คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ฟุตบอลทีมชาติตุรกี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ฟุตบอลทีมชาติตุรกี (ตุรกี: Türkiye Millî Futbol Takımı) เป็นทีมฟุตบอลตัวแทนของประเทศตุรกี อยู่ภายใต้การดูแลของสหพันธ์ฟุตบอลตุรกี โดยเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติตั้งแต่ ค.ศ. 1923 และสมาชิกสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 1962[3] หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนปัจจุบันคือ วินเชนโซ มอนเตลลา มีสนามเหย้าอยู่ที่สนามกีฬาโอลิมปิกอาทาทืร์ค ตุรกีเคยมีอันดับโลกฟีฟ่าสูงที่สุดที่อันดับ 5 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004
ตุรกีลงแข่งขันในเกมนานาชาติครั้งแรกใน ค.ศ. 1923 และลงแข่งขันทางการครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1924 โดยรวมแล้วพวกเขาเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 6 ครั้ง (ค.ศ. 1924, 1928, 1936, 1948, 1952 และ 1960) ผลงานที่ดีที่สุดคือการเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศสองครั้งในปี 1948 และ 1952 ตุรกีประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงทศวรรษ 2000 มีผลงานคืออันดับสามในฟุตบอลโลก 2002 และ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008[4]
ตุรกีเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายสองครั้งในฟุตบอลโลก 1954 และ 2002 ทั้งนี้ ไม่นับรวมฟุตบอลโลก 1950 ซึ่งทีมได้ถอนตัวออกจากการแข่งขัน ตุรกีเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 6 ครั้ง โดยครั้งแรกคือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 ตามด้วยการเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตุรกียังมีส่วนร่วมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016, 2020 และ 2024 โดยเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศในครั้งหลังสุด ตุรกีมีกำหนดเป็นเจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2032 ร่วมกับอิตาลี ส่งผลให้พวกเขาจะได้สิทธิ์ลงแข่งขันโดยอัตโนมัติ
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ยุคแรก


การแข่งขันนัดแรกของตุรกีได้รับการบันทึกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1923 ณ สนามกีฬาทักซิมในอิสตันบูลซึ่งพวกเขาเสมอทีมชาติโรมาเนียด้วยผลประตู 2–2[5] เซกี ริซา สโปเรล ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นชื่อดังคนแรก ๆ ของทีมชาติในฐานะเป็นผู้ทำสองประตูในการแข่งขันนัดนี้ ตุรกีลงแข่งขันทางการครั้งแรกในโอลิมปิกฤดูร้อน 1924 และจบลงด้วยความปราชัยต่อเชโกสโลวาเกีย 5–2 สองประตูที่เกิดขึ้นในการแข่งขันนี้เป็นผลงานของเบกีร์ รีเฟต เตเกร์ และแม้ว่าพวกเขาจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 1950 เป็นครั้งแรกจากผลงานเอาชนะซีเรีย 7–0 แต่ทีมต้องถอนตัวสืบเนื่องจากปัญหาทางการเงิน ตุรกีกลับมาลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1954 จากการชนะสเปนในรอบเพลย์ออฟ แม้จะแพ้ในนัดแรก 4–1 แต่ในนัดต่อมาพวกเขาเอาชนะคืนได้ 1–0 ทำให้ต้องแข่งขันอีกครั้งในนัดรีเพลย์ (ในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีการตัดสินด้วยผลประตูรวมสองนัด ซึ่งจะทำให้สเปนผ่านเข้ารอบ) การแข่งขันนัดรีเพลย์จบลงด้วยการเสมอกัน 2–2 และตุรกีได้สิทธิ์แข่งขันรอบสุดท้ายจากการชนะการโยนเหรียญเสี่ยงทาย อย่างไรก็ตาม ตุรกีตกรอบแบ่งกลุ่มแม้จะมีคะแนนเท่ากับเยอรมนีตะวันตก แต่พวกเขาแพ้ต่อเยอรมนีในนัดเพลย์ออฟตัดสินหาผู้เข้ารอบด้วยผลประตู 7–2
ตุรกีทำผลงานได้ดีที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ด้วยการเอาชนะทีมดังอย่างฮังการีซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นทีมที่แกร่งที่สุดทีมหนึ่งของยุโรปในเกมกระชับมิตร ค.ศ. 1956 เอาชนะไปด้วยผลประตู 3–1[6] เลฟเทอร์ คูชูคันดอนยาดิส ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของทีมทำสองประตูในนัดนี้
ยุคตกต่ำ
แม้จะมีการเปิดตัวฟุตบอลลีกในประเทศ และมีหลายสโมสรในประเทศเป็นตัวแทนลงแข่งขันในฟุตบอลยุโรป แต่ทศวรรษ 1960 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำเท่าไรนักของทีมชาติตุรกี ผู้เล่นตัวหลักหลายรายจากฟุตบอลโลก 1954 ได้เกษียณตนเองจากการเล่นฟุตบอล และผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาแทนยังไม่สามารถยกระดับทีมได้ ด้วยเหตุนี้ ตุรกีจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรายการสำคัญได้ แม้จะมีผลงานดีขึ้นในทศวรรษ 1970 ด้วยการมีส่วนร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบคัดเลือก ทว่าก็ไม่เพียงพอต่อการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1972 และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1976

ในช่วงเวลานี้ ทีมต้องพบความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยที่สุดโดยแพ้โปแลนด์ 8–0 และแพ้ต่ออังกฤษด้วยผลการแข่งขันเดียวกันนี้อีกสองครั้งในช่วงทศวรรษ 1980 พวกเขายกระดับผลงานได้อีกครั้งจนเกือบจะผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 1990 โดยพลาดไปในนัดสุดท้าย ตุรกีมีผู้เล่นคนสำคัญเป็นแกนหลักหลายรายในยุคนี้ อาทิ ริดวาน ดิลเมน, โอกุซ เจติน, ริซา คาลิมไบ, เฟย์ยาซ อูซาร์ รวมทั้งเจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอย่างตันจู โชลัค ผู้โด่งดังจากหลายสโมสรในประเทศรวมถึงสโมสรฟุตบอลซัมซุนสปอร์, กาลาทาซาไรสปอร์คูลือบือ, เฟแนร์บาห์แชสปอร์คูลือบือ และ สโมสรฟุตบอลอิสตันบูลสปอร์
ทศวรรษ 1990

ใน ค.ศ. 1990 ตุรกีแต่งตั้งเซปป์ พิออนเทค เป็นผู้ฝึกสอน และเป็นช่วงเวลาที่มีผู้เล่นหน้าใหม่หลายรายได้รับโอกาสขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบิวเลนต์ คอร์คมาซ, อัลปาย โอซาลัน, เซร์เกน ยาลชิน, รึชทือ เรชแบร์ และ ฮาคัน ชือคืร์ ทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นกำลังสำคัญของทีมต่อเนื่องอีกหลายปี ฟาทีห์ เทริม ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาคุมทีมในปี 1993 และพาทีมเข้ารอบสุดท้ายในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยการแพ้สามนัดรวดต่อโครเอเชีย (1–0), โปรตุเกส (1–0) และ เดนมาร์ก (3–0) แต่ยังถือเป็นการผ่านเข้ารอบสุดท้ายในรายการระดับเมเจอร์ครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1954 และแม่จะตกรอบแต่ตุรกียังได้รับรางวัลแฟร์เพลย์ประจำการแข่งขัน
ทศวรรษ 2000 (ประสบความสำเร็จสูงสุด)

แม้ตุรกีจะไม่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 1998 แต่พวกเขาผ่านเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 จากการชนะนัดเพลย์ออฟต่อสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ในรอบสุดท้าย ตุรกีเริ่มต้นด้วยการแพ้อิตาลี 2–1 ตามด้วยการเสมอสวีเดน 0–0 และเอาชนะเจ้าภาพอย่างเบลเยียมในนัดสุดท้าย 2–0 จากสองประตูของกองหน้าตัวหลักอย่างฮาคัน ชือคืร์ และจากการตกรอบของเบลเยีม ทำให้เป็นครั้งแรกที่เจ้าภาพฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปตกรอบแรกในการแข่งขัน ตุรกีผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีม และยุติเส้นทางโดยแพ้โปรตุเกส 2–0 โดยกองหน้าอย่างอารีฟ เออร์เดม ยิงจุดโทษพลาดในนัดนี้
ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก ตุรกีจบอันดับ 2 ในกลุ่ม โดยแพ้สวีเดนในนัดสุดท้ายเพื่อตัดสินหาทีมแชมป์กลุ่ม ส่งผลให้ตุรกีต้องแข่งเพลย์ออฟกับออสเตรีย ตุรกีเอาชนะไปขาดลอยด้วยผลประตูรวมสองนัด 6–0 ในรอบสุดท้าย ตุรกีแพ้แชมป์โลกในครั้งนี้อย่างบราซิลในนัดแรก 2–1 แม้จะได้ประตูนำไปก่อนจากฮาซาน ชาช[7] ในนัดต่อมาพวกเขาเสมอคอสตาริกา 1–1[8] และเกือบจะไม่ผ่านเข้ารอบต่อไป แต่ชัยชนะต่อจีน 3–0 กอปรกับความพ่ายแพ้ของคอสตาริกาต่อบราซิล ทำให้ตุรกีเข้ารอบในฐานะอันดับสอง[9]
ในรอบต่อมา พวกเขาเอาชนะเจ้าภาพร่วมอย่างญี่ปุ่น 1–0 จากประตูของอูมิต ดาวาลา และชนะเซเนกัลในช่วงต่อเวลาพิเศษ (กฏประตูทอง) 1–0 จากอิลฮาน มานซิซ แต่พวกเขาแพ้บราซิลในรอบรองชนะเลิศ 1–0[10] อย่างไรก็ตาม ตุรกีสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าอันดับสามได้เป็นครั้งแรก[11] จากการชนะเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้ในนัดชิงอันดับสาม 3–2[12] จากประตูของชือคืร์ และ มานซิซ นอกจากนี้ประตูแรกของเกมโดยซือคืร์ซึ่งใช้เวลาเพียง 10.8 วินาที กลายเป็นสถิติประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดตลอดกาลในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศ แฟนบอลหลายพันคนออกมาเฉลิมฉลองด้วยการโบกธงชาติตุรกีในเมืองอิสตันบูล[13] ผู้เล่นตัวหลักอย่างรึชทือ เรชแบร์, ฮาซาน ซาช และอัลปาย โอซาลัน ยังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเรชแบร์ได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทีมแห่งปีของยูฟ่า 2002 และเซนอล กูเนส ได้รับเลือกเป็นผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม
ในการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003 ตุรกีผ่านรอบแบ่งกลุ่มจากการมี 4 คะแนน แม้จะแพ้แชมป์ในครั้งนั้นอย่างฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ 3–2 แต่ยังคว้าอันดับสามจากการชนะโคลอมเบีย 2–1 ทุนคาย ชานลี ทำผลงานโดดเด่นในรายการนี้ โดยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสองของการแข่งขัน พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 โดยแพ้ลัตเวียในรอบเพลย์ออฟ แต่ในปี 2004 นี้ ตุรกีมีอันดับโลกสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่อันดับ 5 จากการจัดอันดับในเดือนมิถุนายนปี 2004 ต่อมา ตุรกีไม่ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2006 จากการแพ้สวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก ตุรกีผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฐานะทีมอันดับสองตามหลังกรีซ พวกเขาอยู่ในกลุ่ม A มีผลงานคือแพ้โปรตุเกสในนัดแรก 2–0 ตามด้วยชนะสวิตเซอร์แลนด์ 2–1 และชนะเช็กเกีย 3–2 ผู้เล่นอย่างอาร์ดา ทูรัน ทำสองประตูในรอบแบ่งกลุ่ม[14][15][16]
การแข่งขันในรอบต่อมากับโครเอเชียเต็มไปด้วยความเข้มข้น โครเอเชียได้ประตูออกนำจนถึงช่วงท้ายของการแข่งขันต่อเวลา แต่ประตูตีเสมอในนาทีสุดท้ายจากเซมิห์ เซนเติร์ก ทำให้ต้องตัดสินกันที่การยิงจุดโทษ ประตูตีเสมอดังกล่าวนำไปสู่การโต้แย้งโดยแฟนบอลโครเอเชียรวมทั้งผู้ฝึกสอนอย่างสลาเว็น บีลิช ที่มองว่าประตูนี้เกิดขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงต่อเวลาไปแล้ว ท้ายที่สุดตุรกีชนะการดวลจุดโทษ 3–1[17] ตุรกีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบเยอรมนี โดยที่พวกเขามีผู้เล่นพร้อมลงสนามเพียง 14 คนเนื่องจากการบาดเจ็บและติดโทษห้ามแข่ง แม้พวกเขาจะสู้อย่างสมศักดิ์ศรีและยันผลเสมอ 2–2 จนถึงช่วงท้าย แต่ประตูของฟิลลิพ ลาห์ม ในนาทีสุดท้ายทำให้ตุรกีต้องยุติเส้นทางเพียงเท่านี้[18]
ทศวรรษ 2010
ตุรกีตกรอบฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก พวกเขาทำผลงานชนะ 4, เสมอ และแพ้อย่างละ 3 นัดแม้จะไม่แพ้ทีมใดเลยใน 4 นัดแรก[19] และผู้ฝึกสอนอย่างฟาทีห์ เทริม ประกาศลาออก และตกรอบฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบคัดเลือกจากการแพ้โครเอเชีย 3–0 ต่อมาในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ตุรกีฉลองการลงแข่งขันครบ 500 นัดในเกมกระชับมิตรกับเดนมาร์ก ณ สนามกีฬาทืร์คเทเลคอม จบลงด้วยผลเสมอ 1–1 โดยก่อนเริ่มการแข่งขัน อดีตผู้เล่นและผู้ฝึกสอนคนสำคัญได้รับเกียรติให้ปรากฏตัวในสนาม[20][21] ต่อมาในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก ตุรกีตกรอบจากการจบอันดับ 4 แม้จะมีการปลดผู้ฝึกสอนอย่างอับดุลลาห์ อัฟเจอ และตั้งเทริมเข้ามารับตำแหน่งเป็นครั้งที่สาม แต่การปราชัยต่อเนเธอร์แลนด์ 2–0 ทำให้ต้องยุติเส้นทางเท่านี้ ตุรกีจบอันดับสามในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก จากผลงานชนะ 5 นัด, เสมอ 3 และ แพ้ 2 นัด มี 18 คะแนน นับเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันรายการะดับเมเจอร์ในรอบ 8 ปี[22][23][24] ตุรกีหยุดสถิติไม่แพ้ทีมใดเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเศษ ภายหลังจากแพ้อังกฤษในเกมกระชับมิตร
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส ตุรกีได้ผ่านเข้าไปแข่งขันด้วยโดยผ่านเข้ามาในรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย เพราะในการแข่งขันครั้งนี้สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป เพิ่มทีมเข้ารอบสุดท้ายจาก 16 ทีม เป็น 24 ทีมโดยในรอบสุดท้ายตุรกีอยู่ในกลุ่มดี ร่วมกับ โครเอเชีย, สเปน และสาธารณรัฐเช็ก[4]
โดยผลการแข่งขัน ปรากฏว่าตุรกีได้อันดับ 3 จากการแพ้ 2 และชนะ 1 ซึ่งตามกติกาใหม่ที่ใช้ในคราวนี้ ให้กำหนดให้ทีมที่ได้อันดับ 3 ทั้งหมดจาก 6 กลุ่มทั้งหมด ที่มีผลต่างของประตูได้เสียดีที่สุด 4 ทีมผ่านเข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งเป็นรอบของการแพ้คัดออกได้ ปรากฏว่าผลต่างของตุรกีสู้ทีมอื่นไม่ได้จึงต้องตกรอบ[25]
ต่อมาใน ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนยุโรป ตุรกีตกรอบจากการมี 15 คะแนน มีร์เชีย ลูเชสคู เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนต่อ ทีมต้องยุติเส้นทางจากการแพ้ไอซ์แลนด์ และเสมอฟินแลนด์ ต่อมาในการแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ลีกบี ตุรกีมีผลงานย่ำแย่โดยชนะ 1 นัด และแพ้ 3 นัด เริ่มต้นด้วยการแพ้รัสเซีย ตามด้วยการชนะสวีเดน 3–2 และแพ้ในสองนัดสุดท้ายต่อรัสเซียและสวีเดน อย่างไรก็ตาม ตุรกียังไม่ต้องตกชั้นสู่ลีกซีในครั้งต่อไปเนื่องการการเปลี่ยนแปลงกติกาโดยยูฟ่า
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก กลุ่มเอช ตุรกีผ่านเข้ารอบสุดท้ายตามหลังแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 อย่างฝรั่งเศส พวกเขาทำผลงานยอดเยี่ยมโดยเอาชนะไปถึง 7 นักจากการลงแข่งขัน 10 นัด รวมทั้งเอาชนะได้สามนัดแรก และยังบุกไปเสมอฝรั่งเศสได้ถึงสตาดเดอฟร็องส์ 1–1 ตุรกีเปิดโอกาสให้ผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนเข้าผนึกกำลังกับผู้เล่นมากประสบการณ์อย่างบูรัค ยิลมาซ และ เอ็มเร เบโลโซกลู พวกเขาแพ้นัดเดียวต่อไอซ์แลนด์ 2–1 ในการบุกไปเยือนที่เรคยาวิกท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ความพ่ายแพ้ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากผู้เล่นตุรกีได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเดินทางถึงสนามบินซึ่งพวกเขาถูกกักตัวเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง นอกจากนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนทีมชาติไอซแลนด์ยังแสดงกิริยาไม่เหมาะสมด้วยการยืนถือแปรงขัดห้องน้ำแทนไมโครโฟนยื่นให้กัปตันทีมชาติตุรกีอย่างเอ็มเรในระหว่างการให้สัมภาษณ์ การกระทำดังกล่าวนำไปสู่เสียงวิจารณ์ในวงกว้างจากสื่อในตุรกีและทวีปยุโรป พวกเขาไม่สามารถเอาคืนทีมชาติไอซ์แลนด์ได้ โดยเสมอกัน 0–0 ณ สนามกีฬาทืร์คเทเลคอม[26]
ทศวรรษ 2020
ต่อมาใน ยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ลีกบี ตุรกีเอาชนะได้เพียง 1 จาก 6 นัด จบอันดับสุดท้าย พวกเขาเปิดบ้านแพ้ต่อฮังการี 1–0 จากประตูของโดมินิก โซโบสลอยี ตามด้วยการบุกเสมอเซอร์เบีย 0–0 ที่เบลเกรด และเสมอรัสเซีย 1–1[27] และกลับมาเปิดบ้านเสมอเซอร์เบีย 2–2 จากประตูของฮาคัน ชัลฮาโนลู แม้พวกเขาจะเอาชนะรัสเซีย 3–2[28][29] แต่ความพ่ายแพ้ในนัดสุดท้ายต่อฮังการีทำให้พวกเขาจบอันดับสุดท้าย
ต่อมาในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ตุรกีตกรอบแรกโดยไม่ชนะทีมใดและยังแพ้รวดทั้งสามนัด โดยแพ้ในนัดแรกต่ออิตาลี 3–0 ตามด้วยการแพ้เวลส์ 2–0 ปิดท้ายด้วยการแพ้ต่อสวิตเซอร์แลนด์ 3–1 ตุรกีทำผลงานดีขึ้นในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรป จากการชนะ 6 นัดใน 10 นัดผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก โซนยุโรป – รอบที่ 2 แต่ยุติเส้นทางด้วยการแพ้โปรตุเกส 3–1[30][31] โดยบูรัค ยิลมาซ พลาดจุดโทษในเกมนี้ และเขาประกาศเลิกเล่นอาชีพหลังจบการแข่งขัน[32][33] ต่อมาในยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 ลีกซี ตุรกีเอาชนะได้ถึง 4 จาก 6 นัดจบอันดับ 1 ของกลุ่ม ทำให้ตุรกีเลื่อนชั้นสู่ลีกบี[34][35][36] พวกเขายังมีช่วงเวลาที่ดีในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ผ่านเข้ารอบแพ้คัดออกในฐานะอันดับสองของกลุ่มตามหลังโปรตุเกส พวกเขาเอาชนะจอร์เจียในนัดแรก 3–1 จากผลงานโดดเด่นของอาร์ดา กือแลร์ แม้จะแพ้โปรตุเกสในนัดต่อมา 3–0 แต่ชัยชนะต่อเช็กเกีย 2–1 เพียงพอต่อการเข้ารอบ ตุรกีเอาชนะออสเตรียในรอบ 16 ทีม 2–1 และยุติเส้นทางโดยแพ้เนเธอร์แลนด์ 2–1[37] ต่อมาในยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 ลีกบี ตุรกีชนะคู่แข่งได้ 3 นัดจาก 6 นัด จบอันดับสองจากการมี 11 คะแนน ได้สิทธิ์แข่งขันรอบเพลย์ออฟกับฮังการีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2025 ตุรกีเอาชนะไปด้วยผลประตูรวมสองนัด 6–1 ส่งผลให้พวกเขาเลื่อนชั้นสู่ลีกเอในฤดูกาล 2026–27
ตุรกีลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนยุโรป – กลุ่มอี เริ่มต้นในเดือนกันยายน 2025
Remove ads
ชุดแข่งขัน
ปัจจุบัน ตุรกีได้ใช้ชุดแข่งขันของไนกี้มาตั้งแต่ ค.ศ. 2003 โดยก่อนหน้านั้น พวกเขาใช้ชุดของอดิดาส
เหย้า
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1923-1963
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1963-1993
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1996-1998
ยูโร 1996 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1998-2000
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2000-2002
ยูโร 2000 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2002-2003
ฟุตบอลโลก 2002 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2003-2004
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2004-2005
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2005-2008
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2008-2010
ยูโร 2008 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2010-2012
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2012-2016
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2016-2018
ยูโร 2016 |
เยือน
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1996-1998
ยูโร 1996 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1998-2000
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2000-2002
ยูโร 2000 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2002-2003
ยูโร 2002 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2003
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2004-2005
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2006-2008
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2008-2010
ยูโร 2008 |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2010-2012
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2012-2016
|
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2016-2018
ยูโร 2016 |
Remove ads
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
สรุป
มุมมอง
รายชื่อผู้เล่นสำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ที่ประเทศเยอรมนี ประกาศรายชื่อผู้เล่นเบื้องต้น 35 คน ในวันที่ 24 พฤษภาคม[38] ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม ผู้เล่นในรายชื่อลดเหลือ 33 คน หลังจากที่แบร์ทู ยึลดือรึม ถูกเรียกตัวติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี[39] และชาลาร์ เซอยึนจือ ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ[40] ในวันที่ 1 มิถุนายน เอเนส อือนัล ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บเช่นกัน[41] ในวันที่ 5 มิถุนายน โอซัน คาบัค ก็ถอนตัวออกจากรายชื่อเบื้องต้นเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า[42] และในวันที่ 7 มิถุนายน ได้มีการประกาศรายชื่อผู้เล่นรอบสุดท้าย 26 คน โดยไม่มีอับดึลคาดีร์ เออมือร์, แจงค์ เอิซคาจาร์, เบรัท เอิซเดมีร์, โออุซ อัยดึน, จัน อูซุน และโดอัน อาแลมดาร์ อยู่ในรายชื่อ และแบร์ทู ยึลดือรึม ถูกเรียกตัวกลับมาอีกครั้ง[43]
Remove ads
อดีตผู้เล่นคนสำคัญ


- ฮาคัน ชือคืร์
- รึชทือ เรชแบร์
- อาร์ดา ทูรัน
- ฮามิท อัลทึนโทพ
- เมห์เม็ต โทปาล
- เอมเร เบโลโซกลู
- บูรัค ยิลมาซ
- ทุนคาย ์ชานลี
- นิฮัต คาห์เวซี
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads