เอากุสโต ปิโนเช
นายพล นักการเมือง และผู้เผด็จการชาวชิลี / From Wikipedia, the free encyclopedia
เอากุสโต โฆเซ รามอน ปิโนเช อูการ์เต (สเปน: Augusto José Ramón Pinochet Ugarte ; 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 – 10 ธันวาคม พ.ศ. 2549) เป็นประธานาธิบดีชิลีในสมัยรัฐบาลเผด็จการทหารระหว่าง พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2533 ในฐานะประธานคณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครองระหว่างปี พ.ศ. 2516 ถึง พ.ศ. 2524 เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพชิลีจนถึงปี พ.ศ. 2541 และยังเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเภทตลอดชีพ
เอากุสโต ปิโนเช | |
---|---|
ภาพถ่ายทางการของปิโนเช ประมาณ ค.ศ. 1974 | |
ประธานาธิบดีชิลี คนที่ 29 | |
ดำรงตำแหน่ง 17 ธันวาคม ค.ศ. 1974 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1990 | |
ก่อนหน้า | ซัลบาดอร์ อาเยนเด |
ถัดไป | ปาตริซิโอ เอลวิน |
ดำรงตำแหน่ง 11 ธันวาคม ค.ศ. 1973 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1981 | |
ก่อนหน้า | ตำแหน่งได้รับการจัดตั้ง |
ถัดไป | โฆเซ โตริบิโอ เมริโน |
ผู้บัญชาการกองทัพบกชิลี | |
ดำรงตำแหน่ง 23 สิงหาคม ค.ศ. 1973 – 11 มีนาคม ค.ศ. 1998 | |
ก่อนหน้า | การ์โลส ปรัตส์ |
ถัดไป | ริการ์โด อิซูริเอตา |
สมาชิกวุฒิสภา (ตลอดชีพ) | |
ดำรงตำแหน่ง 11 มีนาคม ค.ศ. 1998 – 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 | |
เขตเลือกตั้ง | อดีตประธานาธิบดี |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | เอากุสโต โฆเซ รามอน ปิโนเช อูการ์เต 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 บัลปาราอิโซ ชิลี |
เสียชีวิต | 10 ธันวาคม พ.ศ. 2549 (91 ปี) ซานเตียโก ชิลี |
สาเหตุการเสียชีวิต | หัวใจวาย |
เชื้อชาติ | ชิลี |
คู่สมรส | ลูซิอา อิเรียร์ต (สมรส 1943) |
บุตร | 5 คน รวมถึงอิเนส ลูซิอา ปิโนเช |
ศิษย์เก่า | โรงเรียนนายร้อยทหารบกนายพลเบอร์นาร์โด โอฆิกินส์ |
อาชีพ |
|
วิชาชีพ | ทหาร |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ชิลี |
สังกัด | กองทัพบกชิลี |
ประจำการ | ค.ศ. 1931–1998 |
ยศ | Captain General |
หน่วย |
|
บังคับบัญชา |
|
สงคราม/การสู้รบ | รัฐประหารในประเทศชิลี ค.ศ. 1973 |
ปิโนเชเจริญก้าวหน้าด้านอาชีพทหารเป็นอย่างยิ่ง โดยเขาได้รับตำแหน่งเสนาธิการของกองทัพในช่วงต้นปี พ.ศ. 2515 ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพชิลีในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ต่อมาในวันที่ 11 กันยายนปีเดียวกัน เขาได้ทำรัฐประหารรัฐบาลซัลบาดอร์ อาเยนเด ซึ่งการรัฐประหารของเขาได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ[1][2][3] เพื่อล้มล้างรัฐบาลอาเยนเดและพรรคสหภาพประชาชน จากนั้นเขาได้เป็นประธานาธิบดีแห่งชิลีเต็มตัวใน พ.ศ. 2517 ภายหลังการขึ้นสู่อำนาจ เขาได้สั่งปราบปรามพวกฝ่ายซ้าย นักลัทธิสังคมนิยม และผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของเขา ส่งผมให้มีผูคนมากมายในประเทศถูกกำจัดและสังหารร่วม 1,200 ถึง 3,000[4] คน มีผู้ถูกจำคุกถึง 80,000 คนและมีผู้ถูกซ้อมมรมานนับหมื่นคน[5][6][7] จากข้อมูลของรัฐบาลชิลีกล่าวว่า ในสมัยของปิโนเชมีการประหัตประหารผู้คนและมีการบังคับให้บุคคลสูญหายถึง 3,095 คน[8] ในสมัยของเขาเกิดปฏิบัติการคอนดอร์ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่กำจัดพวกฝ่ายซ้ายในละตินอเมริกา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2518[9]
รัฐบาลของเขามีนโยบายทำให้ชิลีเป็นประเทศเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี มีการเปิดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงการรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน ทั้งนี้ยังยกเลิกการเก็บภาษีของอุตสาหกรรมท้องถิ่น ห้ามสหภาพแรงงาน และการประกันสังคมของเอกชน รัฐบาลของเขามีการตรวจพิจารณาสื่อเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม นโยบายที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศชิลีมีการเติบโตในระดับสูง แต่นักวิชาการมองว่า เป็นเพราะนโยบายของเขาทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจในประเทศเมื่อ พ.ศ. 2525[10][11][12]
ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง เขามีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากจากบัญชีทางธนาคารทั้งในและต่างประเทศหลายสิบบัญชีของเขา ซึ่งทำให้ภายหลังเขาถูกจับกุมในข้อหายักยอกทรัพย์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง รวมถึงการรับสินบนจากข้อตกลงด้านอาวุธทางทหาร[13]
ใน พ.ศ. 2531 มีการลงประชามติว่าจะให้เขาดำรงตำแหน่งต่อไปหรือไม่ ซึ่ง 56% ไม่เห็นด้วยที่ให้เขาดำรงตำแหน่งต่อ ทำให้ชิลีมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยและฟื้นฟูประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ เขาจึงลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีใน พ.ศ. 2533 แต่เขายังคงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศชิลีจนเกษียณอายุรัฐการใน พ.ศ. 2541 และเป็นสมาชิกวุฒิสภาตลอดชีวิต ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2541 เขาถูกจับกุมระหว่างเดินทางไปที่ลอนดอน สหราชอาณาจักร ในข้อหาละเมิดสิทธิมษุยชน เขาได้สู้คดีจนได้รับการปล่อยตัวใน พ.ศ. 2543 ด้วยเหตุผลทางสุขภาพและเดินทางกลับไปยังประเทศชิลี เขาถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2549 สิริอายุได้ 91 ปี[14]