คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
สโมสรกีฬาฟุตบอลนาโปลี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
สโมสรกีฬาฟุตบอลนาโปลี (อิตาลี: Società Sportiva Calcio Napoli; โซชีเอตาสปอร์ตีวากัลโชนาโปลี) เป็นสโมสรฟุตบอลในประเทศอิตาลี จากเมืองเนเปิลส์ แคว้นคัมปาเนีย ปัจจุบันเล่นอยู่ในเซเรียอา ลีกสูงสุดของฟุตบอลอิตาลี นาโปลีเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศ มีเกียรติประวัติคือ ชนะเลิศลีกสูงสุด 4 สมัย, โกปปาอีตาเลีย 6 สมัย, ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 2 สมัย และ ยูฟ่าคัพ 1 สมัย[1] พวกเขาเป็นเจ้าของตำแหน่งชนะเลิศเซเรียอา ฤดูกาล 2024–25 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ได้ 2 จาก 3 ฤดูกาลหลังสุด
ก่อตั้งใน ค.ศ. 1926 ในชื่อ อัสโซเซียซิโอเน กัลโช นาโปลี จากการควบรวมของสองสโมสร ได้แก่ ยูเอส อินแตร์นาซีโอนาเล นาโปลี และ เนเปิลส์ ฟุตบอล คลับ สโมสรยังไม่สามารถทำผลงานโดดเด่นได้ในยุคแรก โดยต้องรอถึง ค.ศ. 1962 เพื่อชนะถ้วยรางวัลแรกคือโกปปาอิตาเลีย และเริ่มประสบความสำเร็จในทศวรรษ 1970–80 ด้วยการมาถึงของ ดิเอโก มาราโดนา ใน ค.ศ. 1984 ในช่วงเวลานี้ถือเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด มาราโดนานำทีมชนะการแข่งขันหลายรายการ จนกลายเป็นตำนานซึ่งได้รับการรีไทร์เสื้อหมายเลข 10 นาโปลีชนะเลิศเซเรียอาใน ค.ศ. 1987 และ 1990 รวมถึงโกปปาอิตาเลีย ค.ศ. 1987 และ ยูฟ่าคัพ ค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นความสำเร็จในรายการยุโรปเพียงครั้งเดียวของสโมสร หลังจากมาราโดนาอำลาทีม สโมสรต้องประสบปัญหาทางการเงิน นำไปสู่การตกชั้น และย่ำแย่ถึงขั้นล้มละลาย ก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงด้วยการมาถึงของประธานคนใหม่อย่าง เอาเรริโอ เดอ ลอเรนติส สโมสรชนะเลิศเลกาโปรปรีมาดีวีซีโอเน ค.ศ. 2006 ก่อนจะกลับมาเป็นสโมสรชั้นนำของอิตาลีและลงเล่นในลีกสูงสุดอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ทศวรรษ 2010 นาโปลีชนะเลิศโกปปาอิตาเลียเพิ่มสามสมัยใน ค.ศ. 2012, 2014 และ 2020 รวมทั้งซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 2014 และคว้าแชมป์เซเรียอาใน ค.ศ. 2023 และ 2025
นาโปลีเป็นสโมสรที่มีผู้เข้าชมในสนามมากเป็นอันดับ 4 ในอิตาลี[2] และมีรายรับมากเป็นอันดับ 5 ในเซเรียอา ด้วยจำนวนเงิน 182 ล้านดอลลาร์ในฤดูกาล 2017–18 และถือเป็นสโมสรอิตาลีที่มีมูลค่าทีมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ในฤดูกาล 2018 ด้วยมูลค่า 379 ล้านดอลลาร์ นาโปลียังเป็นสมาชิกของสมาคมสโมสรยุโรป สโมสรใช้สนามสตาดีโอซันปาโอโลเป็นสนามเหย้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น สนามกีฬาดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ใน ค.ศ. 2020 เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานผู้ล่วงลับ นาโปลีมักสวมชุดแข่งขันทีมเหย้าด้วยเสื้อสีฟ้า และกางเกงสีขาว และใช้เสื้อสีขาว พร้อมกางเกงสีขาวหรือสีฟ้าในชุดทีมเยือน สโมสรเป็นคู่อริกับโรมา, ยูเวนตุส และ ปาแลร์โม เพลงประจำสโมสรคือ โอซูร์ดาโตนัมมูราโต ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดในกลุ่มผู้ใช้ภาษาเนเปิลส์[3]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ยุคแรก และความไม่แน่นอน
สโมสรฟุตบอลแห่งแรกที่เป็นตัวแทนของชาวเนเปิลส์นั้นมีประวัติสืบไปถึง ค.ศ. 1905 โดยก่อตั้งในชื่อ "สโมสรฟุตบอลและคริกเกตเนเปิลส์ (Naples Foot-Ball & Cricket Club)" โดยกะลาสีชาวอังกฤษนามว่า วิลเลียม พ็อตส์ และชาวเมืองเนเปิลส์หลายรายยังมีบทบาทสำคัญในการร่วมก่อตั้งสโมสร รวมถึง อาร์เมดีโอ ซาลซี ซึ่งกลายเป็นประธานสโมสรคนแรก สโมสรใช้เสื้อสีฟ้า และ กางเกงสีดำเป็นสีหลักของชุดแข่ง การแข่งขันนัดแรกของสโมสรคือการเอาชนะทีมกะลาสีชาวอังกฤษด้วยผลประตู 3–2[4]
ในยุคแรกมีกฎระเบียบว่า สโมสรทางตอนเหนือของอิตาลีเท่านั้นที่จะมีสิทธิร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุด เป็นผลให้สโมสรทางใต้ทำได้เพียงลงแข่งกันกับทีมกะลาสีเท่านั้น[5] รวมถึงลงแข่งขันในรายการการกุศลอย่าง ลิปตัน ชาร์เลนจ์ คัพ ซึ่งสโมสรเนเปิลส์สามารถเอาชนะปาแลร์โมในรอบชิงชนะเลิศได้ 3 ครั้ง[6] ในเวลาต่อมา ผู้เล่นต่างชาติจำนวนหนึ่งได้ออกจากสโมสรเพื่อไปก่อตั้งสโมสรฟุตบอลแห่งใหม่ในชื่อ อินแตร์นาซีโอนาเล นาโปลี และทั้งสองสโมสรได้ร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกครั้งแรกในฤดูกาล 1912–13 ซึ่งเป็นปีแรกที่สมาคมเปิดโอกาสให้สโมสรจากทางใต้ร่วมแข่งขัน และแม้สองสโมสรจะมีความเป็นอริต่อกัน ทว่าจากการประสบปัญหาการเงินในต้นทศวรรษ 1920 นำไปสู่การควบรวมกิจการของสองสโมสรและได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "สโมสรฟุตบอลอินแตร์นาซีโอนาเล-เนเปิลส์ (Foot-Ball Club Internazionale-Naples)" ตัวย่อคือ FBC Internaples
ภายใต้การบริหารทีมของประธานสโมสรอย่าง จอร์โจ อัสกาเรลลี สโมสรทำการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น อัสโซเซียซิโอเน กัลโช นาโปลี ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1926[7] ซึ่งได้รับการรับรองโดยสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ตามด้วยการมาถึงของผู้เล่นตัวหลักอย่าง แอตทิลา ซัลลุสโตร กองหน้าชาวอิตาลี–ปารากวัย ซึ่งกลายเป็นขวัญใจแฟนฟุตบอล[8] ซัลลุสโตรถือครองสถิติเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรมาอีกยาวนานหลายทศวรรษ ก่อนที่สถิติจะถูกทำลายโดย ดิเอโก มาราโดนา และ มาเร็ก ฮัมชีก ตามลำดับ[9] สโมสรเริ่มเข้าสู่ยุคเซเรียอาภายใต้การคุมทีมของ วิลเลียม การ์บัตต์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ซึ่งพาทีมพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่องจนสามารถก้าวขึ้นไปจบอันดับครึ่งบนของตารางในระยะเวลาไม่กี่ปี[10] และยังทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องด้วยการจบอันดับสามอีกสองครั้งใน ค.ศ. 1933 และ 1934 ด้วยผู้เล่นแกนหลักอย่าง อันโตนีโอ โวจัก, อาร์นัลโด เซนตีเมนตี และ การ์โล บุสกาลยา ก่อนที่สโมสรจะตกต่ำลงในช่วงก่อนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยรอดพ้นการตกชั้นในฤดูกาล 1939–40 ด้วยจำนวนผลต่างประตูได้เสีย อย่างไรก็ตาม นาโปลีได้รับผลกระทบจากสงครามเช่นเดียวกับหลายสโมสรในอิตาลี นำไปสู่การตกชั้นสู่เซเรียบีเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1942 และย้ายไปเล่นที่สตาดีโอ อาร์ตูโร โคลานา และเล่นในเซเรียบีจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม
ยุคหลังสงคราม และถ้วยรางวัลใบแรก

ระบบลีกของฟุตบอลอิตาลีได้รับการจัดระเบียบใหม่หลังสิ้นสุดสงคราม โดยแบ่งการแข่งขันเป็นสองดิวิชัน ดิวิชันแรกประกอบไปด้วยทีมจากเซเรียอา (ลีกสูงสุด) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือเท่านั้น ในส่วนของอีกดิวิชันนั้น ประกอบด้วยสโมสรจากเซเรียอาและเซเรียบีซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศ โดยมีข้อกำหนดว่าสโมสรที่จบใน 4 อันดับแรกของแต่ละดิวิชันจะได้สิทธิแข่งขันในรอบเพลย์ออฟระดับชาติต่อไป นาโปลีได้สิทธิกลับสู่ลีกสูงสุดอย่างเซเรียอาอีกครั้งใน ค.ศ. 1946 แต่ก็ถูกลงโทษลดชั้นลงไปเล่นในเซเรียบีในอีกสองฤดูกาลถัดมาจากกรณีอื้อฉาวในการติดสินบนผู้ตัดสิน[11] แต่ก็เลื่อนชั้นกลับมาอีกครั้งในฐานะผู้ชนะเซเรียบีในต้นทศวรรษ 1950 และย้ายสู่สนามแห่งใหม่อย่าง สตาดีโอซันปาโอโล ใน ค.ศ. 1959 สโมสรไม่ประสบควาสำเร็จใด ๆ ในช่วงเวลานี้และยังทำผลงานไม่แน่นอน โดยสลับระหว่างการเลื่อนชั้นและตกชั้นจากลีกสูงสุดบ่อยครั้ง และต้องรอถึง ค.ศ. 1962 ในการชนะเลิศถ้วยรางวัลแรกด้วยการเอาชนะ เอส.พี.เอ.แอล. 2013 ในรอบชิงชนะเลิศโกปปาอิตาเลียจากประตูของ จานนี โกเรลลี และ ปีแอร์ลุยจี รอนซอน ส่งผลให้นาโปลีเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศโกปปาอิตาเลียในขณะเล่นอยู่ในเซเรียบี และพวกเขาเลื่อนชั้นสู่เซเรียอาได้ในฤดูกาลนั้น แต่ก็ลงเล่นได้เพียงฤดูกาลเดียวและตกชั้นเป็นครั้งที่สี่
สโมสรเปลี่ยนชื่ออีกครั้งในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1964 เป็น โซเซียตา สปอร์ติวา กัลโช นาโปลี และกลับมาทำผลงานโดดเด่นอีกครั้ง เริ่มจากการเลื่อนชั้นกลับสู่เซเรียอาในฤดูกาล 1964–65 ภายใต้การคุมทีมของ บรูโน เปซาโอลา อดีตผู้เล่นของสโมสร รวมถึงชนะการแข่งขันฟุตบอลถ้วยการกุศลอย่าง Coppa delle Alpi และยังทำอันดับติด 1 ใน 5 ในเซเรียอา และใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุดในฤดูกาล 1967–68 เป็นรองเพียงทีมแชมป์อย่าง เอซี มิลาน ทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดังอย่าง ดีโน ซอฟฟ์, โจเซ่ อัลตาฟินี่, โอมาร์ ซิโบริ และ อันโทนิโอ จูเลียโน ซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นเจ้าของสถิติ ลงสนามมากที่สุดของสโมสรซึ่งยังคงเป็นสถิติมาถึงปัจจุบัน[12] สโมสรยังทำผลงานได้ดีต่อเนื่องถึงทศวรรษ 1970 ด้วยการจบอันดับสามอีกสองครั้งใน ค.ศ. 1971 และ 1974 ภายใต้ผู้ฝึกสอนอย่าง ลุยส์ วินิซิโอ และได้ร่วมแข่งขันในรายการยุโรปอย่างยูฟ่าคัพเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1974–75 และผ่านเข้ารอบที่สามก่อนจะแพ้บานิค ออสตราวา จากเช็กเกีย ด้วยผลประตูรวมสองนัด 1–3 นาโปลียังคว้ารองแชมป์เซเรียอาได้อีกครั้งในฤดูกาลนั้น เป็นรองทีมแชมป์อย่างยูเวนตุสเพียงสองคะแนน ด้วยผู้เล่นอย่าง จูเซปเป บรุสโกลอตลอที, ซัลวาโตเร เอสโปซิโต และ จูเซปเป ซาวอลดิ และสามารถชนะเลิศโกปปาอิตาเลียสมัยที่สองใน ค.ศ. 1976 โดยเอาชนะเอซี มิลาน และ ฟีออเรนตินา มาได้ ก่อนจะเอาชนะ เฮลแลสเวโรนา ด้วยผลประตู 4–0 ในรอบชิงชนะเลิศ ในปีนั้นนาโปลียังเอาชนะเซาแทมป์ตันจากอังกฤษด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–1 ในการแข่งขัน แองโกล - อิตาเลียนลีกคัพ[13] ตามด้วยการแข่งขันยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1976–77 แต่ไปแพ้ราชสโมสรกีฬาอันเดอร์เลคต์ ในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตู 1–2[14] นาโปลียังจบใน 6 อันดับแรกเป็นส่วนมากในทศวรรษนี้ และจบอันดับสามอีกครั้งในต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็กลับไปหนีตกชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1983[15]
สร้างประวัติศาสตร์: เทพนิยายของมาราโดนา

การมาถึงของผู้เล่นชื่อดังอย่าง ดิเอโก มาราโดนา เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของนาโปลีไปตลอดกาล เขาย้ายมาจากบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 12 ล้านยูโรซึ่งเป็นสถิติโลกในขณะนั้น[16] ทีมมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นอีกหลายราย ด้วยการมาถึงของ ซิโร เฟอร์รารา, ซัลวาโตเร บัญนี รวมถึง เฟร์นันโด เด นาโปลี นาโปลีจบอันดับสามอีกครั้งในฤดูกาล 1985 ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์ในฤดูกาล 1986–87 ด้วยการคว้าแชมป์สองถ้วยรางวัลทั้งในเซเรียอา และ โกปปาอิตาเลีย โดยเอาชนะอตาลันตาในรอบชิงชนะเลิศโกปปาอิตาเลียด้วยผลประตู 4–0 มาราโดนาได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานในระยะเวลาอันรวดเร็ว อันเนื่องมาจากไม่เคยมีสโมสรในภูมิภาคทางใต้ชนะเลิศการแข่งขันลีกสูงสุดมาก่อน ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเนเปิลส์และแฟนฟุตบอลที่อยู่ทางใต้เป็นจำนวนมาก มาราโดนาถูกยกให้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของชาวเมืองเนเปิลส์[17] อย่างไรก็ตาม สโมสรไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในปีต่อมา ทำได้เพียงรองชนะเลิศ และไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันยูโรเปียนคัพ แต่ยังได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าคัพในฤดูกาล 1988–89 และคว้าแชมป์ได้ ซึ่งถือเป็นแชมป์รายการยุโรปรายการเดียวของพวกเขาถึงปัจจุบัน ในเส้นทางแต่ละรอบนั้น พวกเขาเอาชนะทีมใหญ่อย่างยูเวนตุส และ ไบเอิร์นมิวนิก รวมถึง สโมสรปาโอกจากกรีซ ก่อนจะเอาชนะสโมสรเยอรมนีอย่าง เฟาเอ็ฟเบ ชตุทการ์ท ด้วยผลประตู 5–4[18]

นาโปลีคว้าแชมป์เซเรียอาสมัยที่สองในฤดูกาล 1989–90 ด้วยการมีคะแนนเหนือ เอซี มิลาน สองคะแนน ในปีนั้น มาราโดนายังได้รับเสียงวิจารณ์จากการออกมาเรียกร้องให้แฟนฟุตบอลเมืองเนเปิลส์ รวมถึงเมืองอื่น ๆ ทางตอนใต้สนับสนุนทีมชาติอาร์เจนตินา ในนัดที่พบกับทีมชาติอิตาลีในฟุตบอลโลก 1990 จากความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ชาวอิตาลีและผู้พลัดถิ่นทางตอนใต้ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาหลายศตวรรษ เหตุการณ์ดังกล่าวมีประวัติศาสตร์ยาวนานซึ่งสามารถสืบไปถึงช่วงการรวมชาติอิตาลี [19]
| “ | ผมไม่เห็นด้วยกับการที่ทุกคนออกมาเรียกร้องให้ชาวเนเปิลส์สนับสนุนทีมชาติอิตาลี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เมืองเนเปิลส์ถูกกีดกันจากภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ และเป็นเมืองที่ประชากรถูกเหยียดเชื้อชาติอย่างไม่เป็นธรรมมากที่สุด | ” |
| — ดิเอโก มาราโดนา กรกฎาคม ค.ศ. 1990 | ||
สนามกีฬาซันปาโอโล เป็นเพียงสนามเดียวที่ทีมชาติอาร์เจนตินาไม่ได้รับเสียงโห่[20] มาราโดนาโค้งคำนับเพื่อให้เกียรติชาวเมืองเนเปิลส์เมื่อจบการแข่งขัน และอาร์เจนตินาเอาชนะอิตาลีผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจบการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศซึ่งอาร์เจนตินาแพ้เยอรมนีตะวันตก สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีร้องขอให้มาราโดนาเข้ารับการตรวจสารกระตุ้น ซึ่งเขาถูกตรวจพบว่ามีการใช้โคเคน ทั้งตัวมาราโดนาและทีมงานของนาโปลีเชื่อว่า เป็นแผนการเพื่อแก้แค้นมาราโดนาจากเหตุการณ์ในฟุตบอลโลก[21] มาราโดนาถูกตัดสินว่ามีความผิด และได้รับโทษแบนจำนวน 15 เดือน และไม่ได้ลงเล่นในสีเสื้อของนาโปลีอีกเลย แต่สโมสรยังชนะเลิศโกปปาอิตาเลียในปีนั้น ด้วยการเอาชนะคู่อริอย่างยูเวนตุสขาดลอยด้วยผลประตู 5–1 แต่นั่นก็เป็นถ้วยรางวัลสุดท้ายในทศวรรษนั้น และพวกเขาต้องรออีก 22 ปีในการกลับมาชนะถ้วยรางวัล และสโมสรยังตกรอบที่สองในยูโรเปียนคัพปีนั้น
ตกต่ำอีกครั้ง และการมาถึงของประธานคนใหม่
นาโปลีคว้าอันดับ 4 ในเซเรียอาฤดูกาล 1991–92 และเริ่มมีผลงานตกต่ำหลังจากนั้น ประสบปัญหาทั้งภายในและนอกสนาม จากการมีปัญหาโครงสร้างการเงิน ผู้เล่นอย่าง จันฟรังโก โซลา, แดเนียล ฟอนเซสกา และ ซิโร เฟอร์รารา ต่างก็อำลาทีมเพื่อช่วยพยุงฐานะการเงินของสโมสร นาโปลียังได้ลงแข่งขันยูฟ่าคัพฤดูกาล 1994–95 และเข้าถึงรอบสาม และเข้าชิงชนะเลิศโกปปาอิตาเลียอีกครั้งในฤดูกาล 1996–97 แต่แพ้วิเซนซาด้วยผลประตู 1–3[22] แต่ผลงานในลีกตกต่ำต่อเนื่อง นำไปสู่การตกชั้นเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1997–98 โดยชนะได้เพียงสองนัดตลอดทั้งฤดูกาล
นาโปลีเลื่อนชั้นกลับสู่เซเรียอาใน ค.ศ. 1999 แต่ก็ตกชั้นกลับไปอีกครั้งในเวลาหนึ่งฤดูกาล ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 สโมสรประกาศภาวะล้มละลาย[23] เป็นเหตุพิจารณาให้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อย่าง อูเรริโอ ดิ ลูเรนทิอัส เข้าควบคุมกิจการสโมสร และนาโปลีถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเพือให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ ดิ ลูเรนทิอัส จึงพิจารณาเปลี่ยนชื่อทีมอีกครั้งกลายเป็น Napoli Soccer และจากการล้มละลายดังกล่าว ส่งผลให้นาโปลีต้องถูกลดชั้นไปเล่นในลีกระดับสามอย่างเซเรียซี และเกือบจะเลื่อนชั้นสู่เซเรียบีได้ทันที ทว่าพวกเขาแพ้ต่อ อเวลลิโน 1992 ในรอบเพลย์ออฟด้วยผลประตู 1–2 ในรอบเพลย์ออฟฤดูกาล 2004–05 และแม้จะตกอับอยู่ในลีกระดับล่าง แต่นาโปลียังมีสถิติในการมีผู้ชมในสนามมากว่าสโมสรอื่นในลีกสูงสุด และทำลายสถิติผู้ชมในเซเรียซีด้วยจำนวนเฉลี่ย 51,000 รายต่อนัด[24] ในฤดูกาลต่อมา นาโปลีสามารถเลื่อนชั้นสู่เซเรียบีได้ และ ลูเรนทิอัส ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกครั้งว่า โซชีเอตาสปอร์ตีวากัลโชนาโปลี ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 และเป็นชื่อที่ใช้มาถึงปัจจุบัน ลงเล่นในเซเรียบีได้เพียงฤดูกาลเดียว พวกเขาก็เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง พร้อมกับสโมสรใหญ่ที่เปรียบเสมือน "ยักษ์หลับ" ในทศวรรษนั้นอย่าง สโมสรเจนัว[25] ใน ค.ศ. 2010 นาโปลีจบอันดับหก ภายใต้ผู้จัดการทีม วอลเตอร์ มาซซาร์รี ได้ร่วมแข่งขันยูโรปาลีก ตามด้วยการจบในอันดับสามในฤดูกาลต่อมา ได้ลงแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ในรอบแบ่งกลุ่ม
กลับสู่เส้นทาง
นาโปลีจบอันดับห้าในฤดูกาล 2011–12 แต่เอาชนะยูเวนตุส ณ สนามสตาดีโอโอลิมปีโก ในรอบชิงชนะเลิศโกปปาอิตาเลีย คว้าแชมป์สมัยที่สี่ และเป็นแชมป์แรกในรอบ 25 ปี และยังคว้าอันดับสองในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ก่อนจะตกรอบโดยแพ้เชลซีทีมเป็นแชมป์ในปีนั้น ต่อมา ในฤดูกาล 2012–13 นาโปลีคว้ารองแชมป์เซเรียอา ถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่คว้าแชมป์ได้ใน ค.ศ. 1990 เอดินซอน กาบานิ เป็นผู้ทำประตูสูงสุดของเซเรียอาในปีนั้น จำนวน 29 ประตู ก่อนจะย้ายร่วมทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 64 ล้านยูโร[26]

มาซซาร์รีอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2013 และผู้ที่มาแทนคือ ราฟาเอล เบนิเตซ ซึ่งพาทีมชนะการแข่งขันสองถ้วยรางวัล เริ่มจากการเอาชนะจุดโทษยูเวนตุสในรายการ ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา 2014 ตามด้วยแชมป์โกปปาอิตาเลีย เอาชนะฟีออเรนตินาในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 3–1[27] และพ่าย อัตเลติกเดบิลบาโอ ในรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำได้เพียงไปเล่นยูโรปาลีกซึ่งพวกเขาแพ้ ดนีปรอ ในรอบรองชนะเลิศ เบนิเตซพาทีมจบอันดับห้าในเซเรียอา ฤดูกาล 2014–15 ก่อนจะอำลาทีมเพื่อไปคุมเรอัลมาดริด และเขาถูกแทนที่โดย เมารีซีโอ ซาร์รี พาทีมคว้ารองแชมป์เซเรียอา ฤดูกาล 2015–16 โดยทำไปถึง 82 คะแนน แต่ก็ตกรอบยูโรปาลีกจากการแพ้ บิยาร์เรอัล ต่อมา นาโปลีจบอันดับสามใน เซเรียอา ฤดูกาล 2016–17 ทำไป 86 คะแนน และแพ้เรอัลมาดริดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลนี้ ดรีส แมร์เตินส์ ปีกตัวหลักชาวเบลเยียมยังทำสถิติยิง 34 ประตูรวมทุกรายการ จากการปรับบทบาทมาเล่นกองหน้าตัวเป้าแทนที่ อาร์กาดียุช มีลิกซึ่งบาดเจ็บจากเอ็นไขว้หัวเข่าฉีกขาด นาโปลียังทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่อง โดยมีลุ้นคว้าแชมป์เซเรียอา ฤดูกาล 2017–18 ตลอดทั้งฤดูกาล แต่ก็พลาดให้กับยูเวนตุสทีมแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย แม้จะทำคะแนนไปถึง 91 คะแนน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของสโมสร ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 2017 มาเร็ก ฮัมชีก ได้กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสรจำนวน 115 ประตู ทำลายสถิติของมาราโดนา[28]
ซาร์รีอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาลและถูกแทนที่โดย การ์โล อันเชลอตตี ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018[29] และพาทีมคว้าอันดับสองอีกครั้ง แต่ถูกปลดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 จากการทำผลงานในช่วงเริ่มต้น ฤดูกาล 2019–20 ย่ำแย่ ซึ่งนาโปลีอยู่อันดับเจ็ดในขณะนั้น เจนนาโร กัตตูโซ นักฟุตบอลชื่อดังชาวอิตาลีได้รับการแต่งตั้งในวันต่อมา[30] ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2020 แมร์เตินส์ทำลายสถิติของฮัมชีกในการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรจำนวน 122 ประตู ในการแข่งขันโกปปาอิตาเลียรอบรองชนะเลิศที่พบกับอินเตอร์[31] และคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่หก จากการดวลจุดโทษชนะยูเวนตุสในรอบชิงชนะเลิศ[32] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 สโมสรทำการเปลี่ยนชื่อสนามเหย้าเป็น สนามกีฬาดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานกองหน้าผู้ล่วงลับซึ่งเสียชีวิตในปีนั้น ลูเซียโน สปัลเล็ตติ เข้ามาแทนที่กัตตูโซในฤดูกาล 2021–22 ซึ่งพาทีมจบอันดับสาม[33]
ทวงคืนแชมป์เซเรียอา
สปัลเลตติพาทีมคว้าแชมป์เซเรียอาฤดูกาล 2022–23 หลังจากบุกไปเสมออูดิเนเซ ด้วยผลประตู 1–1 ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 ถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่สามของสโมสร และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาราโดนาอำลาทีม[34][35] ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 สปัลเลตติพาทีมผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกของสโมสร ก่อนจะตกรอบด้วยน้ำมือของคู่แข่งร่วมประเทศอย่างเอซีมิลาน ด้วยผลรวมสองนัด 1–2 สปัลเลตติอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล และรูดี การ์เซียได้รับการแต่งตั้งในฤดูกาล 2023–24 แต่ถูกปลดหลังคุมทีมไปเพียงสามเดือนเนื่องจากผลงานย่ำแย่ วอลเตอร์ มาซซาร์รีได้รับการแต่งตั้งแทนจนสิ้นสุดฤดูกาล ถือเป็นการกลับมาคุมทีมเป็นครั้งที่สองในรอบสิบปี แต่ก็คุมทีมได้เพียงสามเดือนโดยนาโปลีมีผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง ชนะเพียง 6 จาก 17 นัดต่อมา เขาถูกแทนที่โดยฟรันเชสโก คัลโซนา และนาโปลีจบอันดับ 10 ในเซเรียอาซึ่งเป็นอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 15 ฤดูกาล สโมสรได้แยกทางกับคัลโซนา ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023–24 นาโปลีผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ แม้จะอยู่ร่วมกับทีมเต็งอย่างเรอัลมาดริด รวมทั้งแอร์สเทอร์ เอ็ฟเซ อูนีโอนแบร์ลีน และบรากา แต่ยุติเส้นทางด้วยการแพ้บาร์เซโลนาในรอบ 16 ทีม
นาโปลีแต่งตั้ง อันโตนีโอ กอนเต เข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2024 ด้วยสัญญา 3 ปี กอนเตพาทีมชนะเลิศเซเรียอา ฤดูกาล 2024–25 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 4 โดยเอาชนะคัลยารีกัลโชในนัดสุดท้าย 2–0 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 สโมสรมีสองผู้เล่นสำคัญในฤดูกาลนี้ร่วมกันผนึกกำลังในแนวรุกและมีส่วนสำคัญในการคว้าแชมป์ ได้แก่ โรเมลู ลูกากู และ สกอตต์ แม็กโทมิเนย์ และในครั้งนี้ยังเป็นการชนะเลิศลีกสูงสุดเป็นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลหลัง ส่งผลให้นาโปลีได้รับการยอมรับให้กลับมาเป็นทีมระดับแนวหน้าที่พร้อมท้าชิงแชมป์ได้อย่างมั่นคง[36] เข้าสู่ฤดูกาล 2025–26 นาโปลีเซ็นสัญญากับผู้เล่นชื่อดังอย่างเกฟิน เดอ เบรยเนอ ซึ่งย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ซิตีโดยไม่มีค่าตัว[37][38]
Remove ads
วัฒนธรรมสโมสร
สรุป
มุมมอง
สี ตราสโมสร และชื่อเรียก
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ สโมสรกีฬาฟุตบอลนาโปลี
เนื่องจากเนเปิลส์เป็นเมืองชายฝั่ง สีของสโมสรจึงได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีฟ้าน้ำทะเลของอ่าวเนเปิลส์มาโดยตลอด[39] เดิมที สโมสรใช้ชื่อ Naples FBC ในชื่อสโมสร และใช้สีน้ำเงินสองเฉด[40] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา มีการใช้สีน้ำเงินโทนเดียวเป็นสีฟ้าคราม ดังนั้น นาโปลีจึงมีฉายาว่า "อัซซูรี" ร่วมกับทีมชาติอิตาลี[41] โดยโมนสีน้ำเงินของชุดแข่งสโมสรมักเป็นสีฟ้าอ่อนในหลาย ๆ กรณี
โดยทั่วไปแล้ว นาโปลีจะสวมเสื้อสีฟ้าครามกับกางเกงขาสั้นสีขาวเมื่อเล่นในบ้าน และสวมเสื้อสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีขาวหรือสีน้ำเงินเมื่อเป็นทีมเยือน แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุดเยือนมักจะเบี่ยงเบนไปจากธรรมเนียมปฏิบัตินี้ หนึ่งในฉายาของนาโปลีคือ "I ciucci" ซึ่งแปลว่า "ลา" ในภาษาเนเปิลส์ นาโปลีได้รับชื่อนี้หลังจากทำผลงานที่ย่ำแย่ในฤดูกาล 1926–27 เดิมทีชื่อนี้ตั้งใจให้เป็นชื่อที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากสัญลักษณ์ของชาวเนเปิลส์คือม้าดำที่วิ่งพล่านแต่สโมสรได้นำลามาใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำทีมโดยใช้ชื่อว่า "'O Ciuccio"[42]

ตราสโมสรแห่งแรกของนาโปลีมีรูปม้าวิ่งอยู่บนลูกฟุตบอล โดยมีตัวอักษร "ACN" ล้อมรอบ ตราสโมสรในปัจจุบันมีตัวอักษร "N" ขนาดใหญ่อยู่ภายในวงกลม ตราสโมสรนี้ประวัติสืบย้อนกลับไปถึงสมัยชื่ออินเตอร์นาซิโอนาเล นาโปลี ซึ่งใช้ลวดลายที่คล้ายคลึงกันบนเสื้อของพวกเขา[43] นับตั้งแต่นาโปลีใช้ตัวอักษร N เป็นหลักในตราสโมสรแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงตราสโมสรเล็กน้อยบางโอกาส โดยบางครั้งจะปรากฏชื่อสโมสรอยู่รอบ ๆ แต่บางครั้งอาจไม่พบชื่อ[44] โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างระหว่างตราสโมสรแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่โทนสีฟ้าของตรา โดยทั่วไปตัว "N" จะเป็นสีขาว แม้ว่าบางครั้งจะเป็นสีทอง (โดยเฉพาะก่อนปี 1980)[45]
สโมสรมีชื่อเรียกที่เป็นที่นิยมคือ "Partenopei" เป็นชื่อเล่นยอดนิยมของสโมสรและผู้คนจากเมืองเนเปิลส์โดยทั่วไป[46]
Remove ads
การสนับสนุนและสโมสรคู่อริ
สรุป
มุมมอง
นาโปลีเป็นสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ในอิตาลี โดยมีแฟนบอลชาวอิตาลีประมาณ 13% ที่สนับสนุนสโมสร เช่นเดียวกับสโมสรชั้นนำอื่น ๆ ในประเทศ ฐานแฟนบอลของนาโปลีขยายออกไปนอกพรมแดนอิตาลี ในปี 2018 สมาคมได้ประกาศว่าทีมมีแฟนบอลมากกว่า 35 ล้านคนทั่วโลก และผู้คน 120 ล้านคนที่ชอบชมการแข่งขันของนาโปลี[47]
เนื่องด้วยเนเปิลส์ต่างจากเมื่องใหญ่อื่น ๆ ที่เป็นที่ตั้งของสโมสรในเซเรียอา เช่น มิลาน ตูริน โรม นาโปลีเป็นเพียงสโมสรใหญ่และมีชื่อเสียงเพียงสโมสรเดียวในเมือง พวกเขาจึงไม่มีอริร่วมเมืองโดยตรงในการแข่งขันดาร์บี ในอดีต การแข่งขันกับอริอย่าง SSD Savoia 1908 FC มีความเข้มข้นพอสมควร ซึ่งปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมมากนัก ได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1939 ในช่วงรอบน็อคเอาท์ของโคปปา อิตาเลีย ฤดูกาล 1939-40 นาโปลีเอาชนะไป 3–1 การพบกันครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเซเรียบี ฤดูกาล 2000 ซึ่งนาโปลีชนะ 1–0
สโมสรที่เป็นคู่อริดุเดือดกับนาโปลีก็คือยูเวนตุส[48] จากการแย่งความสำเร้จกันโดยตรง และเคยพบกันในการแข่งขันนัดสำคัญทั้งในเซเรียอา และโกปปา อิตาเลีย หลายครั้ง นาโปลียังเป็นอริกับโรมา แม้ว่าในอดีตจะมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างแฟนบอลนาโปลีและโรมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ที่รู้จักกันในชื่อ ดาร์บีเดลโซเล (ดาร์บีแห่งดวงอาทิตย์) แต่มิตรภาพก็สิ้นสุดลงสิ้นเชิงใน ค.ศ. 1987 และความสัมพันธ์ของสโมสรแย่ลงไปอีกราวปี 2001 ก่อนจะถึงจุดแตกหักทางการภายหลังจากรอบชิงชนะเลิศโกปปา อิตาเลีย 2014 เมื่อแฟนบอลโรมาสังหารชีโร เอสโปซิโต แฟนบอลนาโปลี ใกล้กับสตาดีโอโอลิมปีโกด้วยปืน
นาโปลีเป็นหนึ่งในทีมที่สำคัญที่สุดของอิตาลีตอนใต้ มีคู่แข่งมากมายกับทีมทางเหนือหลายทีม รวมถึงทีมใหญ่จากเมืองมิลานทั้งเอซีมิลานและอินเตอร์ และพัฒนาความเป็นอริกับทั้งอตาลันตา และสโมสรฟุตบอลเฮลแลสเวโรนา แฟนบอลของนาโปลียังมีอารมณ์ในการเชียร์ที่ดุเดือดกับอีกหนึ่งสโมสรดังในกรุงโรมซึ่งก็คือลัตซีโย[49]
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
สรุป
มุมมอง
- ณ วันที่ 9 กันยายน 2025 [50]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
การรีไทร์หมายเลขเสื้อ

ในช่วงฤดูร้อนปี 2000 นาโปลีได้ยกเลิกหมายเลขเสื้อหมายเลข 10 ของอดีตตำนานสโมสรอย่างดิเอโก มาราโดนา ซึ่งเล่นให้กับสโมสรตั้งแต่ปี 1984 ถึง 1991 นับตั้งแต่มีการนำหมายเลขเสื้อพร้อมชื่อผู้เล่นพิมพ์ลงบนเสื้ออย่างต่อเนื่อง นักเตะคนสุดท้ายที่สวมหมายเลข 10 ได้แก่ ฟาวส์โต ปิซซี (ในปี 1995–1996), เบโต (1996–97), อิกอร์ ปรอตติ (1997–98) ซึ่งเป็นผู้เล่นคนสุดท้ายที่เล่นและทำประตูด้วยหมายเลข 10 ในเซเรีย อา และเคลาดิโอ เบลลุชชี (ในปี 1998 ถึง 2000 ในเซเรีย บี)
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลด้านกฎระเบียบ หมายเลขนี้จึงถูกนำมาใช้ใหม่ตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2006 ในเซเรียซี เนื่องจากในขณะนั้นการแข่งขันระดับสามของอิตาลียังคงใช้หมายเลขเดิมตั้งแต่ 1 ถึง 11 โดยไม่มีชื่อพิมพ์อยู่ นักเตะคนสุดท้ายที่สวมเสื้อตัวนี้และทำประตูได้ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการคือ มาริอาโน โบกลิอาชิโน ในเกมเหย้าเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 ที่พบกับสเปเซีย ซึ่งมีผลสำหรับนัดชิงชนะเลิศของซูเปอร์โคปปา ดิ เลกา เซเรีย ซี1 เกียรติยศนี้เป็นถือเป็นของเขาเช่นกันจากการลงเล่นครั้งสุดท้ายในลีกเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2006 ในเกมเหย้าที่พบกับลันชาโน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแข่งขันชิงแชมป์นั้น เกียรติยศดังกล่าวตกเป็นของโรแบร์โต โซซา นักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา โดยเขาเป็นคนสุดท้ายที่สวมเสื้อหมายเลข 10 ที่ซานเปาโล และในขณะเดียวกันก็ทำประตูได้ในการแข่งขันกับโฟรซิโนเน เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2006
Remove ads
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- โกปปาเดลเลอัลพิ
- ชนะเลิศ (1): 1966
ระดับทวีปยุโรป
- ยูฟ่าคัพ/ยูฟ่ายูโรปาลีก
- ชนะเลิศ (1): 1988–89
- แองโกล-อินาเลียโนคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1976
Remove ads
สถิติสโมสร
สรุป
มุมมอง

มาเร็ก ฮัมชีก ครองสถิติลงสนามมากที่สุดของสโมสร (520 นัด) ในจำนวนนี้รวมถึงสถิติการลงสนามในเซเรียอา 408 นัดในช่วงเวลา 12 ปีที่เขาอยู่ตั้งแต่ ค.ศ. 2007 ถึง 2019 ในขณะที่สถิติผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลเป็นของดรีส แมร์เตินส์ จำนวน 148 ประตู รวมถึงสถิติ 113 ประตูในเซเรียอา
ดิเอโก มาราโดนา จบฤดูกาลเซเรียอาในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดของลีกซึ่งในอิตาลีเรียกว่า กาโปคันโนนิเอเร ในฤดูกาล 1987–88 ด้วยผลงาน 15 ประตู[51] ความสำเร็จนี้ถูกเทียบเคียงโดย เอดินซอน กาบานิ ในฤดูกาล 2012–13, กอนซาโล อิกัวอิน ในฤดูกาล 2015–16 และวิกเตอร์ โอซิมเฮน ในฤดูกาล 2022–23 โดยอิกัวอินเป็นเจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดต่อหนึ่งฤดูกาลในเซเรียอา จากผลงาน 36 ประตูในฤดูกาล 2015–16[52]
ชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดของสโมสร คือชัยชนะต่อสโมสร Aurora Pro Patria 1919 ด้วยผลประตู 8–1 ในเซเรียอา ฤดูกาล 1955–56 ในขณะที่ความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดเกิดขึ้นในฤดูกาล 1927–28 โดยแพ้ต่อโตรีโน 11–0[53] สถิติการขายผู้เล่นที่แพงที่สุดของนาโปลีคือการย้ายทีมของอิกัวอินด้วยค่าตัว 90 ล้านยูโรย้ายร่วมทีมยูเวนตุสเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 ซึ่งกลายเป็นสถิติสูงสุดอันดับ 3 ของโลก[54] และการซื้อตัวที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร คือการเซ็นสัญญากับวิกเตอร์ โอซิมเฮนด้วยค่าตัว 70 ล้านยูโรเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2020[55]
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads
