คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

คิม อิล-ซ็อง

อดีตผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

คิม อิล-ซ็อง
Remove ads

คิม อิล-ซ็อง[d] (/kɪm ɪlˈsʌŋ, -ˈsʊŋ/;[5] เกาหลี: 김일성, เสียงอ่านภาษาเกาหลี: [kimils͈ʌŋ] ; ชื่อเกิด คิม ซ็อง-จู;[e][6][7][8][9] 15 เมษายน ค.ศ. 1912 – 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1994) เป็นนักการเมืองชาวเกาหลีเหนือและผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งเขาเป็นผู้นำสูงสุดคนแรกตั้งแต่ก่อตั้งประเทศใน ค.ศ. 1948 กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 หลังจากนั้น คิม จ็อง-อิล บุตรชายก็ได้สืบทอดตำแหน่งและเขาก็ได้รับการประกาศให้เป็นประธานาธิบดีตลอดกาล

ข้อมูลเบื้องต้น ประธานาธิบดีตลอดกาลคิม อิล-ซ็อง, เลขาธิการใหญ่พรรคแรงงานเกาหลี ...

เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ. 1948 ถึง 1972 และประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 1972 ถึง 1994 เขายังเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานเกาหลีตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1994 (โดยมีตำแหน่งเป็นประธานตั้งแต่ ค.ศ. 1949 ถึง 1966 และเป็นเลขาธิการใหญ่หลัง ค.ศ. 1966) หลังขึ้นสู่อำนาจภายหลังสิ้นสุดการปกครองของญี่ปุ่นเหนือเกาหลีใน ค.ศ. 1945 หลังญี่ปุ่นยอมจำนนในสงครามโลกครั้งที่สอง เขามีคำสั่งให้รุกรานเกาหลีใต้ใน ค.ศ. 1950 กระตุ้นให้เกิดการเข้าแทรกแซงเพื่อปกป้องเกาหลีใต้โดยสหประชาชาติซึ่งนำโดยสหรัฐ หลังภาวะชะงักงันทางทหารในสงครามเกาหลี มีการลงนามความตกลงหยุดยิงในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 เขาเป็นประมุขแห่งรัฐ/หัวหน้ารัฐบาลที่ไม่ใช่ราชวงศ์ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานเป็นอันดับสามในศตวรรษที่ 20 โดยอยู่ในตำแหน่งนานกว่า 45 ปี

ภายใต้การนำของเขา เกาหลีเหนือถูกสถาปนาขึ้นเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จสังคมนิยมบุคคลลักษณนิยมโดยมีระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง เกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจใกล้ชิดมากกับสหภาพโซเวียต ภายในทศวรรษ 1960s มาตรฐานการครองชีพของเกาหลีเหนือดีกว่าเกาหลีใต้เล็กน้อย ซึ่งในขณะนั้นเกาหลีใต้กำลังประสบปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ สถานการณ์กลับตาลปัตรในทศวรรษ 1970 เมื่อเกาหลีใต้ที่กลับมามีเสถียรภาพกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจขณะที่เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือซบเซาและล่มสลายในเวลาต่อมา[10] ความแตกต่างเริ่มเกิดขึ้นระหว่างเกาหลีเหนือและสหภาพโซเวียต โดยมีประเด็นหลักคือปรัชญาชูเชของคิม อิล-ซ็อง ซึ่งเน้นชาตินิยมเกาหลีและการพึ่งพาตนเอง ถึงกระนั้น ประเทศก็ยังคงได้รับเงินทุน เงินอุดหนุน และความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและกลุ่มตะวันออกกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลายใน ค.ศ. 1991

ผลจากการสูญเสียความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ นำไปสู่การเกิดทุพภิกขภัยแพร่หลายใน ค.ศ. 1994 ในช่วงเวลานี้ เกาหลีเหนือยังคงวิพากษ์วิจารณ์การประจำการของกองกำลังป้องกันประเทศสหรัฐในภูมิภาค ซึ่งมองว่าเป็นจักรวรรดินิยม โดยได้ยึดเรือยูเอสเอส พิวโบลสัญชาติอเมริกันใน ค.ศ. 1968 นี่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแทรกซึมและบ่อนทำลายเพื่อรวมคาบสมุทรให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของเกาหลีเหนือ คิมมีชีวิตยืนยาวกว่าพันธมิตรของเขาอย่างโจเซฟ สตาลินและเหมา เจ๋อตง เกินกว่าสองทศวรรษและเกือบสองทศวรรษตามลำดับ และยังคงอยู่ในอำนาจตลอดช่วงวาระของประธานาธิบดีเกาหลีใต้หกคนและประธานาธิบดีสหรัฐสิบคน เขาเป็นที่รู้จักในนามของผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ (ซูรย็อง) เขาสร้างลัทธิบูชาบุคคลที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวางซึ่งครอบงำการเมืองภายในประเทศในเกาหลีเหนือ ในการประชุมใหญ่พรรคแรงงานเกาหลีครั้งที่ 6 ใน ค.ศ. 1980 คิม จ็อง-อิล บุตรชายคนโตของเขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะผู้บริหารสูงสุดและถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ถือเป็นการสถาปนาราชวงศ์คิม

Remove ads

ชีวิตช่วงต้น

สรุป
มุมมอง

ภูมิหลังครอบครัว

Thumb
บ้านที่คิมเกิด

คิมเกิดมาโดยมีชื่อว่าคิม ซ็อง-จู[11][7][12][13] โดยมีคิม ฮย็อง-จิกเป็นบิดาและคัง พัน-ซ็อกเป็นมารดา คิมมีน้องชายสองคนคือคิม ช็อล-จูและคิม ย็อง-จู[14]:3 คิม ฮย็อง-จิกยังมีบุตรบุญธรรมชื่อคิม รยง-โฮ เกิดใน ค.ศ. 1911[15] คิม ช็อล-จูเสียชีวิตขณะต่อสู้กับญี่ปุ่นและคิม ย็อง-จูได้เข้ามามีส่วนร่วมในรัฐบาลเกาหลีเหนือ เขาเคยถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดอำนาจจากพี่ชายก่อนจะหมดความโปรดปรานไป[16][17]

Thumb
ภาพเหมือนของคิมใน ค.ศ. 1926 จากโรงเรียนทหารฮวาซ็อง ตีพิมพ์ในอัตชีวประวัติของเขาชื่อ กับศตวรรษ

ครอบครัวของคิม ส่วนหนึ่งของตระกูลคิมแห่งช็อนจู ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมือช็อนจู จังหวัดช็อลลาเหนือ ใน ค.ศ. 1860 คิม อึง-อู เป็นทวดของเขา มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ย่านมันกย็องแดในเปียงยาง มีรายงานว่าคิมเกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อมันกย็องบง (ซึ่งขณะนั้นเรียกว่านัมรี) ใกล้กับเปียงยางเมื่อ 15 เมษายน 1912[18][19]:12 ตามชีวประวัติกึ่งทางการของคิมใน ค.ศ. 1964 ระบุว่าเขาเกิดที่บ้านของมารดาของเขาในชิงจง และเติบโตในมันกย็องบงในเวลาต่อมา[20]:73

Thumb
ภาพเหมือนของคิมจากโรงเรียนมัธยมยฺวี่เหวินใน ค.ศ. 1927 ตีพิมพ์ในอัตชีวประวัติของเขาชื่อ กับศตวรรษ

ตามที่คิมกล่าวไว้ ครอบครัวของเขาอยู่ห่างจากความยากจนเพียงก้าวเดียว คิมบอกว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวชาวคริสเตียนเพรสไบทีเรียนที่กระตือรือร้นอย่างมาก ปู่ฝ่ายมารดาของเขาเป็นศิษยาภิบาลโปรเตสแตนต์ และบิดาของเขาเคยเรียนที่โรงเรียนมิชชันนารีและยังเป็นผู้อาวุโสในโบสถ์เพรสไบทีเรียน[21][22] ตามรายงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ครอบครัวของคิมมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านญี่ปุ่นและหนีไปยังแมนจูเรียใน ค.ศ. 1920 เช่นเดียวกับครอบครัวชาวเกาหลีส่วนใหญ่ พวกเขาไม่พอใจการยึดครองคาบสมุทรเกาหลีของญี่ปุ่น (ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1910)[19]:12 การปราบปรามการต่อต้านของชาวเกาหลีของญี่ปุ่นนั้นรุนแรงมาก ส่งผลให้มีการจับกุมและคุมขังพลเมืองเกาหลีมากกว่า 52,000 คนใน ค.ศ. 1912 เพียงปีเดียว[19]:13 การปราบปรามนี้ได้บังคับให้ครอบครัวชาวเกาหลีจำนวนมากต้องหนีออกจากคาบสมุทรเกาหลีและไปตั้งถิ่นฐานในแมนจูเรีย[23]

ถึงอย่างนั้น บิดามารดาของคิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาของเขา มีบทบาทในการต่อสู้ต่อต้านญี่ปุ่นที่กำลังแพร่หลายไปทั่วคาบสมุทร[19]:16 การมีส่วนร่วมที่แน่ชัดของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ทางชาตินิยม หรือทั้งสองอย่างนั้นยังไม่ชัดเจน[24]:53

กิจกรรมคอมมิวนิสต์และกองโจร

Thumb
สมาชิกกองพลปืนไรเฟิลแยกที่ 88 หน่วยทหารระหว่างประเทศของกองทัพแดงใน ค.ศ. 1943 คิมนั่งอยู่แถวหน้าคนที่สองจากขวา

แหล่งข้อมูลจากรัฐบาลเกาหลีเหนือระบุว่าคิมได้รับยกย่องในการก่อตั้งสหภาพล้มล้างจักรวรรดินิยมใน ค.ศ. 1926[25] เขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนทหารฮวาซ็องใน ค.ศ. 1926 แต่พบว่าวิธีการฝึกอบรมของโรงเรียนนั้นล้าสมัยจึงลาออกใน ค.ศ. 1927 หลังจากนั้นเขาเข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมยฺวี่เหวินในมณฑลจี๋หลินของจีนจนถึง ค.ศ. 1930[26] ซึ่งเป็นช่วงที่เขาปฏิเสธประเพณีศักดินาของชาวเกาหลีรุ่นเก่าและหันมาสนใจอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ คิมในวัย 17 ปีกลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของสมาคมเยาวชนคอมมิวนิสต์เกาหลี [ko] องค์กรใต้ดินแนวคิดมาร์กซิสต์ที่มีสมาชิกไม่ถึงยี่สิบคน องค์กรนี้อยู่ภายใต้การนำของฮอ โซ (허소; 許笑) ซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมเยาวชนคอมมิวนิสต์แมนจูเรียใต้ [ko] ตำรวจตรวจพบกลุ่มนี้สามสัปดาห์หลังก่อตั้งใน ค.ศ. 1929 และคุมขังคิมเป็นเวลาหลายเดือน การศึกษาอย่างเป็นทางการของคิมสิ้นสุดลงหลังการถูกจับกุมและคุมขัง[24]:52[14]:7

ใน ค.ศ. 1931 คิมเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน   พรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีได้ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1925 แต่ถูกขับออกจากองค์การคอมมิวนิสต์สากลในช่วงต้นทศวรรษ 1930 เนื่องจากถูกมองว่ามีแนวคิดชาตินิยมมากเกินไป เขาเข้าร่วมกลุ่มกองโจรต่อต้านญี่ปุ่นหลายกลุ่มทางตอนเหนือของจีน ความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่นรุนแรงขึ้นในแมนจูเรีย แต่ ณ เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1930 ญี่ปุ่นยังไม่ได้เข้ายึดครองแมนจูเรีย วันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1930 เกิดการลุกฮือที่รุนแรงและเกิดขึ้นเองในแมนจูเรียตะวันออกซึ่งชาวนาโจมตีหมู่บ้านบางแห่งในท้องถิ่นเพื่อต่อต้าน "การรุกรานของญี่ปุ่น"[27] ทางการปราบปรามการลุกฮือที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการโจมตีครั้งนี้ ญี่ปุ่นจึงเริ่มวางแผนเข้ายึดครองแมนจูเรีย[28] ในสุนทรพจน์ที่คิมอ้างว่ากล่าวต่อที่ประชุมผู้แทนสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1931 ในเขตเยนชีในแมนจูเรีย[29] เขาเตือนผู้แทนถึงการลุกฮือที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เช่น การลุกฮือในแมนจูเรียตะวันออกในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1930[30]

สี่เดือนต่อมา วันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1931 เกิด "อุบัติการณ์มุกเดน" ขึ้น ซึ่งมีการระเบิดของไดนาไมต์ที่ค่อนข้างอ่อนแรงใกล้กับทางรถไฟของญี่ปุ่นในเมืองมุกเดน แมนจูเรีย แม้จะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่ญี่ปุ่นใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการส่งกำลังทหารเข้าสู่แมนจูเรียและแต่งตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด[31] ใน ค.ศ. 1935 คิมเป็นสมาชิกของกองทัพร่วมต่อต้านญี่ปุ่นตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มกองโจรที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน[32] คิมได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการการเมืองของหน่วยแยกที่ 3 ของกองพลที่สอง ประกอบด้วยทหารประมาณ 160 นาย[24]:53 ที่นี่ คิมพบกับชายผู้ซึ่งจะกลายเป็นผู้ให้คำแนะนำของเขาในฐานะคอมมิวนิสต์ นั่นคือเว่ย์ เจิ้งหมิน ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของคิมในขณะนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการเมืองของกองทัพร่วมต่อต้านญี่ปุ่นตะวันออกเฉียงเหนือ เว่ย์รายงานโดยตรงต่อคัง เชิง สมาชิกพรรคระดับสูงที่ใกล้ชิดกับเหมา เจ๋อตงในเหยียนอัน กระทั่งเว่ย์เสียชีวิตในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1941[14]:8–10

การกระทำของคิมในช่วงอุบัติการณ์มินแซ็งดันช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น[33] พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ปฏิบัติการอยู่ในแมนจูเรียเริ่มสงสัยว่าชาวเกาหลีคนใดก็ตามในแมนจูเรียอาจเป็นสมาชิกของกลุ่มมินแซ็งดันที่นิยมญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ[34] ส่งผลให้เกิดการกวาดล้าง ชาวเกาหลีกว่า 1,000 คนถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมถึงคิม (ซึ่งถูกจับกุมในช่วงปลาย ค.ศ. 1933 และพ้นผิดในช่วงต้น ค.ศ. 1934) และมีผู้ถูกสังหารไป 500 คน[34] บันทึกความทรงจำของคิม อิล-ซ็อง   และของทหารกองโจรที่ต่อสู้เคียงข้างเขา   อ้างถึงการที่คิมยึดและเผาทำลายแฟ้มเอกสารต้องสงสัยของคณะกรรมาธิการกวาดล้างว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำของเขา[33] หลังการทำลายแฟ้มเอกสารต้องสงสัยและการฟื้นฟูสถานะของผู้เคยถูกสงสัย ผู้หลบหนีจากการกวาดล้างก็ได้มารวมตัวกันรอบคิม[33] ดังที่ซูซี คิม นักประวัติศาสตร์ สรุปไว้ว่าคิม อิล-ซ็อง "ก้าวขึ้นมาจากการกวาดล้างในฐานะผู้นำที่ชัดเจน ไม่เพียงเพราะการกระทำที่กล้าหาญ แต่ยังรวมถึงความเห็นอกเห็นใจของเขาด้วย"[33]

ใน ค.ศ. 1935 คิมใช้ชื่อ คิม อิล-ซ็อง หมายถึง "คิมผู้กลายเป็นดวงอาทิตย์"[35]:30 คิมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 6 ใน ค.ศ. 1937 ด้วยวัย 24 ปี โดยควบคุมกำลังคนไม่กี่ร้อยนายในกลุ่มที่ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ "กองพลคิม อิล-ซ็อง"วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1937 เขานำกองโจร 200 คนบุกโจมตีโพช็อนโบ ทำลายสำนักงานรัฐบาลท้องถิ่นและจุดไฟเผาสถานีตำรวจและที่ทำการไปรษณีย์ของญี่ปุ่น[36] ความสำเร็จของการโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของคิมในฐานะผู้นำทางทหาร[36] สิ่งสำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จทางทหารคือการประสานงานและการจัดระเบียบทางการเมืองระหว่างกองโจรกับสมาคมฟื้นฟูปิตุภูมิเกาหลี กลุ่มแนวร่วมต่อต้านญี่ปุ่นในแมนจูเรีย[36] ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้คิมได้รับชื่อเสียงในหมู่กองโจรจีน และชีวประวัติของเกาหลีเหนือในภายหลังจะนำเรื่องนี้มาใช้เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเกาหลี

สำหรับฝ่ายญี่ปุ่นเอง พวกเขาถือว่าคิมเป็นหนึ่งในผู้นำกองโจรเกาหลีที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา[37]:160–161[38] เขาปรากฏในรายชื่อบุคคลที่ญี่ปุ่นต้องการตัวในชื่อ "เสือ"[39] "หน่วยมาเอดะ" ของญี่ปุ่นถูกส่งมาเพื่อตามล่าเขาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1940[39] ต่อมาใน ค.ศ. 1940 ญี่ปุ่นลักพาตัวหญิงคนหนึ่งชื่อคิม ฮเย-ซ็อน เชื่อว่าเป็นภรรยาคนแรกของคิม อิล-ซ็อง หลังใช้เธอเป็นตัวประกันเพื่อพยายามโน้มน้าวให้กองโจรเกาหลียอมจำนน เธอก็ถูกสังหาร คิมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการภูมิภาคปฏิบัติการที่ 2 ของกองทัพที่ 1 แต่เมื่อสิ้น ค.ศ. 1940 เขาเป็นผู้นำกองทัพที่ 1 เพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เมื่อถูกไล่ล่าโดยกองทหารญี่ปุ่น ในปลาย ค.ศ. 1940 คิมและนักสู้ของเขาประมาณหนึ่งโหลหลบหนีโดยการข้ามแม่น้ำอามูร์เข้าไปในสหภาพโซเวียต[24]:53–54 คิมถูกส่งไปยังค่ายที่วยัตสโคเยใกล้กับฮาบารอฟสค์ ที่ซึ่งโซเวียตฝึกอบรมกองโจรคอมมิวนิสต์เกาหลีใหม่ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1942 คิมและกองทัพของเขาได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยพิเศษที่รู้จักในชื่อกองพลปืนไรเฟิลแยกที่ 88 ซึ่งเป็นของกองทัพแดงโซเวียต ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของคิมคือโจว เป่าจง[40][41] คิมกลายเป็นร้อยเอกในกองทัพแดงโซเวียต[42] และรับราชการอยู่ในนั้นกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองใน ค.ศ. 1945[43]

ข้อกล่าวอ้างที่ว่าคิมแอบอ้างเป็นคนอื่น

Thumb
คิมในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นของเกาหลีเหนือ ค.ศ. 1946

มีแหล่งข้อมูลหลายแห่งอ้างว่าชื่อ "คิม อิล-ซ็อง" เคยถูกใช้มาก่อนโดยผู้นำคนสำคัญในยุคแรกของการต่อต้านของเกาหลีชื่อคิม คย็อง-ช็อน[44]:44 กรีโกรี เมกเลอร์ นายทหารโซเวียตที่เคยทำงานร่วมกับคิม อิล-ซ็องในช่วงที่โซเวียตยึดครอง กล่าวว่าคิมได้รับชื่อนี้มาจากผู้บัญชาการคนก่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว[45] อย่างไรก็ตาม อันเดรย์ ลันคอฟ นักประวัติศาสตร์ แย้งว่าข้ออ้างนี้ไม่น่าจะเป็นจริง โดยอ้างอิงจากพยานหลายคนที่รู้จักคิมทั้งก่อนและหลังช่วงที่เขาอยู่ในสหภาพโซเวียต รวมถึงโจว เป่าจง ผู้บังคับบัญชาของเขา ซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเรื่องคิมคนที่สองในบันทึกประจำวันของเขา[24]:55 บรูซ คัมมิงส์ นักประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจากกองทัพคันโตได้ยืนยันถึงชื่อเสียงของเขาในฐานะบุคคลสำคัญของการต่อต้าน[37]:160–161

สำนักข่าวย็อนฮับของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2009 ว่ารัฐบาลทหารสหรัฐในเกาหลีเคยยอมรับแล้วว่าแท้จริงแล้วคิม อิล-ซ็องนั้นเป็นเพียงแค่หลานชายของเขาเองที่ชื่อคิม ซ็อง-จู ซึ่งแสร้งทำเป็นตัวคิม อิล-ซ็อง[46] ต่อมาใน ค.ศ. 2019 แอนนี เจค็อบเซ็น นักข่าวสืบสวนสอบสวนตีพิมพ์หนังสือชื่อ Surprise, Kill, Vanish ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมว่าสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) เคยสรุปว่าคิม อิล-ซ็องเป็นผู้แอบอ้างที่ถูกข่มขู่ให้ตกอยู่ภายใต้บงการของสหภาพโซเวียต[47] เอกสารลับของซีไอเอชื่อ "The Identity of Kim Il Sung" (ตัวตนของคิม อิล-ซ็อง) ระบุว่าตัวตนที่แท้จริงของผู้นำคนนี้คือคิม ซ็อง-จู เด็กกำพร้าที่ถูกจับได้ว่าขโมยเงินจากเพื่อนร่วมชั้นและฆ่าเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นเพื่อเลี่ยงความอับอาย เอกสารดังกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองโซเวียตเห็นโอกาสที่จะใช้เรื่องนี้ข่มขู่คิม ซ็อง-จูให้เป็นหุ่นเชิดของโซเวียตในการนำพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือภายใต้ชื่อของวีรบุรุษสงครามตัวจริงที่ชื่อ คิม อิล-ซ็อง ซึ่งสตาลินได้จัดการให้หายตัวไป เจค็อบเซ็นยังเขียนอีกว่าซีไอเอรับทราบว่า "มีการสั่งการเจาะจงแก่ผู้นำระบอบว่าไม่ควรมีคำถามใด ๆ เกี่ยวกับตัวตนของคิม [อิล-ซ็อง]"[47]

นักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปยอมรับว่าแม้ความกล้าหาญของคิมจะถูกกล่าวเกินจริงโดยลัทธิบูชาบุคคลซึ่งสร้างขึ้นรอบตัวเขา แต่เขาก็เป็นผู้นำกองโจรที่สำคัญ[48][49][50]

Remove ads

ผู้นำเกาหลีเหนือ

สรุป
มุมมอง

กลับสู่เกาหลี

Thumb
คิม (สูทสีดำ) เข้าร่วมงานมวลชนกับสมาชิกการบริหารพลเรือนโซเวียต, เปียงยาง, ตุลาคม ค.ศ. 1945[51]

สหภาพโซเวียตประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และกองทัพแดงเข้าสู่เปียงยางในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สตาลินได้สั่งการให้ลัฟเรนตีย์ เบรียาแนะนำผู้นำคอมมิวนิสต์สำหรับดินแดนที่โซเวียตยึดครองและเบรีอาพบกับคิมหลายครั้งก่อนจะแนะนำเขาแก่สตาลิน[18][52][53]

ร้อยเอก คิม อิล-ซ็อง นายทหารกองทัพแดงวัย 33 ปี เดินทางถึงท่าเรือว็อนซันของเกาหลีในวันที่ 19 กันยายน 1945 หลังลี้ภัยไป 26 ปี[35]:51 จากการเปิดเผยของเลโอนิด วาสซิน เจ้าหน้าที่จากกระทรวงกิจการภายในโซเวียต (เอ็มวีดี) คิมนั้น "ถูกสร้างขึ้นมาจากศูนย์" โดยพื้นฐานแล้ว อย่างแรกคือ ภาษาเกาหลีของเขายังอยู่ในระดับต่ำมาก เขาได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการเพียงแปดปี ทั้งหมดเป็นภาษาจีน เขาต้องการการฝึกสอนอย่างมากเพื่ออ่านสุนทรพจน์ (ซึ่งเอ็มวีดีเตรียมให้เขา) ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์สามวันหลังเขาเดินทางมาถึง[44]:50

Thumb
คิม อิล-ซ็อง (ตรงกลาง) กำลังรับเหรียญจากเจ้าหน้าที่โซเวียตในเปียงยาง, ตุลาคม ค.ศ. 1945
Thumb
คิม อิล-ซ็อง (ตรงกลาง) และคิม ดู-บง (คนที่สองจากขวา) ในการประชุมร่วมกันของพรรคประชาชนใหม่และพรรคแรงงานเกาหลีเหนือในเปียงยาง, 28 สิงหาคม ค.ศ. 1946

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 สหภาพแต่งตั้งคิม อิล-ซ็องเป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของสำนักสาขาเกาหลีเหนือของพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลี[35]:56 เดิมที โซเวียตต้องการให้โช มัน-ชิกเป็นผู้นำรัฐบาลแนวร่วมประชาชน แต่โชปฏิเสธจะสนับสนุนการปกครองภายใต้การดูแลของโซเวียตและขัดแย้งกับคิม[54] นายพล เทเรนตี ชตีคอฟ ผู้ซึ่งนำการยึดครองเกาหลีเหนือของโซเวียต สนับสนุนคิมเหนือพัก ฮ็อน-ย็องให้เป็นผู้นำคณะกรรมาธิการประชาชนชั่วคราวเกาหลีเหนือในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946[55] ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ คิมเป็น "ผู้นำการบริหารสูงสุดของเกาหลีในภาคเหนือ" แม้ในทางพฤตินัยแล้วเขายังคงอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายพลชตีคอฟกระทั่งจีนเข้าแทรกแซงในสงครามเกาหลี[53][35]:56[55]

วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1946 ขณะคิมกำลังกล่าวสุนทรพจน์เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบขบวนการ 1 มีนาคม สมาชิกกลุ่มก่อการร้ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ชื่อสมาคมเสื้อเชิ้ตขาว (White Shirts Society) พยายามลอบสังหารคิมด้วยการขว้างระเบิดมือไปยังแท่นปราศรัยของเขา อย่างไรก็ตาม ยาคอฟ โนวิเชนโค นายทหารโซเวียต คว้าลูกระเบิดและใช้ร่างกายรับแรงระเบิด ทำให้คิมและผู้ยืนอยู่รอบข้างไม่ได้รับอันตราย[24]:24–25[56][57]

เพื่อรวมอำนาจการควบคุมของเขาให้มั่นคง คิมก่อตั้งกองทัพประชาชนเกาหลี (เคพีเอ) แนวร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ และเขายังคัดเลือกกลุ่มกองโจรและอดีตทหารที่ได้รับประสบการณ์การรบในการต่อสู้กับญี่ปุ่น และต่อมาต่อสู้กับกองกำลังชาตินิยมจีน[58] โดยใช้ที่ปรึกษาและยุทโธปกรณ์จากโซเวียต คิมสร้างกองทัพขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในยุทธวิธีการแทรกซึมและสงครามกองโจร ก่อนคิมจะรุกรานเกาหลีใต้ใน ค.ศ. 1950 ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดสงครามเกาหลี สตาลินจัดหายุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพประชาชนเกาหลีด้วยรถถังขนาดกลาง รถบรรทุก ปืนใหญ่ และอาวุธขนาดเล็กทันสมัยที่ผลิตโดยโซเวียต คิมยังจัดตั้งกองทัพอากาศ ซึ่งในตอนแรกมีเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตีแบบใบพัดที่ผลิตโดยโซเวียต ต่อมา นักบินชาวเกาหลีเหนือถูกส่งไปสหภาพโซเวียตและจีนเพื่อฝึกฝนการใช้เครื่องบินไอพ่นมิก-15 ที่ฐานทัพลับ[59]

ปีต้น

Thumb
ภาพเหมือนอย่างเป็นทางการของคิมใน ค.ศ. 1948

หลังเกาหลีเหนือปฏิเสธแผนของสหประชาชาติที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในเกาหลี วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1948 สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งอ้างสิทธิ์เหนืออธิปไตยของเกาหลีทั้งหมด ถูกก่อตั้งขึ้น เพื่อตอบโต้ โซเวียตจัดการเลือกตั้งของตนเองในเขตยึดครองทางเหนือในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1948 เพื่อเลือกสมัชชาประชาชนสูงสุด[60] สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้รับการประกาศก่อตั้งขึ้นในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1948 โดยมีคิมเป็นนายกรัฐมนตรีที่โซเวียตแต่งตั้ง

วันที่ 12 ตุลาคม สหภาพโซเวียตให้การรับรองรัฐบาลของคิมในฐานะรัฐบาลอธิปไตยของคาบสมุทรทั้งหมด รวมถึงทางใต้[61] พรรคคอมมิวนิสต์รวมตัวกับพรรคประชาชนใหม่เกาหลีเพื่อก่อตั้งพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ โดยมีคิมเป็นรองประธาน ใน ค.ศ. 1949 พรรคแรงงานเกาหลีเหนือรวมตัวกับพรรคคู่ขนานทางใต้กลายเป็นพรรคแรงงานเกาหลีโดยมีคิมเป็นประธานพรรค[62] ราว ค.ศ. 1949 คิมและกลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ รวมอำนาจการปกครองในเกาหลีเหนือได้อย่างมั่นคง[44]:53 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ คิมเริ่มส่งเสริมลัทธิบูชาบุคคลที่เข้มข้น รูปปั้นแรก ๆ ของเขาปรากฏขึ้น และเขาเริ่มเรียกตัวเองว่า "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่"[44]:53

Thumb
คณะรัฐมนตรีชุดแรกของเกาหลีเหนือ โดยมีคิมยืนอยู่ตรงกลางแถวหน้า, 10 กันยายน ค.ศ. 1948

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 คิม อิล-ซ็องตัดสินใจที่จะปฏิรูปหลายประการ มีการแจกจ่ายที่ดินทำกินกว่าร้อยละ 50 ใหม่ มีการประกาศใช้ชั่วโมงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน และอุตสาหกรรมหนักทั้งหมดจะถูกโอนมาเป็นของรัฐ[14]:68 สุขภาพของประชากรดีขึ้นหลังเขาโอนกิจการด้านบริการสุขภาพมาเป็นของรัฐและทำให้พลเมืองทุกคนสามารถเข้าถึงได้[63]

สงครามเกาหลี

Thumb
คิมลงนามในความตกลงการสงบศึกเกาหลี

เอกสารทางจดหมายเหตุชี้ให้เห็น[64][65][66] ว่าการตัดสินใจของเกาหลีเหนือที่จะบุกเกาหลีใต้เป็นความคิดริเริ่มของคิมเอง ไม่ใช่ของโซเวียต หลักฐานบ่งชี้ว่าหน่วยข่าวกรองโซเวียต ซึ่งได้ข้อมูลจากการจารกรรมในรัฐบาลสหรัฐและหน่วยข่าวกรองลับอังกฤษ (เอสไอเอส) ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับข้อจำกัดของคลังระเบิดปรมาณูสหรัฐรวมถึงการลดงบประมาณโครงการป้องกันประเทศ ทำให้สตาลินสรุปได้ว่ารัฐบาลทรูแมนจะไม่เข้าแทรกแซงในเกาหลี[67]

จีนยินยอมอย่างไม่เต็มใจนักต่อแนวคิดการรวมชาติเกาหลีหลังคิมบอกว่าสตาลินได้อนุมัติการกระทำดังกล่าว[64][65][66] จีนไม่ได้ให้การสนับสนุนทางทหารโดยตรงแก่เกาหลีเหนือ (นอกเหนือจากเส้นทางขนส่งกำลังบำรุง) กระทั่งกองกำลังสหประชาชาติ ส่วนใหญ่เป็นกองกำลังสหรัฐ ได้รุกคืบเกือบถึงแม่น้ำยาลู่ในช่วงปลาย ค.ศ. 1950 ในช่วงเริ่มต้นของสงครามในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม กองกำลังเกาหลีเหนือสามารถยึดโซลและเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาหลีใต้ ยกเว้นส่วนเล็ก ๆ ของดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ที่เรียกว่าวงรอบปูซาน แต่ในเดือนกันยายน เกาหลีเหนือถูกตีโต้กลับโดยการโจมตีตอบโต้นำโดยสหรัฐที่เริ่มต้นด้วยการยกพลขึ้นบกของสหประชาชาติที่อินช็อน ตามมาด้วยการรุกของกองกำลังผสมเกาหลีใต้-สหรัฐ-สหประชาชาติจากวงรอบปูซาน ภายในเดือนตุลาคม กองกำลังสหประชาชาติยึดโซลคืนและรุกเข้าสู่เกาหลีเหนือเพื่อรวมประเทศภายใต้การปกครองของเกาหลีใต้ วันที่ 19 ตุลาคม กองกำลังสหรัฐและเกาหลีใต้ยึดเปียงยางได้ ทำให้คิมและรัฐบาลของเขาต้องหนีไปทางเหนือ เริ่มแรกไปยังชินอึยจูและท้านที่สุดก็ไปยังคังกเย[68][69]

Thumb
ภาพเหมือนอย่างเป็นทางการของคิมใน ค.ศ. 1950

วันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1950 หลังส่งคำเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับความตั้งใจเข้าแทรกแซงหากกองกำลังสหประชาชาติไม่หยุดการรุกคืบ[70]:23 ทหารจีนหลายพันนายข้ามแม่น้ำยาลู่และเข้าร่วมสงครามในฐานะพันธมิตรของกองทัพประชาชนเกาหลี ถึงอย่างนั่น ยังมีความตึงเครียดระหว่างคิมกับรัฐบาลจีน คิมเคยได้รับการเตือนถึงความเป็นไปได้ของการยกพลขึ้นบกที่อินช็อน ซึ่งถูกเพิกเฉย นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกว่าเกาหลีเหนือได้จ่ายราคาในสงครามน้อยมากเมื่อเทียบกับจีนซึ่งได้ต่อสู้เพื่อประเทศของตนมานานหลายทศวรรษกับศัตรูที่มีเทคโนโลยีดีกว่า[70]:335–336 กองกำลังสหประชาชาติถูกบังคับให้ถอนกำลังและทหารจีนยึดเปียงยางคืนในเดือนธันวาคมและโซลในเดือนมกราคม ค.ศ. 1951 ในเดือนมีนาคม กองกำลังสหประชาชาติเริ่มการรุกครั้งใหม่ ยึดโซลคืนและรุกคืบไปทางเหนืออีกครั้งโดยหยุดอยู่เหนือเส้นขนานที่ 38 เล็กน้อย หลังการรุกและโต้กลับหลายครั้งโดยทั้งสองฝ่าย ตามมาด้วยช่วงเวลายากลำบากของสงครามสนามเพลาะที่แทบไม่มีการเคลื่อนไหวที่กินเวลาตั้งแต่ฤดูร้อน ค.ศ. 1951 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 แนวรบได้มั่นคงขึ้นตามแนวที่ในที่สุดก็กลายเป็น "เส้นสงบศึก" ถาวรในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 มีผู้เสียชีวิตกว่า 2.5 ล้านคนในช่วงสงครามเกาหลี[71]

เอกสารของจีนและรัสเซียจากช่วงเวลานั้นเปิดเผยว่าคิมเริ่มหมดหวังมากขึ้นที่จะเจรจาหยุดยิงเนื่องจากความเป็นไปได้ที่การสู้รบต่อไปจะสามารถรวมเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของเขานั้นลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ด้วยการเข้ามาของสหประชาชาติและสหรัฐ คิมยังรู้สึกไม่พอใจที่จีนเข้ามามีบทบาทหลักในการสู้รบในประเทศของเขา โดยกองกำลังจีนประจำการอยู่ที่ศูนย์กลางแนวหน้า และกองทัพประชาชนเกาหลีส่วนใหญ่ถูกจำกัดให้อยู่ในแนวปีกชายฝั่งของแนวรบ[72]

การรวบรวมอำนาจ

Thumb
คิมระหว่างการเยือนเยอรมนีตะวันออกใน ค.ศ. 1956 โดยกำลังสนทนากับจิตรกรอ็อทโท นาเกลและนายกรัฐมนตรีอ็อทโท โกรเทอโวล

เมื่อสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง แม้จะล้มเหลวในการรวมเกาหลีให้อยู่ภายใต้การปกครองของเขา คิม อิล-ซ็องก็ประกาศว่าสงครามครั้งนี้เป็นชัยชนะในแง่ที่ว่าเขายังคงอยู่ในอำนาจทางตอนเหนือ อย่างไรก็ตาม สงครามสามปีทำให้เกาหลีเหนือเสียหายอย่างหนัก และคิมก็เริ่มดำเนินการฟื้นฟูครั้งใหญ่ทันที เขาเปิดตัวแผนเศรษฐกิจแห่งชาติห้าปี (คล้ายกับแผนห้าปีของสหภาพโซเวียต) เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจแบบบังคับ โดยอุตสาหกรรมทั้งหมดเป็นของรัฐและการเกษตรทั้งหมดถูกรวมเข้าเป็นส่วนกลาง เศรษฐกิจมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมหนักและการผลิตอาวุธ ภานในทศวรรษ 1960 เกาหลีเหนือมีมาตรฐานการครองชีพสูงกว่าเกาหลีใต้ ซึ่งประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ[73][74][75]

ในช่วงหลายปีต่อมา คิมสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำอิสระของคอมมิวนิสต์สากล ใน ค.ศ. 1956 เขาเข้าร่วมกับเหมาในค่าย "ต่อต้านลัทธิแก้" ซึ่งไม่ยอมรับโครงการการล้มล้างอิทธิพลสตาลินของนีกีตา ครุชชอฟ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนลัทธิเหมาเสียทีเดียว ขณะเดียวกัน เขาก็รวบรวมอำนาจเหนือขบวนการคอมมิวนิสต์เกาหลี ผู้นำคู่แข่งถูกกำจัด พัก ฮ็อน-ย็อง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลี ถูกกวาดล้างและประหารชีวิตใน ค.ศ. 1955 ชเว ชัง-อิกก็ดูเหมือนจะถูกกวาดล้างเช่นกัน[76][77] อี ซัง-โช เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหภาพโซเวียตและผู้วิพากษ์วิจารณ์คิมซึ่งแปรพักตร์ไปยังสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1956 ถูกประกาศว่าเป็นพวงแบ่งแยกและผู้ทรยศ[78] สุนทรพจน์ชูเชใน ค.ศ. 1955 ซึ่งเน้นความเป็นเอกราชของเกาหลี เปิดตัวในบริบทของการต่อสู้เพื่ออำนาจของคิมกับผู้นำเช่น พัก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นในขณะนั้นจนกระทั่งสื่อของรัฐเริ่มพูดถึงใน ค.ศ. 1963[79][80] คิมพัฒนาแนวนโยบายและอุดมการณ์ของชูเชเพื่อต่อต้านแนวคิดที่ว่าเกาหลีเหนือเป็นรัฐบริวารของจีนหรือสหภาพโซเวียต

คิมเปลี่ยนเกาหลีเหนือให้กลายเป็นสิ่งที่ว็อนจุน ซงและโจเซฟ ไรต์พิจารณาว่าเป็นระบอบเผด็จการส่วนบุคคล ซึ่งอำนาจถูกรวมศูนย์อยู่ที่ตัวคิมเอง[81] ในช่วงแรก ลัทธิบูชาบุคคลของคิม อิล-ซ็องถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสมาชิกบางคนในรัฐบาล อี ซัง-โจ เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหภาพโซเวียต สมาชิกฝ่ายย็อนอัน รายงานว่าการเขียนทับรูปภาพของคิมในหนังสือพิมพ์ได้กลายเป็นความผิดทางอาญาและเขาได้รับการยกย่องให้มีสถานะเทียมกับมาคส์ เลนิน เหมา และสตาลินในทำเนียบผู้นำคอมมิวนิสต์ คิมถูกกล่าวหาว่าเขียนประวัติศาสตร์ใหม่เพื่อให้ดูเหมือนว่ากองโจรของเขาเพียงฝ่ายเดียวที่ปลดปล่อยเกาหลีจากการยึดครองของญี่ปุ่น โดยไม่สนใจความช่วยเหลือจากอาสาประชาชนจีนอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ หลี่ยังกล่าวว่าในกระบวนการรวมกลุ่มทางการเกษตร ธัญพืชถูกยึดจากชาวนาอย่างบังคับ นำไปสู่ "การฆ่าตัวตายอย่างน้อย 300 ราย" และเขายังระบุว่าคิมเป็นผู้ตัดสินใจด้านนโยบายและการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญเกือบทั้งหมดด้วยตัวเอง หลี่รายงานว่ามีคนกว่า 30,000 คนถูกจำคุกด้วยเหตุผลไม่ยุติธรรมและตามอำเภอใจโดยสิ้นเชิงซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การไม่พิมพ์รูปภาพของคิม อิล-ซ็องบนกระดาษที่มีคุณภาพเพียงพอหรือการใช้หนังสือพิมพ์ที่มีรูปภาพของเขาห่อพัสดุ การยึดธัญพืชและการเก็บภาษีก็ดำเนินการด้วยกำลัง ซึ่งประกอบด้วยความรุนแรง การทุบตี และการข่มขู่ว่าจะจำคุก[82]

ในช่วงอุบัติการณ์ฝ่ายสิงหาคม ค.ศ. 1956 คิม อิล-ซ็องประสบความสำเร็จในการต้านทานความพยายามของโซเวียตและจีนที่จะปลดเขาจากตำแหน่งเพื่อสนับสนุนชาวเกาหลีที่ฝักใฝ่โซเวียตหรือชาวเกาหลีที่เป็นสมาชิกของฝ่ายย็อนอันซึ่งฝักใฝ่จีน[83][84] กำลังทหารจีนชุดสุดท้ายถอนตัวออกจากประเทศในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นวันที่ล่าสุดที่เกาหลีเหนือเป็นเอกราชอย่างแท้จริง แม้นักวิชาการบางคนจะเชื่อว่าอุบัติการณ์ฝ่ายสิงหาคม ค.ศ. 1956 นั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกราชของเกาหลีเหนือแล้วก็ตาม[83][84]

ในช่วงที่คิมเรืองอำนาจและรวมศูนย์อำนาจ เขาสร้างซ็องบุน ระบบวรรณะที่แบ่งชาวเกาหลีเหนือออกเป็นสามกลุ่ม แต่ละคนถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "แกนหลัก", "คลอนแคลน" หรือ "ปรปักษ์" โดยพิจารณาจากภูมิหลังทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจของแต่ละบุคคล   ระบบวรรณะนี้ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้[85][86] ซ็องบุนถูกใช้เพื่อตัดสินทุกแง่มุมของการดำรงชีวิตของบุคคลในสังคมเกาหลีเหนือ รวมถึงการเข้าถึงการศึกษา ที่อยู่อาศัย การจ้างงาน การปันส่วนอาหาร ความสามารถในการเข้าร่วมพรรครัฐบาล และแม้แต่สถานที่ที่บุคคลนั้นได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัย ผู้คนจำนวนมากที่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าชนชั้นปรปักษ์ ซึ่งรวมถึงปัญญาชน เจ้าของที่ดิน และอดีตผู้สนับสนุนรัฐบาลยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปยังจังหวัดทางตอนเหนือที่โดดเดี่ยวและยากจนของประเทศ เมื่อเกิดทุพภิกขภัยรุนแรงขึ้นทั่วประเทศในทศวรรษ 1990 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนห่างไกลและถูกกีดกันได้รับผลกระทบหนักที่สุด[87]

ในระหว่างการปกครองของเขา รัฐบาลเกาหลีเหนือมีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง[88][89][90] คิม อิล-ซ็องลงโทษทั้งผู้เห็นต่างที่แท้จริงและที่ถูกมองว่าเห็นต่างผ่านการกวาดล้างซึ่งรวมถึงการประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณะและการบังคับให้สูญหาย ไม่เพียงแต่ผู้เห็นต่างเท่านั้น แต่สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกลงโทษด้วยการลดอันดับซ็องบุนให้ต่ำที่สุด และหลายคนก็ถูกคุมขังในระบบค่ายกักกันทางการเมืองที่เป็นความลับ ค่ายเหล่านี้หรือควันลีโซ ส่วนหนึ่งของเครือข่ายขนาดใหญ่ของสถาบันลงโทษและบังคับใช้แรงงานที่โหดร้ายของคิม เป็นอาณานิคมที่มีรั้วล้อมรอบและมีทหารยามเฝ้าแน่นหนา ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูเขาของประเทศ ที่ซึ่งนักโทษถูกบังคับให้ทำงานที่ต้องใช้แรงงานอย่างหนัก เช่น การตัดไม้ การทำเหมือง และการเก็บเกี่ยวพืชผล นักโทษส่วนใหญ่ถูกคุมขังในค่ายเหล่านี้ตลอดชีวิต และภายในค่าย สภาพความเป็นอยู่และการทำงานของพวกเขามักนำไปสู่ความตาย ตัวอย่างเช่น นักโทษเกือบจะอดตาย พวกเขาไม่ได้รับการรักษาพยาบาล พวกเขาไม่ได้รับการจัดหาที่พักและเสื้อผ้าที่เหมาะสม พวกเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเป็นประจำ และพวกเขาถูกทรมานและประหารชีวิตโดยทหารยาม[87]

ปีหลัง

Thumb
คิมต้อนรับนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ประธานาธิบดีโรมาเนีย ที่มาเยือนในเปียงยาง, ค.ศ. 1971, เนื้องอกของคิมถูกตัดออกไปจากการตรวจพิจารณาของเกาหลีเหนือ

แม้จะต่อต้านการล้มล้างอิทธิพลสตาลิน คิมก็ไม่เคยตัดความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ และเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต หลังครุชชอฟถูกแทนที่โดยเลโอนิด เบรจเนฟใน ค.ศ. 1964 ความสัมพันธ์ของคิมกับสหภาพโซเวียตก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะเดียวกัน คิมก็เริ่มตีตัวออกห่างจากรูปแบบการนำที่ไม่มั่นคงของเหมา โดยเฉพาะในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงปลายทศวรรษ 1960 คิมเองก็ถูกประณามโดยยุวชนแดงของเหมา[91] ในเวลาเดียวกัน คิมฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศคอมมิวนิสต์ส่วนใหญ่ในยุโรปตะวันออก โดยหลักแล้วกับเยอรมนีตะวันออกของเอริช ฮ็อนเน็คเคอร์และโรมาเนียของนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ชาวูเชสกูได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอุดมการณ์ของคิม และลัทธิบูชาบุคคลที่เติบโตขึ้นรอบตัวเขาในโรมาเนียก็มีความคล้ายกับของคิมมาก[92]

ในทศวรรษ 1960 คิมประทับใจกับความพยายามของโฮจิมินห์ ผู้นำเวียดนามเหนือ ในการรวมเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดียวผ่านการทำสงครามกองโจรและคิดว่าสิ่งที่คล้ายกันนี้อาจเป็นไปได้ในเกาหลี[93]:30–31 ดังนั้นความพยายามแทรกซึมและบ่อนทำลายจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อกองกำลังสหรัฐและผู้นำในเกาหลีใต้[93]:32–33 ความพยายามเหล่านี้ถึงจุดสูงสุดด้วยความพยายามบุกทำเนียบฟ้าและลอบสังหารประธานาธิบดีพัก จ็อง-ฮี[93]:32 ด้วยเหตุนี้กองทัพเกาหลีเหนือจึงใช้ท่าทีก้าวร้าวมากขึ้นต่อกองกำลังสหรัฐทั้งในและรอบเกาหลีใต้ โดยมีการปะทะกับทหารบกสหรัฐตามแนวเขตปลอดทหาร การจับกุมลูกเรือของเรือสอดแนมยูเอสเอส พิวโบล (USS Pueblo) ใน ค.ศ. 1968 เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้[93]:33

Thumb
คิมและนีกอลาเอ ชาวูเชสกู ประธานาธิบดีโรมาเนียที่สนามกีฬาโมรันบง, ค.ศ. 1978

แอนแวร์ ฮอจา (ผู้นำคอมมิวนิสต์หัวก้าวหน้าอีกคนหนึ่ง) ของแอลเบเนียเป็นศัตรูตัวฉกาจของประเทศและคิม อิล-ซ็อง เขาเขียนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1977 ว่า "มาร์กซิสต์-เลนินิสต์ตัวจริง" จะเข้าใจว่า "อุดมการณ์ที่ชี้นำพรรคแรงงานเกาหลีและพรรคคอมมิวนิสต์จีน...เป็นแนวคิดแก้" และต่อมาในเดือนนั้นเขากล่าวเสริมว่า "ในเปียงยาง ผมเชื่อว่าแม้แต่ตีโตก็ยังต้องประหลาดใจกับขนาดของการสร้างลัทธิบูชาตัวบุคคลของเจ้าบ้าน [คิม อิล-ซ็อง] ซึ่งมีระดับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนไม่ว่าที่ไหน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงในประเทศที่เรียกตัวเองว่าสังคมนิยมเลย"[94][95] เขายังอ้างอีกว่า "ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หักหลัง [ชนชั้นแรงงาน] ในเกาหลี เราก็พูดได้ว่าผู้นำของพรรคแรงงานเกาหลีกำลังจมปลักอยู่ในน้ำเน่าเดียวกัน" และอ้างว่าคิม อิล-ซ็องกำลังอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มยุโรปตะวันออกและประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างยูโกสลาเวีย ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและแอลเบเนียจึงยังคงเย็นชาและตึงเครียดไปกระทั่งฮอจาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1985

แม้จะเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างแน่วแน่ แต่โมบูตู เซเซ เซโก แห่งซาอีร์ก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากรูปแบบการปกครองของคิมเช่นกัน[96]

การที่รัฐบาลเกาหลีเหนือมีพฤติกรรมลักพาตัวพลเมืองต่างชาติ เช่น ชาวเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ไทย และโรมาเนีย เป็นอีกหนึ่งการกระทำของคิม อิล-ซ็องซึ่งยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบันนี้[ต้องการอ้างอิง] คิม อิล-ซ็องวางแผนปฏิบัติการเหล่านี้เพื่อจับกุมบุคคลที่สามารถนำไปใช้สนับสนุนปฏิบัติการข่าวกรองในต่างประเทศของเกาหลีเหนือ หรือผู้ที่มีทักษะทางเทคนิคในการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของรัฐสังคมนิยม ทั้งในด้านการเกษตร การก่อสร้าง โรงพยาบาล และอุตสาหกรรมหนัก จากข้อมูลของสหภาพครอบครัวผู้ถูกลักพาตัวในสงครามเกาหลี (KWAFU) ผู้ถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวไปหลังสงคราม ได้แก่ ข้าราชการ 2,919 คน ตำรวจ 1,613 คน เจ้าหน้าที่ตุลาการและทนายความ 190 คน และบุคลากรทางการแพทย์ 424 คน ในเหตุการณ์จี้และยึดเครื่องบินสายการบินโคเรียนแอร์เที่ยวบิน YS-11 ใน ค.ศ. 1969 โดยสายลับเกาหลีเหนือ มีเพียงนักบิน ช่างเครื่อง และผู้มีทักษะเฉพาะทางเท่านั้นที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้กลับมายังเกาหลีใต้ จำนวนทั้งหมดของชาวต่างชาติที่ถูกลักพาตัวและหายตัวไปยังไม่ทราบแน่ชัดแต่คาดว่ามีมากกว่า 200,000 คน การหายตัวไปส่วนใหญ่เกิดขึ้นหรือมีความเชื่อมโยงกับสงครามเกาหลี แต่ชาวเกาหลีใต้และชาวญี่ปุ่นหลายร้อยคนถูกลักพาตัวไประหว่างทศวรรษ 1960 ถึง 1980 ชาวเกาหลีใต้จำนวนหนึ่งและพลเมืองสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ดูเหมือนจะถูกลักพาตัวไปในช่วงทศวรรษ 2000 และ 2010 และอย่างน้อย 100,000 คนยังคงหายตัวไป[87]

รัฐธรรมนูญเกาหลีเหนือได้รับการประกาศใช้ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1972 ซึ่งส่งผลให้เกิดตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีเหนือขึ้น หลังจากนั้นคิมก็สละตำแหน่งนายกคณะรัฐมนตรี ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1948 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทนหลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเกาหลีเหนือ ค.ศ. 1972 วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1975 เกาหลีเหนือยกเลิกการใช้หน่วยวัดแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่และหันมาใช้ระบบเมตริกแทน[97] ใน ค.ศ. 1980 เขาตัดสินใจให้คิม จ็อง-อิล บุตรชายของเขาเป็นผู้สืบทอดอำนาจ และเริ่มมอบหมายให้บุตรชายดูแลการบริหารรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ตระกูลคิมได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ เนื่องจากประวัติการปฏิวัติของคิม อิล-ซ็องและการสนับสนุนจากโอ จิน-อู รัฐมนตรีกลาโหมผ่านศึก ในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 6 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1980 คิมประกาศแต่งตั้งบุตรชายของเขาเป็นผู้สืบทอดอำนาจอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะ ใน ค.ศ. 1986 มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าคิมถูกลอบสังหาร ทำให้เกิดความกังวลอย่างแท้จริงเกี่ยวกับความสามารถของจ็อง-อิลในการสืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา อย่างไรก็ตาม คิมออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะหลายครั้งเพื่อสยบข่าวลือดังกล่าว แต่ก็มีการโต้แย้งว่าเหตุการณ์นี้ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับการสืบทอดอำนาจ   นับเป็นการสืบทอดอำนาจตามสายเลือดครั้งแรกในรัฐคอมมิวนิสต์   ซึ่งท้ายที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อคิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994[98]

จากช่วงเวลาประมาณนี้เป็นต้นไป เกาหลีเหนือเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เกาหลีใต้กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนจากญี่ปุ่นและอเมริกา ความช่วยเหลือทางทหาร และการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่วนเกาหลีเหนือกลับซบเซาและถดถอยลงในช่วงทศวรรษ 1980[99][100] ผลลัพธ์ทางปฏิบัติของปรัชญาชูเชคือการตัดขาดประเทศจากการค้าต่างประเทศเกือบทั้งหมดเพื่อทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์ การปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิงในจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1979 เป็นต้นมาหมายความว่าการค้ากับเศรษฐกิจที่ซบเซาของเกาหลีเหนือมีความน่าสนใจลดลงสำหรับจีน การปฏิวัติ ค.ศ. 1989 ในยุโรปตะวันออกและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วง ค.ศ. 1989 ถึง 1992 ทำให้เกาหลีเหนือแทบจะถูกโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ เหตุการณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นเนื่องจากคิมปฏิเสธจะดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจหรือการเมืองใด ๆ[101]

Thumb
เนื้องอกของคิมสังเกตเห็นได้ชัดที่ด้านหลังศีรษะของเขาในภาพนิ่งจากภาพยนตร์ข่าวที่หาดูยากนี้ ระหว่างการประชุมทางการทูตระหว่างเขากับเหมา เจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปักกิ่ง, ค.ศ. 1970

เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 คิมก็มีก้อนเนื้อแข็งคล้ายหินปูน[ต้องการอ้างอิง] งอกขึ้นที่ด้านขวาของท้ายทอยเป็นขนาดใหญ่ ในอดีตเชื่อกันมานานว่าเนื่องจากก้อนเนื้ออยู่ใกล้กับสมองและไขสันหลังมากเกินไปจึงไม่สามารถผ่าตัดออกได้ อย่างไรก็ตาม ฆวน เรย์นัลโด ซานเชซ อดีตองครักษ์ของฟิเดล กัสโตรซึ่งเคยพบกับคิมใน ค.ศ. 1986 เขียนในภายหลังว่าความหวาดระแวงของคิมเองต่างหากที่ทำให้เขาไม่ยอมให้ผ่าตัดออก[102] เนื่องจากก้อนเนื้อนี้ดูไม่สวยงาม นักข่าวและช่างภาพของเกาหลีเหนือจึงได้รับคำสั่งให้ถ่ายภาพคิมโดยยืนเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อยเพื่อซ่อนก้อนเนื้อไม่ให้ปรากฏในภาพถ่ายและข่าวสารทางการ การปกปิดก้อนเนื้อนี้ยิ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมันขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าลูกเบสบอลในช่วงปลายทศวรรษ 1980[103]:xii

Thumb
ภาพถ่ายของคิม อิล-ซ็อง ซึ่งในเวลานั้นมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และคณะผู้ติดตามของเขาที่ได้รับการอารักขาอย่างใกล้ชิดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ, ค.ศ. 1989

เพื่อให้แน่ใจว่าการสืบทอดตำแหน่งผู้นำจะตกทอดไปยังคิม จ็อง-อิล บุตรชายและผู้สืบทอดที่ถูกกำหนดไว้ คิมมอบตำแหน่งประธานคณะกรรมการป้องกันประเทศของเกาหลีเหนือ  หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการควบคุมกองทัพรวมถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกำลังทหารของประเทศที่มีกำลังพลนับล้านนาย นั่นคือกองทัพประชาชนเกาหลี  ให้แก่บุตรชายของเขาใน ค.ศ. 1991 และ 1993 ในช่วงต้น ค.ศ. 1994 คิมเริ่มลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์เพื่อชดเชยการขาดแคลนพลังงานที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ นี่เป็น "วิกฤตการณ์นิวเคลียร์" ครั้งแรกจากหลายครั้ง วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1994 คิมสั่งให้มีการขนเชื้อเพลิงใช้แล้วออกจากโรงงานวิจัยนิวเคลียร์ที่นย็องบย็อนซึ่งเป็นที่โต้แย้งอยู่แล้ว แม้จะถูกติเตียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากชาติตะวันตก คิมยังคงดำเนินการวิจัยนิวเคลียร์และดำเนินโครงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อไป ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1994 จิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เดินทางไปเปียงยางเพื่อพยายามโน้มน้าวให้คิมเจรจากับรัฐบาลคลินตันเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ[104] สร้างความประหลาดใจแก่สหรัฐและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ คิมตกลงจะระงับโครงการวิจัยนิวเคลียร์ของเขาและดูเหมือนกำลังเริ่มต้นเปิดประเทศสู่ชาติตะวันตก[105]

Thumb
พิธีฉลองวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคิม อิล-ซ็องโดยมีแขกต่างชาติเข้าร่วม, เมษายน ค.ศ. 1992

อสัญกรรม

ข้อมูลเบื้องต้น วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก ...

ก่อนเที่ยงเล็กน้อยของวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 คิม อิล-ซ็องล้มลงด้วยอาการหัวใจวาย ณ ที่พำนักของเขาในฮยังซัน จังหวัดพย็องอันเหนือ หลังเกิดอาการหัวใจวาย คิม จ็อง-อิลสั่งปลดคณะแพทย์ที่อยู่ข้างกายบิดาตลอดเวลาออกและจัดการให้คณะแพทย์ที่เก่งที่สุดของประเทศบินตรงมาจากเปียงยาง หลังผ่านไปหลายชั่วโมง แพทย์จากเปียงยางก็เดินทางมาถึง แต่แม้จะพยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ คิม อิล-ซ็องก็ถึงแก่อสัญกรรมในเวลา 02:00 น. ตามเวลามาตรฐานเปียงยางของวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 สิริอายุ 82 ปี[106] หลังผ่านช่วงเวลาการไว้ทุกข์ตามประเพณีของลัทธิขงจื๊อ อสัญกรรมของเขาก็ถูกประกาศในอีก 34 ชั่วโมงต่อมา[107]

อสัญกรรมของคิม อิล-ซ็องส่งผลให้เกิดการไว้ทุกข์ทั่วประเทศและคิม จ็อง-อิลได้ประกาศระยะเวลาไว้ทุกข์ 10 วัน พิธีศพของเขามีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 ในเปียงยางแต่ถูกเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 19 กรกฎาคม[108] มีผู้คนหลายแสนคนเข้าร่วมงานซึ่งเดินทางมาจากทั่วทุกมุมของเกาหลีเหนือ[ต้องการอ้างอิง] ร่างของคิม อิล-ซ็องถูกนำไปเก็บไว้ในมอโซเลียมสาธารณะที่วังสุริยะคึมซูซัน ซึ่งร่างที่ถูกรักษาและดองไว้ของเขานอนอยู่ใต้โลงแก้วเพื่อให้ผู้คนได้ชม ศีรษะของเขาหนุนอยู่บนหมอนแบบเกาหลีโบราณและร่างถูกคลุมด้วยธงพรรคแรงงานเกาหลี วิดีโอข่าวพิธีศพที่เปียงยางถูกออกอากาศทางหลายเครือข่ายและสามารถพบได้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ[109] ตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีเหนือไม่ได้ถูกสืบทอดโดยคิม จ็อง-อิล และในการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1998 คำปรารภของรัฐธรรมนูญของประเทศอ้างถึงคิม อิล-ซ็องว่าเป็น "ประธานาธิบดีตลอดกาล"[110]

Remove ads

การมีส่วนสนับสนุนต่อทฤษฎีการเมือง

ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของคิม อิล-ซ็องในด้านทฤษฎีการเมืองคือการวางแนวคิดเรื่องอุดมการณ์ชูเช ซึ่งเดิมทีได้รับการอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมากซ์–เลนิน

ในงานเขียนของเขา คิม อิล-ซ็องกล่าวถึงคำเปรียบเปรยของคาร์ล มาคส์ที่ว่า "ศาสนาคือฝิ่นของประชาชน" เขาหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพื่อตอบโต้สหายที่คัดค้านการทำงานร่วมกับกลุ่มศาสนา (เช่น ช็อนบุลกโยและช็อนโดกโย)[111] ในกรณีแรก คิมตอบโต้ว่าบุคคลนั้น "เข้าใจผิด" หากเชื่อว่าข้อเสนอของมาคส์เรื่อง "ฝิ่นของประชาชน" สามารถนำไปใช้ได้กับทุกกรณี เขาอธิบายว่าหากศาสนา "ภาวนาให้เกิดการลงโทษจากพระเจ้าแก่ญี่ปุ่นและอวยพรแก่ชาติเกาหลี" เช่นนั้นแล้วศาสนานั้นก็คือ "ศาสนาที่รักชาติ" และผู้ศรัทธาในศาสนานั้นก็คือ "ผู้รักชาติ"[111] ในกรณีที่สอง คิมกล่าวว่าคำอุปมาของมาคส์ "ต้องไม่ถูกตีความอย่างรุนแรงและด้านเดียว" เพราะมาคส์กำลังเตือนถึง "สิ่งล่อลวงของภาพลวงตาทางศาสนาและไม่ได้ต่อต้านผู้ศรัทธาโดยทั่วไป"[111] เนื่องจากขบวนการคอมมิวนิสต์ในเกาหลีกำลังต่อสู้เพื่อ "กอบกู้ชาติ" จากญี่ปุ่น คิมจึงเขียนไว้ว่าใครก็ตามที่มีเป้าหมายเดียวกันสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้และ "แม้แต่ผู้นับถือศาสนา... ก็ต้องถูกรวมเข้าอยู่ในแนวร่วมของเราโดยไม่ลังเล"[111]

ชีวิตส่วนตัว

Thumb
คิม จ็อง-ซุก ภรรยาคนที่สองของคิม และคิม จ็อง-อิล บุตรของพวกเขา

เชื่อกันว่าคิม อิล-ซ็องแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง ถึงแม้แทบจะไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับภรรยาคนแรกของเขาเลย[112] คิม จ็อง-ซุก (1917–1949) ภรรยาคนที่สองของเขา[3] ให้กำเนิดบุตรสองคนและบุตรีหนึ่งคน ก่อนเธอจะเสียชีวิตขณะคลอดบุตรีที่เสียชีวิตในครรภ์ คิม จ็อง-อิลเป็นบุตรคนโตของเขา[3] บุตรอีกคน (คิม มัน-อิล[3] หรือชาอูรา คิม) จากการแต่งงานครั้งนี้เสียชีวิตใน ค.ศ. 1947[3] จากอุบัติเหตุจมน้ำ[ต้องการอ้างอิง] ส่วนบุตรีชื่อคิม คย็อง-ฮี เกิดใน ค.ศ. 1946[3]

คิมแต่งงานกับคิม ซ็อง-แอ (1924–2014) ใน ค.ศ. 1952 และมีบุตรกับเธอสี่คน ได้แก่ คิม คย็อง-ซุก (เกิด ค.ศ. 1951) คิม คย็อง-จิน (เกิด ค.ศ. 1952) คิม พย็อง-อิล (เกิด ค.ศ. 1954) คิม ย็อง-อิล (1955–2000; อย่าสับสนกับอดีตนายกรัฐมนตรีเกาหลีเหนือที่มีชื่อเดียวกัน)[3] คิม พย็อง-อิลมีบทบาทสำคัญในการเมืองเกาหลีกระทั่งเขาได้เป็นเอกอัครราชทูตประจำฮังการี ใน ค.ศ. 2015 คิม พย็อง-อิลได้เป็นเอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐเช็ก เขาเกษียณอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 2019 และกลับสู่เกาหลีเหนือ[ต้องการอ้างอิง]

มีรายงานว่าคิมมีบุตรคนอื่น ๆ กับหญิงที่เขาไม่ได้แต่งงานด้วย[113] โดยรวมถึงคิม ฮย็อน-นัม (เกิด ค.ศ. 1972, หัวหน้ากรมโฆษณาชวนเชื่อและปลุกปั่นของพรรคแรงงานตั้งแต่ ค.ศ. 2002)[114]

Remove ads

รางวัล

สรุป
มุมมอง

ตามแหล่งข่าวของเกาหลีเหนือ คิม อิล-ซ็องได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ เหรียญและตำแหน่งจากต่างประเทศจำนวน 230 รายการจาก 70 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1940 จนถึงและหลังอสัญกรรมของเขา[115] รวมถึงเครื่องอิสริยาภรณ์ธงแดงโซเวียตและเครื่องอิสริยาภรณ์เลนิน (สองครั้ง)[116][117] ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ชั้นที่หนึ่ง) เครื่องอิสริยาภรณ์เกออร์กี ดิมิตรอฟของบัลแกเรีย (สองครั้ง) เครื่องอิสริยาภรณ์โมโนของโตโก (กางเขนใหญ่) เครื่องอิสริยาภรณ์ดารายูโกสลาฟ (มหาดารา)[118] เครื่องอิสริยาภรณ์โฮเซ มาร์ตีของคิวบา (สองครั้ง) เครื่องอิสริยาภรณ์คาร์ล มาคส์ของเยอรมนีตะวันออก (สองครั้ง) เครื่องอิสริยาภรณ์ซิรกา เจียห์ อิร-เรปุบบลิกาของมอลตา เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราทองแห่งนาฮูรีของบูร์กินาฟาโซ เครื่องอิสริยาภรณ์มหาดาราเกียรติยศของสังคมนิยมเอธิโอเปีย เครื่องอิสริยาภรณ์ออกุสโต ซีซาร์ ซานดิโน [es] ของนิการากัว เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวทองของเวียดนาม[117] เครื่องอิสริยาภรณ์แกลแม็นต์ โกตวัลต์ของเชโกสโลวาเกีย[119] เครื่องอิสริยยศพระราชาณาจักรกัมพูชา (ชั้นมหาเสรีวัฒน์)[120] เครื่องอิสริยาภรณ์แห่งชาติมาดากัสการ์ (ชั้นที่หนึ่ง, กางเขนใหญ่)[121] เครื่องอิสริยาภรณ์ซุคบาทาร์ของมองโกเลีย[122] และเครื่องอิสริยาภรณ์ของโรมาเนีย ได้แก่ เครื่องอิสริยาภรณ์ชัยสังคมนิยมและเครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมโรมาเนีย (ชั้นที่หนึ่งพร้อมสายสะพาย)[117][123]

Remove ads

สิ่งสืบทอด

สรุป
มุมมอง
Thumb
ภาพเหมือนทางการหลังมรณกรรมของคิม อิล-ซ็องที่มักพบเห็นในที่สาธารณะ
ภาพเหมือนทางการหลังมรณกรรมของคิม อิล-ซ็องที่มักพบเห็นในที่สาธารณะ 
Thumb
ภาพของคิมในฐานะดวงอาทิตย์บนจิตรกรรมฝาผนังโฆษณาชวนเชื่อ ชื่อตัว อิล-ซ็อง หมายถึง 'กลายเป็นดวงอาทิตย์' ทำให้วันเกิดของเขาจึงกลายเป็น "วันแห่งสุริยะ" (Day of the Sun)
ภาพของคิมในฐานะดวงอาทิตย์บนจิตรกรรมฝาผนังโฆษณาชวนเชื่อ ชื่อตัว อิล-ซ็อง หมายถึง 'กลายเป็นดวงอาทิตย์' ทำให้วันเกิดของเขาจึงกลายเป็น "วันแห่งสุริยะ" (Day of the Sun) 
Thumb
อนุสาวรีย์เดิมของคิม อิล-ซ็องที่เนินเขามันซูแด (1972–2012) อนุสาวรีย์ของคิม จ็อง-อิลได้รับการสร้างขึ้นในภายหลัง
อนุสาวรีย์เดิมของคิม อิล-ซ็องที่เนินเขามันซูแด (1972–2012) อนุสาวรีย์ของคิม จ็อง-อิลได้รับการสร้างขึ้นในภายหลัง 
Thumb
จิตรกรรมฝาผนังในเปียงยางที่มีภาพคิม อิล-ซ็องในวัยหนุ่มกำลังกล่าวสุนทรพจน์
จิตรกรรมฝาผนังในเปียงยางที่มีภาพคิม อิล-ซ็องในวัยหนุ่มกำลังกล่าวสุนทรพจน์ 

ในช่วงชีวิตของคิม อิล-ซ็อง เขาได้รับการยกย่องเสมือนเป็นเทพเจ้าในเกาหลีเหนือ แต่กระแสการบูชาบุคคลนี้กลับไม่ได้แพร่ขยายออกไปนอกพรมแดนของประเทศ[124] ภายในเกาหลีเหนือมีรูปปั้นของเขากว่า 500 แห่ง คล้ายกับการสร้างรูปปั้นและอนุสรณ์ของผู้นำในประเทศกลุ่มตะวันออกในอดีต[125] รูปปั้นที่โดดเด่นที่สุดตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยคิม อิล-ซ็อง สนามกีฬาคิม อิล-ซ็อง เนินเขามันซูแด สะพานคิม อิล-ซ็องและอนุสาวรีย์อมตะคิม อิล-ซ็อง มีรายงานว่ารูปปั้นบางส่วนถูกทำลายจากการระเบิดหรือเสียหายจากกราฟิตีโดยกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยในเกาหลีเหนือ[44]:201[126] นอกจากนี้ ยังมีการสร้างอนุสาวรีย์ชีวิตอมตะทั่วประเทศ แต่ละแห่งอุทิศแด่ "ผู้นำตลอดกาล" ผู้ล่วงลับไปแล้ว[127]

ภาพเหมือนของคิม อิล-ซ็องมีความโดดเด่นอย่างมากในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะภาพเหมือนที่เผยแพร่หลังมรณกรรมของเขาใน ค.ศ. 1994 ซึ่งจะถูกแขวนไว้ที่สถานีรถไฟและสนามบินทุกแห่งในเกาหลีเหนือ[125] ภาพของเขายังถูกจัดวางอย่างเด่นชัดใกล้กับจุดผ่านแดนระหว่างจีนและเกาหลีเหนือด้วย[128] ตัวอย่างเช่น บริเวณชายแดนด้านนอกเมืองเหยียนจี๋ นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้สามารถจ่ายเงินให้ชาวจีนในพื้นที่เพื่อถ่ายรูปโดยมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ของเกาหลีเหนือที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำตูเมน โดยที่ภาพเหมือนของคิม อิล-ซ็องปรากฏเด่นชัดอยู่เบื้องหลัง[129]

ของขวัญหลายพันชิ้นที่ผู้นำต่างชาติมอบให้แก่คิม อิล-ซ็องถูกจัดแสดงอยู่ในนิทรรศการสันถวไมตรีนานาชาติ[130]

วันเกิดของคิม อิล-ซ็อง "วันแห่งสุริยะ" (Day of the Sun) มีการเฉลิมฉลองเป็นวันหยุดราชการในเกาหลีเหนือทุกปี[131] เทศกาลศิลปะมิตรภาพฤดูใบไม้ผลิเดือนเมษายนที่เกี่ยวข้องนั้นรวบรวมศิลปินหลายร้อยคนจากทั่วทุกมุมโลก[132]

ยังมีสวนสาธารณะคิม อิล-ซ็อง ตรอกคิม อิล-ซ็อง และอนุสาวรีย์คิม อิล-ซ็องอยู่ในดามัสกัส ประเทศซีเรีย[133]

Remove ads

ครอบครัว

Remove ads

หมายเหตุ

  1. ชเว ย็ง-ก็อน เคยเป็นประมุขแห่งรัฐในฐานะประธานคณะผู้บริหารสูงสุดประจำสมัชชาประชาชนสูงสุด
  2. คิม ย็อง-นัม ต่อมาดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐในฐานะประธานคณะผู้บริหารสูงสุดประจำสมัชชาประชาชนสูงสุด
  3. ใน ค.ศ. 2021 การแปลชื่อตำแหน่งที่คิม จ็อง-อึนโปรดปรานจากภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ จาก "Chairman" ถูกเปลี่ยนเป็น "President" อย่างไรก็ตาม คำภาษาเกาหลีว่า 위원장 ซึ่งหมายถึง "Chairman" นั้นไม่ได้ถูกแทนที่[1]
  4. คิม อิล-ซ็อง เป็นการถอดเสียง (ทางภาษาศาสตร์) เป็นภาษาอังกฤษที่รัฐบาลเกาหลีเหนือใช้ คิม อิล-ซุง เป็นการถอดเสียงอีกแบบที่พบได้ทั่วไปในภาษาอังกฤษ
  5. เกาหลี: 김성주
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads