คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

อำเภอบางปะหัน

อำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อำเภอบางปะหัน
Remove ads

บางปะหัน เป็นอำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมชื่อ "อำเภอนครใน"[1] ต่อมาปี พ.ศ. 2460 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "บางปะหัน"[2] ปัจจุบันเป็นอำเภอปริมณฑลที่เป็นพื้นที่ขยายตัวของชุมชนเมืองที่รองรับความเจริญเติบโตของนครพระนครศรีอยุธยา

ข้อมูลเบื้องต้น อำเภอบางปะหัน, การถอดเสียงอักษรโรมัน ...
Remove ads

ที่ตั้งและอาณาเขต

อำเภอบางปะหัน มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังนี้[3]

Thumb
จิตรกรรมฝาผนังภายในวัดม่วง ตำบลโพธิ์สามต้น
Thumb
วัดม่วง ตำบลโพธิ์สามต้น

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

อำเภอบางปะหัน เดิมชื่อว่า อำเภอนครใน เคยตั้งอยู่ริมคลองบางนางร้า บริเวณหลังวัดอินกัลยา (ปัจจุบันคือ หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านลี่) พ.ศ. 2440 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอมาอยู่ที่บริเวณริมแม่น้ำลพบุรี ฝั่งตะวันออกในท้องที่ตำบลเกาะเลิ่งขณะนี้ (ปัจจุบัน คือหมู่ที่ 6 ตำบลบางปะหัน) ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางปะหัน ประมาณ 100 เมตร ไปทางทิศใต้เพื่อความเหมาะสมกับสภาพท้องที่ แลเพื่ออำนวยความสะดวกในการคมนาคมในสมัยนั้น ซึ่งแต่เดิมต้องใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทางรูปแบบของอำเภอเป็นแบบปั้นหยา ทรงเตี้ยเสาก่อด้วยอิฐ แบบอาคารสมัยรัชการที่ 5 และยังคงใช้ชื่อว่า “อำเภอนครใน”ตามเดิม

พ.ศ. 2459 ในสมัยรัชการที่ 6 ได้เปลี่ยนคำว่า ”เมือง” ให้เป็น “จังหวัด” แบ่งจังหวัดเป็นอำเภอ และแบ่งอำเภอออกเป็นตำบลให้เหมาะสม ตำบลเกาะเลิ่งซึ่งมีเนื้อที่กว้างใหญ่ ได้ถูกเปลี่ยนแปลงออกเป็น 2 ตำบล โดยถือแนวคลองเกาะเลิ่งเป็นแนวเขตแบ่งตำบล ฝั่งตะวันออกของคลอง ที่อยู่ฝั่งเดียวกับหมู่บ้านบางปะหัน ให้เป็นตำบลบางปะหัน ตำบลเกาะเลิ่งเดิมนั้นยกเลิก ไม่เป็นตำบลอีกต่อไป ส่วนชื่ออำเภอ ทางราชการมีนโยบายให้เปลี่ยนชื่อตามตำบลซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอ จึงได้เปลี่ยนชื่อจาก อำเภอนครใน มาเป็นอำเภอบางปะหัน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พ.ศ. 2464 ที่ว่าการอำเภอหลังเก่าชำรุดทรุดโทรม และได้สร้างใหม่ในบริเวณใกล้เคียง ห่างจากที่เดิมไปทางทิศเหนือประมาณ 100 เมตร (คือที่ว่าการอำเภอในปัจจุบัน) และได้รื้อหลังเก่าออก เพื่อใช้เป็นที่สร้างบ้านพักของข้าราชการ ดังปัจจุบัน คือ บางปะหัน เป็นชื่อเก่าแก่ของหมู่บ้าน ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอตามชื่อดังกล่าวข้างต้น พ.ศ. 2536 อำเภอได้รับงบประมาณจากกรมการปกครองให้สร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ในที่เดิม[4]

  • วันที่ 29 เมษายน 2460 เปลี่ยนแปลงชื่ออำเภอนครใน จังหวัดกรุงเก่า เป็น อำเภอบางปะหัน[2]
  • วันที่ 15 พฤษภาคม 2482 โอนพื้นที่หมู่ 1 (ในขณะนั้น) ของตำบลบางนางร้า ไปขึ้นกับตำบลทับน้ำ กับโอนพื้นที่หมู่ 2 (ในขณะนั้น) ของตำบลบางนางร้า ไปขึ้นกับตำบลบ้านลี่ และโอนพื้นที่หมู่ 1 (ในขณะนั้น) ของตำบลหันสัง ไปขึ้นกับตำบลตานิม[5]
  • วันที่ 10 มิถุนายน 2490 ตั้งตำบลขยาย แยกออกจากตำบลบางเดื่อ และตำบลโพธิ์สามต้น ตั้งตำบลบ้านลี่ แยกออกจากตำบลขวัญเมือง ตั้งตำบลบ้านม้า แยกออกจากตำบลทับน้ำ ตั้งตำบลตานิม แยกออกจากตำบลบางนางร้า ตั้งตำบลทางกลาง แยกออกจากตำบลเสาธง ตั้งตำบลตาลเอน แยกออกจากตำบลบ้านขล้อ ตั้งตำบลบางเพลิง แยกออกจากตำบลบ้านขล้อ และตำบลเสาธง[6]
  • วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2496 โอนพื้นที่หมู่ 8 (ในขณะนั้น) ของตำบลบางปะหัน ไปขึ้นกับตำบลเสาธง กับโอนพื้นที่หมู่ 1 (ในขณะนั้น) ของตำบลตาลเอน ไปขึ้นกับตำบลบ้านขล้อ และโอนพื้นที่หมู่ 4 (ในขณะนั้น) ของตำบลขยาย ไปขึ้นกับตำบลบางเดื่อ[7]
  • วันที่ 28 พฤศจิกายน 2499 จัดตั้งสุขาภิบาลบางปะหัน ในท้องที่บางส่วนของตำบลบางปะหัน ตำบลบางนางร้า และตำบลขวัญเมือง[8][9]
  • วันที่ 1 มีนาคม 2501 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลพุทเลา ในท้องที่ตำบลพุทเลา[10]
  • วันที่ 3 พฤศจิกายน 2507 เปลี่ยนแปลงเขตสุขาภิบาลบางปะหัน[11] เพื่อความเหมาะสมในการบริหารกิจการและการทะนุบำรุงท้องถิ่น
  • วันที่ 15 มิถุนายน 2519 โอนพื้นที่หมู่ 6 (ในขณะนั้น) ของตำบลขวัญเมือง ไปตั้งเป็นหมู่ 5 ของตำบลบ้านลี่[12]
  • วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะสุขาภิบาลบางปะหัน เป็น เทศบาลตำบลบางปะหัน[13] ด้วยผลของกฎหมาย
  • วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ยุบสภาตำบลทางกลาง รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลเสาธง ยุบสภาตำบลตาลเอน และสภาตำบลบางเพลิง รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านขล้อ ยุบสภาตำบลบางนางร้า รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลตานิม[14]
  • วันที่ 15 กันยายน 2547 ยุบองค์การบริหารส่วนตำบลขวัญเมือง รวมกับเทศบาลตำบลบางปะหัน[15] ยุบสภาตำบลบ้านม้า รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลทับน้ำ[16]
  • วันที่ 11 กรกฎาคม 2548 ยุบองค์การบริหารส่วนตำบลขยาย รวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลโพธิ์สามต้น[17]
Remove ads

การแบ่งเขตการปกครอง

สรุป
มุมมอง

การปกครองส่วนภูมิภาค

อำเภอบางปะหันแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 17 ตำบล 94 หมู่บ้าน ได้แก่

1.บางปะหัน(Bang Pahan)7 หมู่บ้าน10.ทับน้ำ(Thap Nam)5 หมู่บ้าน
2.ขยาย(Khayai)6 หมู่บ้าน11.บ้านม้า(Ban Ma)4 หมู่บ้าน
3.บางเดื่อ(Bang Duea)6 หมู่บ้าน12.ขวัญเมือง(Khwan Mueang)5 หมู่บ้าน
4.เสาธง(Sao Thong)5 หมู่บ้าน13.บ้านลี่(Ban Li)5 หมู่บ้าน
5.ทางกลาง(Thang Klang)4 หมู่บ้าน14.โพธิ์สามต้น(Pho Sam Ton)8 หมู่บ้าน
6.บางเพลิง(Bang Phloeng)3 หมู่บ้าน15.พุทเลา(Phutlao)12 หมู่บ้าน
7.หันสัง(Hansang)7 หมู่บ้าน16.ตาลเอน(Tan En)3 หมู่บ้าน
8.บางนางร้า(Bang Nang Ra)5 หมู่บ้าน17.บ้านขล้อ(Ban Khlo)5 หมู่บ้าน
9.ตานิม(Ta Nim)4 หมู่บ้าน

การปกครองส่วนท้องถิ่น

ท้องที่อำเภอบางปะหันประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น 11 แห่ง ได้แก่

สถานศึกษา

  • โรงเรียนบางปะหัน สถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาขนาดกลางเป็นโรงเรียนประจำอำเภอบางปะหัน

สถานที่ท่องเที่ยว

  • วัดไก่ ตั้งอยู่ที่ตำบลหันสัง จากตัวเมืองไปประมาณ 25 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ทางขวามือ (ปากทางเข้าจะมีป้ายสัญลักษณ์เป็นรูปลิง) วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาต่อมากลายเป็นวัดร้างภายหลังจากการเสียกรุงแก่พม่า ประมาณปีพ.ศ. 2535 มีพระสงฆ์มาบูรณะและตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขึ้น และในปีพ.ศ. 2540 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัด และให้ชื่อว่า “วัดไก่” เนื่องจากมีไก่โดนโรคระบาดตายไปจำนวนมาก ส่วนฝูงลิงป่าที่อาศัยอยู่ที่วัดนี้ไม่มีใครบอกว่าอยู่มาตั้งแต่เมื่อใดเป็น ลิงแสม หรือลิงกัง มีอยู่เป็นจำนวนมากแต่เป็นลิงที่มีนิสัยน่ารัก เชื่องไม่ดุร้าย
  • วัดตาลเอน สำนักปฏิบัติธรรมแห่งที่ ๑๕ เป็นวัดที่มีฝูงค้างคาวแม่ไก่และนกน้ำนานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเช่น นกกาน้ำ นกเป็ดน้ำ นกกระยาง เป็นต้น แวดล้อมด้วยบรรยากาศร่มรื่นและธรรมชาติอันเงียบสงบ ด้านหลังของวัดติดกับคลองชลประทานมีฝูงปลาน้ำจืดอาศัยอยู่นานาชนิด การเดินทางไปวัดตาลเอนสามารถใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 32 ถนนสายเอเชีย ไปจนถึงแยกอำเภอบางปะหันแล้วเลี้ยวขวา จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 3196 (สายบางปะหัน-บ้านแพรก-ลพบุรี) อีกประมาณ 5 กิโลเมตร ปากทางเข้าวัดจะอยู่ทางขวามือและเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 20 กิโลเมตร
  • วัดโคก ตั้งอยู่เลขที่ 1 ถนนอยุธยา – อ่างทอง หมู่ที่ 4 ตำบลพุทเลา อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมคลองพุทเลา สำหรับปูชนียวัตถุ มีพระประธานในอุโบสถ ปางมารวิชัย ชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อเกศแก้วพิกุลทอง” นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ชาวบ้านเรียกกันในนาม “หลวงพ่อนาค”   จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ประจวบ  นาคเหาะ  วัดโคกสร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2290 นับว่าเป็นวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้วนับตั้งแต่ พ.ศ. 2300  ตามหลักฐานที่ปรากฏ  บริเวณวัดโคกอดีตเป็นป่าพุด  ใช้การสัญญาจรไปมาทางน้ำ  บริเวณหน้าวัดมีคลองพุทเลาไหลผ่าน  ด้านหลังวัดเป็นหนองวง  และมีลำรางขึ้นศพในสมัยก่อน  วัดโคกมีพระพุทธรูปที่สำคัญประกอบด้วย  พระพุทธรูปปางนาคปรก  หรือที่ชาวบ้านเรียกหลวงพ่อนาค  หลวงพ่อนาค  เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 13 นิ้ว สูง 31 นิ้ว เดิมเป็นพระประธานในอุโบสถเดิม ในเทศกาลตรุษ – สงกรานต์ ชาวบ้านจะนำออกมาให้ประชาชนสรงน้ำเพื่อเป็นศิริมงคลเป็นประจำ ในสมัยโบราณหากฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านตำบลพุทเลาและบริเวณใกล้เคียง จะขอให้ทางวัดนำเอาหลวงพ่อนาค ขึ้นเสลี่ยง ทำพิธีแห่ไปรอบๆเขตชุมชนเพื่อขอฝน และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์มากที่ทุกครั้งที่ทำพิธีขอฝน ฝนก็จะตกลงมาให้ความชุ่มช่ำร่มเย็นแก่ชาวบ้านโดยทั่วไป จะมีประชาชนจากต่างถิ่นแดนไกลเดินทางมานมัสการ หลวงพ่อนาค และบนบานศาลกล่าว ขอโชคลาภ และธุรกิจการค้าต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และก็จะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ และกลับมาแก้บนอยู่เสมอ ๆ      ในกาลก่อน หลวงพ่อนาค ได้เคยถูกมารศาสนาลักขโมยไปจากวัดถึงสองครั้ง แต่ไม่สามารถที่จะนำหลวงพ่อนาค ออกนอกเขตตำบลพุทเลาไปได้ นำท่านไปวางทิ้งไว้ชายป่าข้างคลอง จะด้วยเหตุอันใดไม่ทราบได้ ทำให้โจรที่นำท่านไปทิ้งองค์ท่านไว้แล้วหนี้ไป    ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ก็ได้มีกลุ่มมารศาสนาได้เที่ยวลักขโมยพระพุทธรูป และวัตถุโบราณต่างๆ ขึ้นในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทุกครั้งที่พระพุทธรูปหรือวัตถุโบราณอื่นๆ ที่ถูกโจรกรรมหายไปจากวัด ก็จะไม่สามารถที่จะจับคนร้ายหรือติดตามของที่ถูกโจรกรรมคืนมาได้เลย จนกระทั่ง คืนวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ทางวัดได้มีงานพิธีศพขึ้นที่ภายในวัด รุ่งเช่าวันที่ ๑๗ พฤษภาคม คุณครูโชติ  ศรโชติ  มานมัสการพ่อนาค จึงได้รู้ว่า “หลวงพ่อนาค” ได้หายไปจากที่ประดิษฐานภายในหอสวดมนต์ ซึ่งมีกรงเหล็กล้อมรอบอย่างแข็งแรงป้องกันอยู่ นับจากวันที่ “หลวงพ่อนาค” จากวัดไปก็ยังความเศร้าโศรกร้อนใจ ให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก จากนั้นประมาณ สามเดือนครึ่ง ด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนาค อาจจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบจับผู้ที่รับซื้อ หลวงพ่อนาคไว้ ได้ที่กรุงเทพฯ และขยายผลจนสามารถจับคนร้ายที่เข้ามาโจรกรรมที่วัดโคกได้ทั้งหมดเป็นแก๊งอยู่ในเขตอยุธยา อ่างทอง  สิงห์บุรี พร้อมทั้งพระพุทธรูปโบราณถูกโจรกรรมไปจากวัดต่างๆในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  อีกจำนวนหนึ่งกลับมาวัดที่ สภอ.บางปะหัน เพื่อให้วัดที่ถูกโจรกรรมพระพุทธรูปได้นำกลับไปวัดเดิม ตามคำบอกเล่า(สารภาพ)ของกลุ่มคนร้าย ได้เล่าว่าพวกเขาได้พยายามที่จะหล่อปูนหุ้มองค์หลวงพ่อ เพื่อแปลงโฉมตบตาผู้อื่น แต่เมื่อหล่อเสร็จแล้วปูนที่หล่อหุ้มไว้ก็แตกออกเอง ซึ่งได้ทำการหล่อหุ้มอยู่ถึงสี่ครั้งและทุกครั้งปูนที่หล่อหุ้มไว้ก็แตกออกทุกครั้ง กลุ่มคนร้ายจึงนำหลวงพ่อนาคไปล้างด้วยน้ำยาเคมีให้แลดูผิดแผกไปจากเดิม แต่อย่างไรก็ดีเมื่อท่านเจ้าอาวาสได้ไปพบครั้งแรก ก็ยังจำหลวงพ่อนาคได้ดี เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ที่หลวงพ่อนาคก็ได้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการได้รวดเร็ว และได้ตัวคนร้ายทั้งหมด พร้อมทั้งยังได้พระพุทธรูปองค์อื่นๆ คืนกลับมาด้วยอีกจำนวนมาก เมื่อได้ หลวงพ่อนาค กลับคืนสู่วัด ทางวัดและชาวบ้านได้ทำบุญ-ฉลองรับขวัญ หลวงพ่อนาค อย่างเอิกเกริก และมีประชาชนทั่วทุกสารทิศใกล้ไกล มาสักการะกราบไหว้บูชาอย่างมากมาย พร้อมทั้งนำเครื่องบนบานศาลกล่าวต่างๆ มาแก้บนกันมากกว่าที่เคยมีมา ท่านเจ้าอาวาส จึงได้ทำการปิดทององค์พระ พร้อมทั้งปรับปรุงซ่อมแซม หอสวดมนต์ใหม่ และประดิษฐานไว้ที่หอสวดมนต์พร้อมทั่งติดตั้งกล้องวงจรปิด และระบบกันขโมย หลวงพ่อเกศแก้วพิกุลทอง เป็นพระประธานในอุโบสถวัดโคกเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทรงเครื่องดอกลายพิกุล เนื้อโลหะสัมฤทธิ์ สมัยต้นกรุงรัตนโกสิน ฯ ขนาดหน้าตักกว้าง 42 นิ้ว สูง 56 นิ้ว ไม่พบประวัติการสร้าง   จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ประจวบ  นาคเหาะ เล่าว่าได้ทราบข้อมูลจากคนเก่าแก่ทราบว่าได้มาจากกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 4 อาราธนามาประดิษฐานในอุโบสถเป็นพระประธานแทนหลวงพ่อนาค ซึ่งที่เศียรของหลวงพ่อเกศแก้วพิกุลทองสามารถเปิดออกได้ โดยที่เศียรของหลวงพ่อเป็นโพรงและมีหยดน้ำเล็กๆซึมออกมา แต่ไม่มาก ซึ่งคลายกับที่วัดตูม อำเภอพระนครศรีอยุธยา ตามหลักวิทยาศาสตร์อาจเกิดจากความเย็นภายในเศียรและอากาศภายนอกจึงเกิดเป็นหยดน้ำ แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเกศแก้วพิกุลทอง ทุกวันพระใหญ่ทางวัดจะตักน้ำลงมาผสมน้ำที่ตุ่มหน้าฐานชุกชี และสวดบทพระพุทธคุณ สวดบทพระปาฏิโมกข์ เพื่อที่ชาวบ้านที่จะนำไปปะพรมบ้านเรือน ร้านค้า หรือผสมน้ำอาบ เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งน้ำที่เศียรของหลวงพ่อมีการเล่ากันต่อๆมาจากอดีตโดยคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ประจวบ นาคเหาะ   ได้เล่าว่าสมัยก่อนมีการเล่ากันว่ามีคนวิกลจริตมาอาศัยหลับนอนในวัด และเปิดเศียรพระดื่มน้ำแก้กระหาย แต่ปรากฏว่าจากคนวิกลจริตกลับหายเป็นคนปกติดังเดิม จนเป็นที่กล่าวถึงกันและนำน้ำศักดิ์ไปผสมน้ำอาบ กิน เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย(ความเชื่อส่วนบุคคล)
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads