陛下) หมายถึงสมเด็จพระจักรพรรดิ, "โคโงเฮกะ" (皇后陛下) หมายถึงสมเด็จพระจักรพรรดินี, "โจโกเฮกะ" (上皇陛下) หมายถึงสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวง, "โจโกโงเฮกะ" (上皇后陛下) หมายถึงสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวง[61]
- "คาโกะ ไนชินโน เด็งกะ" (佳子内親王殿下)[43]หมายถึงเจ้าหญิงคาโกะ, "อากิโกะ โจโอ เด็งกะ" (彬子女王殿下) หมายถึงเจ้าหญิงอากิโกะ[62]
- ประชาชนใช้ขานเรียกแทนพระนามเต็มของพระองค์ เช่น ประชาชนที่เข้าเฝ้ารับเสด็จจะพูดคำว่า "เฮกะ" ขณะที่จักรพรรดิเสด็จผ่าน[63]
- ใช้เป็นสรรพนามแทนพระองค์ในบทความ เปรียบได้กับคำว่า "ฝ่าพระบาท", "ฝ่าบาท" หรือ "พระองค์ท่าน"
関連質問3: お年頃らしい質問を柔らかいのを聞きたいなと思って。好きな女優やアイドル、音楽などありますか。
殿下: そうですね。具体的に申し上げにくいんですけれども。
คำถามที่ 3: พระองค์ทรงมีนักแสดง, ไอดอล, เพลง หรืออะไรที่ชอบเป็นพิเศษหรือไม่
เด็งกะ (พระองค์ท่าน): นั่นสินะครับ ขออภัยที่อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้มากนักครับ
— บทสัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวการบรรลุนิติภาวะของเจ้าชายฮิซาฮิโตะ (3 มีนาคม พ.ศ. 2568) [64]
โอชีรูชิ
โอชีรูชิ (ญี่ปุ่น: お印; โรมาจิ: Ō-Shi-ru-shi) เป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งในอดีตจะใช้ประทับบนสิ่งของส่วนพระองค์[65] เนื่องจากข้าราชบริพารไม่สามารถเขียนพระนามของพระองค์โดยตรงลงไปบนสิ่งของได้ จึงมีการใช้สัญลักษณ์ประจำพระองค์ประทับลงบนสิ่งของแทน
แต่ในปัจจุบันการกำหนดสัญลักษณ์ประจำพระองค์นั้นเป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาเท่านั้น ไม่ได้มีการระบุเป็นกฎหมายของราชวงศ์ว่าทุกพระองค์ต้องมีแต่อย่างใด[66][14] ทั้งนี้การใช้งานที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน มีตัวอย่างเช่น
- หลังจากอภิเษกสมรสของเจ้าชาย จะมีการนำสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของเจ้าชายผู้ก่อตั้งไปออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของตราประจำมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) เช่น เจ้าชายอายะ (ฟูมิฮิโตะ) ทรงมีสัญลักษณ์ประจำพระองค์ คือ "ต้นสนสึงะ" (栂)[43] หลังจากที่พระองค์อภิเษกสมรสแล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) "อากิชิโนะ"[44] ดังนั้น ตราประจำมิยาเกะ (ราชวงศ์สาขา) "อากิชิโนะ" คือ ดอกเบญจมาศกลีบเดี่ยว 14 กลีบ ที่ล้อมรอบด้วยต้นสนสึงะ[67]
- ใช้ประทับในกล่องของชำร่วยที่เรียกว่า Bonbonnière (บง-บง-นิแอร์) เช่น ของชำร่วยในงานเฉลิมฉลองวันครบรอบ 25 ปีการอภิเษกสมรสของสมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะ, ของชำร่วยในงานอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงโนริ (ซายาโกะ) เป็นต้น[65]
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ของพระบรมวงศานุวงศ์
Remove ads
โกโชโง
สรุป
มุมมอง
โกโชโง (ญี่ปุ่น: 御称号; โรมาจิ: Gō-Shogō; อังกฤษ: Personal Title[72]) เป็นพระนามส่วนพระองค์ ที่จักพรรดิทรงพระราชทานให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นทายาทสายตรงของพระองค์ ได้แก่ พระราชโอรส, พระราชธิดา, รวมถึงพระโอรส/พระธิดาในมกุฎราชกุมาร
"โกโชโง" จะถูกตั้งเป็นตัวอักษรคันจิที่อ่านออกเสียงเป็น 2 พยางค์ ในรูปแบบ "○○โนะ มิยะ" (○○宮) ซึ่งจะแตกต่างกับมิยาโง ซึ่งมีคำลงท้ายว่า "○○○โนะ มิยะ" (○○○宮) เช่นเดียวกัน แต่จำนวนพยางค์จะมากกว่า โดยสำนักพระราชวังมีการระบุรูปแบบของ "โกโชโง" ในภาษาอังกฤษว่า "Prince ○○" หรือ "Princess ○○" เช่น Prince Hiro[73] (เจ้าชายฮิโระ), Prince Aya[42] (เจ้าชายอายะ), Princess Toshi[73] (เจ้าหญิงโทชิ)
"โกโชโง" มักจะถูกใช้ในช่วงวัยพระเยาว์[73][42] หากเป็นเจ้าชาย พระองค์จะได้รับมิยาโงแทนหลังการอภิเษกสมรส ส่วนเจ้าหญิงจะลาออกจากฐานันดร และใช้นามสกุลของสามีแทนหลังการอภิเษกสมรส
เนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่มีนามสกุล ดังนั้นพระองค์อาจจะใช้ "โกโชโง" แทนนามสกุล โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับงานวิชาการ เช่น ในเรียงความของเจ้าหญิงไอโกะ พระองค์ทรงใช้พระนามว่า "敬宮愛子" (Toshinomiya Aiko)[74], ผลงานทางวิชาการของเจ้าชายอากิชิโนะก่อนที่จะทรงอภิเษกสมรส พระองค์ทรงใช้พระนามว่า "Ayanomiya Fumihito"[75]
รายชื่อพระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบันที่เคยได้รับพระราชทาน "โกโชโง" มีดังนี้
ธงประจำพระองค์
- จักรพรรดิ
- จักรพรรดิพระเจ้าหลวง
- จักรพรรดินี, ไทโคไตโง (พระอัยยิกา), และจักรพรรดินีพันปีหลวง
- มกุฎราชกุมารหรือรัชทายาท (โคชิ)
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
- มกุฎราชกุมาร (โคไตชิ และ โคไตซน)
- มกุฎราชกุมารี (โคไตชิฮิ)
- พระบรมวงศานุวงศ์
Remove ads
- จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น
- จักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น
- โคไตชิ (มกุฎราชกุมาร)
- โคไตชิฮิ (มกุฎราชกุมารี)
- โคชิ (มกุฎราชกุมาร)
- ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ญี่ปุ่น
- ตราแผ่นดินของญี่ปุ่น
- รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น
- กฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น
- สภาขุนนางญี่ปุ่น
- ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads