Loading AI tools
เพลงโดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ ค.ศ. 2008 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
"เลิฟสตอรี" (อังกฤษ: Love Story) เป็นเพลงของนักร้องนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เทย์เลอร์ สวิฟต์ เพลงเขียนโดยสวิฟต์ และผลิตโดยนาธาน แชปแมน ร่วมกับสวิฟต์ เพลงออกจำหน่ายในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2008 ผ่านสังกัดบิกแมชีนเรเคิดส์ เป็นซิงเกิลนำของสตูดิโออัลบั้มที่สองของสวิฟต์ เฟียร์เลส (2008) เนื้อเพลงเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนรักของสวิฟต์ที่ไม่เป็นที่นิยมในครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเธอ จากเหตุการณ์จำลองดังกล่าว สวิฟต์นำบทกวี โรเมโอและจูเลียต (1597) ของวิลเลียม เชกสเปียร์ มาใช้เป็นแรงบันดาลใจแต่งเพลงนี้ อย่างไรก็ตาม แทนที่จะจบด้วยเนื้อหาโศกนาฎกรรม เธอแทนที่ด้วยฉากจบแบบมีความสุข (happy ending) เพลงมีจังหวะปานกลาง เสียงร้องแบบโซปราโนเหมือนฝัน ขณะที่เสียงดนตรีเพลงค่อย ๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง เนื้อเพลงบอกเล่าจากมุมมองของจูเลียต
"เลิฟสตอรี" | ||||
---|---|---|---|---|
ซิงเกิลโดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ | ||||
จากอัลบั้มเฟียร์เลส | ||||
วางจำหน่าย | 15 กันยายน ค.ศ. 2008 | |||
บันทึกเสียง | มีนาคม 2008 | |||
สตูดิโอ | แบล็กเบิร์ด (แนชวิลล์) | |||
แนวเพลง | คันทรีป็อป | |||
ความยาว | 3:57 | |||
ค่ายเพลง | บิกมะชีน | |||
ผู้ประพันธ์เพลง | เทย์เลอร์ สวิฟต์ | |||
โปรดิวเซอร์ |
| |||
ลำดับซิงเกิลของเทย์เลอร์ สวิฟต์ | ||||
| ||||
มิวสิกวิดีโอ | ||||
"เลิฟสตอรี" ที่ยูทูบ |
เพลงประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยนักวิจารณ์ชื่นชมรูปแบบการเขียนเพลงของสวิฟต์ และเนื้อเรื่องในเพลง เพลงยังประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ขายได้มากกว่า 8 ล้านซิงเกิลทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ในสหรัฐ เพลงขึ้นอันดับที่สี่บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และขายได้ 5.8 ล้านซิงเกิลผ่านดิจิทัลดาวน์โหลด กลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของสวิฟต์นับถึงปัจจุบัน และเป็นซิงเกิลดาวน์โหลดของนักร้องคันทรีหญิงเดี่ยวที่ขายดีที่สุดด้วย เพลงยังเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดในสหรัฐ และเคยเป็นซิงเกิลคันทรีดิจิทัลที่ขายดีที่สุดตลอดกาลด้วย ซิงเกิลได้รับการรับรองระดับแพลตินัม 8 ครั้งจากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา (RIAA) ในต่างประเทศ "เลิฟสตอรี" เป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในประเทศออสเตรเลีย ตามด้วย "เชกอิตออฟ" ใน ค.ศ. 2014 เพลงได้รับการรับรองระดับแพลตินัม 3 ครั้งจากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงออสเตรเลีย (ARIA) เพลงเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดทั่วโลก ยอดขายมากกว่า 8 ล้านซิงเกิล (จากข้อมูลของสมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ หรือ IFPI)
มิวสิกวิดีโอกำกับโดยเทรย์ แฟนจอย ซึ่งเคยกำกับวิดีโอให้กับสวิฟต์แล้วหลายเพลง วิดีโอเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลจากสมัยกลาง สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และสมัยรีเจนซีของอังกฤษ (1813) เนื้อเรื่องติดตามสวิฟต์และนักแสดง จัสติน แกสตัน ขณะพบกันที่มหาวิทยาลัยและจินตการตนอยู่ในยุคเก่า "เลิฟสตอรี" ได้รับการสนับสนุนผ่านการแสดงสดหลายครั้ง เพลงนี้ถูกรวมในทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่ 1-4 ของสวิฟต์ ได้แก่ เฟียร์เลสทัวร์ (2009–10) สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ (2011–12) เดอะเรดทัวร์ (2013–14) และ เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ (2015) ตามลำดับ "เลิฟสตอรี" ยังถูกนำไปร้องใหม่โดยศิลปินหลายคน รวมถึงโจ แม็กเอลเดอร์รี และฟอร์เอฟเวอร์เดอะซิกเคสต์คิดส์
เพลง "เลิฟสตอรี" เกิดขึ้นช่วงท้ายการผลิตอัลบั้มเฟียร์เลส[1] สวิฟต์แต่งเพลง "เลิฟสตอรี" เล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอไม่เคยคบหาเขาจริงจัง เธอแนะนำเขาให้ครอบครัวและเพื่อน ๆ รู้จัก แต่ครอบครัวและเพื่อน ๆ ต่างไม่ปลื้มชายคนนี้[2] "สถานการณ์กับเขานั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่ฉันไม่สนใจ" สวิฟต์กล่าว[3] สวิฟต์ยังรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่เธอเชื่อมโยงเนื้อเพลงเข้ากับบทละครโรเมโอและจูเลียต ของวิลเลียม เชกสเปียร์ ซึ่งเป็นบทละครที่เธอโปรดปราน เธออธิบายว่า "คนที่อยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันก็คือพวกเขาเอง"[2] เธอได้แนวคิดเกี่ยวกับเพลงนี้เมื่อเธอไตร่ตรองถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า "ฉันคิดว่า มันยาก แต่มันเป็นเรื่องจริง มันสำคัญ มันไม่ง่ายแต่มันเป็นเรื่องจริง" จากนั้นเธอแต่งเพลงให้ใจความเกี่ยวข้องกับความคิดดังกล่าว จนในที่สุดได้วางอยู่ในเนื้อเพลง "เลิฟสตอรี" ท่อนรีเฟรนท่อนที่สอง[4] ทุกเหตุการณ์ในเพลง ยกเว้นตอนจบ บรรยายตามเรื่องจริงของสวิฟต์ ตอนท้ายเพลงแตกต่างจากตอนจบของละครโรเมโอและจูเลียต "ฉันรู้สึกว่าพวกเขามีคำมั่นสัญญาต่อกัน และสำหรับพวกเขาแล้วมันต่างก็ดูบ้า และถ้าเนื้อเรื่องดำเนินแตกต่างออกไปบ้าง มันอาจจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีที่สุด และเป็นเรื่องราวความรักที่ดีที่สุดเท่าที่มี แต่มันเป็นโศกนาฏกรรม" แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอเลือกแต่งให้จบแบบมีความสุข (happy ending)[5] เนื้อเพลงทั้งเพลง ยกเว้นท่อนจบ บรรยายจากเหตุการณ์จริงของสวิฟต์ บทสรุปของเพลงแตกต่างจากละครโรเมโอและจูเลียต "ฉันรู้สึกว่าพวกเขามีคำสัญญาต่อกันและหลงใหลซึ่งกันและกันมาก และถ้าเรื่องราวแตกต่างจากเดิมเล็กน้อย ก็คงจะเป็นเรื่องราวความรักที่ดีที่สุดเท่าที่จะมีใครเล่าได้ และมันก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวความรักหลาย ๆ เรื่องที่ถูกเล่ามา แต่กลับเป็นโศกนาฏกรรม" แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอเลือกที่จะแต่งให้จบอย่างมีความสุข[5] เธอใช้ตัวละครที่เธอโปรดปราน และออกแบบแนวคิดในตอนจบใหม่ที่เธอเชื่อว่าเหมาะสมกับพวกเขา[6] เธอเชื่อว่ามันจะเป็นฉากจบในอุดมคติที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนหวังให้เป็น รวมถึงเธอด้วย[4] "คุณต้องการผู้ชายสักคนที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอะไร ใครจะพูดอะไร" แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล่า สวิฟต์กล่าวว่ามันเป็นประสบการณ์ที่สนุกดีที่ได้แต่งเพลงออกมาเกี่ยวกับสิ่งนี้[3] สวิฟต์แต่งเพลงนี้บนพื้นห้องนอน ใช้เวลาประมาณ 12 นาที มีความรู้สึกได้แรงบันดาลใจจนนำมาใส่ในเพลงได้ไม่สิ้นสุด[2]
สวิฟต์กับคนรักของเธอสานต่อความสัมพันธ์ต่อไป แต่แยกทางกันในเวลาต่อมา เนื่องจากมาพบกันได้ยาก[5] สำหรับสวิฟต์แล้ว เพลงนี้คล้ายเป็นสุทรรศนนิยมเกี่ยวกับความรักและประเด็นที่ว่าการพบเจอกับคนที่ใช่เป็นเรื่องที่เกินข้อสงสัย[6] เธอมอง "เลิฟสตอรี" เป็นหนึ่งในเพลงที่โรแมนติกที่สุดของเธอ แม้ว่าเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์จริงจังกับคนที่กล่าวถึงในเพลง[2] สวิฟต์พูดถึงเพลงเมื่อนึกย้อนกลับไปว่า "มันเกี่ยวกับความรักที่คุณต้องซ่อนไว้เพราะมันไม่มีทางเป็นไปด้วยดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ฉันนำเสนอในทิศทางของโรเมโอและจูเลียต พ่อแม่ของเราทะเลาะกัน ฉันเชื่อมโยงมันกับความรักที่คุณไม่สามารถประนีประนอมได้ ความรักที่บางครั้งสังคมก็ไม่ยอมรับ [หรือ] บางครั้งเพื่อน ๆ ของคุณก็ไม่ยอมรับ"[7]
"เลิฟสตอรี" บันทึกเสียงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ที่แบล็กเบิร์ดสตูดิโอส์ในแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี โดยมีนาธาน แชปแมน และอีกหลายคนเป็นโปรดิวเซอร์เพลง[8] แชปแมนผลิตทุกเพลงยกเว้นหนึ่งเพลงในอัลบั้มแรก เทย์เลอร์ สวิฟต์[9] และร่วมผลิตทุกเพลงในอัลบั้มเฟียร์เลส[10] สวิฟต์ร้องเพลงนี้ใส่ไมโครโฟนชนิดแท่งรุ่น เอแวนโทน ซีวี-12 ผลิตโดยเอแวนต์อิเล็กทรอนิกส์ ไมโครโฟนมีแท่งสำรองที่เรย์ เคนเนดี นักร้องคันทรี โปรดิวเซอร์เพลง และวิศวกรเสียง ออกแบบและผลิตให้แชปแมนยืม แชปแมนใช้ไมโครโฟนนี้เป็นการทดลองชั่วคราว แม้ว่าเขาเคยทดสอบไมโครโฟนหลายตัวให้สวิฟต์ เขาไม่เคยหาตัวที่เหมาะกับเสียงร้องของสวิฟต์อย่างสมบูรณ์แบบได้เลย เมื่อสวิฟต์มาที่บ้านของแชปแมนเพื่อปรับแต่งซิงเกิลจากอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ เธอชอบไมโครโฟนตัวนี้ทันที[8] "เมื่อเธอสวมไมโครโฟนและพูดว่า 'ทดสอบ' ทันใดนั้น แทบจะทันที เธอกล่าวว่า 'นี่คือไมค์ฉัน ฉันรักไมค์ตัวนี้ ฉันอยากจะใช้ไมค์ตัวนี้ไปตลอดเลย' เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร เธอแค่รักมัน ผมก็เลยตามเลยกับสิ่งที่เหมาะสมกับเธอ เราใช้ไมค์ตัวนี้ตั้งแต่นั้นมา และมันทำให้เสียงเธอไพเราะจริง ๆ" แชปแมนกล่าว[8]
"เลิฟสตอรี" บันทึกเสียงด้วยโปรแกรมโปรทูลส์และใช้เสียงร้องตามร่องเสียง ซึ่งสวิฟต์ร้องสดร่วมกับวงดนตรี วงดนตรีประกอบด้วยกีตาร์โปร่ง กีตาร์เบส และกลองชุด[8] เครื่องดนตรีชนิดอื่น แชปแมนบันทึกทับอีกที เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามีกีตาร์โปร่งเก้าตัวบรรเลงอยู่ในเพลง และผมบันทึกเสียงร้องเบื้องหลังทับกันหลายชั้น ซึ่งเป็นเสียงของผมเองร้องว่า 'อา'"[8] การปรับแต่งเสียงทำโดยแชด คาร์ลสัน ที่สตูดิโอดี ในแบล็กเบิร์ดสตูดิโอส์ โดยใช้เครื่องมือชุดเอพีไอเลกาซีพลัส ได้แก่ ไมโครโฟนอะแวนโทน ซีวี-12 เนเว 1073 และทิวบ์เทค ซีแอล-1บี ผสมเสียงโดยจัสติน เนียแบงก์ ที่สตูดิโอเอฟ ด้วยอุปกรณ์ชุดโซลิดสเตตลอจิก 9080 เค และเจเนเลก 1032 ในระหว่างนั้น แชปแมนบันทึกเสียงทับที่สตูดิโออี[8] "เลิฟสตอรี" และเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้ม ผ่านกระบวนการมาสเตอร์โดยแฮงก์ วิลเลียมส์ ที่มาสเตอร์มิกซ์สตูดิโอส์ในแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี[10] เพลงผสมเสียงด้วยแอร์เพลย์โดยแชปแมน เขาดึงสิ่งที่เนียแบงก์ทำไว้ในแล็ปท็อปแม็กโอเอส และใช้แอปเปิลลอจิกสร้างเพลงเวอร์ชันป็อป แชปแมนใช้แล็ปท็อปทำเวอร์ชันรีมิกซ์และสร้างองค์ประกอบดนตรีใหม่ ๆ ด้วย เขาปิดเสียงเครื่องดนตรีคันทรีและแทนที่ด้วยองค์ประกอบดนตรีที่ทำให้เป็นดนตรีป็อป โดยแทนที่แบนโจและฟิดเดิลด้วยกีตาร์ไฟฟ้า ดนตรีท่อนเปิดเพลงเวอร์ชันป็อปเป็นวงวนลอจิกในเครื่องกำหนดจังหวะดนตรี อัลตราบีต เสียงกีตาร์ไฟฟ้าใหม่ทั้งหมดทำด้วยอุปกรณ์แอมพลิทิวบ์สตอมป์ไอ/โอ[8]
"เลิฟสตอรี" เป็นที่ชื่นชมของนักวิจารณ์ เคต คีเฟอร์จากนิตยสารเพสต์จัดให้เป็นเพลงที่ดีที่สุดของสวิฟต์ และเสริมว่า เมื่อรู้เนื้อเพลงเพลงนี้แล้ว ถ้าไม่ร้องตามคงเป็นไปไม่ได้[11] ชอน ดูลีย์ จากเว็บไซต์อะเบาต์ดอตคอมจัดให้เป็นเพลงที่เปลี่ยนผ่านสวิฟต์จาก "ดาราหน้าใสเป็นซูเปอร์สตาร์ข้ามแนวเพลง" ดูลีย์มองว่าเพลงประสบความสำเร็จเนื่องจากเนื้อหาในเนื้อเพลงที่แตกต่างไป ซึ่งสรุปได้ว่า "ฉันปรารถนาว่าชายหนุ่มคนนี้จะรู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับเขา"[12] ขณะที่วิจารณ์อัลบั้มเฟียร์เลส ดูลีย์เลือกเพลง "เลิฟสตอรี" ให้เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม[13] โจนาธาน คีฟ จากนิตยสารสแลนต์ชื่นชมสวิฟต์ในความพยายามที่จะรวมองค์ประกอบที่ซับซ้อน อย่างละครโรเมโอและจูเลียต และตราบาปสีเลือด แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากความงุ่มง่าม อธิบายไม่ได้ และจินตนาการที่ไม่มีจุดหมาย คีฟมองว่าความสำเร็จมาจากท่อนสร้อยที่โดดเด่น[14] เจมส์ รี้ด จากหนังสือพิมพ์เดอะบอสตันโกลบคิดเป็นเช่นอื่นว่า เสน่ห์ของสวิฟต์อยู่ที่ทักษะการแต่งเพลงของเธอ[15]
เฟรเซอร์ แม็กอัลไพน์จากบีบีซีกล่าวว่า "เลิฟสตอรี" เป็นเพลงป็อปที่น่าประหลาดใจ และเนื่องจากมันเล่าเรื่องราวความรักจริง ๆ มันจึงอบอุ่นหัวใจและดึงผู้ฟังเข้าสู่โลกนิทานที่น่าตื่นเต้นและโรแมนติก[16] อย่างไรก็ตม เธอรู้สึกว่าการร้องเพลงของสวิฟต์นั้นไม่น่าแปลกใจ แต่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการถ่ายทอดอารมณ์ แม็กอัลไพน์กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าจะเป็นเพลงโรแมนติกชัดเจนและมีเป้าหมายคือผู้ฟังอายุน้อย แต่ "เลิฟสตอรี" แค่เป็นเพลงที่น่ารักที่สวิฟต์พิสูจน์ตนเองว่าเป็นเจ้าหญิงเพลงป็อปที่แท้จริง[16] คริส นีล จากนิตยสารคันทรีวีกลีเรียกเพลง "เลิฟสตอรี" ว่า "เพลงดังเพลงแรกที่เดือดพล่าน"[17] เดบอราห์ อีแวนส์ ไพรซ์ จากนิตยสารบิลบอร์ดวิจารณ์เพลงไปในทางชื่นชอบและเรียกว่า "ข้อเสนอที่มีเสน่ห์" ไพรซ์กล่าวว่า "เลิฟสตอรี" แสดงให้เห็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของสวิฟต์ ซึ่งก็คือการแต่งเพลงและการร้องเพลงที่เหมาะสมกับอายุที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟังของเธอและคนอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงคาดการณ์ว่าเพลงจะประสบความสำเร็จมากในอุตสาหกรรมดนตรีคันทรี[18] อะเล็กซ์ แม็กเฟอร์สัน จากหนังสือพิมพ์บริติช เดอะการ์เดียน บรรยายว่าเพลงเกิดจาก "ความรู้สึกสนุกสนานแบบกะทันหัน" ซึ่งเขากล่าวว่าความรู้สึกนี้เกิดกับเพลง "ไมน์" (2010)[19] ด้วย เทสต์ออฟคันทรีจัดเพลงให้อยู่อันดับที่ 17 ในรายชื่อเพลงคันทรีที่ดีที่สุดตลอดกาล[20]
"เลิฟสตอรี" เข้าชิงรางวัลพีเพิลส์ชอยส์อะวอดส์ สาขา "คันทรียอดนิยม" ในงานประกาศรางวัลพีเพิลส์ชอยส์อะวอดส์ ครั้งที่ 35 แต่พ่ายให้กับเพลง "ลาสต์เนม" (2008) ของแคร์รี อันเดอร์วูด[21] เพลงได้เข้าชิงรางวัล "เพลงยอดนิยม" ในงานประกาศรางวัลนิกเคโลเดียนออสเตรเลียนคิดส์ชอยส์อะวอดส์ 2009 แต่พ่ายให้กับเพลง "ไอก็อตตาฟิลิง" (2009) ของเดอะแบล็กอายด์พีส์[22] และในงานประกาศรางวัลทีนชอยส์อะวอดส์ 2009 ก็มีผลรางวัลเหมือนกัน โดยพ่ายให้กับเพลง "ครัช" (2008) ของเดวิด อาร์ชูเลตา ซึ่งเข้าชิงรางวัล "ชอยส์มิวสิก: เลิฟซอง"[23][24] ในปี ค.ศ. 2009 "เลิฟสตอรี" ได้เป็น "เพลงคันทรีแห่งปี" ประกาศโดยองค์กรเผยแพร่ดนตรี[25]
ในชาร์ตประจำวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2008 "เลิฟสตอรี" เปิดตัวที่อันดับ 16 ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ขายได้มากกว่า 97,000 ดิจิทัลดาวน์โหลด[26] ในสัปดาห์ต่อมา "เลิฟสตอรี" ขึ้นไปถึงอันดับที่ 5 ขายได้ 159,000 ดาวน์โหลด[27] หลังจากอยู่ในสิบอันดับแรกได้สองสัปดาห์ ในชาร์ตประจำวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2008 เพลงตกลงมาอันดับที่ 13 และอยู่ในยี่สิบอันดับแรกนาน 11 สัปดาห์ติดต่อกัน และกลับไปที่สิบอันดับแรก ในอันดับที่ 7 ในชาร์ตประจำวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2009[28][29] ในชาร์ตประจำวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2009 เพลงขึ้นอันดับที่ 4 กลายเป็นซิงเกิลที่ขึ้นชาร์ตสูงที่สุดของสวิฟต์ในขณะนั้น[30] หลายสัปดาห์ต่อมา "เลิฟสตอรี" ยังคงทำยอดขายได้ดีตลอด ใช้เวลาในสิบอันดับแรกนาน 14 สัปดาห์ และอยู่ในชาร์ตทั้งหมด 49 สัปดาห์[30][31] ซิงเกิลนี้เป็นหนึ่งในเพลงจากอัลบั้มเฟียร์เลส 13 เพลงที่ติดสี่สิบอันดับแรกในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ทำลายสถิติเพลงจากอัลบั้มเดียวเข้าชาร์ตที่สี่สิบอันดับแรกได้มากที่สุด[32] อัลบั้มได้รับการรับรองระดับแพลตินัม 8 ครั้งจากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา[33] และขายได้มากกว่า 5 ล้าน จนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011[34] กลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของสวิฟต์ และเคยเป็นซิงเกิลคันทรีที่ขายดีที่สุดตลอดกาล (ถูกแทนที่ด้วยเพลง "นีดยูนาว" ของเลดีแอนทีเบลลัม)[35][36] และเป็นซิงเกิลดิจิทัลที่ขายดีที่สุดอันดับที่ 9 นับถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2015 "เลิฟสตอรี" ขายได้ 5,872,000 หน่วยในสหรัฐ[37]
"เลิฟสตอรี" ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดเรดิโอซองส์โดยมีจำนวนการฟังในทุกช่องทางการรับฟังทั้งหมด 106 ล้านครั้ง และถูกโค่นอันดับโดยเพลง "ฮาร์ตเลส" ของคานเย เวสต์[38] ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี "เลิฟสตอรี" เปิดตัวที่อันดับ 25 ในชาร์ตประจำวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2008 เพลงขึ้นถึงสิบอันดับแรกในสัปดาห์ที่สี่ที่อันดับเก้า และในสัปดาห์ที่เก้า เพลงขึ้นอันดับหนึ่งกลายเป็นเพลงอันดับหนึ่งเพลงที่สามของสวิฟต์ และเป็นเพลงที่ขึ้นอันดับหนึ่งได้เร็วที่สุด[39][40] เพลงอยู่ในอันดับที่หนึ่งได้นานสองสัปดาห์และอยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรีได้รวม 13 สัปดาห์[41] ในชาร์ตบิลบอร์ดป็อปซองส์ เพลงเปิดตัวที่อันดับ 34 ในชาร์ตประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008[42] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในสัปดาห์ที่ 15 ในชาร์ตประจำวีนที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 กลายเป็นเพลงคันทรีที่ขึ้นอันดับสูงสุดบนชาร์ตนี้ได้นับตั้งแต่เพลง "ยัวร์สติลเดอะวัน" ของชะไนยา ทเวน ที่เคยขึ้นสูงสุดที่อันดับสามในปี ค.ศ. 1998[43] "เลิฟสตอรี" ยังขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดอะดัลต์คอนเทมโพรารี และอันดับสามบนชาร์ตบิลบอร์ดอะดัลต์ป็อปซองส์ และปรากฏในชาร์ตบิลบอร์ดละตินป็อปซองส์ที่อันดับ 35 ด้วย[30][44]
ในประเทศแคนาดา "เลิฟสตอรี" เข้าชาร์ตที่อันดับ 88 ในชาร์ตประจำวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2008[45] เพลงขึ้นสูงสุดที่อันดับที่สี่ในชาร์ตประจำวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2008 กลายเป็นเพลงของสวิฟต์เพลงแรกที่ขึ้นสิบอันดับแรกได้ในประเทศ[46] ซิงเกิลอยู่ในสิบอันดับแรกได้นาน 10 สัปดาห์ และอยู่ในชาร์ตนาน 52 สัปดาห์[31] เพลงอยู่อันดับที่แปดในชาร์ตสิ้นปีของแคนาดา และได้รับการรับรองระดับแพลตินัมสองครั้งโดยองค์กรมิวสิกแคนาดา จากยอดขายดิจิทัลดาวน์โหลด 160,000 ครั้ง[47][48]
"เลิฟสตอรี" เปิดตัวที่อันดับที่ 22 ในสหราชอาณาจักร ในชาร์ตประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 ในสัปดาห์ถัดมา เพลงขึ้นถึงอันดับสอง[49] กลายเป็นซิงเกิลของสวิฟต์ที่ขึ้นชาร์ตสูงที่สุด ร่วมกับเพลง "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" และ "เชกอิตออฟ" และเป็นเพลงที่ติดสิบอันดับเพลงแรกในสหราชอาณาจักร[50] เพลงอยู่ในสิบอันดับแรกนาน 7 สัปดาห์ และอยู่ในชาร์ตรวม 32 สัปดาห์[49] ซิงเกิลได้รับการรับรองระดับแพลตินัมโดยองค์กรตัวแทนอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงบริติช (BPI) หลังจากขายได้เกิน 600,000 หน่วย[51] ในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 2012 "เลิฟสตอรี" เข้าชาร์ตในสหราชอาณาจักรอีกครั้งที่อันดับ 55 ในประเทศไอร์แลนด์ "เลิฟสตอรี" ขึ้นถึงอันดับที่สาม[52] ในแผ่นดินใหญ่ เพลงขึ้นอันดับสิบในชาร์ตยูโรเปียนฮอต 100 ซิงเกิลส์[30] อันดับที่หกในประเทศฮังการี[53] อันดับที่เจ็ดในประเทศนอร์เวย์[54] และอันดับที่สิบในประเทศสวีเดน[55] เพลงติดชาร์ตได้ดีในประเทศอื่น ๆ เช่น เดนมาร์ก เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส โดยขึ้นถึงยี่สิบอันดับแรก[55]
ในประเทศออสเตรเลีย "เลิฟสตอรี" เปิดตัวที่อันดับ 38 บนชาร์ตประจำวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2009 หลังจากขึ้นชาร์ตได้สองสัปดาห์ "เลิฟสตอรี" ขึ้นอันดับสอง และค้างอยู่นานหกสัปดาห์ก่อนขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตประจำวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 2009 กลายเป็นเพลงแรกและเพลงเดียวของสวิฟต์ที่ขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศ จนถึงเพลง "เชกอิตออฟ" ในปี ค.ศ. 2014 ในสัปดาห์ถัดมา เพลงตกลงมาอันดับสองและขึ้นอันดับหนึ่งอีกสัปดาห์ และอยู่ในห้าสิบอันดับแรกสัปดาห์สุดท้ายในชาร์ตประจำวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2009[56] ซิงเกิลได้รับการรับรองระดับแพลตินัมสามครั้งจากสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงออสเตรเลียหลังขายได้มากกว่า 210,000 หน่วย[57] "เลิฟสตอรี" ติดอันดับสิบในชาร์ตสิ้นปีของชาร์ตซิงเกิลออสเตรเลีย ในชาร์ตประจำวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 "เลิฟสตอรี" เข้าชาร์ตในประเทศนิวซีแลนด์ที่อันดับ 33 หลังอยู่ในชาร์ตได้เก้าสัปดาห์ เพลงขึ้นถึงอันดับสามในชาร์ตประจำวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2009[58] เพลงได้รับการรับรองระดับแพลตินัมโดยสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงนิวซีแลนด์หลังขายได้มากกว่า 15,000 หน่วย[59] โดยรวมแล้ว "เลิฟสตอรี" ขายได้มากกว่า 7.9 ล้านหน่วยทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล[60][61][62]
มิวสิกวิดีโอของเพลง "เลิฟสตอรี" กำกับโดยเทรย์ แฟนจอย ซึ่งเคยกำกับวิดีโอให้สวิฟต์หลายซิงเกิลจากอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ สวิฟต์ตัดสินใจร่วมงานกับแฟนจอยอีกครั้งเพราะเธอสามารถหาจุดสมดุลเกี่ยวกับแนวคิดของมิวสิกวิดีโอระหว่างเขาและเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชื่นชมอยู่ลึก ๆ[63] วิดีโอมีท้องเรื่องย้อนยุคที่มีอิทธิพลจากสมัยกลาง สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และสมัยรีเจนซี สวิฟต์เคยต้องการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอย้อนยุคมานานแล้วเพราะมันแตกต่างจากมิวสิกวิดีโอสมัยใหม่ที่เธอเคยถ่ายทำ ขณะที่เธอแต่งเพลงนี้ เธอจินตนาการถึงยุคเก่า และแฝงกลิ่นอายยุคเก่าไว้ในเนื้อเพลง[64] เธอเชื่อว่าโครงเรื่องของเพลง "เลิฟสตอรี" เป็นบทที่ไม่กำหนดเวลาตายตัว "ฉันคิดว่ามันอาจเกิดขึ้นในยุค 1700 1800 หรือ 2008 ก็ได้"[63] ดังนั้น เธอจึงมองหาคุณสมบัติที่ตรงกับพฤติกรรมของคนรักของเธอ[65] สวิฟต์มองหาคุณสมบัติดังกล่าวโดยชมภาพยนตร์ล่วงหน้าหกเดือนเพื่อมองหานักแสดงชายเพื่อตีความบทบาท คนรู้จักคนหนึ่งของสวิฟต์ที่เคยติดตามรายการแนชวิลล์สตาร์ ซีซันหก แนะนำผู้เข้าแข่งขันชื่อ จัสติน แกสตัน จากนั้นสวิฟต์มองดูรูปเขา และสรุปว่าเขาเหมาะสมกับมิวสิกวิดีโอของเธอ[66] แกสตันตรงกับความต้องการของสวิฟต์ ซึ่งสวิฟต์ให้เขาเป็น "เจ้าชายทรงเสน่ห์ที่มีชีวิตในยุค 1800"[65] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแกสตันเข้าแข่งขันรายการแนชวิลล์สตาร์อยู่ เขาจึงมาแสดงในมิวสิกวิดีโอไม่ได้ สุดท้ายแล้วแกสตันถูกคัดออกและสวิฟต์ติดต่อเขาทันทีเพื่อให้มาแสดงในมิวสิกวิดีโอ[63] สวิฟต์ประทับใจการแสดงของแกสตันมาก "ฉันประทับใจการแสดง [อารมณ์] ของเขาในวิดีโอมาก เขาไม่ต้องพูดอะไร เขาแค่ต้องจ้องตานิ่ง ๆ และมันออกมาดูดีมาก"[66]
วิดีโอถ่ายทำที่ปราสาทแห่งหนึ่ง ฝ่ายบุคลากรศึกษาปราสาทหลายแห่งในสหรัฐและไม่สามารถเลือกหลังที่มีสภาพเหมาะสมต่อการถ่ายทำได้ พวกเขาพิจารณาเดินทางไปยุโรปเพื่อหาปราสาท แต่ได้รับแจ้งว่าพบปราสาทแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ชื่อว่า ปราสาทกวินน์ สร้างในปี ค.ศ. 1973 และได้รับเลือกให้เป็นฉากของมิวสิกวิดีโอ[63] เสื้อผ้าของนักแสดงจัดหาโดยแจ็กการ์ดแฟบริกส์ ยกเว้นชุดเดรสของสวิฟต์ในฉากระเบียง ชุดของสวิฟต์ออกแบบโดยแซนดี สปิกา ออกแบบตามแรงบันดาลใจและคำแนะนำของสวิฟต์[63][64] "เธอชอบที่จะใส่ตัวเธอเป็นอินพุตลงในชุดเดรสของเธอ" สปิกากล่าว สองคนคุยกันเกี่ยวกับชุดเดรสสองเดือนก่อนถ่ายทำ มีการเตรียมฉากให้สมจริง[63] วิดีโอใช้เวลาถ่ายทำสองวันในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ในเทนเนสซี ในวันแรก ถ่ายทำฉากที่ระเบียงและสนามหญ้า ในฉาก มีคนวางแผ่นซีดีเพลย์แบ็กฉบับดัดแปลงที่มีเสียงแหลมสูง ด้วยเหตุนี้ สวิฟต์ให้กองถ่ายคนหนึ่งยืมไอพอดเพื่อเล่นเพลงฉบับดั้งเดิม[63] ขณะถ่ายทำอีกฉากหนึ่ง ดวงอาทิตย์กำลังจะตก และการถ่ายทำค่อนข้างจะเป็นไปอย่างเร็ว ในฉากนั้น แฟนจอยแนะนำให้สวิฟต์จูบกับแกสตัน แต่สวิฟต์ปฏิเสธเพราะเธอเชื่อว่ามันเหมาะกับฉากที่หวานกว่า ในวันที่สอง ถ่ายทำที่มหาวิทยาลัยคัมเบอร์แลนด์ ในเลบานอน รัฐเทนเนสซี โดยถ่ายทำที่ห้องเต้นรำ[67] สวิฟต์เรียนท่าเต้นในห้องเต้นรำก่อนถ่ายทำสิบห้านาที มีนักเต้นรำประมาณ 20 คนเต้นอยู่ในฉาก[63]
วิดีโอเริ่มด้วยสวิฟต์ สวมเสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงยีนส์ เดินอยู่ในมหาวิทยาลัยและสังเกตเห็นแกสตันนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ ขณะที่พวกเขาสบตากัน วิดีโอเปลี่ยนยุคเป็นยุคเก่าที่ดูเหมือนศตวรรษที่ 18 (แต่ปราสาทสร้างในปี ค.ศ. 1973) โดยสวิฟต์ยืน สวมชุดรัดรูปและเสื้อคลุม ร้องเพลงอยู่ที่ระเบียง หลังจากนั้น แกสตันร่วมงานสังสรรค์และเห็นสวิฟต์ใส่ชุดคลุมที่ดูประณีต กำลังคุยกับผู้หญิงคนอื่น ๆ อยู่ สวิฟต์และแกสตันและคนอื่น ๆ ร่วมเต้นรำในห้องเต้นรำ หลังเต้นรำ แกสตันกระซิบที่หูสวิฟต์ จากนั้นฉากแสดงสวิฟต์กำลังถือโคมไฟมองหาบางอย่างตอนกลางคืน เธอพบกับแกสตันและทั้งสองคนเดินด้วยกัน จับมือกัน และให้อาหารม้าที่บ่อน้ำ จากนั้นทั้งสองคนเดินแยกทางกัน หลังจากนั้น สวิฟต์ยืนบนระเบียงมองออกไปที่หน้าต่าง เธอพบแกสตันวิ่งมาหาเธอ และเธอรีบวิ่งลงบันไดทันที สวิฟต์และแกสตันพบกันและจับมือกัน จากนั้นวิดีโอกลับมาที่ยุคปัจจุบัน แสดงแกสตันเดินมาหาสวิฟต์และจ้องตากัน และวิดีโอจบลง ฉากคัตซีนแสดงการเต้นรำในห้องเต้นรำและสวิฟต์ร้องเพลงที่ฉากระเบียง ในยูทูบ วิดีโอนี้มีผู้ชมมากกว่า 340 ล้านครั้ง
วิดีโอฉายครั้งแรกในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2008 ทางช่องซีเอ็มที[68] แมนดี เบียร์ลีจากเอนเตอร์เทนเมนต์วีกลีมีประเด็นว่าวิดีโอแสดงวิวัฒนาการความเป็นศิลปินในตัวสวิฟต์เพราะมันดูแพงและทำให้เธอสงสัยว่ามีอะไรเกี่ยวกับสวิฟต์ที่จะเปลี่ยนไปบ้าง อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวว่า "กังวลแต่ฉันไม่อาจต้านทานวิวัฒนาการของเทย์เลอร์ สวิฟต์ จากเพลง 'ทิม แม็กกรอว์' จนถึงเพลงล่าสุด 'เลิฟสตอรี'" เบียร์ลียังเปรียบเทียบการแสดงของสวิฟต์กับการแสดงของเคียรา ไนต์ลีย์ด้วย[69] เฟรเซอร์ แม็กอัลไพน์จากบีบีซีเชื่อว่าสวิฟต์เล่นเป็นเจ้าหญิง ดังนั้นมันจะทำให้ผู้หญิงหลายคนอิจฉา[16] วิดีโอได้เข้าชิงรางวัล "วิดีโอแห่งปี" ในงานประกาศรางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ ครั้งที่ 45 แต่พ่ายให้กับเพลง "เวทินออนอะวูแมน" ของแบรด เพสลีย์[70][71] ในงานซีเอ็มทีมิวสิกอะวอดส์ 2009 วิดีโอได้รับรางวัล "วิดีโอแห่งปี" และ "วิดีโอนักร้องหญิงแห่งปี"[72] เพลงยังได้รับรางวัลคันทรีมิวสิกแอสโซซิเอชันอะวอร์ด สาขา "มิวสิกวิดีโอแห่งปี" ในงานมิวสิกแอสโซซิเอชันอะวอดส์ ครั้งที่ 43[73] วิดีโอได้รับรางวัล "วิดีโอเพลงสากลที่ชื่นชอบ" ในงานมิกซ์มิวสิกอะวอดส์ 2010 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ด้วย[74]
"เลิฟสตอรี (เทย์เลอร์เวอร์ชัน)" | ||||
---|---|---|---|---|
ซิงเกิลโดยเทย์เลอร์ สวิฟต์ | ||||
จากอัลบั้มเฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) | ||||
วางจำหน่าย | 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 | |||
สตูดิโอ | แบล็กเบิร์ด (แนชวิลล์) | |||
แนวเพลง | คันทรีป็อป | |||
ความยาว | 3:56 | |||
ค่ายเพลง | รีพับลิก | |||
ผู้ประพันธ์เพลง | เทย์เลอร์ สวิฟต์ | |||
โปรดิวเซอร์ |
| |||
ลำดับซิงเกิลของเทย์เลอร์ สวิฟต์ | ||||
| ||||
Lyric video | ||||
"เลิฟสตอรี" (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ที่ยูทูบ |
หลังจากเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับรีพับลิกเรเคิดส์ สวิฟต์เริ่มบันทึกสตูดิโออัลบั้มแรกของเธอจากหกอัลบั้มแรกใหม่ รวมถึงเฟียร์เลสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2020[75] การตัดสินใจเกิดขึ้นหลังจากข้อพิพาทสิทธิ์ในการถือครองเพลง ค.ศ. 2019 ระหว่างสวิฟต์กับผู้จัดการ สกูตเตอร์ เบราน์ ซึ่งซื้อกิจการบิกมะชีนเร็กเคิดส์ รวมถึงมาสเตอร์ในอัลบั้มของสวิฟต์ที่ค่ายเพลงได้ออกจำหน่าย[76][77] การบันทึกแคตตาล็อกของเธอใหม่ทำให้สวิฟต์เป็นเจ้าของต้นฉบับเพลงมาสเตอร์ใหม่โดยสมบูรณ์ รวมถึงการอนุญาตลิขสิทธิ์เพลงของเธอ ซึ่งจะลดคุณค่าของเพลงมาสเตอร์ที่มีเจ้าของโดยบิกมะชีน[78]
สวิฟต์บันทึกเพลง "เลิฟสตอรี" อีกครั้งและตั้งชื่อว่า "เลิฟสตอรี (เทย์เลอร์เวอร์ชัน)" ข้อความที่ตัดตอนมาจากการบันทึกซ้ำถูกนำมาใช้ในโฆษณาของ แมตช์.คอม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020[79] "เลิฟสตอรี (เทย์เลอร์เวอร์ชัน)" เป็นเพลงที่บันทึกซ้ำเพลงแรกที่เธอปล่อยออกมา[80] พร้อมให้ดาวน์โหลดและสตรีมในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 ก่อนการเปิดตัวอัลบั้มที่บันทึกซ้ำในชื่อ เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ในเดือนเมษายน[81][82] "เลิฟสตอรี (เทย์เลอร์เวอร์ชัน)" เวอร์ชันอีดีเอ็ม รีมิกซ์โดยโปรดิวเซอร์ชาวสวีเดน เอลวิรา วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2021 และรวมอยู่ใน เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) เวอร์ชันดีลักซ์[83]
ชาร์ตประจำสัปดาห์
|
ชาร์ตสิ้นปี
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.