คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

จักรวรรดิเยอรมัน

รัฐชาติเยอรมันในภูมิภาคยุโรปตอนกลาง ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1871 ถึง ค.ศ. 1918 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จักรวรรดิเยอรมันmap
Remove ads

จักรวรรดิเยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Kaiserreich)[a] เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ใช้เรียกแผ่นดินของชาวเยอรมัน ตั้งแต่ที่พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ได้สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมันในค.ศ. 1871 จนถึงการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในค.ศ. 1918 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในเยอรมัน ชื่อจักรวรรดิเยอรมันในภาษาเยอรมันอย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) อย่างไรก็ตาม แม้จักรวรรดิจะล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1918 แต่ชื่อ ดอยท์เชิสไรช์ ก็ยังถูกใช้เป็นชื่อทางการของสาธารณรัฐไวมาร์ต่อไป

ข้อมูลเบื้องต้น จักรวรรดิเยอรมัน Deutsches Reich ไรช์เยอรมัน, เมืองหลวง ...

จักรวรรดิเยอรมันประกอบด้วย 26 ดินแดนตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดินแดนส่วนใหญ่ต่างถูกปกครองและมีราชวงศ์เป็นของตนเอง ดินแดนเหล่านี้ประกอบด้วย 4 ราชอาณาจักร, 6 แกรนด์ดัชชี, 5 ดัชชี (6 ก่อนปี 1876), 7 ราชรัฐ, 3 เสรีนครรัฐ และ 1 ดินแดนในพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราชอาณาจักรปรัสเซียจะเป็นหนึ่งในดินแดนตามที่กล่าวมานี้ แต่ราชอาณาจักรปรัสเซียกลับเป็นดินแดนที่มีอาณาเขตและประชากรมากที่สุดและมากกว่าดินแดนอีก 25 แห่งที่เหลือรวมกัน ดังนั้นราชอาณาจักรปรัสเซียจึงเป็นดินแดนที่มีอำนาจครอบงำจักรวรรดิเยอรมัน

หลังปี 1850 ได้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐเยอรมันต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมถ่านหิน, เหล็ก (และเหล็กกล้าในกาลต่อมา), เคมีภัณฑ์ และกิจการรถไฟ เมื่อแรกสถาปนาจักรวรรดิในปี 1871 จักรวรรดิมีประชากร 41 ล้านคน และในปี 1913 ได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 68 ล้านคน ตลอดเวลา 47 ปีที่จักรวรรดิเยอรมันคงอยู่ จักรวรรดิได้กลายเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรม, เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์ของโลก โดยได้รับรางวัลโนเบลมากกว่าชาติอื่น ๆ[6]

เยอรมันกลายเป็นมหาอำนาจจากการขยายเครือข่ายทางรถไฟอย่างรวดเร็ว, มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก, และเป็นฐานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในห้วงเวลาเพียงไม่ถึงทศวรรษ กองทัพเรือเยอรมันกลายเป็นกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ ในคราวที่นายกรัฐมนตรี ออทโท ฟอน บิสมาร์ค ถูกปลดโดยจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในปี ค.ศ. 1890 นั้น เป็นห้วงเวลาที่จักรวรรดิเยอรมันรุ่งเรืองและฮึกเหิมอย่างมาก ในวิกฤตการณ์ปี 1914 จักรวรรดิเยอรมันได้ให้การสนับสนุนแก่จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และยังตกลงเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิออตโตมัน เป็นจุดกำเนิดของฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อแผนการเข้ายึดกรุงปารีสก่อนฤดูใบไม้ร่วงประสบความล้มเหลวและแนวรบด้านตะวันตกยังคงคุมเชิงกัน เยอรมันก็ถูกกองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรปิดล้อมทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเสบียงอาหาร แม้แนวรบด้านตะวันตกจะไม่คืบหน้า แต่เยอรมันกลับประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในแนวรบด้านตะวันออก สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ในปี 1918 ทำให้เยอรมันได้ดินแดนทางตะวันออกมาอย่างมากมาย เยอรมันได้พยายามปิดล้อมเกาะอังกฤษด้วยกองเรือดำน้ำแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักจากราชนาวีอังกฤษได้จัดเรือคุ้มกันเรือที่มาจากอาณานิคม เหตุโทรเลขซิมแมร์มันน์ในปี 1917 ได้นำพาสหรัฐอเมริกาเข้ามาสู่สงคราม ชาวเยอรมันเริ่มอ่อนล้าจากสงครามในห้วงเวลาที่ลัทธิสังคมนิยมจากการปฏิวัติรัสเซียไหลบ่าเข้ามาสู่ชาวเยอรมัน

แนวรบที่ถูกโต้กลับและสงครามตลอดสี่ปีทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงไปทั่วทำให้ประชาชนหมดศรัทธาในรัฐบาลจักรพรรดิเยอรมัน จนทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลจักรพรรดิเยอรมันได้ประกาศสงบศึก ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 หลังจากนั้นสองสัปดาห์ จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศสละราชสมบัติและลี้ภัยทางการเมืองไปยังเนเธอร์แลนด์ จักรวรรดิเยอรมันได้แปรเปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐไวมาร์ภายใต้ระบอบประธานาธิบดี

Remove ads

ภูมิหลัง

สงครามนโปเลียนในต้นศตวรรษที่ 19 นั้น ได้ทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติที่พูดภาษาเยอรมันล่มสลายและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อสงครามยุติ ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาขึ้นในปี 1815 เพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ การประชุมนี้ได้ทำให้เกิดสมาพันธรัฐเยอรมันขึ้นมา เป็นการรวมกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ ของบรรดารัฐเยอรมัน ขบวนการชาตินิยมเยอรมันได้นำพาเยอรมันเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นเสรีและประชาธิปไตยมากขึ้น ขบวนการได้เสนอให้ผนวกแนวคิดที่เรียกว่า "อุดมการณ์รวมกลุ่มเยอรมัน" เข้าไปในนโยบาย Realpolitik ของ ออทโท ฟอน บิสมาร์ค มุขมนตรีปรัสเซีย โดยบิสมาร์คต้องการแผ่ขยายอำนาจของราชวงศ์โฮเอ็นโซลเลิร์นแห่งปรัสเซียเข้าครอบงำรัฐเยอรมันอื่น ๆ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคือการรวมชาติเยอรมันที่มีปรัสเซียเป็นแกนนำ และยังต้องการขจัดอิทธิพลของราชวงศ์ฮับส์บูร์กแห่งออสเตรียที่มีต่อรัฐเยอรมันเหล่านี้

บิสมาร์คได้นำปรัสเซียเข้าสู่สงครามสามครั้งและได้รับชัยชนะอย่างงดงาม คือสงครามชเลสวิชครั้งที่สองกับเดนมาร์กในปี 1864, สงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี 1866 และสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี 1870–71

Remove ads

สถาปนาจักรวรรดิ

สรุป
มุมมอง
Thumb
พระเจ้าวิลเฮล์มแห่งปรัสเซียประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ณ พระราชวังแวร์ซายในกรุงปารีส หลังมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย

หลังจากที่ปรัสเซียได้ชัยชนะจากสงครามทั้งสาม ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1870 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ และภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1871 ในช่วงการปิดล้อมกรุงปารีสนั้นเอง ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1871 พระเจ้าวิลเฮล์มก็ทรงประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ณ ห้องกระจก ในพระราชวังแวร์ซาย[7]

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน รัฐธรรมนูญเยอรมันฉบับที่สองก็ได้ถูกรับรองโดยไรชส์ทาค เมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1871 และจักรพรรดิวิลเฮล์มก็ทรงประกาศใช้ในอีกสองวันถัดมา[7] รัฐธรรมนูญฉบับที่สองนี้ มีเค้าโครงเดิมมาจากรัฐธรรมนูญแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือที่ร่างขึ้นโดยบิสมาร์ค โครงสร้างทางการเมืองการปกครองยังคงเหมือนเดิม สภานิติบัญญัติของจักรวรรดิมีชื่อเรียกว่า "ไรชส์ทาค" (Reichstag) สมาชิกของไรชส์ทาคมาจากใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายชาวเยอรมัน

การตรากฎหมายต่าง ๆ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะมนตรีประเทศที่เรียกว่า "บุนเดิสราท" (Bundesrat) ประกอบด้วยผู้แทนจาก 27 รัฐในจักรวรรดิ แต่ละรัฐมีสิทธิออกเสียงไม่เท่ากัน ยิ่งเป็นรัฐที่ใหญ่และประชากรมากก็จะมีสิทธิออกเสียงมาก เช่นราชอาณาจักรปรัสเซียมีสิทธิออกเสียงถึง 17 สิทธิจากทั้งหมด 58 สิทธิ ปรัสเซียต้องการเสียงจากรัฐอื่น ๆ อีกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เกินกึ่งหนึ่ง ส่วนอำนาจฝ่ายบริหารเป็นของจักรพรรดิหรือที่เรียกว่าไกเซอร์ (Kaiser) ซึ่งจะทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหนึ่งคนเพื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญเยอรมนี้ได้ให้อำนาจจักรพรรดิไว้ค่อนข้างมาก สามารถแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย รัฐบาลจักรวรรดินี้ไม่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวง ดังนั้นแล้วนายกรัฐมนตรีจึงเปรียบเสมือน "รัฐบาลหนึ่งบุรุษ" รับผิดชอบและดูแลราชการแทบจะทุกอย่าง (ทั้งด้านการคลัง, การสงคราม, การต่างประเทศ ฯลฯ) แม้ว่าไรชส์ทาคจะทำหน้าที่ตรากฎหมาย, ยกเลิกกฎหมาย, ผ่านกฎหมาย ดังที่กล่าวมา แต่อำนาจที่แท้จริงทั้งปวงอยู่ที่จักรพรรดิ ซึ่งทรงใช้อำนาจผ่านทางนายกรัฐมนตรี

รัฐและดินแดนต่าง ๆ ในจักรวรรดิ ยังคงมีรัฐบาลเป็นของตนแต่มีอำนาจจำกัด ยกตัวอย่างเช่น การสแตมป์ไปรษณีย์และการผลิตเหรียญทอง 1 มาร์คนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกรุงเบอร์ลิน ส่วนการผลิตเงินสกุลมาร์คที่มีมูลค่าเกินกว่านั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น รัฐต่าง ๆ มีอำนาจสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นของตนเอง บางรัฐอาจมีกำลังทหารเป็นของตนเอง อำนาจทหารทั้งหมดจะถูกริบไปอยู่ที่รัฐบาลกรุงเบอร์ลินในยามศึกสงคราม

Remove ads

อุตสาหกรรม

สรุป
มุมมอง
Thumb
โรงงานของบริษัทเหล็กครุปป์ ในเมืองเอสเซิน ค.ศ. 1890 เมืองนี้เมืองเดียวมีโรงงานตั้งอยู่ถึง 60 อาคารด้วยเครื่องจักรกว่า 8,500 เครื่อง[8]

การพัฒนาอุตสาหกรรมในเยอรมันดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด ผู้ผลิตสินค้าของเยอรมันสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้การนำเข้าสินค้าจากอังกฤษลดน้อยลง ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ผลิตของเยอรมันยังสามารถแย่งชิงตลาดต่างประเทศจากอังกฤษไปได้อีกไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมโลหะและสิ่งทอของเยอรมันได้แซงหน้าอังกฤษในปี 1870 ในแง่การจัดการและประสิทธิภาพการผลิตซึ่งได้ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและโลหะของอังกฤษไม่มีที่ยืนในเยอรมันอีกต่อไป เยอรมันกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในยุโรป และเป็นชาติที่ส่งออกมากเป็นอันดับสองรองจากสหราชอาณาจักร

ในตอนเริ่มแรก เยอรมันต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ จากอังกฤษโดยเฉพาะรถไฟ เยอรมันใช้เวลาไม่นานในการเรียนรู้จนสามารถสร้างรถไฟและขยายโครงข่ายทางรถไฟได้ด้วยตนเอง โครงข่ายทางรถไฟได้เพิ่มจาก 21,000 กิโลเมตรในปี 1871 ไปเป็น 63,000 กิโลเมตรในปี 1913 กลายเป็นชาติที่มีโครงข่ายทางรถไฟยาวรองจากสหรัฐอเมริกา

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระหว่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมในเยอรมนีนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระลอก ได้แก่: การรถไฟ (1877–1886), สีย้อม (1887–1896), เคมีภัณฑ์ (1897–1902) และ วิศวกรรมไฟฟ้า (1903–1918)[9] และเนื่องจากเยอรมันได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมทีหลังอังกฤษ โรงงานอุตสาหกรรมในเยอรมนีถูกออกแบบได้มีประสิทธิภาพมากกว่าโรงงานในอังกฤษ เยอรมันมีการลงทุนด้านการวิจัยอย่างหนักหน่วงมากกว่าอังกฤษ โดยเฉพาะการวิจัยด้านเคมี, มอเตอร์ และไฟฟ้า ส่งผลให้นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวเยอรมันเป็นผู้ผูกขาดรางวัลโนเบลกว่าหนึ่งในสามของจำนวนรางวัลโนเบลที่มอบให้แก่บุคคลสัญชาติเยอรมัน การรวมกลุ่มของบริษัทในเยอรมัน ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แต่ละบริษัทสามารถใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง

ก่อนปี 1900 อุตสาหกรรมสีย้อมของเยอรมันได้เข้าครอบงำตลาดสีย้อมของโลก[10] ผู้ผลิตหลักสามรายได้แก่ BASF, Bayer และ Hoechst ตลอดจนผู้ผลิตรายย่อยอีกห้ารายของเยอรมัน สามารถผลิตสีย้อมได้กว่าหลายร้อยสี ซึ่งในปี 1913 ผู้ผลิตทั้งแปดรายนี้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% ในตลาดสีย้อมของโลก การผลิตกว่า 80% เป็นการส่งออกเพื่อป้อนตลาดโลก นอกจากนี้ ผู้ผลิตหลักสามรายยังได้ร่วมมือกับอุตสาหกรรมต้นน้ำเพื่อผลิตวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่าง เวชภัณฑ์, ฟิล์มถ่ายภาพ, สารเคมีทางการเกษตร และไฟฟ้าเคมี

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อุตสาหกรรมในเยอรมนีได้เปลี่ยนไปสู่การผลิตเพื่อป้อนสงคราม ความต้องถ่านหินและแร่เหล็กได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อใช้ในการผลิตปืนใหญ่และต่อเรือรบ ความต้องการด้านเคมีภัณฑ์สำหรับสังเคราะห์เป็นผลิตภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน เนื่องจากอังกฤษและพันธมิตรของอังกฤษได้งดส่งออกสินค้าเหล่านี้แก่เยอรมัน

Remove ads

อาณาเขต

สรุป
มุมมอง

รัฐและดินแดนในจักรวรรดิ

ก่อนการรวมชาติเยอรมันในปี 1871 ชนชาติเยอรมันแบ่งออกเป็น 27 รัฐอิสระ รัฐเหล่านี้มีฐานะเป็น ราชอาณาจักร, แกรนด์ดัชชี, ดัชชี, ราชรัฐ, เสรีนคร และดินแดนในพระองค์ รัฐที่มีสถานะเป็นเสรีนคร จะถูกปกครองด้วยรัฐบาลพลเรือน ในขณะที่รัฐอื่น ๆ ของจักรวรรดิต่างมีราชวงศ์ของตนเองเป็นผู้ปกครอง ในบรรดารัฐทั้งหมดนี้ ราชอาณาจักรปรัสเซียถือเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่สองในสามของดินแดนทั้งจักรวรรดิ และมีประชากรคิดเป็นร้อยละ 61 ของทั้งจักรวรรดิ

ข้อมูลเพิ่มเติม ดินแดน, เมืองหลวง ...

อาณานิคม

Thumb
จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมันในปี 1914

บิสมาร์คก่อตั้งอาณานิคมเยอรมันจำนวนมากระหว่างช่วงทศวรรษที่ 1880 ในแอฟริกาและแปซิฟิก แต่บิสมาร์คไม่ค่อยให้ความสำคัญในนโยบายอาณานิคมมากนัก ด้วยเพราะการต่อต้านรัฐบาลอาณานิคมเยอรมันอย่างรุนแรงจากชนพื้นเมือง แต่นโยบายอาณานิคมเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้เคร่งศาสนาซึ่งได้ทำการสนับสนุนเหล่ามิชชันนารีอย่างกว้างขวางในดินแดนเหล่านั้น

รัฐบาลเยอรมันมีความต้องการสร้างอาณานิคมตั้งแต่ทศวรรษที่ 1848 แล้ว บิสมารค์ได้เริ่มกระบวนการก่อตั้งอาณานิคมบางส่วน เมือถึงปี ค.ศ. 1884 เยอรมนีได้ก่อตั้งอาณานิคม นิวกินีของเยอรมัน เมื่อถึงช่วงทศวรรษที่ 1890 การขยายอาณานิคมของเยอรมันในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (ตัวอย่างเช่น อ่าวเจียวโชว และ เทียนจิน ในประเทศจีน หมู่เกาะมาเรียนา, เกาะคาโรไลน์, ซามัว) นำไปสู่การเผชิญหน้ากับสหราชอาณาจักร, รัสเซีย, ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในการแย่งชิงอาณานิคมในทวีปแอฟริกา[11] ทำให้เกิด สงครามเฮเรโรในดินแดน ประเทศนามิเบีย ปัจจุบัน ในช่วงปี ค.ศ. 1906-ค.ศ. 1907 ส่งผลให้เกิด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเฮเรโรและนามานคิว[12]

Remove ads

ประชากรศาสตร์

ประชากรจักรวรรดิราว 92% พูดภาษาเยอรมันเป็นหลัก รองลงมา 5.2% พูดภาษาโปแลนด์เป็นหลัก มีประชากรราว 0.5% ที่พูดฝรั่งเศสเป็นหลัก ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในอาลซัส-โลทาริงเกีย

สำมะโนปี 1900

ข้อมูลเพิ่มเติม ภาษา, ประชากร ...
Remove ads

ศาสนา

Thumb
จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ในฐานะ อัครศาสนูปถัมภกแห่งคริสตจักรอีแวนเจลิคัลแห่งมณฑลเดิมของปรัสเซีย เสด็จเยือนเยรูซาเลม ค.ศ. 1898
ข้อมูลเพิ่มเติม พื้นที่, โปรเตสแตนต์ ...
Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. เรียกอีกอย่างว่า
    • ไรซ์ที่สอง (เยอรมัน: Zweites Reich) คำศัพท์นี้ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1923 และส่วนใหญ่ถูกใช้โดยพวกนาซี ในส่วนของการใช้คำโดยนักประวัติศาสตร์นั้น ไม่นิยมนำคำว่า "ไรซ์ที่สอง" มาใช้[5])
    • ไคเซอร์ไรซ์ (Kaiserreich)

อ้างอิง

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads