คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
โครเมียม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
โครเมียม (อังกฤษ: Chromium) เป็นธาตุในตารางธาตุซึ่งมีสัญลักษณ์เป็น Cr มีหมายเลขอะตอมเป็น 24 ชื่อโครเมียมมีรากศัพท์ดั้งเดิมมาจากภาษากรีก คำว่า Chrome หมายถึงสี[1]
Remove ads
คุณสมบัติเฉพาะตัว
โครเมียม Chromium มีคุณสมบัติเป็นโลหะตามตางรางธาตุ แบ่งออกตามวาเลนต์ดังนี้ 0 1 2 3 4 และ 6 โครเมียมโลหะทรานซิชัน (transition metal) เป็นธาตุในบล็อก-ดี (d-block) ตามตารางธาตุ ซึงมีคุณสมบัติดังนี้
- จุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง
- ใช้เคลือบผิวโลหะ เพือป้องกันการผุกร่อน และเพื่อความสวยงาม
- นำไฟฟ้าได้ดี
- สามารถตีแผ่เป็นแผ่นได้
- มีความมันวาว
การนำไปใช้
ในงานโลหกรรม ใช้ในการป้องกันการกัดกร่อน และทำให้เกิดความมันวาว เช่นการทำชิ้นส่วนรถยนต์หรือชิ้นส่วนแต่งมอเตอร์ไซด์
- ผสมเป็นโลหะผสม เช่น มีดสแตนเลส
- การเคลือบโลหะ
- ใช้ในอะลูมิเนียมอะโนไดส์ ทำให้พื้นผิวของอะลูมิเนียมกลายเป็นทับทิมในสี
- โครเมียม (III) ออกไซด์ เป็นผงขัดโลหะ
- เกลือโครเมียมทำให้แก้วมีสีเขียวมรกต
- โครเมียมทำให้ทับทิมมีสีแดง จึงใช้ผลิตทับทิมเทียม
- ทำให้เกิดสีเหลืองสำหรับทาสี
- เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
- โครไมต์ใช้ทำแม่พิมพ์สำหรับการเผาอิฐ
- เกลือโครเมียมใช้ในการฟอกหนัง
- โปแตสเซียม ไดโครเมต เป็นสารทำปฏิกิริยา ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องแก้วในห้องปฏิบัติการ และเป็นสารทำการไทเครท นอกจากนี้ ยังใช้ในการทำให้สีย้อมติดผ้า
- โครเมียม (IV) ออกไซด์ (CrO2) ใช้ผลิตเทปแม่เหล็ก มีประสิทธิภาพสูงกว่าเทปที่ผลิตจากเหล็กออกไซด์
- ใช้ป้องกันการกัดกร่อนในการเจาะบ่อ
- ใช้เป็นอาหารเสริม หรือยาลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่เป็น โครเมียม (III) คลอไรด์ และโครเมียม (III) พิโกลิเนต
- โครเมียม เฮกซะคาร์บอนิล (Cr (CO) 6) ใช้ผสมลงในเบนซิน
- โครเมียม โบไรด์ (CrB) ใช้เป็นตัวนำไฟฟ้าอุณหภูมิสูง
- โครเมียม (III) ซัลเฟต (Cr2 (SO4) 3) ใช้เป็นผงสีเขียวในสี เซอรามิก วาร์นิช และหมึก รวมทั้งการเคลือบโลหะ
Remove ads
ประวัติการค้นพบ
สมัยก่อนนั้นพบได้ที่หลุมศพของราชวงศ์ฉินปลายศตวรรษที่ 3 ของกองทัพ Terracotta ใกล้กับเมืองซีอาน ประเทศจีน พบได้จากโลหะ และเนื้อไม้ โดยค้นพบโดยนักโบราณคดี ได้รับการวิเคราะห์จากนักโบราณคดีว่า แม้ว่าฝังอยู่ กว่า2000 ปีแล้วก็ตาม แต่ความเป็นสีบรอนซ์ยังติดอยู่ในโลหะและรูปเกาะสลักไม้ และที่น่าแปลกคือมีคือมีการกัดกร่อนน้อยอย่างไม่คาดคิด นั้นอาจจะเป็นเพราะว่ามีคนจงใจเคลือบโครเมียมไดออกไซด์ อย่างไรก็ตามถ้าดูด้วยตาเปล่าก็จะไม่ทราบว่าโลหะเหล่านั้นชุบด้วยโครเมียม
ในปี 1761 แร่ธาตุโครเมียมนั้นทางแถบตะวันตกในศตวรรษวรรษที่ 18 ไห้ความสนใจกันมากเมื่อ วันที่ 26 กรกฎาคม 1761 Gohann Gottlob Lemann ได้พบแร่สีส้มแดงในการทำเหมืองแร่ Beryozovkoye ในเทือกเขา Ural และเขาได้ตั้งมันว่า Siberian redlead
ในปี 1770 Peter Simon Pallas ได้เข้าเยี่ยมชมภายสถานที่ค้นพบแร่สีส้มแดง เช่นเดียวกับ Lomann และพบแร่ red lead มีคุณสมบัติที่มีประโยชน์เป็นต่อการค้า และใช้เป็นแฟชั่นในปัจจุบัน โครเมียมยังเป็นที่รู้จักเป็นเงามันเมื่อขัด มันถูกใช้เป็นสารเคลือบผิวป้องกันและการตกแต่งบนชิ้นส่วนรถยนต์, ติดตั้งประปา, ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์และรายการอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้โดยปกติไฟฟ้า แต่การใช้เพียงแค่นี้ก็กลายเป็นที่แพร่หลายกับการพัฒนาของกระบวนการที่ดีขึ้นในปี 1924[2][3]
สารประกอบโครเมียม
สรุป
มุมมอง
- โลหะโครเมียม Chromium metal
- ไดวาเลนต์โครเมียม Divalent chromium compound (Cr2+)
- ไตรวาเลนต์โครเมียม Trivalent chromium compound (Cr3+)
- เฮกซะวาเลนต์โครเมียม Hexavalent chromium compound (Cr6+)
ไตรวาเลนต์โครเมียม (trivalent chromium, Cr(III))
หรือ chromic compound เป็นธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในขบวนการ glucose metabolism ส่วน compound อื่น ๆ ที่พบในกลุ่มนี้ ได้แก่ chromic oxide (Cr2O3), chromic sulfate(Cr2[SO4]3), chromic chloride (CrCl3), chromicpotassium sulfate (KCr[SO4]2) และ chromite ore (FeOCr2O3)โครเมียมที่พบตามธรรมชาติส่วนใหญ่อยู่ในรูปไตรวาเลนต์โครเมียม (trivalent chromium, Cr(III)) ถึงอย่างไรก็ตามถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น การเปลี่ยนแปลงค่าความเป็นกรด-เบส(ด่าง)หรือการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้พบเฮกซะวาเลนต์โครเมียม (hexavalent chromium, Cr(VI)) ได้[4]
ไตรวาเลนต์โครเมียมพบมากในอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เป็นธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย มีหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ โดยเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์กรดไขมัน และคอเลสเตอรอล รักษาสมดุลของสารอินซูลินในเลือด และควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกาย เปลี่ยนไขมันในร่างกายให้เป็นไขมันดี (HDL) มีการสังเคราะห์ไตรวาเลนต์โครเมียมและวางจำหน่ายเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอล หรือต้องการลดความอ้วน[5] โดยทั่วไปคนเราต้องการไตรวาเลนต์โครเมียมในปริมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวัน โครเมียมที่ร่างกายต้องการเป็นโครเมียมที่อยู่ในรูปไตรวาเลนต์โครเมียมเท่านั้น[6]
เฮกซะวาเลนต์โครเมียม (hexavalent chromium, Cr(VI))
เฮกซะวาเลนต์โครเมียมเป็นสารอันตรายที่จัดอยู่ในกลุ่มของสารก่อมะเร็งที่ส่งผลกระทบต่อยีน (genotoxic carcinogen) เมื่อได้รับสารดังกล่าวเป็นเวลานานจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอด โครงสร้างดีเอ็นเอถูกทำลายได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้เฮกซะวาเลนต์โครเมียมยังถูกสั่งห้าม และจำกัดการใช้ให้มีปริมาณลดน้อยลง มีอุตสาหกรรมจำนวนมากยังคงใช้เป็นวัตถุดิบในหลายผลิตภัณฑ์ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เฮกซะวาเลนต์โครเมียมจะเกิดการปนเปื้อนในน้ำ ดังนั้นการเผยแพร่ถึงภัยอันตรายจากการปนเปื้อนของเฮกซะวาเลนต์โครเมียม วิธีการป้องกัน และการตรวจวัดนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยทั่วไป
เฮกซะวาเลนต์โครเมียม (hexavalent chromium, Cr(VI))แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย
- กลุ่มที่ละลายน้ำได้ (water-soluble hexavalent compounds) ได้แก่ chromic acid, anhydride of chromicacid, monochromate, dichromate of sodium, potassium,
ammonium, cesium, rubidium และ lithium เป็นต้น
- กลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble hexavalent compounds) ได้แก่ zinc chromate, calcium chromate,lead chromate,
barium chromate, strontium chromate และ sintered chromium trioxide เป็นต้น [7]
ผู้ได้รับสารเฮกซะวาเลนต์โครเมียมจะมีอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง เป็นโรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปอด ตับ ไต และลำไส้ถูกทำลาย มีอาการบวมน้ำ และเจ็บแถวกระบังลมหรือลิ้นปี[8]
Remove ads
ประวัติการค้นพบ
สมัยก่อนนั้นพบได้ที่หลุมศพของราชวงศ์ฉินปลายศตวรรษที่ 3 ของกองทัพ Terracotta ใกล้กับเมืองซีอาน ประเทศจีน พบได้จากโลหะ และเนื้อไม้ โดยค้นพบโดยนักโบราณคดี ได้รับการวิเคราะห์จากนักโบราณคดีว่า แม้ว่าฝังอยู่ กว่า2000 ปีแล้วก็ตาม แต่ความเป็นสีบรอนซ์ยังติดอยู่ในโลหะและรูปเกาะสลักไม้ และที่น่าแปลกคือมีคือมีการกัดกร่อนน้อยอย่างไม่คาดคิด นั้นอาจจะเป็นเพราะว่ามีคนจงใจเคลือบโครเมียมไดออกไซด์ อย่างไรก็ตามถ้าดูด้วยตาเปล่าก็จะไม่ทราบว่าโลหะเหล่านั้นชุบด้วยโครเมียม
ในปี 1761 แร่ธาตุโครเมียมนั้นทางแถบตะวันตกในศตวรรษวรรษที่ 18 ให้ความสนใจกันมากเมื่อ วันที่ 26 กรกฎาคม 1761 Gohann Gottlob Lemann ได้พบแร่สีส้มแดงในการทำเหมืองแร่ Beryozovkoye ในเทือกเขา Ural และเขาได้ตั้งมันว่า Siberian redlead
ในปี 1770 Peter Simon Pallas ได้เข้าเยี่ยมชมภายสถานที่ค้นพบแร่สีส้มแดง เช่นเดียวกับ Lomann และพบแร่ red lead มีคุณสมบัติที่มีประโยชน์เป็นต่อการค้า และใช้เป็นแฟชั่นในปัจจุบัน โครเมียมยังเป็นที่รู้จักเป็นเงามันเมื่อขัด มันถูกใช้เป็นสารเคลือบผิวป้องกันและการตกแต่งบนชิ้นส่วนรถยนต์, ติดตั้งประปา, ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์และรายการอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้โดยปกติไฟฟ้า แต่การใช้เพียงแค่นี้ก็กลายเป็นที่แพร่หลายกับการพัฒนาของกระบวนการที่ดีขึ้นในปี 1924[9]
Remove ads
การดูดซึมและการแพร่กระจายของโครเมียมและสารประกอบโครเมียม
สรุป
มุมมอง
โครเมียมนั้นมีอยู่หลายประเภท แบ่งตามวาเลนต์ 0 1 2 3 4 และ 6 ซึ่งไตรวาเลนต์โครเมียมและเฮกซะวาเลนต์โครเมียมมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตมากถ้าหากว่าได้รับในปริมาณที่มากเกินไปก็จะก่ออันตรายต่อคน และสิ่งมีชีวิตอื่นๆในสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน ดังนั้นควรใช้ในปริมาณที่พอควรไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตัวเราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่ไตรวาเลนต์โครเมียมนั้นเป็นสารที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดและไขมันในร่างกายดังนั้นจึงเป็นประโยชน์แกผู้ที่มีความประสงค์อยากลดน้ำหนักจึงทำให้เกิดการสกัดสารชนิดนี้ขึ้นเพื่อการค้า และที่สำคัญสารชนิดนี้มีส่วนช่วยรักษาสมดุลน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานผู้สูงอายุและเด็กที่ขาดสารอาหาร ดังนั้นไตรวาเลนต์โครเมียมจึงเป็นสารชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการแพทย์ แต่ถ้าหากเป็นสารประกอบโครเมียมประเภทอื่นก็จะก่ออันตรายได้ การขาดสารไตรวาเลนต์โครเมียมนั้นจำทำให้พิษผู้ป่วยสารตะกั่วมีความรุนแรงสูงขึ้น โครเมียมและสารประกอบโครเมียมในร่างกายจะถ่ายทอดร่ายกายของแม่ไปสู่รุ่นลูกได้ แต่ทารกในครรภ์มารดาเมื่อมีอายุที่สูงขึ้นก็จะมีปริมาณการสะสมของโครเมียมในเนื้อเยื้อลดลงไปด้วยยกเว้นการสะสมทางปอดจะไม่ลดลงตามอายุ โครเมียมและสารประกอบโครเมียมสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ชนิดของ วาเลนต์ (Valence)[10]
ทางการหายใจ
โครเมียมและสารประกอบโครเมียมจะถูกดูสึมเข้าไปในร่างกานผ่านการสูดดม ทางระบบทางเดินหายใจปัจจัยนี้พบมากในบุคนที่ทำงานในโรงงานอุตสหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโครเมียมและสารประกอบโครเมียม และโครเมียมในรูปแบบโครเมียมเฮกซะวาเลนต์สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ง่ายกว่า ไตรวาเลนต์โครเมียม
ทางการบริโภค
ร่ายกายจะรับโครเมียมและสารประกอบโครเมียมจากบริโภคอาหารและน้ำดิมเป็นส่วนใหญ่ เพราะ โครเมียมและสารประกอบโครเมียมนั้นจะได้รับการปนเปื้อนมากจากน้ำที่โรงงานอุตสหกรรม น้ำก็จะนำมาใช้ในกระบวนการผลิดอาหาร เฮกซะวาเลนต์จะถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารได้ดีกว่า ไตรวาเลนต์โครเมียม ถึง 3-5 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการที่เฮกซะวาเลนต์โครเมียมซึมผ่าน cell membrane ได้
ทางผิวหนัง
ทั้งโครเมียมไตรวาเลน และโครเมียมเฮกซา วาเลนสามารถซึมผ่านผิวหนังได้น้อยมากยกเว้นกรณีที่ผิวหนัง เป็นแผลจากการเผาไหม้ ทำให้สารประกอบโครเมียมบางชนิด เข้าสู่ร่างกายได้ เช่น potassium dichromate และ chromium chloride
Remove ads
ความเป็นพิษ
สรุป
มุมมอง
สุขภาพ
การที่โครเมียมและสารประกอบโครเมียมนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไตรวาเลนต์โครเมียมจะรวมกันกับ transferrin ใน plasma ที่อยู่ในร่างกายของและจะแพร่กระจายไปทั่วเข้าสู่ร่างกาย มีเพียงส่วนน้อยที่จะเข้าไปภายในเม็ดเลือดแดง แต่ในทางกลับกันนั้น เฮกซะวาเลนต์โครเมียมนั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะผ่านเข้าไปในเม็ดเลือดแดงอย่างรวดเร็ว และจะรวมกับ b-chain ของ hemoglobin ทำให้เปลี่ยนไปเป็น trivalent form ในเม็ดเลือดทำให้การทำงานของเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการทำงานของร่างกายผิดปกติไปด้วย ดังนั้น เฮกซะวาเลนต์โครเมียมจึงมีความเป็นพิษสูง และสูงกว่า ไตรวาเลนต์โครเมียมอยู่มาก เนื่องจากเฮกซะวาเลนต์โคเมียมนั้นมีฤทธิ์เป็น oxidizing agent จึงทำให้มีการกัดกร่อนเนื้อเยื้อต่างๆของร่างๆกายก่อให้เกิดมะเร็งได้ และ เฮกซะวาเลนต์โครเมียมยังสามารถที่จะจับตัวกับโปรตีนและกรดนิวคลีอิก ทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลงรูปร่างไป เนื่องจากโปรตีน เป็นส่วนช่วยสร้างเนื้อเยื่อ เมื่อโปรตีทำงานผิดปกติจะส่งผลให้การทำงานของโปนตีนเปลี่ยนไปเกิดการเปลี่ยนรูปร่างไปหรือ อาจจะเกิดการเน่าเปื่อยของร่างกายได้[11]
1. ความเป็นพิษแบบเฉียบพลันคือเกิดอาการโดยไม่ทันตั้งตัว มักพบในกรณีที่มากจากการรับประทานโครเมียมเฮกซะวาเลนต์มีความเป็นพิษสูง เข้าไปโดยไม่รู้ตัว เช่น chromic acid ทำให้เกิด การระคายเคืองทำให้มีการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นอันตรายต่อกระเพราะอาหารและลำไส้ ไตวายเสียชีวิตได้ ปริมาณที่ทำให้เสียชีวิตได้นั้นต้องปริมาณที่ 1-3 กรัมหรือมากกว่านั้น
2.ความเป็นพิษแบบเรื้อรัง คือการเป็นพิษที่เกิดจากการสะสมของโครเมียมเฮกซะวาเลนต์เป็นเวลานานๆมักพบจากการสัมผัสหรือจากการสูดดมผงตะกอนโครเมียมเข้าไป สามารถแบ่งออกเป็น
2.1 เป็นพิษต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ สาเหตุนี้มักเกิดจากการสัมผัสโครเมียมเป็นเวลานานๆทำให้เกิดแผลเรื้อรังได้ บริเวณที่สัมผัสนั้นเช่น มือ แขน ขา เป็นต้น พิษที่เกิดจากทางเดินหายใจนั้นก็เกิดมากจากการสูดดมเอาตะกอนเข้าไปส่งผลให้โพรงจมูกมีความระคายเคียงทำให้เกิดพิษเรื้อรังบริเวณโพรงจมูก ในกรณีนี้อาจส่งผลให้เยื้อบุจมูกเรื้อรังผนังกันจมูกอาจจะลุได้
2.2 เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogenicity) โดย หน่วยงาน The International Agency for Research on Cancer (IARC) และ US Toxicology Program จัดโครเมียมเฮกซาวาเลน เป็น human carcinogen เพราะมีความสามารถในการละลาย น้ำที่ดี ในคนที่ทำงานเกี่ยวกับเฮกซะเวาเลนต์โครเมียมนั้นจะมีการสัมผัสกับโครเมียมเฮกซาวาเลนเป็น เวลามากกว่า30 ปี ขึ้นไป จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยง และอาจจะเป็นมะเร็งปอดได้ [12][13]
สิ่งแวดล้อม
เนื่องจากเฮกซะวาเลนต์โครเมียมนั้นมีความเป็นพิษสูงดังนั้นก็ย่อมมีผลกับสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยที่จะส่งผลจากสัตว์ที่มากินน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเฮกซะวาเลนต์โครเมียมเข้าไปอาจส่งผลให้สัตว์ตายได้ ส่วนพืชนั้นก็ผลที่ได้รับจากการปนเปื้อนของโครเมียมและสารประกอบโครเมียมชนิดเฮกซะวาเลนต์โครเมียมนั้นจะส่งผลทำให้พืชมีการเจริญเติบโตช้าลงและเนื่องจากว่าเฮกซะวาเลนต์โครเมียมนั้นมีความคงทนดังนั้นก็อาจมีผลทำให้เกิดการสะสมในสัตว์น้ำได้
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads