Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ความตกลงการสงบศึกเกาหลี เป็นความตกลงที่ลงนามโดย พลโท วิลเลียม แฮร์ริสัน จูเนียร์ แห่งกองทัพบกสหรัฐ ในนามของกองบัญชาการสหประชาชาติ และพลเอก นัม อิล แห่งเกาหลีเหนือ ในนามของกองทัพประชาชนเกาหลีเหนือและกองทัพอาสาประชาชนจีน[1] เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2496 และได้รับการออกแบบมาเพื่อ "ประกันการยุติความเป็นศัตรูกันและการกระทำทั้งหมดของกองทัพในเกาหลีกระทั่งบรรลุการระงับข้อพิพาทอย่างสันติขั้นสุดท้าย" (final peaceful settlement)[2] แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการบรรลุ "การระงับข้อพิพาทอย่างสันติขั้นสุดท้าย" การสงบศึกที่มีการลงนามนี้ฟื้นฟูพรมแดนระหว่างสองประเทศใกล้กับเส้นขนานที่ 38 สถาปนาเขตปลอดทหารเกาหลี และทำให้การหยุดยิงมีผลบังคับ และทำให้การส่งเชลยศึกกลับประเทศเดิมเสร็จสมบูรณ์
ผู้แทนลงนามความตกลงการสงบศึกเกาหลีในพันมุนจ็อม | |
ประเภท | สงบศึก |
---|---|
วันลงนาม | 27 กรกฎาคม ค.ศ.1953 |
ที่ลงนาม | พันมุนจ็อม, คาบสมุทรเกาหลี |
ผู้ลงนาม | / วิลเลียม เคลลี แฮร์ริสัน จูเนียร์ นัม อิล เผิง เต๋อหวย |
ภาคี | United Nations Command แม่แบบ:Country data DPRK กองทัพประชาชนเกาหลี Chinese People's Volunteer Army |
ภาษา | อังกฤษ, เกาหลี, จีน |
จนถึงกลางเดือนธันวาคม 2493 สหรัฐอเมริกาได้อภิปรายเงื่อนไขสำหรับความตกลงเพื่อยุติสงครามเกาหลีแล้ว[3] ความตกลงที่ปรารถนาไว้ดังกล่าวจะยุติการสู้รบ ให้การรับรองการคืนสภาพเดิม และคุ้มครองความปลอดภัยในอนาคตของกองกำลังสหประชาชาติ[4] สหรัฐอเมริกาตัดสินใจว่าจำเป็นต้องมีคณะกรรมาธิการการสงบศึกทหารซึ่งมีสมาชิกภาพร่วมซึ่งจะดูแลความตกลงทั้งหมด[3] ทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงเพื่อ "ยุติการนำหน่วยหรือกำลังพลทางอากาศ ภาคพื้นหรือนาวิกเข้ามาเสริมกำลังในเกาหลี... และเพื่อยับยั้งการเพิ่มขึ้นของระดับยุทธภัณฑ์และยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ในเกาหลี"[3] สหรัฐอเมริกายังปรารถนาจะสร้างเขตปลอดทหารที่มีความกว้างอย่างน้อย 20 ไมล์[3] ความตกลงจะหยิบยกประเด็นเชลยศึกซึ่งสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าควรมีการแลกเปลี่ยนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง[3]
ขณะที่การสนทนาเรื่องความตกลงการสงบศึกที่เป็นไปได้แพร่ไปนั้น ในปลายเดือนพฤษภาคมและต้นเดือนมิถุนายน 2494 อี ซึงมัน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ คัดค้านการเจรจาสันติภาพ เขาเชื่อว่าสาธารณรัฐเกาหลีควรขยายกองทัพต่อไปเพื่อกรีธาไปจนถึงแม่น้ำยาลูและรวมชาติเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์[5] สหประชาชาติไม่รับรองท่าทีของรี[5] แต่แม้จะปราศจากการสนับสนุนจากสหประชาชาติ รีและรัฐบาลเกาหลีใต้เปิดฉากความพยายามขนานใหญ่เพื่อระดมสาธารณะต่อต้านการยุติการสู้รบที่ไม่ถึงแม่น้ำยาลู[6] ข้าราชการสาธารณรัฐเกาหลีอื่น ๆ ก็สนับสนุนความทะเยอทะยานของรีและสมัชชาแห่งชาติผ่านข้อมติที่รับรองการสู้รบต่อไปเพื่อ "ประเทศที่มีเอกราชและรวมเป็นหนึ่ง"[6] อย่างเป็นเอกฉันท์ อย่างไรก็ดี เมื่อถึงปลายเดือนมิถุนายน สมัชชาตัดสินใจสนับสนุนการเจรจาสงบศึก[6]
เช่นเดียวกับอี ซึงมัน ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม อิลซุงก็แสวงการรวมชาติอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ฝ่ายเกาหลีเหนือตอบรับการเจรจาการสงบศึกช้า และกระทั่งวันที่ 27 มิถุนายน 2494 เพียง 17 วันก่อนเริ่มการเจรจาการสงบศึก ที่เกาหลีเหนือเปลี่ยนคำขวัญจาก "ขับไล่ข้าศึกลงทะเล" เป็น "ขับไล่ข้าศึกไปยังเส้นขนานที่ 38"[7] เกาหลีเหนือถูกกดดันให้สนับสนุนการเจรจาสันติภาพโดยชาติพันธมิตร จีนและสหภาพโซเวียต ซึ่งการสนับสนุนจากชาติเหล่านี้ทำให้เกาหลีเหนือยังคงสู้รบต่อไปได้ ทำให้เกาหลีเหนือถูกบีบให้รับท่าทีสนับสนุนการสงบศึก
การสงบศึกที่ลงนามนี้สถาปนา "การยุติความเป็นศัตรูกันทั้งหมดในเกาหลีโดยกองทัพทั้งหมดอย่างสมบูรณ์"[2] โดยมีผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายบังคับใช้ โดยหลัก คือ ทำให้การหยุดยิงสมบูรณ์มีผลบังคับ กระนั้น การสงบศึกนี้เป็นเพียงการหยุดยิง ไม่มีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งหมายความว่า สงครามเกาหลียังไม่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ
การสงบศึกดังกล่าวยังสถาปนาเขตปลอดทหารเกาหลี ซึ่งทั้งสองชาติเกาหลีตัดสินให้เป็นเขตกันชนที่มีการป้องกันกว้าง 4.0 กิโลเมตร[8] คณะกรรมาธิการตรวจตราชาติเป็นกลาง (NNSC) เป็นผู้ลาดตระเวนเขตดังกล่าว เขตปลอดทหารนี้เป็นไปตามแนวแคนซัสที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันจริงขณะที่มีการลงนามการสงบศึก เขตปลอดทหารดังกล่าวเป็นพรมแดนระหว่างประเทศที่มีการป้องกันมากที่สุดในโลก
การสงบศึกนี้ยังสถาปนาการวางระเบียบเกี่ยวกับเชลยศึก ความตกลงดังกล่าวระบุว่า "ภายในหกสิบวันหลังความตกลงนี้มีผลบังคับใช้ ต่างฝ่ายต้องส่งเชลยศึกทั้งหมดในการคุมขังที่ยืนยันจะส่งตัวกลับประเทศเดิมไปยังฝ่ายที่เขาเป็นสมาชิก ณ เวลาที่ถูกจับ กลับประเทศเดิมโดยตรงเป็นกลุ่ม โดยไม่มีการขัดขวางใด ๆ"[9] ท้ายสุด มีทหารเกาหลีเหนือหรือจีนกว่า 22,000 นายที่ปฏิเสธการส่งตัวกลับประเทศเดิม ในทางกลับกัน ทหารเกาหลีใต้ 327 นาย ทหารสหรัฐ 21 นาย และทหารสหราชอาณาจักร 1 นายปฏิเสธการส่งกลับประเทศเดิมเช่นกัน และยังคงอยู่ในเกาหลีเหนือหรือจีน
นอกเหนือไปจากการวางระเบียบอันเป็นที่ยอมรับซึ่งแสดงรายการข้างต้น การสงบศึกดังกล่าวยังให้การแนะนำแก่ "รัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายว่า ภายในสามเดือนหลังมีการลงนามความตกลงการสงบศึกนี้และมีผลบังคับ ให้จัดการประชุมทางการเมืองระดับสูงทั้งสองฝ่ายโดยผู้แทนที่ได้รับแต่งตั้งเพื่อระงับข้อพิพาทผ่านการเจรจาปัญหาการถอนกองกำลังต่างชาติทั้งหมดออกจากเกาหลี การระงับข้อพิพาทอย่างสันติต่อปัญหาเกาหลี ฯลฯ"[10] แม้แต่ในปี 2567 หลายสิบปีให้หลังความตกลงการสงบศึกนี้ ประเด็นเหล่านี้ก็ยังไม่มีการระงับ เพราะยังไม่มีการระงับปัญหาเกาหลีอย่างสันติและทหารอเมริกันยังอยู่ในเกาหลีใต้
หลังมีการลงนามการสงบศึก มีการพิจารณาว่าสงครามเกาหลีสิ้นสุดลงแล้วแม้จะไม่มีสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการก็ตาม แม้สงครามสามปี คาบสมุทรเกาหลียังคงเหมือนเดิมก่อนสงครามมาก โดยพรมแดนระหว่างประเทศอยู่ที่ตำแหน่งใกล้กัน สหรัฐอเมริกามองว่าสงครามครั้งนี้จบลงด้วยการเสมอ ขณะที่เกาหลีเหนือและจีนต่างอ้างว่าชนะสงคราม[11]
เกาหลีเหนือประกาศว่าจะไม่ผูกมัดตามการสงบศึกนี้อย่างน้อย 6 ครั้ง ในปี 2537 2539 2546 2549 2552 และ 2556[12][13]
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2552 เกาหลีเหนือประกาศว่า ไม่รู้สึกถูกผูกพันตามความตกลงการสงบศึกอีกต่อไป[14] มีอุบัติการณ์รุนแรงสองครั้งแยกกันในปี 2553 การจมเรือโชนัน (สาเหตุยังพิพาทอยู่ แต่สงสัยว่าถูกเรือดำน้ำเกาหลีเหนือโจมตี) และการระดมยิงยอนพยองของเกาหลีเหนือ
ในเดือนมีนาคม 2556 เกาหลีเหนือประกาศอีกครั้งว่า จะฉีกสนธิสัญญาไม่รุกรานทั้งหมดกับเกาหลีใต้ ร่วมกับการขยายขอบเขตอย่างอื่น เช่น การปิดพรมแดนและการปิดสายด่วนระหว่างสองผู้นำเกาหลี[15] เกาหลีเหนือแถลงว่า ตนมีสิทธิโจมตีด้วยนิวเคลียร์ก่อน[15] โฆษกสหประชาชาติแถลงว่า สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติเห็นชอบความตกลงการสงบศึกดังกล่าว และไม่อาจถูกยกเลิกได้ฝ่ายเดียวโดยทั้งเกาหลีเหนือหรือเกาหลีใต้[16]
นับแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เกาหลีเหนือ-ใต้ โดยมีการประชุมสุดยอดผู้นำ 3 ครั้ง , ครั้งที่ 1 ; 13 – 15 มิถุนายน 2543 ในรัฐบาล คิม แด-จุง กับ คิม จ็อง-อิล จัดขึ้นที่ กรุงเปียงยาง , เกาหลีเหนือ โดยมีข้อตกลงเพื่อลดความตึงเครียดจากสมัยสงครามเย็นและเพิ่มความพยายามในการรวมชาติ เจรจาเปิดนิคมอุตสาหกรรมในเมืองแกซอง , ครั้งที่ 2 2 – 4 ตุลาคม 2550 ในรัฐบาล โน มู-ฮย็อน กับ คิม จ็อง-อิล จัดขึ้นที่ กรุงเปียงยาง , เกาหลีเหนือ โดยมีข้อตกลงให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์ และทำข้อตกลงสันติภาพถาวรระหว่างกัน และครั้งที่สาม 27 เมษายน 2561 จัดขึ้นที่ หมู่บ้านปันมุนจอม เกาหลีใต้[17] ในรัฐบาล มุน แจ-อิน กับ คิม จ็อง-อึน โดยจุดมุ่งหมายของการประชุมครั้งนี้ เพื่อแถลงการณ์และร่วมกันหาทางออกยุติบทบาทของสงครามดังกล่าว [18][19][20] ในการเจรจาครั้งนี้เกาหลีใต้อาจจะเสนอการยุตินิวเคลียร์เป็นสิ่งสำคัญ และ[21] และมีข้อเสนอเล็กน้อยถึงเกาหลีเหนือในการยุติโครงการอาวุธ [22][23][24]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.