Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตึ ดึ๊ก (เวียดนาม: Tự Đức, 嗣德; 22 กันยายน ค.ศ. 1829 – 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1883) พงศาวดารไทยเรียก ตือดึก[1] พระนามาภิไธยเดิม เหงียน ฟุก ห่ง เหญิ่ม (Nguyễn Phúc Hồng Nhậm, 阮福洪任) พงศาวดารไทยเรียกเจ้ายอมราชบุตร[2] เป็นจักรพรรดิเวียดนามแห่งราชวงศ์เหงียนพระองค์ที่ 4 เสวยราชย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1847–1883 เป็นจักรพรรดิราชวงศ์เหงียนที่อยู่ในราชสมบัติยาวนานที่สุดเป็นเวลา 36 ปี และเป็นจักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายที่ได้ปกครองเวียดนามในฐานะรัฐเอกราช ในรัชสมัยของพระองค์ประเทศเวียดนามต้องเผชิญกับการคุกคามทางทหารของฝรั่งเศส และการสูญเสียดินแดนเวียดนามภาคใต้หรือโคชินจีน (Cochinchina) ให้แก่ฝรั่งเศส
จักรพรรดิตึ ดึ๊ก | |||||
---|---|---|---|---|---|
จักรพรรดิแห่งเวียดนาม | |||||
ครองราชย์ | ค.ศ. 1847 – ค.ศ. 1883 | ||||
ก่อนหน้า | จักรพรรดิเถี่ยว จิ | ||||
ถัดไป | จักรพรรดิสุก ดึ๊ก | ||||
สวรรคต | 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1883 ปี) | (53||||
ฝังพระศพ | เคียมลัง | ||||
คู่อภิเษก | จักรพรรดินีเหละ เถียน | ||||
พระราชบุตร | อึง อ๊าย (พระราชโอรสบุญธรรม) จั๊ญ มง (พระราชโอรสบุญธรรม) อึง ดัง (พระราชโอรสบุญธรรม) | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์เหงียน | ||||
พระราชบิดา | จักรพรรดิเถี่ยว จิ | ||||
พระราชมารดา | จักรพรรดินีงี เถียน |
จักรพรรดิตึดึ๊กพระนามเดิมว่าเจ้าชายเหงียน ฟุก ห่ง เหญิ่ม (Nguyễn Phúc Hồng Nhậm, 阮福洪任) ทรงพระราชสมภพในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1829 ในรัชกาลของจักรพรรดิมิญ หมั่ง เป็นพระราชโอรสองค์รองของเจ้าชายเหงียนฟุกเมียนตง (Nguyễn Phúc Miên Tông, 阮福綿宗) และพระสนมฝั่มถิฮั่ง (Phạm Thị Hằng, 范氏姮) เจ้าชายเหงียนฟุกห่งเหญิ่มมีพระเชษฐาต่างมารดาคือเจ้าชายเหงียนฟุกห่งบ๋าว (Nguyễn Phúc Hồng Bảo, 阮福洪保) เมื่อพระจักรพรรดิมิญหมั่งเสด็จสวรรคตในค.ศ. 1841 เจ้าชายเหงียนฟุกเมียนตงพระบิดาของเจ้าชายเหงียนฟุกห่งเหญิ่มได้ขึ้นครองราชสมบัติราชวงศ์เหงียนต่อมาเป็นพระจักรพรรดิเถี่ยว จิ พระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงแต่งตั้งให้เจ้าชายเหงียนฟุกห่งเหญิ่มเป็น เจ้าชายฟุกตวีกง (Phúc Tuy công, 福隆公) แม้ว่าเจ้าชายฟุกตวีกงจะประชวรเป็นโรคไข้ทรพิษทำให้ทรงไม่สามารถมีโอรสหรือธิดาได้ แต่ก็ทรงตั้งใจใฝ่เรียนรู้หลักปรัชญาของลัทธิขงจื๊อ ทำให้พระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงโปรดเจ้าชายฟุกตวีกงมากกว่าพระเชษฐาคือเจ้าชายเหงียนฟุกห่งบ๋าว
พระจักรพรรดิเถี่ยวจิพระบิดาของเจ้าชายฟุกตวีกงเสด็จสวรรคตในค.ศ. 1847 ตามหลักของลัทธิขงจื๊อซึ่งเน้นความสำคัญของสิทธิของบุตรชายหัวปี เจ้าชายเหงียนฟุกห่งบ๋าวซึ่งเป็นพระโอรสองค์โตของพระจักรพรรดิเถี่ยวจิควรที่จะได้สืบทอดราชสมบัติต่อมา แต่ทว่าพระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงโปรดเจ้าชายฟุกตวีกงพระโอรสองค์รองมากกว่าพระโอรสองค์โตเนื่องจากเจ้าชายฟุกตวีกงทรงมีความเคร่งครัดและยึดมั่นในหลักการของลัทธิขงจื๊อ ในขณะที่เจ้าชายห่งบ๋าวไม่ทรงสนพระทัยศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งเจ้าชายฟุกตวีกงยังได้รับการสนับสนุนจากขุนนางที่มีอำนาจอยู่ในช่วงปลายรัชสมัยเถี่ยวจิเช่น เจืองดังเกว๊ (Trương Đăng Quế, 張登桂) เหงียนจิเฟือง (Nguyễn Tri Phương, 阮知方) ฯลฯ เมื่อเจืองดังเกว๊เปิดราชโองการออกปรากฏว่าพระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงยกราชสมบัติให้แก่เจ้าชายฟุกตวีกงพระโอรสองค์รอง เจ้าชายฟุกตวีกงขึ้นครองราชสมบัติเป็นฮว่างเด๊แห่งราชวงศ์เหงียนของเวียดนามด้วยพระชนมายุ 18 ชันษา เปลี่ยนพระนามเป็นเหงียน ฟุก ถี่ (Nguyễn Phúc Thì, 阮福時) ประกาศใช้รัชศก "ตึดึ๊ก" (Tự Đức, 嗣德) แปลว่า การสืบทอดอันเป็นมงคล เนื่องจากพระจักรพรรดิตึดึ๊กทรงครองราชย์ตั้งแต่ยังพระเยาว์ จึงมีการจัดตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนประกอบด้วยเจืองดังเกว๊ เหงียนจิเฟือง ฯลฯ พระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงสถาปนาพระนางฝั่มถิฮั่งพระราชมารดาขึ้นเป็นฮว่างไท้เห่า (Hoàng thái hậu, 皇太后) หรือพระพันปีหลวง
แม้ว่าเจ้าชายเหงียนฟุกห่งบ๋าวจะทรงยอมรับราชโองการในตอนแรกและทรงยอมปล่อยให้บัลลังก์ตกแก่พระอนุชา แต่เจ้าชายห่งบ๋าวก็ยังทรงคิดว่าพระองค์เองสมควรที่จะได้ราชสมบัติอยู่เสมอ มีการกล่าวหาว่าเจืองดังเกว๊ส่งเสริมยกจักรพรรดิเถี่ยวจิที่ยังทรงพระเยาว์ให้เป็นฮว่างเด๊นั้นเพื่อที่จะเป็นหุ่นเชิดให้แก่ตน เจ้าห่งบ๋าวทรงขอความช่วยเหลือจากมิชชันนารีชาวตะวันตกให้เข้าร่วมกับพระองค์ในการทวงคืนราชบัลลังก์ โดยมีข้อตอบแทนว่าหากพระองค์ได้ราชสมบัติจะให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ชาวคริสเตียน แต่ทว่าในค.ศ. 1851 เจืองดังเกว๊ล่วงรู้แผนการที่เจ้าชายห่งบ๋าวขอความช่วยเหลือมิชชันนารีในการเสด็จหลบหนีไปยังสิงคโปร์ ทำให้เจ้าชายห่งบ๋าวถูกจับกุมขังไว้ในพระราชวังแต่พระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงอภัยโทษให้แก่พระเชษฐา ในค.ศ. 1854 เจ้าชายห่งบ๋าวทรงก่อการกบฎอีกครั้ง พระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงลงพระอาญาให้สำเร็จโทษเจ้าชายห่งบ๋าวแต่พระนางฝั่มถิฮั่งพระพันปีหลวงได้ขออภัยโทษให้แก่เจ้าชายห่งบ๋าว อย่างไรก็ตาม เจ้าชายห่งบ๋าวทรงกระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการแขวนพระศออยู่ภายในที่กุมขังสิ้นพระชนม์ไป เจ้าชายห่งบ๋าวรวมทั้งพระโอรสอีกสี่องค์ถูกถอดจากยศปลดลงเป็นสามัญชน จักรพรรดิเถี่ยวจิทรงให้พระโอรสทั้งสี่ของห่งบ๋าวเปลี่ยนชื่อแซ่ไปใช้แซ่ดิญ (Đinh, 丁) ทั้งหมด
การเข้ามามีบทบาทของมิชชันนารีศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในสังคมเวียดนามเป็นปัญหาทางการเมืองของเวียดนามมาเป็นเวลานานเกือบยี่สิบปี ศาสนาคริสต์และลัทธิขงจื๊อมีประเด็นที่ขัดแย้งกันโดยเฉพาะในเรื่องการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ราชสำนักราชวงศ์เหงียนมีความพยายามที่จะปราบปรามและกำจัดศาสนาคริสต์ไปจากเวียดนามแต่ไม่ประสบผล มีการจับมิชชันนารีชาวตะวันตกและชาวเวียดนามที่เข้ารีตนับถือคริสต์มาตัดสินลงโทษประหารชีวิต ในรัชกาลของพระเจ้าเถี่ยวจิพระบิดาของพระจักรพรรดิตึดึ๊กการลงโทษชาวคริสเตียนลดน้อยลงไป เมื่อเข้าสู้สมัยของจักรพรรดิตึดึ๊กหลังจากที่ราชสำนักเชื่อว่าชาวคริสเตียนให้การสนับสนุนการกบฎของเจ้าชายห่งบ๋าว การลงโทษชาวคริสเตียนจึงเริ่มต้นอีกครั้ง ในค.ศ. 1857 พระจักรพรรดิตึดึ๊กทรงลงพระราชอาญาประหารชีวิตมิชชันนารีชาวสเปนจำนวนสองคน
ในขณะเดียวกันนั้นจักรวรรดิฝรั่งเศสกำลังทำสงครามฝิ่นครั้งที่สอง และมีกองกำลังทางเรืออยู่ในน่านน้ำทะเลของจีนเป็นจำนวนมาก ในปีค.ศ. 1857 เช่นกัน นายชาลส์ เดอ มงติญยี (Charles de Montigny) ทูตฝรั่งเศสประจำกรุงรัตนโกสินทร์เดินทางมายังนครเว้เพื่อขอสร้างสัมพันธไมตรีทำสนธิสัญญาทางการค้ากับราชสำนักเวียดนามแต่ไม่ประสบผล เมื่อทางการฝรั่งเศสทราบข่าวการประทุษร้ายมิชชันนารีที่เวียดนาม พระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 มีพระราชโองการให้นายพลเรือโท ชาร์ล รีโกล เดอ เยอนูยยี (Charles Rigault de Genuoilly) แห่งกองทัพเรือจักรวรรดิฝรั่งเศส ยกทัพเรือมายังเวียดนามเพื่อเป็นการตอบโต้ โดยมีเป้าหมายคือเมืองดานัง (Da Nang) หรือที่ฝรั่งเศสเรียกว่าเมืองตูราน (Tourane) นายพลเรือเดอเยอนูยยียกทัพเรือเข้ายึดเมืองท่าดานังได้สำเร็จในเดือนกันยายน ค.ศ. 1858 ฝ่ายพระจักรพรรดิตึดึ๊กทรงส่งแม่ทัพเหงียนจิเฟืองซึ่งเป็นแม่ทัพซึ่งมีบทบาทในอานามสยามยุทธยกทัพเวียดนามเข้าล้องเมืองดานังไว้ ทำให้ทัพฝรั่งเศสถูกขังอยู่ในเมืองท่าดานังไม่สามารถเดินทัพต่อขึ้นบกได้ หลังจากที่ทัพฝรั่งเศสถูกฝ่ายเวียดนามล้อมอยู่ภายในเมืองไซ่ง่อนเป็นเวลาประมาณห้าเดือนไม่สามารถเดินทัพไปต่อได้ แม่ทัพเดอเยอนูยยีตัดสินใจค้นหาเมืองท่าแห่งใหม่เพื่อนำทัพฝรั่งเศสขึ้นฝั่งให้สำเร็จ และแบ่งทัพไปยึดเมืองไซ่ง่อนได้สำเร็จอีกเมืองหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1859 ปีต่อมา ค.ศ. 1860 ฝ่ายฝรั่งเศสตัดสินใจถอนทัพออกจากเมืองดานังทั้งหมด ไปสมทบรวมกันกับทัพที่ไซ่ง่อน ฝ่ายแม่ทัพเวียดนามเหงียนจิเฟืองหลังจากยึดเมืองดานังคืนได้แล้วจึงยกทัพตามไปล้อมเมืองไซ่ง่อนคืนจากฝรั่งเศส แต่กองทหารฝรั่งเศสภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลเรือโท เลโอนาร์ ชาร์แนร์ (Léonard Charner) นำทัพฝรั่งเศสฝ่าวงล้อมของเหงียนจิเฟืองออกมาจากเมืองไซ่ง่อนได้ และสามารถเอาชนะเหงียนจิเฟืองได้ในยุทธการที่กี่ฮว่า (Battle of Kỳ Hòa)
เมื่อตั้งมั่นบนผืนแผ่นดินเวียดนามได้แล้ว ทัพฝรั่งเศสจึงเข้ายึดจังหวัดเบียนฮว่า (Biên Hòa) และจังหวัดหวิ๋ญลอง (Vĩnh Long) พระจักรพรรดิตึดึ๊กและขุนนางในราชสำนักเมื่อเห็นว่าทัพฝรั่งเศสสามารถยึดดินแดนไปได้จำนวนหนึ่ง และกองทัพเวียดนามไม่มีประสิทธิภาพและวิทยาการมากพอที่จะเอาชนะทัพฝรั่งเศสได้ จึงเริ่มต้นการเจรจา ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1852 จักรพรรดิตึดึ๊กทรงให้ฟานทัญซ๋าน (Phan Thanh Giản, 潘淸簡) เป็นผู้แทนฝ่ายเวียดนามในทำข้อตกลงสนธิสัญญาไซ่ง่อน (Treaty of Saigon) ราชวงศ์เหงียนยกเมืองไซ่ง่อน รวมทั้งจังหวัดซาดิ่ญ จังหวัดเบียนฮว่า และจังหวัดดิ่ญเตื่อง (Định Tường) และเกาะโกนเซิน (Côn Sơn) หรือเกาะปูโลคอนดอร์ (Poulo Condore) ให้แก่ฝรั่งเศส เป็นการสูญเสียดินแดนให้แก่ชาติตะวันตกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เวียดนาม รวมทั้งราชสำนักยังต้องเปิดเมืองท่าดานังให้เป็นเมืองท่าเสรีชาวฝรั่งเศสสามารถเข้ามาทำการพาณิชย์ได้ ให้สิทธิแก่ชาวฝรั่งเศสสามารถเดินเรือในแม่น้ำโขงได้อย่างอิสระ และราชสำนักเวียดนามต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศสอีกด้วย
ในค.ศ. 1863 พระจักรพรรดิตึดึ๊กทรงแต่งคณะทูตนำโดยฟานทัญซ๋านเดินทางไปยังนครปารีสประเทศฝรั่งเศสเพื่อเจรจาทวงขอดินแดนที่เสียให้แก่ฝรั่งเศสคืนมาแต่ไม่ประสบผล ในค.ศ. 1864 ฝรั่งเศสจัดตั้งอาณานิคมขึ้นในเวียดนามอย่างเป็นทางการ มีชื่อว่า อาณานิคมโคชินจีน (Cochinchina) เป็นอาณานิคมแห่งแรกในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า นัมกี่ (Nam Kỳ, 南圻) ในค.ศ. 1867 ฝ่ายทางการอาณานิคมฝรั่งเศสยกกำลังเข้ายึดจังหวัดเจิวด๊ก (Châu Đốc) จังหวัดห่าเทียน (Hà Tiên บันทายมาศ) และจังหวัดหวิ๋ญลอง (Vĩnh Long) ครอบครองดินแดนเพิ่มเติมไปจากสนธิสัญญาไซ่ง่อนเมื่อค.ศ. 1862 แม้ว่าราชสำนักราชวงศ์เหงียนจะไม่ทรงยินยอมที่จะยกดินแดนเหล่านั้นให้แก่ฝรั่งเศส แต่พระจักรพรรดิตึดึ๊กก็มิอาจจะทรงกระทำสิ่งใดได้ เมื่อถูกฝรั่งเศสยึดดินแดนไปเพิ่มเติมอย่างไม่เป็นธรรม ฟานทัญซ๋านจึงลาออกจากราชการแล้วดื่มยาพิษเสียชีวิต เมื่อคณะทูตของฟานทัญซ๋านเดินทางไปฝรั่งเศสได้พบเห็นวิทยากรนำสมัยของชาติตะวันตก จึงนำความมากราบทูลพระจักรพรรดิตึดึ๊ก แต่ทว่าพระจักรพรรดิตึดึ๊กยังคงทรงเมินเฉยต่อความเปลี่ยนแปลง เหล่านักปราชญ์บัณฑิตเวียดนามเริ่มเห็นความสำคัญของการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมตะวันตก ในค.ศ. 1863 เหงียนเจื่องโตะ (Nguyễn Trường Tộ, 阮長祚) บัณฑิตชาวเวียดนามซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ ถวายฏีกาแด่พระจักรพรรดิตึดึ๊กใจความว่าศาสนาคริสต์มิใช่ภัยคุกคามต่อเวียดนาม และควรจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่พระจักรพรรดิและขุนนางระดับสูงยังคงไม่เห็นความสำคัญของการปฏิรูป
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาติมหาอำนาจตะวันตกต่างต้องการที่จะแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในจักรวรรดิจีน ฝรั่งเศสได้สำรวจดินแดนเวียดนามภาคเหนือแถบลุ่มแม่น้ำแดง (Red River) หรือที่เรียกว่าตังเกี๋ย พบว่าเป็นดินแดนที่สามารถเดินทางไปสู่จีนได้เป็นช่องทางในการขยายอิทธิพลเข้าไปในจีน ในค.ศ. 1873 เกิดความขัดแย้งระหว่างทางการเวียดนามกับพ่อค้าชาวฝรั่งเศสในลุ่มแม่น้ำแดง ทางการอาณานิคมได้ส่งนายเรือเอก ฟร็องซิส การ์นีเย (Francis Garnier) ไปเพื่อทำการไกล่เกลี่ย แต่การ์นีเยกลับนำทัพเข้าบุกยึดนครฮานอย จับตัวแม่ทัพเหงียนจิเฟืองเป็นเชลยศึก เหงียนจิเฟืองปฏิเสธอาหารและเสียชีวิตในระหว่างการคุมขัง ราชสำนักเวียดนามจึงขอความช่วยเหลือจากกองทัพธงดำจ้วง[3] (黑旗軍) หรือฮ่อธงดำในมณฑลกว่างสีของจีนราชวงศ์ชิงซึ่งนำโดยแม่ทัพชาวจีน ลิ้ว หย่งฟู้ (劉永福, Liú Yǒngfú) ลิ้ว หย่งฟู้ นำกองทัพธงดำจ้วงเข้ายึดเมืองฮานอยคืนจากฝรั่งเศสให้แก่เวียดนาม และสังหารนายเรือเอกการ์นีเยเสียชีวิต
หลังจากที่ฝรั่งเศสไม่สามารถยึดตังเกี๋ยมาครอบครองได้ อีกเก้าปีต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. 1883 นาวาเอก อ็องรี รีวีแยร์ (Henri Rivière) แห่งกองทัพเรือฝรั่งเศส ได้นำกองทหารเข้าบุกยึดเมืองฮานอยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการอาณานิคมฝรั่งเศส ราชสำนักเวียดนามร้องขอความช่วยเหลือไปยังกองทัพธงดำอีกครั้ง ราชสำนักจีนจึงส่ง ลิ้ว หย่งฟู้ นำกองทัพเข้ามาประจำการในเวียดนามภาคเหนือเพื่อเตรียมการต่อสู้กับฝรั่งเศส ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ลิ้วหย่งฟู้นำกองทัพธงดำลอบโจมตีทัพของนาวาเอกรีวีแยร์ในยุทธการที่สะพานกระดาษ (Battle of Paper Bridge) นาวาเอกรีวีแยร์เสียชีวิตในที่รบ
แม้ว่าพระจักรพรรดิตึดึ๊กจะทรงมีพระสนมจำนวนมากแต่ด้วยการประชวรเมื่อยังพระเยาว์ทำให้ไม่สามารถทรงมีโอรสธิดาได้ แม้กระนั้นพระจักรพรรดิตึดึ๊กทรงรับเจ้าชายที่เป็นพระภาติยะมาเป็นพระโอรสบุญธรรมจำนวนสามองค์ด้วยกันได้แก่
พระจักรพรรดิตึดึ๊กเสด็จสวรรคตเมื่อเดือนมิถุนายนกรกฎาคม ค.ศ. 1883 พระชนมายุ 54 พรรษา โดยที่สงครามกับฝรั่งเศสในภูมิภาคตังเกี๋ยยังไม่จบสิ้น ทรงได้รับพระนามที่ศาลบรรพกษัตริย์ว่า พระจักรพรรดิดึกตง (Dực Tông, 翼宗) พระสุสานพระนามว่า เคียมลัง (Khiêm Lăng, 謙陵) พระโอรสบุญธรรมเจ้าชายถวิโกว๊กกงเหงียนฟุกอึงเจินขึ้นครองราชสมบัติต่อมาเป็นพระจักรพรรดิสุกดี๊ก ในช่วงปลายรัชสมัยตึดึ๊กมีกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจในราชสำนักประกอบด้วยเหงียนวันเตื่อง (Nguyễn Văn Tường, 阮文祥) และโตนเทิ้ตเทวี้ยต (Tôn Thất Thuyết, 尊室説) พระจักรพรรดิสุกดึ๊กอยู่ในราชสมบัติได้เพียงสามวัน[4] จึงถูกกลุ่มขุนนางนั้นปลดออกจากราชสมบัติ หลังจากที่จักรพรรดิตึดึ๊กสวรรคตได้เพียงสองเดือน กองทัพเรือฝรั่งเศสเข้าบุกรุกเวียดนามอีกครั้ง จนนำไปสู่การสูญเสียเอกราชของเวียดนามในที่สุด
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.