คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
กษิต ภิรมย์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
กษิต ภิรมย์ (เกิด 15 ธันวาคม พ.ศ. 2487) เป็นอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และอดีตรองนายกรัฐมนตรีเงา
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
กษิต เกิด 15 ธันวาคม พ.ศ. 2487 เป็นบุตรของพลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยศรีปทุม กับ จุนเจือ ภิรมย์ (สกุลเดิม "มุสิกะภุมมะ")
สำเร็จการศึกษา ปริญญาตรีสาขาวิเทศสัมพันธ์ (International Affairs) จาก มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) สหรัฐอเมริกา รุ่นเดียวกับประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ และ ศึกษาต่อ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) ที่ Institute of Social Studies เนเธอร์แลนด์ ก่อนเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ยาวนานกว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนการเกษียณอายุราชการ คือ เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา
ระหว่างการรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ กษิตได้รับการทาบทามจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ของน้องชายของกษิต ให้เข้าร่วมในคณะทำงานของ ชวน หลีกภัย ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี โดยกษิตได้รับมอบหมายให้ดูแลการติดต่อกับต่างประเทศ และการต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ในช่วงที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 ได้ขอให้ กษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลินไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้รู้จักคุ้นเคยกันในช่วงที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้น กษิตดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตา หลังจากนั้น จึงออกไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2548
หลังจากเกษียณอายุราชการ กษิตได้เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้าน พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเงา[1] ดูแลตรวจสอบ การทำงานของ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม หลังจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กษิตได้ขึ้นเวทีปราศรัยบริเวณสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาลและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 กษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ [2]
Remove ads
ชีวิตส่วนตัว


กษิต ภิรมย์ เป็นบุตรชายของพลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยศรีปทุม กับ จุนเจือ ภิรมย์ (สกุลเดิม "มุสิกะภุมมะ") เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2487 ได้สมรสกับ จินตนา ภิรมย์ (สกุลเดิม วัจนะพุกกะ) มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ โอม ภิรมย์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) และ แพร ภิรมย์[3] ผู้ออกแบบกำไลข้อมือ "Thai Together bracelets" ออกจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาเพื่อระดมเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในประเทศไทย ผ่านกองทุน “The United States-Thailand Amity for Charity” ของสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา[4]
Remove ads
การศึกษา
กษิต ภิรมย์เข้ารับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้วจึงไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ St. Joseph College เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย หลังจากนั้น จึงกลับเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกษิตเข้ารับการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพียงระยะเวลาหนึ่งและได้สมัครไปศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน International Affairs ที่ School of Foreign Service, มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น นายกษิตได้เข้ารับการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Institute of Social Studies เนเธอร์แลนด์ และ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 32[4][3]
การทำงาน
สรุป
มุมมอง
การรับราชการ
กษิต ภิรมย์ เริ่มเข้ารับราชการที่ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ในฐานะข้าราชการชั้นผู้น้อยผ่านงานที่กรมองค์การระหว่างประเทศ กรมสารนิเทศ[5] ในปี พ.ศ. 2512 จึงได้รับตำแหน่ง เลขานุการตรี กองการเมือง กรมองค์การระหว่างประเทศ และเติบโตก้าวหน้าในราชการโดยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขานุการโทและเลขานุการเอกในหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นในปี พ.ศ. 2526 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับผู้อำนวยการกอง โดยนายกษิตได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองต่าง ๆ ได้แก่ กองพาณิชย์และอุตสาหกรรม กรมอาเซียน, กองสนเทศเศรษฐกิจ กรมเศรษฐกิจ และกองนโยบายและวางแผน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2531 จึงเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจ และเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง (รับผิดชอบกิจการยุโรป) กระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น จึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2534[4][6]
หลังจากนั้น กษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ ต่างประเทศหลายแห่ง กระทั่งเกษียณ ในปี พ.ศ. 2548 ได้แก่
- ปี พ.ศ. 2537 : เอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
- ปี พ.ศ. 2540 : เอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
- ปี พ.ศ. 2544 : เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ช่วยราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, เอกอัครราชทูต ณ บอนน์และกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี
- ปี พ.ศ. 2547 : เอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
- ปี พ.ศ. 2548 : เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา[4][6][7]
การดำรงตำแหน่งอื่น ๆ
กษิต ภิรมย์ ยังดำรงตำแหน่งอื่น ๆ เช่น[5]
- ผู้แทนประจำประเทศไทย องค์กร Caux Round Table ส่งเสริมเรื่องธรรมาภิบาลและระบบทุนนิยมที่มีศีลธรรม
- ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญ ยกร่างกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
- อนุกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะที่ 1
- ผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยรังสิต จากการแต่งตั้งของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
ด้านการเมือง
กษิต ภิรมย์ เริ่มเกี่ยวข้องกับการเมืองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 ระหว่างที่รับราชการ กระทรวงการต่างประเทศ โดยได้รับการทาบทามจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายกษิต เนื่องจากสุเทพเป็นเพื่อนร่วมรุ่นคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ เอ๊ด ภิรมย์ น้องชายของกษิต เคยไปมาหาสู่รู้จักสนิทสนมกับทุกคนในครอบครัว “ภิรมย์” โดยในครั้งนั้นกษิตได้เข้าร่วมในคณะทำงานของ ชวน หลีกภัย ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล เปรม ติณสูลานนท์ ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี โดยกษิตได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลการติดต่อกับต่างประเทศ และการต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ เช่น บรรดาทูตานุทูตต่างๆ
กษิต ภิรมย์ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับความเชื่อถือจาก ชวน หลีกภัย อย่างต่อเนื่อง ปี 2537 กษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตาได้ต้อนรับ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น พันตำรวจโท ทักษิณ ได้ติดต่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการเมืองกับกษิต จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ให้กษิต ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการบริหารราชการที่แตกต่างจากที่ได้เคยหารือกันไว้ ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวิธีทำงานของ พันตำรวจโท ทักษิณ อย่างใกล้ชิด กษิต ภิรมย์ จึงเริ่มออกห่างจาก พันตำรวจโททักษิณ และในเดือน พฤศจิกายน 2544 ได้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
หลังจากนั้น กษิต ภิรมย์ ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดแจ้งกับรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร กรณีจะนำเงินงบประมาณของประเทศจำนวนมากไปจ้างบริษัท Lobbyist ต่างชาติ ช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในการชิงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ โดยกษิตได้ส่งโทรสารคัดค้านมายังกระทรวงการต่างประเทศให้เหตุผลว่าเป็นที่รู้กันในเวทีระหว่างประเทศว่าโอกาสของ สุรเกียรติ เสถียรไทย แทบจะมองไม่เห็นทาง และประธานาธิบดีสหรัฐมีท่าทีชัดเจนที่จะไม่สนับสนุน สุรเกียรติ์
กษิต ได้ร่วมลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยอ้างอิงความตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
วิกิซอร์ซ มีงานต้นฉบับเกี่ยวกับ:
ต่อมาภายหลังการเกษียณอายุราชการ กษิต ภิรมย์ ได้รับเชิญจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับพฤติการณ์ของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และได้เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว โดยเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลเงา ขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 กษิตได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรคให้ทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเงา ดูแลตรวจสอบการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรม หลังจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ กษิต ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในบริเวณสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาล และที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
กษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนที่ 43 ของไทย[7] ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์[8] และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกสมัย
นายกษิต ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ[9] ในปี พ.ศ. 2558 โดยอยู่ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง คนที่หนึ่ง รวมถึงเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำเรื่องการสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย
อีกทั้งยังทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอีกคณะหนึ่งด้วย
Remove ads
การขับไล่กษิต ภิรมย์ ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
สรุป
มุมมอง
บทความนี้อาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |
กษิตได้รับตำแหน่ง รมว.กระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่การที่กษิตเคยร่วมปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในช่วงรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งได้กล่าวหาว่ากษิตเป็นรัฐมนตรีจากโควตาของกลุ่มพันธมิตรฯ และพยายามขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[10] และต่อมาเมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ราชาเทวะ ออกหมายเรียกในคดีระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับ กษิต ภิรมย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวก รวมทั้งสิ้น 25 คน ที่บุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ โดยตั้งข้อหา ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ , เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2551
ข้อกล่าวหาในช่วงที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
- เคยขึ้นเวทีปราศัยในระหว่างการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และกล่าวชื่นชมการยึดสนามบินในครั้งนั้นว่าเป็น "นวัตกรรมใหม่ของการประท้วง" [11]
- กล่าวเชิญชวนนักการทูตระดับสูง และนักหนังสือพิมพ์ต่างชาติให้ไปร่วมชมการชุมนุมประท้วง และกล่าวถึงการยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวตกค้างในประเทศกว่าสามแสนห้าหมื่นคนว่า "สนุกมาก ดนตรีเพราะ อาหารอร่อย" [12]
- กล่าวหาสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า "บ้า ๆ บอ ๆ" "เป็นกุ๊ย" "จิตใจชั่วร้าย" และ "เป็นขี้ข้า" ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร [13]
ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552[14]
- วางตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ และเคยทะเลาะชกตีกับนักเรียนไทยในช่วงระหว่างที่ดำรงตำแหน่งที่ประเทศรัสเชีย
- มีความเห็นขัดแย้งทางด้านนโยบายกับรัฐบาลที่นายกษิตสังกัดอยู่ในเรื่องนโยบายประชานิยม
- เรียกร้องขอเปียโนจากนักธุรกิจ โดยอ้างว่าจะนำไปมอบให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่ท้ายสุดแล้วเปียโนหลังนั้นกลับอยู่ที่บ้านของนายกษิตเอง ต่อมา วันที่ 31 มีนาคม 2552 กษิตได้ชี้แจงเรื่องเปียโนว่าเป็นการซื้อเปียโนมือสองมาในราคาแสนกว่าบาท และยังตั้งอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เป็นการให้ฟรีแต่ประการใด[15][16]
- ขอตั๋วเครื่องบินจากบริษัทการบินไทยจำนวน 50 ที่นั่ง เพื่อแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องในระหว่างดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการกล่าวเท็จ โดยในเรื่องการชกต่อยกับนักเรียนไทยที่รัสเซีย เป็นการใส่ร้ายของคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ชื่อดัง ซึ่งขณะที่เรียนที่รัสเซียได้ข่มเหงสตรีและกระทำสิ่งไม่เหมาะสมหลายประการ จึงถูกนายกษิตตำหนิ สำหรับเรื่องตั๋วเครื่องบินเป็นการสนับสนุนการจัดกิจกรรมของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว อาทิ การจัดงานเทศกาลอาหารไทย การจัดงานส่งเสริมประเทศไทยต่างๆ
Remove ads
การอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552
หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 19 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2552 และในวันที่ 21 มีนาคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ได้มีมติไว้วางใจให้กษิตดำรงตำแหน่งต่อไปด้วยเสียงสนับสนุน 237 เสียง แต่ก็ยังน้อยกว่ารัฐมนตรีท่านอื่นที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนั้นถึง 9 เสียง และเป็นรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียวที่ได้รับคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ 1 เสียงจาก เกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส. ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง[17] โดยให้เหตุผลว่า "ถ้านายกษิตยังนั่งเป็นรัฐมนตรีต่อไป กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะใช้กรณีของนายกษิตเป็นข้ออ้างหลักในการรวมตัวชุมนุม"[18] อย่างไรก็ตาม ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ชี้แจงว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงทั้งหมด 262 เสียง แต่เข้าร่วมประชุม 259 เสียง แบ่งเป็นเสียงรัฐมนตรี 23 เสียง และประธานสภา 1 เสียง ดังนั้น จึงเหลือเสียงสนับสนุน 234 เสียง แต่กษิต ภิรมย์ ได้คะแนนไว้วางใจ 237 เสียง แสดงว่า ได้เสียงจากฝ่ายค้านเพิ่มเข้ามาอีก 3 เสียง[18]
Remove ads
กรณีพรรคการเมืองใหม่
ในกลางปี พ.ศ. 2552 ที่ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) ขึ้น กษิตซึ่งเป็นหนึ่งในแนวร่วมของพันธมิตรฯด้วย ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะขออยู่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป โดยเห็นว่ามีอุดมการณ์ต่างจากกลุ่มพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่[19]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
กษิต ภิรมย์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
- พ.ศ. 2542 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[20]
- พ.ศ. 2537 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[21]
- พ.ศ. 2560 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)[22]
- พ.ศ. 2536 –
เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)[23]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
ญี่ปุ่น :
- พ.ศ. 2547 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1[24]
- พ.ศ. 2547 –
เยอรมนี :
- พ.ศ. 2552 –
เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ชั้นที่ 1[25]
- พ.ศ. 2552 –
Remove ads
รางวัล
กษิต ภิรมย์ ได้รับรางวัลต่าง ๆ ดังนี้[5]
- รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น จาก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ข้าราชการดีเด่น รางวัลครุฑทองคำ
หมายเหตุ
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ปัจจุบันมีถิ่นพำนักที่กรุงออตตาวา
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ปัจจุบันมีถิ่นพำนักที่กรุงออตตาวา
- เมื่อปีที่กษิต ภิรมย์ ได้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตนั้นสำนักงานใหญ่สถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงบ็อน จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2542 ประเทศเยอรมนี ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน สถานเอกอัครราชทูตจึงต้องย้ายไปที่กรุงเบอร์ลินด้วย
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงจาการ์ตา ปัจจุบันมีถิ่นพำนักที่กรุงแคนเบอร์รา
- ตอนที่กษิต ภิรมย์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตนั้นยังอยู่ในยุคสหภาพโซเวียต จนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี พ.ศ. 2534 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2535
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงมอสโก
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงมอสโก ปัจจุบันแยกสถานเอกอัครราชทูตแล้ว
- เป็นตำแหน่งเอกอัครราชทูตที่มีถิ่นพำนักที่กรุงมอสโก
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads