คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112

ความขัดแย้งระหว่างสยามและฝรั่งเศส จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112
Remove ads

วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือที่รู้จักในระดับนานาชาติว่า วิกฤตการณ์ฝรั่งเศส–สยาม เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการทูตและการทหารระหว่างสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สามกับราชอาณาจักรสยาม ซึ่งเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ในบริบทของการขยายอิทธิพลจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสเข้าสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง วิกฤตการณ์ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้สยามต้องสูญเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่อินโดจีนของฝรั่งเศส และเป็นหมุดหมายสำคัญในการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์การทูตของสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19

ข้อมูลเบื้องต้น วิกฤตการณ์ฝรั่งเศส–สยาม, วันที่ ...

ต้นตอของวิกฤตการณ์เริ่มต้นจากความพยายามของฝรั่งเศสในการขยายอำนาจเหนือดินแดนลาว โดยอ้างความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์และประวัติศาสตร์ระหว่างลาวกับเวียดนามซึ่งอยู่ภายใต้การอารักขาของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงถือว่าดินแดนลาวควรอยู่ในขอบเขตอิทธิพลของตน การแต่งตั้งโอกุสต์ ปาวี เป็นรองกงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบางใน พ.ศ. 2429 ทำให้ฝรั่งเศสมีบทบาทแทรกแซงกิจการภายในลาวมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝ่ายสยามยังคงถือสิทธิ์เหนือหัวเมืองลาวจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการปกครอง จนนำไปสู่ความขัดแย้งซ้ำซ้อน ฝรั่งเศสใช้เหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายเป็นข้ออ้างในการข่มขู่และเรียกร้องทางการทูต ซึ่งรัฐบาลสยามพยายามเจรจาแก้ไขโดยสันติวิธี แต่ไม่ประสบผล

ความตึงเครียดถึงจุดสูงสุดเมื่อฝรั่งเศสส่งเรือรบสองลำ ได้แก่ แองกองสตอง (Inconstante) และ กอมเมต (Comète) ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของฝ่ายไทย เข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2436 เกิดการยิงปะทะกับป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งฝ่ายสยามเสียเปรียบด้านกำลังรบและการสนับสนุนทางการเมืองในระดับนานาชาติ สุดท้ายสยามต้องยินยอมลงนามในสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 โดยยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทั้งหมดให้ฝรั่งเศส รวมถึงเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ ผลลัพธ์ของวิกฤตการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้สยามสูญเสียดินแดนเป็นวงกว้าง แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่นำไปสู่การปฏิรูประบบราชการ ทหาร และการต่างประเทศของสยาม เพื่อธำรงเอกราชภายใต้แรงกดดันจากลัทธิอาณานิคมของตะวันตกในยุคจักรวรรดินิยม

Remove ads

สาเหตุความขัดแย้ง

สรุป
มุมมอง
Thumb
แผนที่ทางรัฐศาสตร์ของราชอาณาจักรสยามก่อนสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112

จากความสัมพันธ์อันดีระหว่างสยามกับฝรั่งเศสที่มีมาอย่างยาวนาน ความขัดแย้งเริ่มปรากฏใน พ.ศ. 2428 เมื่อกองทัพหลวงสยาม นำโดยจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ยกกำลังไปปราบปรามกบฏฮ่อในดินแดนหัวพันทั้งห้าทั้งหกและเมืองพวน ซึ่งฝรั่งเศสได้กล่าวหาว่าสยามฉวยโอกาสรุกล้ำเข้าไปในดินแดนลาวที่ฝรั่งเศสถือว่าอยู่ในอำนาจของญวนซึ่งตนกำลังจัดระเบียบและวางระบบการปกครองอยู่ ต่อมา สยามและฝรั่งเศสได้ตกลงทำอนุสัญญาหลวงพระบาง โดยมีโอกุสต์ ปาวี ดำรงตำแหน่งรองกงสุลประจำเมืองหลวงพระบาง เพื่อดูแลผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในคาบสมุทรอินโดจีน และเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของสยามในดินแดนลาวและกัมพูชาซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ฝรั่งเศสมีเป้าหมายในการขยายอิทธิพล

ความขัดแย้งได้ยุติลงเมื่อพันตรี เปนเนอแกง ผู้บังคับการทหารฝรั่งเศสในแคว้นสิบสองปันนา ได้ลงนามในสัญญากับพระยาสุรศักดิ์มนตรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2431 สรุปความได้ว่าในระหว่างที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ข้อตกลงกัน ทหารฝรั่งเศสจะตั้งอยู่ในสิบสองจุไท ทหารสยามจะตั้งอยู่ในหัวพันทั้งห้าทั้งหก และเมืองพวน ต่างฝ่ายต่างจะไม่ล่วงเข้าไปในเขตซึ่งกันและกัน ส่วนที่เมืองแถงนั้นทหารสยามและทหารฝรั่งเศส จะตั้งรักษาอยู่ด้วยกันจนกว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะตกลงกัน รวมทั้งจะช่วยกันปราบฮ่อที่เป็นโจรผู้ร้ายอยู่ตามแนวชายแดนให้สงบ

ในการปราบฮ่อครั้งนี้ฝ่ายสยามเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีแผนที่เขตแดนอย่างชัดเจน จึงมอบหมายให้แมคคาร์ธี ที่ปรึกษาชาวอังกฤษ ซึ่งต่อมาได้รับราชการในราชสำนักสยามมีบรรดาศักดิ์เป็นพระวิภาคภูวดล ทำแผนที่ชายแดนทางภาคเหนือ จนถึงสิบสองจุไท แต่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดน เพราะยังตกลงกับฝรั่งเศสที่มีอำนาจเหนือดินแดนแห่งนี้ไม่ได้

ฝรั่งเศสมีท่าทีเรื่องเขตแดนพิพาทแข็งกร้าวมากขึ้น และข่มขู่มิให้มหาอำนาจอย่างอังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสได้นำปัญหาข้อพิพาทระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2435 โดยหยิบยกกรณีที่ ม.มาสซี เจ้าหน้าที่สถานกงสุลฝรั่งเศสเมืองหลวงพระบาง ถึงแก่กรรมโดยการฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2435 ที่เมืองจัมปาศักดิ์ ว่าเกิดจากการคุกคามและข่มขู่จากกองทัพสยาม มาใช้ประโยชน์ต่อกรณีพิพาทดังกล่าว ข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐสภาลงมติอนุมัติให้ดำเนินการโดยทันที โดยมีเงื่อนไขว่า ให้ใช้วิธีการที่ดีที่สุด สำเร็จโดยเร็ว โดยเสียเงินและเลือดเนื้อน้อยที่สุด

เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว จึงมีคำสั่งไปยังผู้สำเร็จราชการอินโดจีน ให้ดำเนิน การขับไล่กองกำลังสยามให้พ้นเขตแดนที่กำลังพิพาทกันอยู่ จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น พร้อมทั้งกล่าวหาว่าสยามไม่รักษาคำมั่นตามข้อตกลงเรื่องการรักษาสถานะเดิม คือการตกลงให้ต่างฝ่ายต่างคงอยู่ในเขตแดนเดิม และจะไม่รุกล้ำเข้าไปในแดนเขตของอีกฝ่ายหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสยามต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และให้ปล่อยตัวทหาร และคนในบังคับของฝรั่งเศส ที่ถูกสยามควบคุมตัวไว้ด้วย

วันที่ 21 มีนาคม 2435 ฝรั่งเศสได้ส่งเรือลูแตง (Lutin) เข้ามาจอดทอดสมออยู่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส ในพระนคร เพื่อแสดงแสนยานุภาพ โดยมีผู้บัญชาการสถานีทหารเรือเมืองไซ่ง่อนเข้ามาเจรจาและร้องขอให้สยามยอมรับเขตแดนญวนว่าจรดถึงฝั่งซ้ายลำน้ำโขง แต่สยามคัดค้านคำร้องขอนี้ พร้อมทั้งได้ดำเนินการทางการทูตกับอังกฤษเรื่องตั้งอนุญาโตตุลาการตัดสินปัญหาความขัดแย้ง และเชิญสหรัฐอเมริกาเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แต่ฝรั่งเศสปฏิเสธไม่ยอมรับตามที่เสนอ สยามจึงเตรียมการป้องกันปากน้ำเจ้าพระยา

Remove ads

บริบท

สรุป
มุมมอง

ความขัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในบริบทของอินโดจีนเริ่มก่อตัวอย่างชัดเจนเมื่อ ฌอง เดอ ลาแนสซัง ผู้ว่าราชการอินโดจีนของฝรั่งเศส มีคำสั่งแต่งตั้ง โอกุสต์ ปาวี ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งกงสุลประจำจังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) เพื่อดำเนินนโยบายขยายอิทธิพลของฝรั่งเศสในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการนำดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงเข้าสู่ขอบเขตอธิปไตยของฝรั่งเศสผ่านการอ้างสิทธิเหนือดินแดนของเวียดนาม ซึ่งฝรั่งเศสกำลังจัดระเบียบการปกครองอยู่ในขณะนั้น อย่างไรก็ดี รัฐบาลสยามยังคงยึดมั่นในหลักการแห่งอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว และมีความเชื่อผิดพลาดว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งมีผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้จะให้การสนับสนุนทางการทูตแก่สยาม จึงปฏิเสธข้อเรียกร้องของฝรั่งเศสและตอบโต้ด้วยการเสริมความเข้มแข็งทางการปกครองและกำลังทหารในพื้นที่พิพาท การกระทำดังกล่าวยิ่งทำให้ฝรั่งเศสเห็นว่าสยามกำลังท้าทายอิทธิพลของตนในอินโดจีน และนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยามในแขวงคำม่วนและจังหวัดหนองคายมีคำสั่งขับไล่พ่อค้าชาวฝรั่งเศสสามรายออกจากแม่น้ำโขงตอนกลางในเดือนกันยายน พ.ศ. 2436 โดยสองในจำนวนนี้ถูกต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าฝิ่น

ความตึงเครียดทางการเมืองในครั้งนั้นยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นเมื่อ กงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง มัซซี (Massie) ซึ่งอยู่ในภาวะกดดันและหวาดวิตกจากสถานการณ์ในพื้นที่ ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมระหว่างเดินทางกลับเมืองไซ่ง่อน เหตุการณ์การเสียชีวิตของมัซซีถูกกลุ่มชาตินิยมและขบวนการล่าอาณานิคมในฝรั่งเศสใช้เป็นเครื่องมือปลุกเร้าอารมณ์สาธารณะและสร้างกระแสต่อต้านสยามในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีความชอบธรรมในการดำเนินมาตรการแทรกแซงอย่างเป็นรูปธรรม โดยภายหลังการเสียชีวิตของมัซซี ปาวี ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2436 ปาวีได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลสยามอย่างชัดเจนให้ถอนกำลังทหารออกจากดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงบริเวณใต้คำม่วน โดยอ้างว่าเป็นดินแดนของเวียดนามซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เพื่อแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว ฝรั่งเศสได้ส่งเรือปืน รูแตง (Lutin) เข้าประจำการที่แม่น้ำเจ้าพระยาใกล้สถานอัครราชทูตลาวในจังหวัดพระนคร ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงการใช้กำลังทางทหารเป็นแรงกดดันทางการทูต และสะท้อนจุดยืนของฝรั่งเศสที่มุ่งใช้มาตรการทางอำนาจแข็งในการผลักดันผลประโยชน์อาณานิคมเหนือดินแดนที่สยามยังอ้างสิทธิเหนืออยู่

Remove ads

ลำดับเหตุการณ์สำคัญ

สรุป
มุมมอง

เมื่อเห็นว่าฝรั่งเศสดำเนินการทางทหารเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพิจารณาเห็นว่าจะต้องเตรียมการด้านการทหารและความมั่นคงเพื่อความปลอดภัยของราชอาณาจักร จึงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งกรรมการปรึกษาการป้องกันพระราชอาณาเขต จำนวน 8 ท่าน ประกอบด้วย

  1. สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ
  2. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ
  3. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสนาบดีกระทรวงการคลัง
  4. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร
  5. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
  6. เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (พุ่ม ศรีไชยยันต์) เสนาบดีกระทรวงกลาโหม
  7. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นปราบปรปักษ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
  8. เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เสนาบดีกระทรวงเกษตรพานิชการ

วันที่ 10 กรกฎาคม 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลายพระหัตถ์เลขาถึงอ็องเดร ดูว์ แปลซี เดอ รีเชอลีเยอ แจ้งกำหนดเรือรบฝรั่งเศสจะเข้าพระนครในวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 เวลาเย็น โดยให้อ็องเดร ดูว์ แปลซี เดอ รีเชอลีเยล เตรียมการวางตอร์ปิโดให้เต็มช่องยิง และมีพระบรมราชานุญาตให้ทำการยิงตอบโต้ได้

วันที่ 11 กรกฎาคม 2436สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศได้มีโทรเลขไปยังอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส แจ้งเรื่องเรือรบฝรั่งเศสที่จะเข้ามาแสดงแสนยานุภาพข่มขู่สยาม ให้นำความไปเรียนต่อ ม.เดอ แวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ฝรั่งเศส) และได้รับคำชี้แจงจากฝรั่งเศสว่าที่ฝ่ายทหารกระทำการลงไปนั้นไม่ได้มุ่งหมายจะให้เรือรบเข้าไปในพระนครเพื่อข่มขู่สยามแต่ประการใดฝรั่งเศสมีความประสงค์อย่างเดียวกับอังกฤษที่ส่งเรือรบเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้น และรับรองว่าจะถอนคำสั่งเดิมเสีย

วันที่ 13 กรกฎาคม 2436 ม.เดอแวลล์ ได้มีโทรเลขถึง โอกุสต์ ปาวี ราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพ ฯ ถึงเรื่องที่กองทัพสยามได้วางลูกตอร์ปิโดไว้ในร่องน้ำ ให้แจ้งแก่กองเรือฝรั่งเศสทราบว่า รัฐบาลฝรั่งเศสตกลงจะยับยั้งไม่ให้เรือลำใดข้ามสันดอนเข้าไปก่อนเวลานี้ โทรเลขฉบับนี้มาถึงม.ปาวี เวลาเช้าของวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 แต่ยังมิได้ดำเนินการทางการทูตเพื่อยับยั้งความขัดแย้ง ได้เกิดการปะทะกันบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเสียก่อน และตอนเย็นถึงค่ำการสู้รบยิ่งทวีความรุนแรงท่ามกลางที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อเรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ และเรือนำร่องก็แล่นเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา ทหารที่ประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า ทำการยิงด้วยดินเปล่าเป็นสัญญาณเตือน 3 นัดให้ถอยเรือกลับไป แต่กองเรือฝรั่งเศสยังคงรุกล้ำเข้ามา ทหารบนฝั่งจึงยิงด้วยกระสุนจริง แต่ตั้งเป้าให้ลูกปืนตกคล่อมหัวเรือไป ในการปะทะนี้ทหารเรือไทย เสียชีวิต 8 นาย สามารถยิงให้เรือนำร่องเยเบเซท้องทะลุ ต้องแล่นไปเกยตื้น และฝรั่งเศสตาย 3 นาย แต่เรือฝรั่งเศสอีกสองลำยังคงแล่นทวนน้ำเข้าพระนครต่อไป

วันที่ 14 กรกฎาคม 2436 ซึ่งเป็นวันชาติของฝรั่งเศส ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบและการปะทะตามจุดต่างๆ เพื่อเป็นการให้ความเคารพ “เรือธง” ของฝรั่งเศส การเจรจาเพื่อหาข้อยุติจึงเริ่มขึ้น

Remove ads

บทบาทของอังกฤษ และ สหรัฐอเมริกาต่อกรณีความขัดแย้ง

สรุป
มุมมอง

อังกฤษ ในนามของรัฐบาลบริเตนใหญ่ ได้เข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ในลักษณะถ่วงดุลอำนาจกับฝรั่งเศสเมื่อเห็นว่าความขัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศสอาจขยายเป็นการทำสงคราม วันที่ 22 มีนาคม 2436 กัปตันโยนส์ ราชทูตอังกฤษได้ส่งโทรเลขไปยัง ลอร์ดโรสเบอรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขออนุญาตส่งเรือรบสวิฟท์ (Swiff) เข้าไปคุ้มครองทรัพย์สมบัติของอังกฤษ และรักษาความสงบเรียบร้อย ในกรณีที่อาจเกิดสงครามขึ้นในพระนคร เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว วันที่ 20 เมษายน 2436 ราชนาวีอังกฤษได้ส่งเรือสวิฟท์ เข้ามาทอดสมอหน้าสถานทูตอังกฤษ

อังกฤษทราบว่าฝรั่งเศสได้สั่งเคลื่อนกำลังทางเรือให้มารวมกันอยู่ที่ไซ่ง่อน และสืบทราบว่าฝรั่งเศสจะส่งกองเรือเข้ามารุกรานสยาม ในขณะที่ฝ่ายสยามเองได้เตรียมการป้องกันปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้เอาเรือมาจมขวางไว้ที่ปากน้ำ เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ทำให้เกิดความวิตกกังวลในวงการค้าทั่วไป อังกฤษจึงคิดจะส่งเรือรบเข้ามาในสยามอีกเพื่อคุมเชิงฝรั่งเศส และเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของชนชาติอังกฤษ แต่การดำเนินการของอังกฤษ กลับสร้างความตรึงเครียดขึ้นบริเวณอ่าวสยาม เมื่อฝรั่งเศสได้ทราบว่าอังกฤษได้จัดส่งเรือรบเข้ามาเพิ่มเติม และรู้สึกว่ามีทีท่าในทางส่งเสริมให้กำลังใจฝ่ายสยาม และอาจเป็นการคุกคามฝรั่งเศส จึงส่งเรือรบเข้ามาเพิ่มเติมอีกสองลำชื่อว่า โกแมต (Comete) และ แองกงสตัง (Inconstang) เดินทางเข้าสู่ปากน้ำเจ้าพระยา เพื่อกดดันฝ่ายสยาม

ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกา ที่มีอิทธิพลเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกคาบเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ ได้รับการติดต่อจากสยามให้เข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และเข้าร่วมเป็นอนุญาโตตุลาการ ซึ่งเห็นว่าจะเป็นหนทางที่แก้ไขความขัดแย้งโดยสันติ จึงยินดีเข้าร่วม แต่ได้รับการคัดค้านจากฝรั่งเศสเพราะฝรั่งเศสเห็นว่าท่าทีของสหรัฐอเมริกานั้นไม่แตกต่างจากอังกฤษ กล่าวคือสนับสนุนสยาม อีกทั้งนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาคือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ ถือนโยบายโดดเดี่ยว (Isolation) เมื่อฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยจึงถอนตัวออกไป ปธน โกลเวอร์ คีฟแลนด์ ของสหรัฐพยายามเจรจากรณีของเหตุรศ 112 แต่ฝรั่งเศสปฏิเสธและกล่าวหาว่าไทยพยายามยึดดินแดนดังกล่าว.

Remove ads

การดำเนินการเพื่อยุติความขัดแย้ง

สรุป
มุมมอง

เมื่อเกิดการสู้รบกันขึ้นที่ปากน้ำเจ้าพระยาในตอนเย็นวันที่ 13 กรกฎาคม 2436 แล้ว Auguste Pavie ได้รายงานเหตุการณ์ไปยังกรุงปารีสโดยทันที และในวันที่ 14 กรกฎาคม 2436 ม.เดอ แวลล์ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศฝรั่งเศสได้โทรเลขแจ้งให้ Auguste Pavie ขอคำอธิบายจากเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศของสยามโดยทันที และแจ้งด้วยว่าได้สั่งการไปยังนายพลเรือ ฮูมานน์ ให้เรือหยุดอยู่ที่สันดอนปากน้ำเจ้าพระยา พร้อมทั้งทูลให้พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ทรงทราบว่าสยามจะต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ขณะที่ทางพระนคร เหตุการณ์ตึงเครียด ได้พยายามทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายเพื่อมิให้เกิดการสู้รบกันขึ้นอีก ขณะฝ่ายฝรั่งเศสคงยืนยัน และบีบบังคับให้สยามตกลงยินยอมตามคำเรียกร้องของตน โดยมีเรือรบลอยลำอยู่ในพระนคร และยังมีกองเรือในบังคับบัญชาของนายพลเรือ ฮูมานน์ เป็นกำลังคอยสนับสนุนอยู่ในทะเลอีกด้วย เป็นการแสดงกำลังเพื่อเพิ่มน้ำหนักในการเจรจาทางการทูตให้แก่ฝรั่งเศส พร้อมกันนี้ รัฐสภาของฝรั่งเศสได้พิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน เพื่อกำหนดท่าทีให้รัฐบาลดำเนินอย่างแข็งกร้าวต่อสยาม

วันที่ 18 กรกฎาคม 2436 รัฐสภาฝรั่งเศสได้ประชุมพิจารณาและลงมติมอบอำนาจให้รัฐบาลดำเนินการให้รัฐบาลสยามรับรองและเคารพสิทธิของฝรั่งเศส และรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยื่นข้อเรียกร้องให้สยามดำเนินการดังนี้

1. เคารพสิทธิของญวน และเขมร เหนือดินแดนบนฝั่งซ้ายลำน้ำโขง และเกาะต่าง ๆ ในลำน้ำนี้

2. ถอนทหารสยามที่ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน

3. เสียค่าปรับไหมให้แก่ฝรั่งเศสในเหตุการณ์ที่ทุ่งเชียงคำ และที่คำม่วน และความเสียหายแก่เรือและทหารประจำเรือฝรั่งเศสที่ปากน้ำเจ้าพระยา

4. ลงโทษผู้กระทำความผิดและเสียเงินค่าทำขวัญแก่ครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตชาวฝรั่งเศสและคนในบังคับฝรั่งเศส

5. เสียเงิน 2,000,000 ฟรังค์ เป็นค่าปรับไหมในความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดแก่ฝรั่งเศส

6. จ่ายเงิน 3,000,000 ฟรังค์ ชำระทันที เป็นการมัดจำการจะชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ และเงินค่าทำขวัญ หรือถ้าไม่สามารถจ่ายได้ จำต้องยอมให้รัฐบาลฝรั่งเศสมีสิทธิเก็บภาษีอากรในเมืองพระตะบอง และเสียมราฐ ทั้งนี้ เร่งรัดให้รัฐบาลสยามตอบภายใน 48 ชั่วโมง

เมื่อได้รับแจ้งดังนี้แล้ว วันที่ 22 กรกฎาคม 2436 รัฐบาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แจ้งให้ Auguste Pavie ทราบ ดังนี้

1. รัฐบาลสยามยังไม่ได้รับคำอธิบายอย่างแจ้งชัดเรื่องสิทธิของญวน และเขมรเหนือดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเกาะต่าง ๆ ในข้อนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า จะยอมโอนกรรมสิทธิเหนือดินแดนส่วนใด ๆ ให้ ถ้าหากฝรั่งเศสแสดงให้เห็นโดยเด่นชัดว่าญวนและเขมรมีสิทธิโดยชอบอยู่ เหนือดินแดนนั้นอย่างไร ตลอดเวลา 5 เดือนที่รัฐบาลสยามขอร้องให้นำกรณีพิพาทนี้ขึ้นสู่อนุญาโตตุลาการ ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้สันติภาพเกิดแก่อาณาประชาราษฎร์ และให้เกิดความปลอดภัยแก่ผลประโยชน์ทางการค้าพาณิชย์ การที่ต่างประเทศที่มีกิจการได้กระทำอยู่ในประเทศสยาม แต่หาได้รับความร่วมมือจากฝรั่งเศสไม่

2. กองทหารสยามที่ตั้งอยู่ในดินแดนที่ระบุไว้ในข้อ 1 จะได้ถอยกลับมาสิ้นภายใน 1 เดือน

3. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอแสดงความเสียพระราชหฤทัย ในกรณีอันนำมาซึ่งความเสียหายร่วมกันแก่ฝ่ายสยามและฝรั่งเศสที่ทุ่งเชียงคำ และที่คำม่วน (แก่งเจ๊ก) และทั้งที่ได้เกิดกระทบกระทั่งกันที่ปากน้ำเจ้าพระยาด้วย และปฏิบัติตามคำเรียกร้องของรัฐบาลฝรั่งเศสอื่น ๆ ด้วย ถ้าเห็นว่าจำเป็น โดยอนุโลมตามลักษณะแห่งความยุติธรรม และตามความเป็นเอกราชของประเทศสยาม ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสว่าจะเคารพนั้น

4. บุคคลใดที่ต้องหาว่าได้ทำการย่ำยีชนชาติฝรั่งเศสเป็นการส่วนตัวในคดีใดก็ดี อันปรากฏว่าละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง หรือกฎหมายระหว่างประเทศ ก็จะลงโทษตามรูปคดีนั้น ๆ หรือหากว่าสมควรจะชดใช้เป็นค่าทำขวัญ ก็จะได้ชำระให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตนั้นให้เสร็จสิ้นไป

5. รัฐบาลฝรั่งเศสกับรัฐบาลสยามได้โต้แย้งกันมาเป็นเวลานานในเรื่องเกี่ยวกับชนชาติฝรั่งเศสที่ได้รับความเสียหาย โดยขอเรียกร้องให้ชำระเงินที่ตนต้องได้รับความเสียหาย เพราะข้าราชการสยามดำเนินการผิดนั้น ข้อนี้ในนามแห่งรัฐบาลสยามขอปฏิเสธว่า ไม่ใช่ความผิดของข้าราชการนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าไม่ควรยึดหลักอันใดมาคัดค้านข้อเรียกร้องดังกล่าว จึงยินยอมชำระเงิน 2,000,000 ฟรังค์ ให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศส แต่ทรงมีพระราชดำริว่าควรที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการผสมพิจารณาเงินค่าทำขวัญในกรณีที่ได้อ้างมาในข้อ 4 นั้นด้วย

6. ที่จะให้จ่ายเงินจำนวน 3,000,000 ฟรังค์ เป็นเงินเหรียญโดยทันทีที่เพื่อมัดจำในการที่จะต้องชดใช้ค่าทำขวัญ และค่าปรับไหม ดังนั้น ถ้าได้พิจารณาให้ละเอียดเป็นราย ๆ ตามสมควรแก่การแล้ว รัฐบาลสยามเชื่อในความยุติธรรมของรัฐบาลฝรั่งเศสว่า จะได้รับเงินจำนวนที่เหลือคืนจากที่ได้จ่ายไปจริง เท่าที่ได้เรียกร้องในกรณีทั้งปวงโดยครบถ้วน

จากคำตอบที่ได้รับ ฝรั่งเศสเห็นว่ามิได้เป็นไปตามข้อเสนอจึงตัดสัมพันธ์ทางการทูต และสั่งการให้นาวาเอก เรอกุลุซ์ ผู้บังคับการเรือลาดตระเวนฟอร์แฟต์ ซึ่งออกเดินทางจากไซ่ง่อนติดตามเรือแองคองสตังต์ และเรือโคแมต ได้จอดคุมเชิงอยู่ภายนอกสันดอน ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2436 และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งขึ้นยึดเกาะสีชัง แล้วออกประกาศปิดอ่าวสยาม สั่งการให้บรรดาเรือของชาติที่เป็นไมตรีกับสยามให้เวลาอีกสามวัน เพื่อถอยออกไปจากอ่าวสยาม หากเรือลำใดที่พยายามฝ่าฝืนเข้ามาจะได้รับการตอบโต้ตามอำนาจที่ฝรั่งเศสพึงมี

เมื่อสถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ สยามไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องยอมรับคำขาด พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์ อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส ได้นำหนังสือในนามรัฐบาลสยามไปยื่นแก่ ม.เดอแวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส ด้วยเหตุผลว่า เพื่อระงับและขจัดเหตุความวุ่นวายในพระนครอันจะนำมาซึ่งสันติสุขของพลเมือง สันติภาพของภูมิภาค รักษาผลประโยชน์ทางการค้าพาณิชย์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสคงเป็นอยู่ดังเดิม

เมื่อได้รับคำตอบและได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว รัฐบาลฝรั่งเศสยอมสงบศึกและสั่งการให้นายพลเรือ ฮูมานน์ยกเลิกการปิดอ่าวสยามตั้งแต่เวลา 12.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 สิงหาคม 2436 เป็นต้นไป

Remove ads

ผลกระทบ

สรุป
มุมมอง

ผลจากการเสียดินแดนลาว

ในช่วงก่อนและหลังการส่งมอบดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส รัฐบาลสยามได้มีมาตรการควบคุมพื้นที่ชายแดน ทั้งในรูปแบบการโยกย้ายประชากรและการเร่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้มีค่าในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งก็มีการเร่งตัดไม้โดยพ่อค้าและเจ้าภาษีนายอากรในช่วงนั้นเพื่อเร่งกอบโกยทรัพย์สินก่อนส่งมอบดินแดนซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในพื้นที่ที่มีความไม่แน่นอนทางการเมือง [1] [2]

การชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม

รัฐบาลสยามตกลงชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวน 2 ล้านฟรังก์ฝรั่งเศส โดยได้รับผลกระทบทางการเงินน้อยกว่าที่คาด เนื่องจากการปฏิรูประบบภาษีของรัชกาลที่ 5 และค่าเงินฟรังก์ที่อ่อนตัวลงจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1871 ประกอบกับในช่วงเวลานั้นภายในฝรั่งเศสเองเศรษฐกิจก็มิค่อยจะดีนัก [3] [4]

ปฏิกิริยาในฝรั่งเศส

แม้ฝรั่งเศสจะได้รับชัยชนะในทางการทูตและการทหารในวิกฤติการณ์ครั้งนี้ แต่ภายในประเทศกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มเสรีนิยม นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมืองฝ่ายค้าน โดยเฉพาะกลุ่มสังคมนิยมที่มองว่ารัฐบาลฝรั่งเศสใช้อำนาจในลักษณะจักรวรรดินิยมกับประเทศเล็กอย่างสยามมากเกินไป[5]

อีกทั้ง การแทรกแซงในสยามถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศฝรั่งเศสหลังสงครามกับปรัสเซีย โดยมีการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของการใช้กำลังในระดับสากลก็ด้วย[6]

Remove ads

ผลที่เกิดขึ้นหลังจากกรณีพิพาท

สรุป
มุมมอง
Thumb
ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่สยามสูญเสียไป

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงกันได้แล้ว ได้มีการทำสัญญาสงบศึกระหว่างรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2436 ซึ่งสาระสำคัญเป็นข้อกำหนดที่ฝรั่งเศสตั้งขึ้นเอง เช่น ให้สยามยอมสละข้ออ้างทั้งปวงว่า มีกรรมสิทธิอยู่เหนือดินแดนทั่วไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และบรรดาเกาะทั้งหลายในแม่น้ำนั้น ห้ามมิให้มีเรือติดอาวุธไว้ใช้ หรือเดินไปมาในน่านน้ำของทะเลสาบ และของแม่น้ำโขง และลำน้ำที่แยกจากแม่น้ำโขง ไม่สร้างค่ายหรือที่ตั้งกองทหารไว้ในเมืองพระตะบอง และเมืองนครเสียมราฐ และบนฝั่งขวาแม่น้ำโขงในรัศมี 25 กิโลเมตร โดยให้บุคคลสัญชาติฝรั่งเศสก็ดี บุคคลในบังคับหรือในปกครองฝรั่งเศสก็ดี จะไปมาหรือค้าขายได้โดยเสรี ขออารักขาเมืองจันทบุรี ให้ลงโทษบุคคลที่เป็นต้นเหตุแห่งการสูญเสียชีวิตของทหารฝรั่งเศสในคำม่วนโดยมีคนของฝรั่งเศสเข้าร่วมพิจารณาตัดสินด้วย และที่สำคัญ ในกรณีเกิดความยุ่งยากในการตีความหมายของสัญญานี้ให้ใช้ฉบับภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น

ผลของสัญญาสงบศึก นอกจากชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝรั่งเศสเป็นเงินจำนวนสามล้านฟรังก์แล้ว ได้ผูกพันให้สยามต้องเสียอธิปไตยบริเวณแม่น้ำโขงในเวลาต่อมา เป็นพื้นที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร และฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบุรีไว้ในอารักขานานกว่าสิบปี (ระหว่างปี 2436-2447) จนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายจนครบ

ทั้งนี้ กรณีพิพาทนี้ได้กลายเป็นชนวนสงครามความขัดแย้งขึ้นอีกครั้งบนคาบสมุทรอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีจักรวรรดิญี่ปุ่นเข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามมหาเอเซียบูรพา.


Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads