Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ศาสนาในประเทศเกาหลีเหนือ ไม่มีการสำรวจสำมะโนครัวประชากรอย่างเป็นทางการและประเทศนี้เป็นประเทศไม่มีศาสนา[2][3] ข้อมูลที่มีมาจากการประมาณการจากสถิติช่วงปลาย ค.ศ. 1990[4] และ ค.ศ. 2000[1][5] ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา ส่วนประชากรที่นับถือศาสนา โดยมากนับถือศาสนาพื้นเมืองเกาหลีคือลัทธิชินโดและลัทธิช็อนโด มีประชากรจำนวนน้อยที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ทั้งนี้ลัทธิช็อนโดถือเป็นศาสนาที่มีอิทธิพลยิ่ง มีพรรคการเมืองเป็นของตนเองคือพรรคดรุณมิตรสวรรคมรรค[6] ทั้งยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลว่าเป็น "ศาสนาประจำชาติ" เกาหลี[7] เพราะได้รับความนิยม[8] และเป็นขบวนการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม[6]
เดิมชาวเกาหลีนับถือศาสนาพื้นเมืองคือลัทธิมูหรือชินโด ต่อมารัฐโคกูรยอรับศาสนาพุทธจากรัฐฉินเมื่อ พ.ศ. 915 และพัฒนาจนมีรูปแบบเป็นของตนเอง ในช่วงเวลานั้นคาบสมุทรเกาหลีแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร คือ โคกูรยอทางเหนือ แพ็กเจทางตะวันตกเฉียงใต้ และชิลลาทางตะวันออกเฉียงใต้ ศาสนาพุทธแพร่หลายไปยังรัฐชิลลาในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และเพียงระยะเวลาไม่นาน ศาสนาพุทธได้รับการยอมรับนับถือเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ. 1095[9] ศาสนาพุทธเป็นที่นิยมมากในชิลลาและแพร่หลายไปยังรัฐแพ็กเจ (รัฐทั้งสองตั้งอยู่ในเขตประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบัน) ขณะที่รัฐโคกูรยอ (ตั้งอยู่ในเขตประเทศเกาหลีเหนือในปัจจุบัน) ยังนิยมนับถือศาสนาพื้นเมืองอยู่อย่างเหนียวแน่น กระทั่ง พ.ศ. 1461 มีการรวบรวมรัฐทั้งสามก่อตั้งเป็นรัฐโครยอ ศาสนาพุทธก็ยิ่งโดดเด่นและพระสงฆ์เริ่มมีอำนาจทางการเมือง[10]
เมื่อถึงยุคราชวงศ์โชซ็อนเรืองอำนาจช่วงปลายศตวรรษที่ 14 พวกเขานับถือลัทธิขงจื๊อใหม่อย่างเคร่งครัด จึงมีการลดอำนาจและปราบปรามทั้งศาสนาพุทธ[11][12] และลัทธิชินโด[13] อารามในพุทธศาสนาหลายแห่งถูกทำลาย จากที่เคยมีอยู่หลายร้อยแห่ง หลงเหลืออารามเพียงสามสิบหกแห่ง ศาสนาพุทธถูกกำจัดออกจากตัวเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ ภิกษุและภิกษุณีล้วนถูกกีดกันและผลักดันไปยังพื้นที่ภูเขาอันห่างไกล[12] นโยบายกีดกันนี้กินเวลาจนถึงศตวรรษที่ 19[14] จากสภาวการณ์ดังกล่าว ศาสนาคริสต์มีการเผยแผ่อย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มิชชันนารีได้รับการสนับสนุนจากปัญญาชนเกาหลีด้วยแนวคิด ซอฮัก และ ซิลฮัก จนกระทั่งปลายศตวรรษต่อมา ศาสนาคริสต์จึงได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์และกลุ่มชนชั้นปัญญาชน ที่ต้องการพัฒนาเกาหลีในช่วงที่รัฐโชซ็อนกำลังล่มสลาย[15] ปลายศตวรรษที่ 19 โชซ็อนมีสถานะทางการเมืองและวัฒนธรรมย่ำแย่[16] กลุ่มปัญญาชนจึงมองหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อกอบกู้วิกฤติชาติ[16] ในช่วงเวลานี้พวกเขาได้ติดต่อมิชชันนารีตะวันตกให้ช่วยเสนอวิธีแก้ปัญหาให้ชาวเกาหลี[16] เดิมเกาหลีมีชุมชนชาวคริสต์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และ พ.ศ. 2423 รัฐบาลอนุญาตให้มิชชันนารีจำนวนมากเผยแผ่ศาสนาในประเทศอย่างเสรี[17] มิชชันนารีเหล่านี้ก่อตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และโรงพิมพ์[18] เหล่าพระราชวงศ์เองก็ให้การสนับสนุนศาสนาคริสต์เสียด้วย[19]
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะที่เมืองเปียงยาง กลายเป็นแหล่งอาศัยของคริสต์ศาสนิกชนขนาดใหญ่[20] เปียงยางจึงมีสมญาว่า "เยรูซาเลมแห่งบูรพาทิศ"[21] ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวเกาหลีส่วนใหญ่นับถือลัทธิชินโด บูชาผีบรรพบุรุษ และประกอบพิธีกรรมของลัทธิขงจื๊อ[22] ขณะที่ศาสนาพุทธใกล้สูญหายเต็มที แม้จะมีประวัติศาสตร์เหนือคาบสมุทรเกาหลีมายาวนาน พระสงฆ์เหลือจำนวนน้อย เพราะถูกรัฐบาลโชซ็อนซึ่งนับถือลัทธิขงจื๊อใหม่ปราบปรามมายาวนานถึง 500 ปี[22] และไม่ได้ทำนุบำรุงศาสนาพื้นเมืองดั้งเดิม[13]
ในยุคเกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น มีการเชื่อมโยงระหว่างศาสนาคริสต์กับลัทธิชาตินิยมเกาหลีอย่างเหนียวแน่น[23] หลังรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามกลืนลัทธิชินโดรวมเข้ากับชินโตรัฐ รวมทั้งการผนวกศาสนาพุทธแบบเกาหลีเข้ากับศาสนาพุทธแบบญี่ปุ่น ซึ่งคริสต์ศาสนิกชนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาของชินโต[23] ในเวลาเดียวกันก็เกิดขบวนการศาสนาจำนวนมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ซึ่งเกิดจากความพยายามที่จะปฏิรูปศาสนาพื้นเมืองเกาหลี โดยเฉพาะลัทธิช็อนโด[24] ส่วนศาสนาคริสต์เฟื่องฟูมากทางตอนเหนือของคาบสมุทร[19] เช่นเดียวกับลัทธิช็อนโด[24] ที่เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านอิทธิพลของศาสนาคริสต์[25]
หลังการแบ่งคาบสมุทรเกาหลีออกเป็นสองประเทศ รัฐทางเหนือปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนรัฐทางใต้ต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ คริสต์ศาสนิกชนเกาหลีกว่าครึ่งจากเกาหลีเหนืออพยพลงเกาหลีใต้[26] ประมาณการผู้อพยพลงใต้นี้อาจมากกว่าหนึ่งล้านคน ส่วนผู้ที่นับถือลัทธิช็อนโดยังกระจุกตัวอยู่ในเกาหลีเหนือหลังการแยกดินแดน[24] ช่วงแรกของการแยกประเทศมีศาสนิกชนช็อนโดราว 1.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 16 ของประชากรในประเทศเกาหลีเหนือ[27] พวกเขาก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ "ดรุณมิตรสวรรคมรรค" (Young Friends of the Heavenly Way) เมื่อ พ.ศ. 2537 คณะกรรมการกลางของลัทธิช็อนโดในเกาหลีเหนือได้จัดพิธีกรรมอย่างยิ่งใหญ่ที่สุสานของทันกุน (ผู้สร้างชาติเกาหลีในตำนาน) ใกล้เปียงยาง[28] ส่วนชาวแชกาซึง ซึ่งเป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธสายอรัญวาสี มีอัตลักษณ์พิเศษคือนักบวชสามารถมีภรรยาและบุตรสืบตระกูลได้ ถูกรัฐบาลเกาหลีเหนือสั่งปิดอารามเพราะมองว่ามีแนวคิดขัดกับหลักสังคมนิยม[29] ปัจจุบันชาวแชกาซึงถูกกลืนเข้ากับชาวเกาหลีทั่วไปจนสิ้นอัตลักษณ์เดิม[30]
จากการประมาณการประชากรเกาหลีเหนือ ใน พ.ศ. 2548 มีชาวเกาหลีนับถือลัทธิชินโดราว 3,846,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 16, ลัทธิช็อนโดราว 3,245,000 หรือคิดเป็นร้อยละ 13.5, ศาสนาพุทธราว 1,082,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.5 และศาสนาคริสต์ราว 406,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.7[1][4][5]
ใน พ.ศ. 2550 มีศาสนสถานของลัทธิช็อนโดประมาณ 800 แห่งทั่วประเทศ และมีโบสถ์กลางอยู่ที่เปียงยาง วัดพุทธ 60 แห่ง (ถูกรักษาไว้ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมมากกว่าใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา) โบสถ์คริสต์ 5 แห่ง (แบ่งเป็นโบสถ์โปรเตสแตนต์ 3 แห่ง, โรมันคาทอลิกและรัสเซียออร์ทอดอกซ์อย่างละแห่ง) โดยโบสถ์คริสต์ทั้งหมดตั้งอยู่ในเปียงยาง[31] ต่อมาใน พ.ศ. 2556 มีการก่อสร้างมัสยิดอัรเราะฮ์มานของนิกายชีอะฮ์ในเปียงยาง เมื่อ พ.ศ. 2556[32]
ลัทธิช็อนโด (천도교, 天道教 แปลว่า "วิถีแห่งสวรรค์") เป็นลัทธิที่มีพื้นฐานมาจากลัทธิขงจื๊อกับลัทธิชินอันเป็นศาสนาพื้นเมืองเดิมของเกาหลีด้วยแนวคิดแบบ ทงฮัก (동학, 東學 แปลว่า "การเรียนรู้อย่างตะวันออก") เพื่อให้ต่างจาก ซอฮัก ของคาทอลิก[33] ก่อตั้งโดยชเว เจ-อู (최제우, 崔濟愚) ชนชั้นสูง[34] เมื่อ พ.ศ. 2403 เพื่อต่อต้านศาสนาของพวกต่างด้าว ซึ่งหมายรวมไปถึงศาสนาพุทธและคริสต์[35] โดยชเว เจ-อูอ้างว่าตนหายจากอาการเจ็บป่วยก็ด้วยอำนาจของ ซังเจ หรือ ฮานึลลิม เทพเจ้าสวรรค์ตามความเชื่อลัทธิพื้นบ้านเกาหลี[35] จนลัทธินี้มีอิทธิพลแพร่หลายไปทั่ว แต่กระนั้นช็อนโดยังดัดแปลงองค์ประกอบทางประเพณีของลัทธิเต๋าและพุทธมาปรับใช้เป็นของตนด้วย[36] สุดท้ายชเวถูกรัฐบาลโชซ็อนประหารชีวิตใน พ.ศ. 2407[35]
ครั้น พ.ศ. 2437 ขบวนการของลัทธินี้เติบโตขึ้นและเกิดการปฏิวัติชาวนาและมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่น[33] หลังการแบ่งประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ใน พ.ศ. 2488 ศาสนิกชนของช็อนโดส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเกาหลีเหนือ[24] ในประเทศเกาหลีใต้ประวัติของขบวนการทงฮักและลัทธิช็อนโดไม่ใคร่เป็นที่ปรากฏนัก[8] ผิดกับเกาหลีเหนือที่มองการก่อกบฏทงฮักในทัศนคติเชิงบวก[8] ลัทธิช็อนโดได้รับความพึงใจจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ[37] มีพรรคการเมืองของตนชื่อดรุณมิตรสวรรคมรรค[37] โดยลัทธิช็อนโดได้รับการยกย่องว่าเป็น "ศาสนาประจำชาติเกาหลี"[7]
ลัทธิมู (เกาหลี: 무교 แปลว่า "ลัทธิเชมัน")[38] หรือ ลัทธิชิน (신교 แปลว่า "ลัทธิเทพเจ้า") บ้างเรียก ชินโด (신도 แปลว่า "วิถีแห่งเทพ")[39][40] เป็นศาสนาพื้นเมืองดั้งเดิมของชาวเกาหลี[41] ทั้งสองชื่อนี้แม้จะสื่อถึงลัทธิเชมันแบบเกาหลี[41] แต่อี ช็อง-ย็อง อธิบายว่า "ชินโด" เป็นประเพณีของคนทรง และ "มู" เป็นรูปแบบหนึ่งของ "ชินโด"[42] และลัทธิพื้นบ้านนี้ไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสนาประจำชาติอย่างลัทธิวูของจีน และลัทธิชินโตของญี่ปุ่น[43]
ความเชื่อหลักคือต้องนับถือ ฮานึลลิม หรือ ฮวันอิน ว่าเป็น "ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง"[44] และ "ของเทพเจ้าทั้งหมดในธรรมชาติ"[42] มีตำนานมาว่าเหล่ามูดังคือสืบสันดานลงมาจากราชาสวรรค์ พระโอรสของพระชนนี [แห่งราชาสวรรค์] การสืบทอดการเป็นคนทรงจะส่งผ่านทางสายผู้หญิง[45] ส่วนตำนานอื่น ๆ มักเชื่อมโยงความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับเรื่องทันกุน พระโอรสของราชาสวรรค์ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งชาติเกาหลี[46] นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีจิตวิญญาณสิงสถิตอยู่ในสิ่งที่เคลื่อนไหวได้และเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่หลังการเข้ามาของศาสนาที่มีความซับซ้อนกว่า เช่น ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ และศาสนาพุทธ ศาสนาพื้นบ้านนี้ก็ไม่ได้จางหายไปไหน หากแต่ผสมกลมกลืนไปกับศาสนานั้น ๆ เกิดเป็นองค์ประกอบความเชื่อที่หลากหลาย[47]
ชาวเกาหลีเรียกคนทรงเพศหญิงว่า "มู" (무, 巫) หรือ "มูดัง" (무당, 巫堂) หากเป็นคนทรงเพศชายจะเรียกว่า "พักซู" หรือจะเรียกชื่ออื่นก็ได้ เช่น "ดันก็อล" (당골)[41] โดยคนทรงในภาษาเกาหลีหรือเรียกว่า "มู" นั้น ตรงกับคำจีนว่า "วู" (จีน: 巫; พินอิน: wū) ใช้เรียกคนทรงได้ไม่จำแนกเพศ[42] โดยมูดังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างวิญญาณ, เทพเจ้า และมนุษย์ ผ่านพิธีกรรมที่เรียกว่า "กุต" (เกาหลี: 굿) เพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์[48]
ยุคปลายราชวงศ์โชซ็อน มิชชันนารีโปรเตสแตนต์มีอิทธิพลสูงมาก และเริ่มทำลายล้างศาสนาพื้นบ้านด้วยการรณรงค์ผ่านสื่อต่าง ๆ[49] เนื้อหาบ่งถึงความพยายามในการถอนรากถอนโคนความเชื่อพื้นเมืองให้สิ้น[49] แต่ความเชื่อในลัทธิพื้นเมืองนี้ยังคงแทรกยาดำและอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน[50][51] แต่ปัจจุบันไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิชินโดร่วมสมัยในเกาหลีเหนือเลย[52] คนทรงจากเกาหลีเหนือหลายคนลี้ภัยไปยังเกาหลีใต้[52] โดยคนทรงของเกาหลีเหนือมีธรรมเนียมปฏิบัติคล้ายคลึงกับคนทรงทางภาคเหนือและภาคกลางของเกาหลีใต้[52]
ศาสนาพุทธ (불교, 佛敎) เข้าสู่ดินแดนเกาหลีตั้งแต่ยุคสามอาณาจักร หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 4[9] แพร่หลายจากอินเดียผ่านจีนก่อนเข้าถึงคาบสมุทรเกาหลี เป็นนิกายมหายานซึ่งได้รับอิทธิพลจากความเชื่อพื้นเมืองและระบบเทววิทยาต่าง ๆ เข้าไว้ มีลักษณะพิเศษคือเป็นปรัชญาเพื่อการหลุดพ้น เลี่ยงการเกิดใหม่ในวัฏสงสารเพื่อมุ่งสู่นิพพาน[47] จากการอุปถัมภ์ของกษัตริย์ ศาสนาพุทธมีความรุ่งเรืองมาก มีการส่งพระภิกษุเกาหลีจาริกไปจีนและอินเดียเพื่อศึกษาพระไตรปิฎก[53] ครั้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 มีพระสงฆ์และศิลปินจากเกาหลีอพยพไปเผยแผ่ศาสนาพุทธในญี่ปุ่น[54] ถือเป็นศาสนาที่ทรงอิทธิพลและมีความโดดเด่นมาตั้งแต่ยุครัฐเหนือใต้ และในสมัยรัฐโครยอให้การสนับสนุนศาสนาพุทธเต็มที่ แต่ก็อุปถัมภ์ลัทธิขงจื๊อไปด้วย เพราะพระสงฆ์เข้าเป็นนักการเมืองและขุนนาง และมีจำนวนหนึ่งก่อการฉ้อราษฎร์บังหลวง[54] แม้ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองไปด้วยศาสนสถาน พระพุทธรูป ศิลปะ และจิตรกรรม มีการแกะแม่พิมพ์พระไตรปิฎกด้วยไม้จำนวน 80,000 แผ่น เพื่ออาศัยพุทธานุภาพขับไล่อิทธิพลมองโกลออกไป ปัจจุบันพระไตรปิฎกฉบับเกาหลีนี้ประดิษฐานไว้ ณ วัดแฮอินซา ในประเทศเกาหลีใต้[55] แต่ศาสนาพุทธก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศเสื่อมโทรม เพราะพระสงฆ์มีอำนาจราชศักดิ์มากเกินไป ทำให้เกิดความขัดแย้งหลายฝ่าย ทั้งระหว่างขุนนางฝ่ายนักรบกับขุนนางฝ่ายนักปราชญ์ และระหว่างขุนนางพุทธกับขุนนางขงจื๊อ ทำให้อาณาจักรอ่อนแอลงมาก จนถูกมองโกลรุกรานและปกครองเกาหลีอยู่เกือบศตวรรษ[55] ครั้นเข้าสู่ยุครัฐโชซ็อน มีการยกย่องลัทธิขงจื๊อใหม่เป็นศาสนาประจำชาติ เป็นหลักชี้นำของรัฐ และเป็นความถูกต้องแห่งศีลธรรมจรรยาของราชวงศ์[54] มีการริบทรัพย์สินของวัดพุทธที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุคโครยอเป็นของรัฐ[56] ศาสนาพุทธถูกปราบปรามนานถึง 500 ปี[11][12] แม้จะมีความพยายามในการฟื้นฟูศาสนาพุทธขึ้นมาอยู่เนือง ๆ แต่ก็ถูกเหล่านักปราชญ์และขุนนางที่นับถือลัทธิขงจื๊อต่อต้านอยู่เสมอ จนถึงยุคปลายของราชวงศ์โชซ็อน[54]
หลังการแยกประเทศ พุทธศาสนิกชนกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศเกาหลีเหนือ ขนบธรรมเนียมและประเพณีถูกพัฒนาด้วยพลวัตทางสังคมผิดจากเกาหลีใต้ ศาสนาพุทธในเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสหพันธ์พุทธศาสน์เกาหลี (조선불교도련맹, 朝鮮佛敎徒聯盟) ซึ่งเป็นองค์กรในกำกับของรัฐบาลเกาหลีเหนือ พระสงฆ์ทั้งหมดต้องพึ่งพาอามิสปัจจัยจากรัฐเพื่อการดำรงอยู่ของวัด รวมทั้งยอมจำนนต่ออำนาจรัฐเพื่อกำกับการปฏิบัติศาสนกิจ[57] สำนักข่าวย็อนฮับรายงานว่า ศาสนาพุทธในเกาหลีเหนือเป็นนิกายโชกเย พระสงฆ์มีจำนวน 300 รูป ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่จากพรรคแรงงานที่ผ่านการอบรมด้านศาสนาจากมหาวิทยาลัยคิมอิลซ็อง พระสงฆ์ไม่ต้องโกนศีรษะและไม่จำวัดอย่างพระในเกาหลีใต้ พวกเขามีบ้านมีครอบครัว สวมสูทสีดำไปวัดทุกเช้า เมื่ออยู่ในวัดก็จะห่มจีวรสีแดงคลุมชุดสูท หลายคนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ฝ่ายเกาหลีใต้ไม่เรียกนักบวชเหล่านี้ว่า "พระ" แต่เรียกว่า "ผู้จัดการวัด" เพราะมิได้บำเพ็ญพรตหรือบำเพ็ญตบะ และแทบมิได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเลย[58] ใน พ.ศ. 2552 ยู ยง-ซุน ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของสหพันธ์พุทธศาสน์เกาหลี[59]
ปัจจุบันมีพุทธสถานในประเทศทั้งหมดเพียง 60 แห่ง จากเดิมในยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น แผ่นดินเกาหลีเหนือเคยมีวัดพุทธมากกว่า 400 แห่ง[58] วัดเหล่านี้ถูกรัฐบาลมองว่าเป็นโบราณสถานหรือโบราณวัตถุยุคโบราณของเกาหลีมากกว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา[31] มีวิทยาลัยอบรมพระสงฆ์หลักสูตรสามปี การฟื้นฟูศาสนาพุทธในเกาหลีเหนือเป็นไปอย่างจำกัดจำเพาะ รวมไปถึงการจัดตั้งสถาบันศาสนาพุทธและตีพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีจำนวน 25 เล่ม ซึ่งทั้งหมดแกะสลักจากไม้จำนวน 80,000 แผ่น ถูกเก็บรักษาไว้ ณ วัดมโยฮยังซัน บริเวณภาคกลางของประเทศเกาหลีเหนือ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้นำพุทธศาสนิกชนชาวเกาหลีใต้ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าไปเกาหลีเหนือ เพื่อเข้าร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และให้ทุนสงเคราะห์แก่พลเรือน[60]
แม้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะมีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อศาสนาอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งศาสนาพุทธและลัทธิขงจื๊อยังคงทรงอิทธิพลเหนือชาวเกาหลีเหนือ เพราะเป็นศาสนาดั้งเดิมของชาวเกาหลี[61][62] และองค์กรพุทธในเกาหลีเหนือถือว่าเป็นองค์กรที่กระตือรือร้นและทรงอำนาจที่สุด เพราะไม่ถูกมองว่าเป็นศาสนาของคนนอก ผิดกับศาสนาพุทธในเกาหลีใต้ที่ต้องแย่งชิงศาสนิกกับศาสนาคริสต์[63] วันประสูติของพระพุทธเจ้าไม่เป็นวันหยุดราชการในเกาหลีเหนือ ทำให้มีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมพิธีบางตาเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้[58] กระนั้นพระชง บย็อก แห่งวัดโพฮย็อนซา อ้างว่ามีพุทธศาสนิกชนมาประกอบศาสนกิจราวราว 2,000 คน เพื่อมาอธิษฐานในวัดสำคัญทางพุทธศาสนา หรือมาทำบุญเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญของตนเอง[64][65]
ศาสนาคริสต์ (그리스도교) เข้าถึงดินแดนเกาหลีครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2334 หรือสิบปีหลังการกลับมาของอี ซึง-ฮุน ชาวเกาหลีคนแรกที่ผ่านการบัพติศมาที่ปักกิ่ง ประเทศจีน[66] งานเขียนของมัตเตโอ ริชชี มิชชันนารีเยสุอิตซึ่งอาศัยอยู่ในราชสำนักปักกิ่งถูกนำไปสู่เกาหลีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 แล้ว นักวิชาการขงจื๊อที่เรียกว่า ซิลฮัก (실학, 實學 แปลว่า "การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ") สนใจในหลักคำสอนคาทอลิก และเป็นผู้เผยแผ่ความเชื่ออย่างคาทอลิกอย่างแพร่หลายในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18[67] ปัจจุบันมีการเผยแผ่หลากหลายนิกายมาก เช่น โรมันคาทอลิก (천주교, 天主敎), เพรสไบทีเรียน (장로교), เมทอดิสต์ (감리교), แบปทิสต์ (침례교) และนิกายย่อยอีกจำนวนมาก[68]
แนวคิดอย่างตะวันตกและศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในเกาหลีถูกนำเสนอในชื่อ ซอฮัก (서학, 西學 แปลว่า "การเรียนรู้อย่างตะวันตก") จากการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2344 พบว่าครึ่งหนึ่งของครอบครัวที่เปลี่ยนไปเข้ารีตนิกายคาทอลิกมีความเชื่อมโยงกับซอฮัก[69] ผู้เข้ารีตส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะร่วมพิธีกรรมบูชาบรรพบุรุษของลัทธิขงจื๊อ จากนั้นรัฐบาลโชซ็อนจึงประกาศห้ามเผยแผ่ศาสนาคริสต์ คริสต์ศตวรรษที่ 19 คริสต์ศาสนิกชนจำนวนมากถูกประหาร แต่กฎหมายนี้ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวดนัก คริสต์ศาสนิกชนเกาหลีส่วนใหญ่จึงกระจุกตัวอยู่ทางตอนเหนือของคาบสมุทร ซึ่งอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อไม่เข้มข้นเท่าภาคใต้[70] โดยนิกายโรมันคาทอลิกเคยรุ่งเรืองมากในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ถึง 1980[71] หลังจากนั้นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ได้เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังบาทหลวงคาทอลิกสามารถทำให้ชาวเกาหลีกลับใจไปนับถือศาสนาคริสต์ได้จำนวนมาก มิชชันนารีโปรเตสแตนต์ได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์เกาหลีที่กำลังอ่อนแอ[19] ในช่วงเวลานั้นเกาหลีไม่มีศาสนาประจำชาติอย่างจีนและญี่ปุ่น จึงเป็นช่องทางให้มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้อย่างอิสระ[43] มิชชันนารีเมทอดิสต์และเพรสไบทีเรียนประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาอย่างงดงาม พวกเขาก่อตั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการรังสรรค์ความเจริญให้กับเกาหลี[18]
ก่อน พ.ศ. 2491 เปียงยางถือเป็นศูนย์กลางของชาวคริสต์ หนึ่งในหกของประชากรราว 300,000 คน คือผู้เข้ารีตศาสนาคริสต์[26] จนได้รับสมญาว่า "เยรูซาเลมแห่งบูรพาทิศ"[72] จากความเสื่อมโทรมของศาสนาพุทธที่ถูกปราบปรามถึง 500 ปี ศาสนาคริสต์ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีการศึกษา สมาชิกของคริสตจักรมีผู้บทบาทเรียกร้องการปกครองตนเองในช่วงอาณานิคม และการเชื่อมโยงศาสนาคริสต์กับลัทธิชาตินิยมเกาหลี[19] ชาวคอมมิวนิสต์ในเกาหลีเหนือส่วนใหญ่มีปูมหลังเป็นคริสต์ศาสนิกชนมาก่อน ดังเช่น คัง พัน-ซ็อก มัคนายิกาในโบสถ์ ผู้มารดาของคิม อิล-ซ็อง[73] หลังการก่อตั้งรัฐคอมมิวนิสต์ทางตอนบนของคาบสมุทรเกาหลี คริสต์ศาสนิกชนจำนวนมากอพยพไปยังดินแดนทางใต้เพื่อหลบหนีการกดขี่ทางศาสนา[26] เพราะรัฐบาลเกาหลีเหนือมองว่าคริสต์ศาสนิกชนมีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐ[74]
ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 เกาหลีเหนือตีพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นของตนเอง ซึ่งมิชชันนารีจากทางใต้ต้องใช้พระคัมภีร์ฉบับนี้ในการเผยแผ่ในดินแดนทางเหนือ[75][76] ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 คริสต์ศาสนิกชนทำงานให้กับชนชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล[74] ในช่วงนั้นมีการก่อสร้างโบสถ์โปรเตสแตนต์สองแห่ง และคาทอลิกหนึ่งแห่ง ทั้งหมดตั้งอยู่ในเปียงยาง
มีการส่งสัญญาณอันแสดงออกถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลต่อศาสนาคริสต์ คือ "การจัดสัมมนาคริสต์ศาสนิกชนเหนือและใต้ เพื่อสันติภาพและการรวมชาติเกาหลี" (International Seminar of Christians of the North and South for the Peace and Reunification of Korea) ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. 2531 มีการอนุญาตให้ผู้แทนของสมเด็จพระสันตะปาปาเข้าร่วมพิธีเปิดอาสนวิหารชังชุงในปีเดียวกัน และส่งโนวิซสองรูปไปศึกษาที่กรุงโรม และสำนักเซมินาร์ในเปียงยางได้อบรมสั่งสอนผู้นำในอนาคตของเกาหลีเหนือ[77] ศิษยาภิบาลเกาหลีเหนือรายงานในการประชุมสภาคริสตจักรแห่งชาติในวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อ พ.ศ. 2532 ระบุว่าในเกาหลีเหนือมีชาวโปรเตสแตนต์จำนวน 10,000 คน โรมันคาทอลิก 1,000 คน และมีศาสนิกชนประกอบพิธีกรรมภายในบ้านจำนวน 500 ครอบครัว มีคริสต์ศาสนิกชนไม่เกิน 12,000–15,000 คน[78] ใน พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2537 บิลลี เกรแฮม ผู้ประกาศข่าวประเสริฐชาวอเมริกันเดินทางไปยังเกาหลีเหนือ เขามีโอกาสได้พบกับคิม อิล-ซ็อง และมอบไบเบิลแก่เขาสองเล่ม ทั้งยังได้ไปเทศนาที่มหาวิทยาลัยคิมอิลซ็อง และหลังจากนั้นใน พ.ศ. 2561 แฟรงคลิน เกรแฮม บุตรชายของบิลลีได้เยือนเกาหลีเหนือเช่นกัน[79][73] พ.ศ. 2534 รัฐบาลเกาหลีเหนือเคยเชิญสมเด็จพระสันตะปาปามาเยือน[80] และ พ.ศ. 2561 รัฐบาลเกาหลีเหนือเชิญสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเยือนเกาหลีเหนือด้วย[81]
สหพันธ์คริสต์ศาสนิกชนเกาหลี เป็นผู้แทนของคริสต์ศาสนิกชนเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นองค์กรในกำกับของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ทำหน้าที่รับผิดชอบในการติดต่อกับคริสตจักรและรัฐบาลต่างประเทศ มีโบสถ์ห้าหลังในเปียงยาง และมีโบสถ์ล่าสุดคือโบสถ์พระตรีเอกภาพให้ชีวิต เป็นของนิกายรัสเซียออร์ทอดอกซ์ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2549[82] และมีความพยายามอย่างยิ่งยวดของมิชชันนารีเกาหลีใต้ที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเกาหลีเหนือปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง[63]
มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปียงยาง เปิดดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2553 มีระบบการดำเนินงานด้วยแนวคิดแบบคริสต์[83] มีองค์กรสงเคราะห์ของคริสต์หลายแห่งที่ทำการในการเกาหลีเหนือ เช่น คณะกรรมการบริการเพื่อนชาวอเมริกัน (American Friends Service Committee), คณะกรรมการกลางเมนโนไนท์ (Mennonite Central Committee) และศุภนิมิต (World Vision) ได้รับการอนุญาตให้ดำเนินการในประเทศได้ แต่ห้ามเปลี่ยนศาสนาของผู้คน[84][85][86] ต่อมา พ.ศ. 2559 มีการเฉลิมฉลองคริสต์มาส แต่ถูกบังคับให้ลดเสียงพิธีกรรมทางศาสนา[87] และ พ.ศ. 2561 สภานักศาสนาเกาหลีเหนือ (North Korean Council of Religionists) ส่งข้อความอวยพรวันคริสต์มาสให้เกาหลีใต้ โดยเนื้อหาเขียนไว้ว่า "จับมือกันเพื่อสันติภาพและสามัคคี เต็มเปี่ยมด้วยพระพรแห่งพระเยซูเจ้า"[88]
ขณะที่รายงานขององค์กรโอเพนดอส์ (Open Doors) ระบุว่าประเทศเกาหลีเหนือเป็นดินแดนที่ข่มเหงคริสต์ศาสนิกชนมากที่สุด[89]
สำนักวิจัยพิว รายงานว่าใน พ.ศ. 2553 ประเทศเกาหลีเหนือมีอิสลามิกชนอาศัยอยู่ 3,000 คน เพิ่มจากเดิมคือ พ.ศ. 2533 มีอิสลามิกชนเพียง 1,000 คน[90] มีมัสยิดเพียงแห่งเดียวในประเทศคือมัสยิดอัรเราะฮ์มาน ตั้งอยู่ภายในสถานทูตอิหร่านในกรุงเปียงยาง สำหรับรองรับเจ้าหน้าที่สถานทูต และอาจรองรับชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาอิสลามด้วย[91]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.