คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ชาวไทยในกัมพูชา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชาวไทยในกัมพูชา
Remove ads

ชาวไทยในกัมพูชา คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวไทยสยามในประเทศไทย ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา โดยมากอาศัยอยู่ในจังหวัดเกาะกง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ติดชายแดนประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งจังหวัดเมื่อ พ.ศ. 2551[1] พวกเขายังคงอัตลักษณ์ด้านประเพณี ภาษา และวัฒนธรรมอย่างไทย และถูกเรียกว่า "ไทยเกาะกง/สยามเกาะกง" (เขมร: សៀមកោះកុង, ออกเสียง "เซียมเกาะฮ์กง") ในอดีตพวกเขาถูกกดขี่ทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพวกเขาได้รับสัญชาติเขมรตามกฎหมาย แต่ก็มีบุคคลเชื้อสายไทยบางส่วนลี้ภัยเป็นผู้พลัดถิ่นในไทย[3][4]

ข้อมูลเบื้องต้น ประชากรทั้งหมด, ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ ...
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง
Thumb
Thumb
ภาพกองรบของ "เสียมกุก"[5] บนผนังระเบียงปราสาทนครวัด ช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 12

ยุคต้น

ชาวไทยหรือชาวสยามอพยพเข้าสู่เขตอิทธิพลของเขมรช้านาน มีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึง "เสียม" ในศิลาจารึกอังกอร์โบเร็ย จารึกใน พ.ศ. 1154 เขียนไว้ว่า กุ สฺยำ ("นาง [ทาส] เสียม")[6] ส่วนในบันทึกของโจว ต้ากวาน ทูตจีนผู้เดินทางไปเมืองพระนคร ได้บันทึกถึงการดำรงอยู่ของชาวสยามว่าเป็นคนละกลุ่มกับชาวเขมร ชาวเขมรซื้อหม่อนและหนอนไหมจากชาวสยาม เพราะชาวสยามรู้จักการทอเครื่องนุ่งห่ม ชาวเขมรจึงต้องจ้างชาวสยามซ่อมแซมเสื้อผ้าให้[7] และยังพบภาพสลักกองทหาร "เสียมกุก" บนผนังระเบียงปราสาทนครวัด โดยมีจารึก เนะ สฺยำ กุกฺ ("นี่ เสียมกุก")[8] และ อฺนก ราชการฺยฺย ภาค ปมญฺ เชฺง ฌาล ด นำ สฺยำ กุก ("ข้าราชการฝ่ายทหารพรานแห่งเมืองเชงฌาล ซึ่งนำชาวเสียมกุก")[9] แต่จารึกดังกล่าวถูกมือดีลบออกไปแล้ว[10]

ใน เขมรแบ่งเป็นสี่ภาค พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายไว้ว่า ชาวไทยและชาวเขมรอาศัยอยู่ปะปนกันมาแต่ยุคโบราณ โดยเฉพาะบ้านเมืองในแถบทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทรงยกตัวอย่างนามเมืองเสียมราฐ ที่ว่าแปลว่าเมืองคนไทยทำปลาแห้ง ซึ่งตั้งอยู่รอบนอกเมืองพระนคร[11] ในหนังสือ ฝั่งขวาแม่น้ำโขง (2490) ระบุว่า ชนชาติขอมปะปนกับคนไทยมากขึ้น "...มีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดนตะวันออกแห่งอ่าวสยาม คือทางลุ่มแม่น้ำโขงทางตอนใต้ ซึ่งบัดนี้ได้มาปะปนกับไทยมากขึ้น ส่วนที่อยู่ทางลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้จนกลายเป็นเขมรหรือจามไป"[12]

ยุคอยุธยา

ปรากฏการแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์ระหว่างสยามกับเขมรสู่ดินแดนตนเองอยู่เนือง ๆ[13] ในรัชสมัยพระรามาธิบดี (คำขัด) ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา ยกทัพไปตีเมืองจันทบูรและบางคาง ก่อนกวาดต้อนคนกลับกรุงจตุมุข (ปัจจุบันคือบริเวณแถบบาสาณ อุดง ละแวก ศรีสันทร และพนมเปญ)[14] และทรงยกทัพมาพร้อมกับเจ้าพญาแก้วฟ้า กวาดต้อนราษฎรปลายแดนอยุธยาไปอีก[15] รัชสมัยเจ้าพญายาต ทรงยกทัพไปตีเมืองจันทบูร[15] รัชสมัยพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา) โปรดให้พระทศราชาและพระสุรินทราชายกทัพกวาดต้อนคนไทยบริเวณชายแดนภาคตะวันออกใน พ.ศ. 2125[16] ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ระบุว่า ใน พ.ศ. 2164 ระบุว่าเจ้าฝ่ายหน้าของสยามยกทัพไปภูเขาจังกางเพื่อตีเขมร แต่สมเด็จพระไชยเชษฐา กษัตริย์เขมร เคลื่อนพลไปตีทัพสยามแตก เจ้าฝ่ายหน้าหลบหนีไปได้ ส่วนไพร่พลถูกจับเป็นเชลย เชลยสยามเหล่านี้ถูกเรียกว่า "ไทยจังกาง"[17] ใน พ.ศ. 2173 รัชสมัยพระศรีธรรมราชา พระราชสมภาร ทรงแต่งทัพไปกวาดต้อนชาวนครราชสีมากลับกัมพูชา[16][18] นอกจากนี้ยังมีหญิงสยามเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาของเจ้านายเขมรจำนวนหนึ่ง[19][20] หนึ่งในนั้นคือธิดาเจ้าเมืองบางคาง มารดาของเจ้าพระยาญาติ[21]

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของชาวไทยคืออีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการเสื่อมสลายของเมืองพระนครในหลายด้านที่ค่อย ๆ แผ่อิทธิพลเข้ามาอย่างช้า ๆ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 ทั้งด้านศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งไม่สนับสนุนการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ โดยในเวลานั้นชาวเขมรชนชั้นไพร่และทาสที่ถูกกดขี่ ล้วนเบื่อหน่ายการสร้างสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาแก่ชนชั้นปกครอง เมื่ออยุธยายกทัพไปตีเมืองนครธม เหล่าไพร่ทาสจึงพร้อมใจกันหลบหนีไม่เข้าร่วมสงคราม ทำให้เมืองนครธมล่มสลาย[22] และกัมพูชาย้ายศูนย์กลางการปกครองลงทางตอนใต้ด้วยมุ่งหวังการค้ากับจีนอย่างเต็มใจ[23] กัมพูชาเปลี่ยนสถานะจากจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ กลายเป็นบ้านเล็กเมืองน้อยไปในที่สุด[22] นอกจากนี้ยังรับอิทธิพลจากภาษาไทยในโครงสร้างประโยคในภาษาเขมรอย่างมีนัยสำคัญ[24] ซึ่งชาวยุโรปในยุคนั้น แทบไม่เห็นความแตกต่างระหว่างชาวเขมรกับไทย นอกจากภาษาที่ต่างกัน[25]

ในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีคลื่นผู้อพยพชาวสยามลี้ภัยมายังเมืองเขมรและพุทไธมาศจำนวนมาก[26] ในเวลาต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพเข้ามาไปยังเมืองพุทไธมาศและเมืองเขมรเมื่อ พ.ศ. 2314 เพื่อกำจัดเจ้านาย ขุนนาง และข้าหลวงจากอยุธยาที่ลี้ภัยเหล่านี้ให้สิ้นซาก ดังปรากฏใน จดหมายรายวันทัพสมัยธนบุรี เนื้อหาระบุว่า "...มาบัดนี้จะส่งเจ้าองค์รามขึ้นไปราชาภิเษก ณ กรุงกัมพูชาธิบดี…ตัวเจ้าเสสังข์ เจ้าจุ้ย แลข้าหลวงชาวกรุงฯ ซึ่งไปอยู่เมืองใดจะเอาให้สิ้น..."[27][28]

ยุคหลัง

Thumb
พระชายาชาวสยามของพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ เมื่อ พ.ศ. 2448

ครั้นในยุคธนบุรีและรัตนโกสินทร์ มีการไปมาหาสู่ระหว่างเขตแดนของชาวไทยและเขมร ในช่วง พ.ศ. 2325 เป็นต้นมา มีกลุ่มชาวไทยอพยพลงไปตั้งชุมชนและสร้างเมืองขึ้นในเขตขอมแปรพักตร์ ได้แก่ เมืองมงคลบุรี เมืองศรีโสภณ เมืองวัฒนานคร เมืองอรัญประเทศ เมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราฐ ซึ่งชาวไทยกลุ่มนี้ยังได้สร้างป้อมและกำแพงเมืองไว้อย่างมั่นคง[11] อีกทั้งยังมีคณะละครชาวสยามข้ามไปทำการแสดงยังฝั่งเขมร ตัวละครทั้งชายและหญิงผู้มีฝีมือหลายคนเข้ารับราชการในราชสำนักของเขมร บางคนก็เข้าไปเป็นครูละคร[29][30] ใน จดหมายมองซิเออร์วิลแมง ถึงมองซิเออร์เดคูร์วีแยร์ ระบุว่าช่วง พ.ศ. 2328–2329 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สยามทำสงครามแพ้กัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มกราคม ทำให้มีคนไทยจำนวน 500 คน และคนเข้ารีตอีก 16 คน ตกค้างอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงในแดนของกัมพูชา ครั้นเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ก็มีทหารสยามหนีทัพจากเขมรหนีกลับเข้ามากรุงเทพมหานคร[31] อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปในกัมพูชาด้วยความสมัครใจ เช่นไปเป็นเจ้าพนักงาน และหลายคนเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกากษัตริย์เขมร[32][33] ในราชสำนักสยามและราชสำนักเขมร มีการเกี่ยวดองทางเครือญาติด้วยการเสกสมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชสำนักฝ่ายในของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารซึ่งทรงคุ้นเคยกับชีวิตในราชสำนักสยามมาโดยตลอด ก็มีสตรีสยามหรือหญิงลูกครึ่งสยามถวายงานอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คุณพระนางสุชาติบุปผา พระชนนีของพระองค์เจ้าดวงจักร[34] บาทบริจาริกาชาวสยามเหล่านี้ มีทั้งหญิงสามัญและเจ้านายจากราชวงศ์จักรี เช่น หม่อมราชวงศ์ตาด ปาลกะวงศ์ ภรรยาพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร[35] หม่อมเจ้าพัชนี (ไม่ทราบราชสกุลเดิม) และหม่อมเจ้าปุก อิศรศักดิ์ เป็นพระเทพีของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารเช่นกัน[36] การส่งอิทธิพลของราชสำนักรัตนโกสินทร์ในด้านต่าง ๆ ทำให้ชนชั้นสูงของกัมพูชาเข้าสู่กระบวนการทำให้เป็นสยาม (Siamization)[37][38]

นอกจากกลุ่มนางละครชาวสยามที่เข้าไปยังแดนกัมพูชา ก็คือกองทหารสยามที่แตกทัพในสงครามอานามสยามยุทธ พวกเขาอาศัยปะปนอยู่กับชาวเขมรกรอมแถบปากแม่น้ำโขง ประกอบอาชีพกสิกรรม ปัจจุบันอยู่ในเมืองสักซ้า (หรือกระมวนสอ) ประเทศเวียดนาม โดยยังหลงเหลือนามภูมิ คือ บ้านซแรเซียมจะส์ (ស្រែសៀមចាស់, "นาสยามเก่า") บ้านซแรเซียม-ทเม็ย (ស្រែសៀថ្មី, "นาสยามใหม่") และบ้านเซียมจอด (សៀមចត, "สยามจอด [เรือ]")[6] และยังมีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จากสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธ และจำพรรษาในกัมพูชา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[39] เพื่อแพร่อิทธิพลทางวัฒนธรรมของสยาม[37] และภาวะทันสมัย ถือเป็นความก้าวหน้าและพัฒนาเชิงกายภาพของพระศาสนา[40]

Remove ads

การแบ่งกลุ่ม

สรุป
มุมมอง

จังหวัดเกาะกง

นอกจากชาวไทยยุคเก่าที่อพยพเข้าไปกัมพูชา ยังมีชาวไทยพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มก้อนมาช้านานในเขตจังหวัดเกาะกง เดิมเป็นเมืองปัจจันตคิรีเขตรขึ้นกับกรุงสยาม มีรากเหง้าเดียวกันกับคนเชื้อสายไทยในจังหวัดตราด พวกเขามีบรรพบุรุษมาจากบ้านลาดพลี เมืองราชบุรี มีมุขปาฐะอธิบายไว้ว่าอพยพหนีสงครามกับพม่า แต่ไม่แจ้งชัดว่าในยุคกรุงศรีอยุธยาหรือธนบุรี เข้าสู่เมืองตราดหลายร้อยครัวและกระจายตัวออกไปตั้งถิ่นฐาน[41] ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามคลองและลุ่มแม่น้ำ เช่น ลุ่มแม่น้ำเกาะปอ, แม่น้ำครางครืน, แม่น้ำตาไต, แม่น้ำบางกระสอบ, แม่น้ำตะปังรุง, แม่น้ำคลองพิพาท, อ่าวเกาะกะปิ, คลองแพรกกษัตริย์, อ่าวยายแสน, อ่าวพลีมาศ, อาหนี และอาจเลยไปถึงนาเกลือ[42] และทั้งหมดล้วนมีเชื้อสายจีนประสมอยู่ด้วย[1]

ทว่าหลังรัฐบาลสยามยอมยกเมืองตราดและปัจจันตคิรีเขตรแก่ฝรั่งเศสตามพิธีสารลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2447 เพื่อให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากเมืองจันทบุรี ต่อมามีการทำหนังสือลงนามระหว่างสยามกับฝรั่งเศสอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 โดยยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณแก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย กับเมืองตราด แต่ฝรั่งเศสไม่ได้ยกเมืองปัจจันตคิรีเขตรคืนมาด้วย ชาวไทยที่ตกค้างในนั้นจึงเปลี่ยนสภาพเป็นคนพลัดถิ่นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน[1] ก่อน พ.ศ. 2514 มีชาวไทยที่อาศัยในเกาะกงราว 40,000 คน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเขมรแดง ชาวไทยในเกาะกงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว บ้างก็โยกย้ายไปฝั่งไทย บ้างก็ถูกเขมรแดงสังหาร ทำให้ พ.ศ. 2528 เหลือชาวไทยในเกาะกงอยู่ราว 8,000 คน[43] สมัยนโรดม สีหนุเป็นกษัตริย์-รัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นเคยห้ามคนเกาะกงพูดภาษาไทย หากฝ่าฝืนจะถูกตำรวจจับ และบางรายโชคร้ายก็จะถูกฆ่า โดยในสมัยนั้นนายพลลอน นอลที่ทำงานใกล้ชิดกับสีหนุขณะนั้นเคยพูดไว้ว่า "คนไทเกาะกง แม้ว่าจะตายไปสักห้าพันคน ก็ไม่ทำให้แผ่นดินเขมรเอียง"[44] จากการกดขี่ดังกล่าว ชาวไทยในเกาะกงจึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยถึงสี่ระลอก ได้แก่ ระลอกที่หนึ่ง (พ.ศ. 2502–2512) ตรงกับยุคนโรดม สีหนุ ระลอกที่สอง (พ.ศ. 2513–2518) ตรงกับยุคลอน นอล ระลอกที่สาม (พ.ศ. 2518–2520) ในช่วงที่เวียดนามยึดครองกัมพูชา และระลอกที่สี่ (พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา) ถือว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง[1] ปัจจุบันชาวไทยในเกาะกงล้วนมีเครือญาติอยู่ในประเทศไทย นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในประเทศไทย และมีจิตสำนึกว่าตนเองเป็นคนไทย[45] และมีชาวไทยเกาะกงจำนวนไม่น้อยที่ยังตกค้างอยู่ประเทศไทยไม่อพยพกลับกัมพูชา จำนวนมากถึง 13,410 คน ใน พ.ศ. 2551[1]

ชาวไทยจากเกาะกงหลายคนมีบทบาททางการเมืองของกัมพูชา เช่น ใส่ ภู่ทอง จา เรียง (หรือ จำเรียง ศิริวงษ์) และเตีย บัญ (หรือ สังวาลย์ หินกลิ้ง) เพราะชาวไทยในเกาะกงตระหนักถึงความเป็นอื่นในกัมพูชา จึงรวมเป็นกลุ่มคณะอิสระ และพลพรรคไทยเกาะกง ด้วยมุ่งหวังความปลอดภัยและอำนาจอิสระในการปกครองตนเองของคนไทย[46] หลังสิ้นสุดยุคเขมรแดงใน พ.ศ. 2522 รัฐบาลกลางกัมพูชาประกาศยอมรับชาวไทยในเกาะกงเป็นชนชาติส่วนน้อย เป็นประชาชนกัมพูชาโดยนิตินัยเสมอภาคเท่าเทียมกับชาวเขมร มีอิสรภาพปกครองตนเอง มีสิทธิในการกำหนดนโยบายในการบริหารท้องถิ่นโดยยึดขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลัก[47] ในรัฐบาลฮุน เซน มีชาวไทยขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ยุทธ ภู่ทอง, บุญเลิศ พราหมณ์เกษร, รุ่ง พราหมณ์เกษร และมิถุนา ภู่ทอง[48] ทั้งนี้ชาวไทยเกาะกงที่เป็นชนชั้นปกครองนี้ ล้วนเป็นเครือญาติกันผ่านการสมรส[49]

จังหวัดพระตะบองและบันทายมีชัย

ส่วนกลุ่มชาวไทยและไทยโคราชที่อาศัยในจังหวัดบันทายมีชัยและพระตะบอง กลุ่มชาวไทยที่พูดภาษาไทยกลางมีประวัติการอยู่อาศัยมานานจากการที่เขมรตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24–25 เพราะช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีเจ้านายเขมรเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์สยามหลายครั้งก่อนกลับไปเสวยราชย์กรุงกัมพูชา พวกเขาก็ได้นำประเพณีในราชสำนักสยามกลับไปราชสำนักเขมรด้วย มีการส่งพระสงฆ์เขมรมาบวชเรียนในสยาม เพื่อสั่งสอนศาสนา รวมทั้งนำรูปแบบศิลปกรรมกลับไปใช้ โดยมีพระสงฆ์ชาวสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาและจำพรรษาในกัมพูชาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังพบพุทธศาสนสถานมีก่อสร้างสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทยตามแบบพระราชนิยมอยู่ดาษดา[39]

มีชาวไทยหลายคนเคยมีถิ่นพำนักในพระตะบอง เช่น สกุลอภัยวงศ์ หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) และจิตร ภูมิศักดิ์ ปัจจุบันคนไทยกลุ่มนี้กลมกลืนไปกับชาวเขมรเสียมาก ผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไปยังสามารถใช้ภาษาไทยได้ดี[50] แต่ผู้สืบเชื้อสายสกุลอภัยวงศ์ที่อาศัยในพระตะบอง พวกเขาเลือกที่จะไม่ใช้นามสกุลอภัยวงศ์แบบไทย เพราะเกรงผลกระทบทางการเมือง ด้วยฝ่ายกัมพูชามองว่าการกระทำของเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นการทรยศ ทั้ง ๆ ที่ตระกูลนี้ก็มีบรรพชนเป็นเขมร[51] หลังไทยได้ดินแดนจังหวัดพระตะบองและพิบูลสงครามคืนจากฝรั่งเศสในรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เมื่อ พ.ศ. 2484 เบื้องต้นดินแดนใหม่นี้ยังไม่มีกองทหารเข้าไปประจำการ มีเพียงตำรวจไทยเข้าประจำการเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีผู้อพยพชาวไทยอพยพเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนใหม่ โดยเฉพาะเมืองพระตะบองที่มีค่าอุปโภคบริโภคราคาเยา เพราะเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ และรัฐบาลไทยยังไม่ประกาศกฎหมายภาษีอากร ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับการฆ่าสัตว์หรือการประมง[52] หลังไทยคืนดินแดนสี่จังหวัดคืนให้กับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทยเริ่มส่งตัวข้าราชการไทยพร้อมสิ่งของกลับกรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนตุลาคม ราษฎรไทยพร้อมด้วยชาวเขมรและญวนบางส่วน ขออพยพติดตามข้าราชการไทยข้ามไปอาศัยในฝั่งไทยแถบอำเภออรัญประเทศ[53] แม้ดินแดนจะกลับคืนสู่การปกครองของฝรั่งเศสและกัมพูชาตามลำดับ แต่การไปมาหาสู่ของชาวไทยทั้งสองฝั่งยังดำเนินต่อไป ดังพบว่าช่วง พ.ศ. 2513 มีคนไทยจำนวนหนึ่งขับรถยนต์เข้าไปซื้อของที่ตลาดศรีโสภณ ซึ่งไกลจากชายแดนไทยราว 50 กิโลเมตร[54]

ส่วนชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวไทยโคราช เริ่มอพยพสู่กัมพูชาทั้งก่อนและหลัง พ.ศ. 2484 ครั้นไทยพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ได้คืนดินแดนเขมรส่วนในแก่ฝรั่งเศส ชาวไทยเหล่านี้จึงแปรสภาพเป็นคนพลัดถิ่น ปัจจุบันพวกเขาสมรสข้ามชาติพันธุ์กับชาวเขมร ลาว และกุลา อัตลักษณ์ที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียวคือการใช้ภาษาไทย ก็พบผู้ใช้น้อยลงทุกขณะ[55]

Remove ads

วัฒนธรรม

สรุป
มุมมอง

ภาษา

Thumb
ปืนใหญ่สองกระบอกด้านหน้าศาลากลางเมืองพระตะบองหลังเก่า ยังหลงเหลือจารึกอักษรไทยให้เห็น

ในอดีตสยามมีอิทธิพลเหนือกัมพูชามายาวนาน ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ภาษาไทยได้เข้าไปแทนที่โครงสร้างประโยคแบบเขมรยุคพระนคร[24] ในราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารจะใช้ภาษาไทยเป็นหลัก แต่ถัดมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ตรัสภาษาไทยได้ แต่พูดภาษาเขมรเป็นหลัก และชนชั้นผู้ดีเก่าในพนมเปญโดยมากพูดไทยได้คล่อง หรืออย่างต่ำก็ฟังไทยพอเข้าใจ แต่หลังกัมพูชาตกเป็นรัฐอารักขาของฝรั่งเศส คนชั้นหลังพูดภาษาฝรั่งเศส และใช้ภาษาไทยลดลง[56] การนับเลขเขมรตั้งแต่จำนวน 30 เป็นต้นไปก็ยืมมาจากการนับเลขของภาษาไทยทั้งหมด[57] คำราชาศัพท์เขมรในปัจจุบันมีการรับคำไทยเข้าไปใช้[58] เช่น ขึมขาต (เข็มขัด), จุตหมาย (จดหมาย), พระสุภาก (สไบห่ม มาจากคำว่า "สะพัก"), ทด (ดู มาจากคำว่า "ทอด"), พระทีนัง (พระที่นั่ง), ทรงเตีน (ตื่น) และยาง (เดิน มาจากคำว่า "ย่าง") เป็นต้น[59] นอกจากนี้ภาษาไทยยังเข้าไปมีอิทธิพลเหนือวรรณกรรมเขมรอย่างมีนัยสำคัญ[24] สามารถพบร่องรอยอักษรไทยตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ภาพจิตรกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ที่วัดบูร์ จังหวัดเสียมราฐ ที่มีการเขียนอักษรไทยกำกับภาพหลายแห่ง รวมทั้งได้สอดแทรกตราแผ่นดินสยาม และเครื่องแต่งกายแบบสยามไว้อย่างครบถ้วน[60] และพบอักษรไทยเขียนคำว่า พระตะบอง ที่เรือนของหลวงเสน่หาพิมล ข้าราชการของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ในเมืองพระตะบอง[61]

ชาวไทยในกัมพูชาในปัจจุบันสามารถพูดได้ทั้งภาษาไทยและเขมร แบ่งเป็นชาวไทยในจังหวัดบันทายมีชัยและพระตะบองมีผู้พูดทั้งภาษาไทยถิ่นกลางและกลุ่มภาษาไทยโคราช[62] แต่ลูกหลานบางส่วนเริ่มไม่ใช้ภาษาไทยแล้ว เพราะต้องใช้ภาษาเขมรในการสื่อสารเป็นหลัก[55] และพบว่าน้อยคนที่จะใช้ภาษาไทยได้[51] ขณะที่ชาวไทยในเกาะกงพูดภาษาไทยถิ่นกลางสำเนียงแบบเดียวกับจังหวัดตราด[63] และยังสื่อสารด้วยภาษาไทยเป็นหลัก[1] แต่เดิมเกาะกงในปี พ.ศ. 2506 เคยออกกฎห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย[64] โดยจะปรับเป็นคำละ 25 เรียล ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยอยู่ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่พบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ค่าปรับการพูดภาษาไทยเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียล หากไม่ปฏิบัติจะถูกแขวนป้ายประจาน ในหนังสือ รัฐบาลทมิฬ และ ปัตจันตคีรีเขตร์ เมืองแห่งความหลัง กล่าวถึงนางหล็อง หญิงไทยบ้านบางกระสอบ ทะเลาะกับสามีชื่อนายเห่ง นางหล็องหลุดปากด่าสามีเป็นภาษาไทย จนเรื่องไปถึงคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงให้ลงโทษนางหล็องด้วยการใช้แรงงานหนัก นางหล็องไม่ยอมรับจึงดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย สร้างความสะเทือนใจแก่ชาวไทยในเกาะกงที่ไม่สามารถใช้ภาษาบรรพบุรุษของตนได้[65] แต่ทุกวันนี้ภาษาไทยมีความสำคัญมาก ชาวกัมพูชาไม่ว่าไทยหรือเขมรนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในไทยเพื่อประโยชน์ด้านภาษา หลายคนต้องไปเรียนร่วมชั้นเรียนกับนักเรียนไทยรุ่นน้อง เมื่อใช้ภาษาไทยได้คล่องแคล่วแล้วก็จะลาออกกลางคันกลับไปทำงานที่กัมพูชา[66]

ศาสนา

ชาวเขมรรับศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากสยาม หลังอิทธิพลของศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายานเสื่อมลงไป[67] ในระยะหลังมีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จากสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธ และจำพรรษาในกัมพูชา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[39] นับเป็นกลไกทางอิทธิพลจากราชสำนักสยามที่เรียกว่าการทำให้เป็นสยาม (Siamization)[37] และในรัชสมัยของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ซึ่งเป็นพระราชโอรสบุญธรรมของพระมหากษัตริย์สยาม ทรงมองว่า การปฏิรูปศาสนาพุทธในสยามถือเป็นความก้าวหน้าและพัฒนาเชิงกายภาพของพระศาสนา นับว่าเป็นภาวะทันสมัย (Modernization) ที่ทรงปรารถนาให้เกิดขึ้นในกัมพูชา[40] แต่การเข้ามาของธรรมยุติกนิกายเผยแผ่แก่ชาวเขมร ทำให้คณะสงฆ์เขมรแตกออกเป็นสองกลุ่ม คือ คณะมหานิกาย และธรรมยุต เช่นเดียวกับสยาม คณะมหานิกายกลับมีบทบาทโดดเด่นกว่า ส่วนคณะธรรมยุตก็มีบทบาทในการต่อต้านฝรั่งเศสร่วมกับชาวเขมร[68] แต่คณะธรรมยุตก็ไม่ได้นำความทันสมัยสู่สังคมเขมร อย่างที่เคยเกิดขึ้นในสยาม[69]

ขณะชาวไทยในเกาะกงหรือในขณะนั้นคือเมืองปัจจันตคิรีเขตรนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเช่นกัน แต่ก็มีอิทธิพลจากศาสนาชาวบ้านหรือเคยมีความเชื่อแปลก ๆ ด้วย เพราะช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีนักบวชอลัชชีเชื้อสายญวนคนหนึ่ง ชื่อ องค์โด้ มาตั้งสำนักอยู่ริมแม่น้ำเกาะปอ (ปัจจุบันคือบ้านเสาธง จังหวัดเกาะกง) ซึ่งอ้างต้วว่ามีวิชาอาคม และประกอบพิธีกรรมแปลก ๆ เช่น เปลือยกายและแสดงตนว่าเป็นพระยาควายทรพี คลานสี่เท้า ไปดมก้น และขี่หลังแม่ชีสาว ๆ ในสำนักที่เปลือยกายเช่นกัน ภายหลังรัฐบาลสยามได้ส่งทหารไปจับตัวลูกศิษย์องค์โด้ แต่องค์โด้หลบหนีหายไป ลัทธิประหลาดนี้ก็สาบสูญไปด้วย หลงเหลือเพียงภูมินามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวองค์โด้ในจังหวัดเกาะกง[70] ทุกวันนี้ชาวไทยในจังหวัดเกาะกงยังคงสวดมนต์ด้วยบาลีสำเนียงไทยและภาษาไทยอย่างเดียวกับในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ในรัฐบาลนโรดม สีหนุ เคยบังคับให้พระภิกษุไทยสวดมนต์ด้วยสำเนียงเขมรและใช้ภาษาเขมร สร้างความอึดอัดใจแก่ชาวไทยเกาะกงมาก[1] นอกจากนี้พวกเขาให้ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติ และยังบูชาเจ้าแม่ทับทิมตามคติจีน เพราะพวกเขามีเชื้อสายจีนมาประสม[1]

นอกจากกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธแล้ว ยังมีกลุ่มคนไทยที่นับถือศาสนาคริสต์ในกัมพูชาอีกจำนวนหนึ่ง เดิมชาวไทยเข้ารีตกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในเขตแดนของเวียดนาม แต่ถูกกองทัพเขมรเกณฑ์มาไว้ในฝั่งกัมพูชา ต่อมามองซิเออร์ ปีแยร์ ลังเกอนัว ได้พาคนเข้ารีตจำนวน 450 คน และทาสชาวเขมรเข้ารีตอีก 100 คน เข้ามายังกรุงเทพมหานครในช่วง พ.ศ. 2328–2329 เหลือคนไทยเข้ารีตตกค้างอยู่ในเมืองเขมรอีก 270 คน[31]

นาฏกรรม

Thumb
เนียงเซดาและกรงเรียบ ถ่ายที่พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล พนมเปญ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19

อาณาจักรอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลการแสดงประเภทคำพากย์จากเขมรสมัยพระนครและหลังพระนคร[71] สังเกตได้จากรูปลักษณ์และการแต่งกายของโขน ซึ่งใกล้เคียงกับรูปแกะสลักในปราสาทขอมโบราณ[72] แต่เมื่อเข้าสู่สมัยอยุธยาตอนปลาย วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงพัฒนาการด้านการแต่งกายของตนเอง[73][30] เพราะการแสดงประเภทละคร ได้แก่ ละครนอก และละครใน กลายเป็นเครื่องราชูปโภคอย่างหนึ่งของราชสำนักอยุธยา ซึ่งมีได้แต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ก่อนตกทอดสู่ราชสำนักยุครัตนโกสินทร์ ความนิยมต่อละครในราชสำนักรัตนโกสินทร์คงจะส่งอิทธิพลต่อเจ้านาย และเชื้อพระวงศ์เขมรที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์สยามในยุคนั้นไม่น้อย[71]

ในยุครัตนโกสินทร์ มีคณะละครไทยไปจัดการแสดงที่กัมพูชา ในรัชสมัยสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีได้ครูละครผู้ชายจากกรุงเทพฯ ไปเป็นละครนอก[29] ต่อมามีคณะละครผู้หญิงชาวสยามของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปเมืองเขมรช่วงที่รบกับญวน และได้กลายเป็นครูละครหญิงของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี[29] ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงหานางละครสยามจากกรุงเทพฯ ไปชุบเลี้ยง โดยมากได้นางละครจากเจ้านายวังหน้าไปเป็นครูละครในเมืองเขมรหลายคน[74] ได้แก่ ครูละครคณะเจ้าคุณจอมมารดาเอม ละครพระองค์เจ้าดวงประภา และละครพระองค์เจ้าสิงหนาท มาฝึกหัดในราชสำนักเขมร[75] การแสดงในช่วงนั้นนิยมแสดงเป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว[29] ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ ทรงนำคณะละครนอกและละครในมาเล่นประสมโรง และเล่นเป็นภาษาไทยและเขมร[29] ฮิเดโอะ ซาซางาวะ จากสถาบันวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยโซเฟีย ระบุว่าการแสดงละโคนโขลของกัมพูชา รับอิทธิพลการแสดงโขนของไทยเป็นต้นแบบ[76][77]

ตัวละครชาวสยามมีชื่อเสียงหลายคน บางคนเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกากษัตริย์กัมพูชา เช่น หม่อมเหลียง และนักนางมะปรางหวาน ในสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร นักนางมะเฟือง และนักหนูน้ำ ในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์[32] และแพน เรืองนนท์ ในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์[33] นอกจากนี้ สตรีสยามบางคนที่มีความสามารถด้านการแสดงเป็นทุนเดิม ได้เป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง เช่น แม่เมือน[78] เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนกัมพูชาราว พ.ศ. 2467 ทรงพบหญิงไทยจากกรุงเทพฯ ที่เข้าไปรับราชการเป็นครูละครหรือเจ้าพนักงานในราชสำนักกัมพูชามาเข้าเฝ้า บางคนออกจากไทยมาทำงานในกัมพูชานานกว่าสี่สิบปี[79]

ด้วยความที่ศิลปะการแสดงมีอิทธิพลจากสยามอย่างสูง พระนางกุสุมะ นารีรัตน์ สิรีวัฒนา ทรงอุปถัมภ์คณะละครหลวงในราชสำนักเขมร[80] พระนางกุสุมะพยายามสร้างอัตลักษณ์ทางนาฏศิลป์เขมรคือระบำอัปสรา โดยมีการดัดแปลงชุดตามอย่างภาพเทวดาและอัปสรในนครวัด เพื่อปลดเปลื้องอิทธิพลนาฏศิลป์ไทยออก[81] สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี เจ้านายฝ่ายใน และนางละครกัมพูชา ทรงสัมภาษณ์กับ Khmer Dance Project ไว้ว่า "...ตั้งแต่ยุคนักองค์ด้วง กษัตริย์นโรดม และกษัตริย์สีสุวัตถิ์ อิทธิพลจากไทยมีสูงมาก เพราะเราขาดแคลนครู ครูจากไทยเดินทางมาถึงราชสำนักเขมร บางทีครูเขมรก็ไปที่ราชสำนักไทย นี่เป็นช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างราชสำนักไทยและราชสำนักเขมร..." และทรงตรัสอีกว่า "...มันคือการผสมผสานที่แท้จริง..."[82] กระนั้นท่ารำ และเพลงในระบำอัปสรา ก็ยังเป็นโครงสร้างท่ารำแบบไทย ไม่ได้นำมาจากภาพจำหลักในปราสาทขอม ที่นางอัปสรจะแอ่นตัวสูง วงสูง หรือยกขาสูง แต่กลับมีการจีบ วง เหลี่ยมเท้า และกระดกเท้าแบบรำไทย เพลงที่ใช้ก็มีลักษณะเดียวกับเพลงไทย คือ เพลงสมอ เพลงสีนวล เพลงจีนหน้าเรือ และเพลงเชิด[83] อย่างไรก็ตามการแต่งกายของนางละครเขมรยังเห็นอิทธิพลของสยามให้เห็นอยู่ จากการศึกษาของสุรัตน์ จงดา (2564) พบว่า การแต่งกายของนาฏศิลป์เขมรในปัจจุบัน รับอิทธิพลจากละครวังหน้าของสยาม ได้แก่ มงกุฎสตรีที่มีกระบังหน้า และเกี้ยวยอดแบบหุ่นวังหน้า เจียระบาดของตัวยักษ์แบบหุ่นวังหน้า รวมทั้งการทัดอุบะแบบวังหน้า ยังคงได้รับการสืบทอดอยู่ในนาฏศิลป์เขมรจนถึงปัจจุบัน[84]

ด้วยวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันระหว่างสองชาติ คือ ไทยและกัมพูชา มักถูกใช้เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมกัมพูชา สร้างความเกลียดชังแก่ไทย ด้วยกล่าวหาว่าคนไทยเป็นชาติขี้ขโมย ผู้ฉกฉวยวัฒนธรรมกัมพูชา โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชามีการหาเสียงเลือกตั้ง กระแสนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อย ๆ[82]

วรรณกรรม

หลังการรับครูละคร และตัวละครชาวสยามเข้าไปในราชสำนักเขมร ในยุคแรกเริ่มนั้นจะใช้บทละครที่ได้รับมาจากราชสำนักรัตนโกสินทร์ที่มีภาษาไทยเป็นหลัก ก่อนแปลเป็นบทละครภาษาเขมรในชั้นหลัง เพื่อใช้ในการแสดงละครในโดยเฉพาะ โดยเฉพาะเรื่อง รามเกียรติ์ และ อิเหนา[85] ศานติ ภักดีคำ ราชบัณฑิต ระบุว่า เมื่อนำ เรียมเกรติ์ ภาค 2 ซึ่งเป็นรามายณะฉบับเขมร มาเปรียบเทียบกับรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พบว่า เรียมเกรติ์ ภาค 2 ของกัมพูชา มีเนื้อหาคล้ายกับรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตรงกันแบบบทต่อบท จนกล่าวได้ว่า เรียมเกรติ์ของเขมร เป็นการแปลรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ไปเป็นภาษาเขมรอย่างชัดเจน[86] สาวรส เพา (2525) อ้างว่า เรียมเกรติ์ ภาค 2 ได้รับอิทธิพลมาจากอุตตรกาณฑ์ในมหากาพย์ รามายณะ ที่แต่งโดยฤๅษีวาลมีกิ ส่วนศานติ ภักดีคำ อธิบายว่า จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าเขมรสมัยหลังพระนครไม่น่าจะได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีสันสกฤตโดยตรงอีก แต่อาจจะได้รับผ่านแหล่งอื่นมากกว่า เพราะเรียมเกรติ์ของกัมพูชานั้น ญุก แถม นักวรรณคดีชาวเขมร สันนิษฐานว่าแต่งขึ้นในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ จนถึงสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี[87] ส่วน อิเหนาคำเขมร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ อิเหนา ฉบับพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พบว่า มีเนื้อความตรงกันทุกบท และตรงกันบทต่อบท แม้จะมีคำที่ใช้ต่างกันอยู่บ้าง[88]

นอกจากนี้ยังมีการแปลวรรณกรรมไทยเป็นภาษาเขมรอีก โดยเฉพาะผลงานของสุนทรภู่ ได้แก่ พระอภัยมณี ไม่ปรากฏผู้แปล ลักษณวงศ์ แปลโดยออกญาปราชญาธิบดี (แยม) และ จันทโครพ แปลโดยสอาต[89] สุนทรภู่เองก็ได้รับความนิยมในเขมรมาก พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารทรงตั้งราชทินนามแก่ขุนนางชื่อมุก ซึ่งชำนาญด้านวรรณกรรมว่า ออกญาสันธรโวหาร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า สันธรมุก แบบเดียวกับ สุนทรภู่[90] นอกจากนี้งานประพันธ์ของสุนทรภู่ยังส่งอิทธิพลการใช้สัมผัสนอก สัมผัสใน เพื่อเพิ่มความไพเราะอันเป็นคุณสมบัติเด่นของสุนทรภู่ลงในการแต่งคำประพันธ์เขมร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวรรณกรรมเขมร[91]

ส่วนวรรณกรรมไทยที่ถูกแปลเป็นภาษาเขมรอีกเรื่องคือ สุภาษิตสอนหญิง แปลโดยออกญาสุตตันตปรีชา (อินท์) เพราะมีเนื้อหาคล้ายกันหลายประการ[92] และ กากีคำกลอน แปลโดยสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี แต่ลาง หาบอาน นักวิชาการชาวกัมพูชาอ้างว่าพระองค์ไม่ได้คัดลอกเนื้อหามาทั้งหมด รวมถึงวรรณกรรมที่แปลจากไทยเรื่องอื่น ๆ ด้วย[93]

ชาวไทยในเกาะกงมีวรรณกรรมของตนเอง คือ พลเมืองเกาะกง ประพันธ์แบบร่าย และอีกเรื่องคือ ปัจจันตนคโรปมคาถา เป็นพระธรรมเทศนา ทั้งสองเรื่องเป็นการสร้างจิตสำนึกแก่ชาวไทยเกาะกงที่แปรสถานภาพเป็นประชากรของอีกประเทศหนึ่ง และเตือนตนให้รู้สำนึกถึงความเป็นคนไทยผ่านวรรณกรรมทางศาสนาพุทธ[1]

สถาปัตยกรรม

Thumb
วัดด็อมเร็ยซอ หรือวัดช้างเผือก เมืองพระตะบอง

สถาปัตยกรรมไทยส่งอิทธิพลต่อการสร้างศาสนสถานของชาวเขมร ซึ่งได้มาจากการรับอิทธิพลจากราชสำนักสยามโดยตรง กับการรับผ่านพระภิกษุสงฆ์ที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาในกัมพูชา โดยรับรสนิยมการก่อสร้างแบบสยามเข้ามา ดังจะพบสิ่งก่อสร้างที่ได้รับอิทธิพลจากสยามปรากฏในเห็นอยู่ดาษดื่น[39] และเกิดการผสมผสานรูปแบบศิลปกรรมโดยหยิบยืมจากลักษณะนิยมของสถาปัตยกรรมสยาม กับศิลปกรรมสกุลช่างท้องถิ่น จากพลวัตทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม[94] ดังกรณี วัดด็อมเร็ยซอ (หรือวัดช้างเผือก) จังหวัดพระตะบอง มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเดียวกันกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร[95] และจำหลักภาพรามเกียรติ์ด้วยศิลานูนต่ำแบบเดียวกันกับวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร[96] ภาพจิตรกรรมเรื่องรามเกียรติ์ที่วัดเรียจโบร์ จังหวัดเสียมราฐ ที่นอกจากจะมีการเขียนอักษรไทยกำกับภาพหลายแห่งแล้ว ยังได้สอดแทรกตราแผ่นดินสยาม และเครื่องแต่งกายแบบสยามไว้อย่างครบถ้วน[60] โดยการแทรกตราแผ่นดินสยาม เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า ชาวเขมรอยู่ภายใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์สยาม[97] เพราะวัดเรียจโบร์ถูกสร้างขึ้นในยุคที่สยามยังมีอำนาจเหนือเมืองเสียมราฐ[6]

นอกจากนี้สถาปัตยกรรมไทยยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล และวัดพระแก้วมรกต ในกรุงพนมเปญ[98][99][100] โดยเฉพาะจิตรกรรมเรื่องเรียมเกรติ์ที่พระระเบียงวัดพระแก้วมรกต ซึ่งถอดแบบมาจากภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์จากพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร[101]

Remove ads

เศรษฐกิจ

สื่อบันเทิง

ไทยมีการลงทุนด้านสื่อบันเทิงในประเทศกัมพูชาจำนวนมาก ตั้งแต่ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ ซีรีส์ และเพลง โดยกัมพูชาได้นำสื่อบันเทิงของไทยไปเผยแพร่ ทำซ้ำ และดัดแปลง ทั้งถูกลิขสิทธิ์และละเมิดลิขสิทธิ์[102] โดยชาวเขมรจะนิยมละครโทรทัศน์แบบย้อนยุคมียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่นิยมละครที่แย่งชิงสามีภรรยา หรือละครจักร ๆ วงศ์ ๆ แบบไทย[103] กรณีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือละครโทรทัศน์เรื่อง ดาวพระศุกร์ (2537) มีสุวนันท์ คงยิ่ง เป็นนักแสดงนำ ซึ่งชาวเขมรชื่นชอบมาก ทว่าเวลาต่อมามีหนังสือพิมพ์กัมพูชารายหนึ่ง รายงานข่าวว่าสุวนันท์พูดว่า "กัมพูชาขโมยหรือช่วงชิงปราสาทหินนครวัดไปจากประเทศไทย และเธอปฏิเสธที่จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา จนกว่ากัมพูชาจะมอบนครวัดคืนให้ประเทศไทย" จากนั้น ฮุน เซนมีคำสั่งให้ระงับการฉายละคร ลูกไม้ไกลต้น (2543) ซึ่งสุวนันท์แสดงนำทันที โดยกล่าวว่า "นางเอกสาวชาวไทยอย่าได้สำคัญตนผิดไป เพราะเธอไม่มีค่าเท่ากับต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่รอบนครวัดด้วยซ้ำ" พร้อมทั้งตำหนิชาวเขมรที่แขวนรูปนักแสดงไทยแทนที่จะแขวนพระฉายาลักษณ์กษัตริย์กัมพูชา[104] ความไม่พอใจยิ่งทวีขึ้นจนก่อให้เกิดเหตุจลาจลในพนมเปญ พ.ศ. 2546 มีการเผาทำลายสถานทูตไทยในพนมเปญ รวมทั้งปล้นชิงทรัพย์สินของชาวไทยในกัมพูชา[102][104] และปัจจุบันนี้ละครโทรทัศน์ไทยถูกจำกัดไม่ให้ฉายในช่องหลัก ตามคำสั่งของรัฐบาลกัมพูชา[105]

Remove ads

ชาวไทยเกาะกงที่มีชื่อเสียง

Thumb
สมเด็จพิชัยเสนา (เตีย บัญ) ทหารและนักการเมืองกัมพูชาเชื้อสายไทยจากเกาะกง
  • กอย ลวน หรือ ล้วน อัมพร – ผู้ว่าราชการจังหวัดกำปอต ปี พ.ศ. 2522
  • พลเอก แกว ตำ หรือ แก้ว ต่ำ – จเรทหาร
  • จา เรียง หรือ จำเรียง ศิริวงษ์ – อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา
  • พลตรี เตีย เซ็ยฮา – ผู้ว่าราชการจังหวัดเสียมราฐ
  • พลเอก เตีย บัญ หรือ สังวาลย์ หินกลิ้ง – รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[106] และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเสียมราฐ สังกัดพรรคประชาชนกัมพูชา[107]
  • พลเรือเอก เตีย วิญ – ผู้บัญชาการกองทัพเรือกัมพูชา
  • พลตำรวจเอก ทอง จ้อน หรือ จ้อน อินทสุวรรณ – รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา
  • บุน เลิต หรือ บุญเลิศ พราหมณ์เกษร – อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
  • พลเอก พร นารา – เจ้ากรมทหารสื่อสาร
  • ไพฑูรย์ พราหมณ์เกษร – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
  • มิถุนา ภู่ทอง – ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
  • ยุทธ ภู่ทอง – อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดไพรแวง และเกาะกง
  • รุ่ง พราหมณ์เกษร – อดีตสมาชิกสภาแห่งชาติ และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง
  • ลี ยงพัด หรือ พัด สุภาภา – นักธุรกิจชาวไทยเกาะกง[108]
  • ใส่ ภู่ทอง – อดีตสมาชิกกรรมการกลาง และกรมการเมืองพรรคประชาชนปฏิวัติ, รองประธานสภาแห่งรัฐ (เทียบเท่าประมุขแห่งรัฐในขณะนั้นคือเฮง สัมริน)
  • เอ ภู่ทอง - นักกีฬามวยเขมร (กุนเขมร) และนักกีฬาคิกบอกซิง
Remove ads

หมายเหตุ

หมายเหตุ ก เป็นจำนวนผู้มีเชื้อสายไทยในจังหวัดเกาะกงเท่านั้น มิได้นับรวมบุคคลผู้มีเชื้อสายไทยในภูมิภาคอื่น เช่น พนมเปญ พระตะบอง และบันทายมีชัย ที่มีชุมชนไทยอาศัยอยู่[62]

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads