Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่อดกลั้นและเป็นมิตรต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมากที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย[3] โดยที่กิจกรรมทางเพศของเพศเดียวกันนั้นชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2500[1] รัฐบาลไทยยังส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติท่องเที่ยวในประเทศไทยเพราะเป็นประเทศที่ต้อนรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างดี[4] ทว่า การเลือกปฏิบัติและการดูถูกเหยียดหยามกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศก็ยังปรากฏอยู่กว้างขวางในสังคมไทย[5]
สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย | |
---|---|
กิจกรรมของบุคคลเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ | ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ. 2500[1] อายุที่รับรู้ยินยอมคือ 15 ปี[2] |
อัตลักษณ์ทางเพศ/การแสดงออก | บุคคลข้ามเพศไม่สามารถเปลี่ยนเพศในทางกฎหมาย |
รับราชการทหาร | เกย์และเลสเบียนสามารถรับราชการทหารได้อย่างเปิดเผย บุคคลข้ามเพศได้รับการยกเว้น |
ความคุ้มครองจากการถูกเลือกปฏิบัติ | มีการคุ้มครอง (แต่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคต) |
สิทธิในครอบครัว | |
การรับรอง ความสัมพันธ์ | ไม่มี |
ข้อจำกัด: | ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้การสมรสกระทำได้ระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น |
การรับบุตรบุญธรรม | ไม่มี |
ปัจจุบันสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้มีการรับรองและคุ้มครองในทางกฎหมายเทียบเท่ากับบุคคลต่างเพศ หลังจากที่มีความพยายามจากนักวิชาการและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อรณรงค์การออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิดังกล่าว[6][7][8][9][10]
กิจกรรมทางเพศของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นกำหนดให้เป็นความผิดมาอย่างน้อยตั้งแต่ พ.ศ. 2451 เนื่องจากได้มีการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ขึ้น โดยในมาตรา 242 บัญญัติไว้ว่า[11]
"ผู้ใดทำชำเรา ผิดธรรมดามนุษย์ ด้วยชายก็ดี หญิงก็ดี หรือทำชำเราด้วยสัตว์เดียรฉานก็ดี ท่านว่ามันมีความผิด ต้องรวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนขึ้นไปจนถึงสามปี แลให้ปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทขึ้นไป จนถึงห้าร้อยบาท ด้วยอีกโสดหนึ่ง"
เหตุผลสำคัญในการตรากฎหมายลักษณะอาญาฯ และบัญญัติโทษดังกล่าวสืบเนื่องมาจากความพยายามของรัฐไทยที่ต้องการให้ระบบกฎหมายของไทยสอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติของมหาอำนาจยุโรปในสมัยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักรสมัยวิคตอเรีย แต่กระนั้น จากหลักฐานก็ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินคดีทางศาลอันเกี่ยวเนื่องกับความผิดนี้แต่อย่างใด และตำรวจไทยเองก็มองข้ามกิจกรรมทางเพศของบุคคลเพศเดียวกัน ตราบเท่าที่เป็นกิจกรรมที่ได้รับความยินยอมจากทั้งคู่[1]
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ได้มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่กฎหมายลักษณะอาญาฉบับเดิม โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป[12] และไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมาตรา 242 ของกฎหมายลักษณะอาญาในประมวลกฎหมายฉบับใหม่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเพศของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นชอบด้วยกฎหมายไปโดยปริยายตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นไป[1]
เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2545 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกหนังสือที่ สธ 0605/375 รับรองว่าบุคคลรักเพศเดียวกันมิได้ถือเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิตหรือป่วยเป็นโรคแต่อย่างใด โดยอ้างอิงถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) และตามบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ ICD-10 ฉบับแก้ไข ครั้งที่ 1 ไทย-อังกฤษ เล่มที่ 1 (ก) ตารางการจัดกลุ่มโรค องค์การอนามัยโลก ซึ่งได้เอาลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างคนรักเพศเดียวกันออกจากกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิต[13]
ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาอีกครึ่งหนึ่ง โดยได้เพิ่มนิยามคำว่า "กระทำชำเรา" ในมาตรา 276 ให้ครอบคลุมถึง "การใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น" ซึ่งเป็นการคุ้มครองทั้งผู้ชายและผู้หญิงจากการถูกกระทำชำเรา เพราะความในกฎหมายฉบับเดิมคุ้มครองเฉพาะผู้หญิงที่ถูกผู้ชายกระทำเท่านั้น[14]
ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554 ศาลปกครองกลางพิพากษาให้กระทรวงกลาโหมเพิกถอนคำว่า "เป็นโรคจิตถาวร" ในใบรับรองผลการตรวจเลือกทหารกองเกิน (สด. 43), ใบสำคัญสำหรับคนจำพวกที่ 4 (สด.5) และใบสำคัญให้รับราชการทหาร (สด.9) ของบุคคลที่ยังไม่ผ่าตัดแปลงเพศ แต่มีการเสริมหน้าอก เนื่องจากคำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมจึงแก้ข้อความในพระราชบัญญัติราชการทหาร พ.ศ. 2497 เป็น "ภาวะเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด" แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าวไม่อาจเข้ารับราชการทหารได้ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป[15][16]
22 สิงหาคม พ.ศ. 2562 มีความพยายามก่อตั้งคณะกรรมการธิการสามัญเรื่องคนหลากหลายทางเพศในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะบริหารจัดการที่มีความหลากหลายทางเพศที่มีปัญหาการกดทับเชิงโครงสร้างทางสังคมไทย แต่มีเสียงสนับสนุนเพียง 101 เสียง โดยที่เหลืออีก 365 เสียงคัดค้าน[17]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ได้เกิดกระแสแฮชแท็ก #สมรสเท่าเทียม ในทวิตเตอร์ของประเทศไทยขึ้นเป็นอันดับ 6 ภายหลังสำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดรับความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ร่วมกับคณะ เป็นผู้เสนอ สาระสำคัญประกอบด้วยการเสนอขอแก้ไขเพื่อให้บุคคลเพศเดียวกันและต่างเพศสามารถทำการหมั้นและสมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้มีการเปลี่ยนตำว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา” เป็น “ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส”[18] โดยได้มีผู้ลงความคิดเห็นแล้วรวมมากกว่า 50,000 คน
โดยร่างพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมเคยเข้าสู่สภาและได้รับหลักการวาระแรกมาเมื่อปี พ.ศ. 2565 แต่ช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ล่าช้า ทำให้ไม่สามารถหยิบมาพิจารณาต่อในวาระ 2 และ 3 ได้ เพราะพ้นกำหนด 60 วัน[19] จึงต้องมีการนำร่างเข้าสภาอีกครั้ง พร้อมกับร่างกฎหมายฉบับคณะรัฐมนตรี, ฉบับอรรณว์ ชุมาพร กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 11,611 คน, และฉบับสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์[20]
27 มีนาคม พ.ศ. 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 ที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุมสภามีมติเห็นด้วย 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง จากนั้นก็นำร่างกฎหมายให้วุฒิสภาพิจารณา โดยในวันที่ 18 มิถุนายน ณ ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นด้วย 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 18 โดยก่อนหน้านี้ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมของวุฒิสภา มีความเห็นว่าควรบังคับใช้หลังจาก 120 วัน นับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องด้วยเป็นช่วงเวลาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยได้มีเวลาเตรียมการ เช่น เตรียมทะเบียนสมรสที่จะใช้ และออกระเบียบให้สอดคล้องกับ หลักศาสนาของเจ้าหน้าที่ที่เป็นมุสลิมเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น โดยคาดว่าพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้[21]
ในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 ก็ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ โดยมีผลใช้บังคับในอีก 180 วัน หรือตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยได้ตกลงเข้าเป็นประเทศภาคีสมาชิก[22][23]
กฎหมายฉบับนี้คุ้มครอง "บุคคลที่มีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด" จากการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมอันได้แก่ การแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จากการกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ หรือวิธีปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชนหรือบุคคลใด และเปิดโอกาสให้บุคคลผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการวินิจฉัยฯ เพื่อดำเนินการระงับและป้องกันการเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการชดเชยและเยียวยาอีกด้วย[23]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และ 2550 ได้บัญญัติคุ้มครองบุคคลจากการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมในเรื่องเพศ สภาพทางกาย และสถานะของบุคคลไว้อย่างกว้างๆ (มาตรา 30) และสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้ เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน (มาตรา 28)
ในกระบวนการยกร่างร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้เสนอให้ใส่คำว่า เพศสภาพ ลงไปในมาตรา 34 ของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองเสรีภาพของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างไรก็ตามคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีความเห็นว่าควรตัดคำดังกล่าวออกไปเนื่องจาก "การกำหนดในเรื่องการเลือกปฏิบัติโดยไม่ธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศ อายุ เป็นต้นนั้น ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 สามารถตีความในเชิงคุ้มครองสิทธิได้อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว”[24] อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่เป็นที่สรุปว่าคำดังกล่าวจะถูกใส่ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจอยู่ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี
ยิ่งไปกว่านั้น มาตรา 38 ของร่างรัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่า "สิทธิของบุคคลในการสมรสและในครอบครัวย่อมได้รับการคุ้มครอง" ซึ่งได้เพิ่ม "สิทธิในการสมรส" ขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ที่ได้คุ้มครองสิทธิในครอบครัวเพียงอย่างเดียว[25] แต่ทว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานฯ ได้ตัดสิทธิในการสมรสออก ตามคำขอของคณะรัฐมนตรีที่เสนอให้ตัดออกเพราะกังวลว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสิทธิในการสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกันที่สังคมและวัฒนธรรมไทยยังไม่เป็นไปตามการให้สิทธิไว้อย่างบางประเทศ[24][26][27]
ในปัจจุบัน การสมรสระหว่างบุคคลเพศเดียวกันในประเทศไทยนั้นไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายรองรับ และขัดต่อมาตรา 1448 และ 1458 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า "การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว" และ "การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน" ตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คำของประมวลกฎหมายดังกล่าวในมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น ได้กำหนดใช้เฉพาะคำว่า "ชาย" และ "หญิง" ไว้โดยตลอด ส่งผลให้คู่ครองเพศเดียวกันยังไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555 นายนที ธีระโรจนพงษ์และคู่ชีวิตได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอเมืองเชียงใหม่ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสให้ทั้งคู่ได้ เนื่องจากขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในหมวดเงื่อนไขแห่งการสมรส[28]
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการรณรงค์ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิตของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ "ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต" เพื่อเปิดทางให้คู่ครองเพศเดียวกันทำการสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งถ้าหากมีการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่มีการรับรองสถานะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพศเดียวกัน
การรณรงค์ต่างๆ ประกอบไปด้วยการจัดเสวนาหัวข้อ "ประเทศไทยจะกลายเป็นชาติแรกในเอเชีย ที่ผ่านกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิตหรือไม่" (Could Thailand become the first Asian country to legalize same-sex civil unions?) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT)[29], เสวนาหัวข้อ “ทำไมต้องมี พ.ร.บ.คู่ชีวิต (ฉบับประชาชน) เพื่อการแต่งงานที่เท่าเทียมในสังคมไทย” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร[30], เสวนาหัวข้อ “ร่างพรบ.คู่ชีวิต ฉบับภาคประชาชน ถึงไหน อย่างไร จะผ่านหรือไม่?” เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558[31] เป็นต้น
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ได้มีการจัดงาน Gender&LGBTIQs in Modern Society โดยกลุ่ม Cafe Democฯ ที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้มีทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบจากมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่เข้าตรวจสอบการงาน และกำชับผู้จัดงานและวิทยากรในงานเสวนาห้ามพูดประเด็นทางการเมือง นายชานันท์ ยอดหงษ์ นักศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และนักวิชาการด้านเพศ หนึ่งในวิทยากรงานเสวนาได้โพสต์ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กว่า การที่เจ้าหน้าที่พยายามระงับการจัดงานเสวนาทางวิชาการในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการคุกคามทางวิชาการ[32]
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะรับรองความสัมพันธ์ของบุคคลเพศเดียวกันในรูปแบบคู่ชีวิต (Civil union) ไม่ใช่การสมรส (Same-sex marriage) แต่อย่างใด โดยมีสิทธิและหน้าที่ด้อยกว่าคู่สมรสตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์[33] โดยมีเนื้อหาในเบื้องต้นดังนี้[34]
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ 2563 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. .... และ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. ....ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแล้ว โดยมีสาระสาระสำคัญ คือ[35]
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นภาคประชาชนในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยได้ทำการสำรวจบุคคลกว่า 1,153 คนในช่วงปี พ.ศ. 2556[36] โดยมีผลสำรวจดังนี้[37]
สถานที่ทำการสำรวจ / วันที่ทำการสำรวจ |
เห็นด้วย (%) | ไม่เห็นด้วย (%) | ไม่มีความเห็น (%) |
---|---|---|---|
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556[38] |
91.77 | 3.74 | 4.49 |
วิทยาลัยเทคนิคสงขลา จังหวัดสงขลา 1 มีนาคม พ.ศ. 2556[39] |
87.68 | 6.60 | 5.72 |
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กรุงเทพฯ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556[40] |
77.56 | 11.42 | 11.02 |
อาคารรัฐสภา กรุงเทพฯ 19 เมษายน พ.ศ. 2556[41] |
71.93 | 13.38 | 14.69 |
ปัจจุบันกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้ถูกเสียดสีเหยียดหยามผ่านคำศัพท์และประโยคต่างๆ ทั้งในชีวิตประจำวันและทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น[งานค้นคว้าต้นฉบับ?]
เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 ในช่วงเวลาเดียวกับศาลสูงสุดสหรัฐที่ได้มีคำพิพากษาให้การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศในคดีระหว่างโอเบอร์กะเฟลกับฮ็อดจิส และเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊กได้รณรงค์เฉลิมฉลองผ่านแคมเปญ Celebrate Pride โดยการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของตนเป็นสีรุ้ง[42] ซึ่งคนไทยจำนวนมากได้เข้าร่วมโครงการนี้ ทางด้านไอศกรีมวอลล์ ประเทศไทยจึงได้เลือกใช้ภาพ "ไอศกรีมถั่วดำ" พื้นหลังสีรุ้งโพสต์ลงในหน้าหลักของตน พร้อมกับคำบรรยายภาพว่า "วอลล์สนับสนุนทุกความรักนะคร้าบ" และแฮชแท็คว่า #lovewins
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้คนไทยจำนวนมากแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากคำว่า "ถั่วดำ" เป็นคำที่เสียดสีกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ แม้ว่าภายหลังทางไอศกรีมวอลล์จะได้ลบรูปภาพดังกล่าวและแถลงการขอโทษผ่านเครือข่ายออนไลน์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย แต่คนไทยจำนวนหนึ่งก็ยังคงไม่พอใจไอศกรีมวอลล์ เนื่องจากการกระทำครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก เพราะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทางไอศกรีมวอลล์ก็ได้เคยลงภาพ "ไอศกรีมถั่วดำ" พร้อมข้อความ "เพื่อน...ตูรักมึงนะ" และ "พี่รู้มั้ย..ชั้นมารอพี่ที่สีลมทุกวันเลยนะ"[43][44] มาก่อนหน้านี้แล้ว
กิจกรรมทางเพศของบุคคลเพศเดียวชอบด้วยกฎหมาย | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2500) |
อายุที่รับรู้ยินยอมเท่ากัน | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2540) |
กฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติในสถานทำงาน | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2558) |
กฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติในการบริโภคสินค้าและบริการ | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2558) |
กฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติในด้านอื่น ๆ (รวมถึงการเลือกปฏิบัติโดยอ้อม, การสื่อสารความเกลียดชัง) | (ไม่เคยระบุ) |
กฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติในการศึกษา | (ไม่เคยระบุ) |
การสมรสเพศเดียวกัน | (รอดำเนินการ พ.ศ. 2567) |
การยอมรับสถานะคู่ชีวิตเพศเดียวกัน | (รอดำเนินการ พ.ศ. 2567) |
การรับบุตรบุญธรรมของคู่ชีวิตเพศเดียวกัน | (รอดำเนินการ พ.ศ. 2567) |
การรับบุตรบุญธรรมร่วมของคู่ชีวิตเพศเดียวกัน | (รอดำเนินการ พ.ศ. 2567) |
เกย์และเลสเบียนสามารถรับราชการทหารได้โดยเปิดเผย | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2548) |
สิทธิในการเปลี่ยนเพศในทางกฎหมาย | (รอดำเนินการ)[45] |
สิทธิในการผ่าตัดแปลงเพศ | (ไม่เคยระบุ)[46] |
ตัวเลือกเพศที่สาม | (รอดำเนินการ)[45] |
การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมโดยคนโสดโดยไม่คำนึงถึงรสนิยมทางเพศ | (ยกเว้นผู้หญิงโสดสำหรับเด็กที่มี 'ความต้องการพิเศษ') |
การบำบัดพฤติกรรมรักร่วมเพศในผู้เยาว์ | |
ผู้เยาว์ที่มีเพศกำกวมได้รับการคุ้มครองจากขั้นตอนการผ่าตัดที่รุกราน | |
การรักร่วมเพศสามารถเปิดเผยได้ | (ตั้งแต่ พ.ศ. 2545) |
การเข้าถึงการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (IVF) สำหรับเลสเบียน | |
การอุ้มบุญเชิงพาณิชย์สำหรับคู่รักชาย | |
ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) สามารถบริจาคเลือด |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.