คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
จักรพรรดินีโคจุง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ หรือพระนามเมื่อเสด็จสวรรคตคือจักรพรรดินีโคจุง (ญี่ปุ่น: 香淳皇后; โรมาจิ: kōjun kōgō; 6 มีนาคม ค.ศ. 1903 – 16 มิถุนายน ค.ศ. 2000) พระนามเดิม เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ (ญี่ปุ่น: 良子女王; โรมาจิ: Nagako Joō) เป็นพระจักรพรรดินีอัครมเหสีในจักรพรรดิโชวะ และเป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ถือเป็นจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่นที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น[1] รวม 62 ปี 13 วัน
ทรงประสูติ ค.ศ. 1903 ในราชสกุลเจ้าคูนิ โนะ มิยะ ดำรงฐานะเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนสตรีกากุชูอิน และทรงได้รับการเลือกให้เป็นว่าที่พระชายาในมกุฎราชกุมาร พระชนม์ชีพช่วงต้นของพระนางทรงถูกนำมาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองคือ เหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก โดยพัวพันกับการอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงและมกุฎราชกุมาร ซึ่งเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระบิดาของเจ้าหญิงและรัฐบาลใช้เหตุการณ์นี้ในการกำจัดศัตรูทางการเมืองออกจากอำนาจ เมื่ออภิเษกสมรสก็ทรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระราชสวามี และเป็นภาพแทนของการสมรสแบบสามีภรรยาคนเดียว อันเป็นค่านิยมแบบวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่หลาย และจักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ไม่ทรงโปรดการมีพระสนมแม้ว่าจะมีการกราบทูลขอจากราชสำนักก็ตาม
หลังพระราชสวามีขึ้นครองราชย์ พระนางเป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกของญี่ปุ่นที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ โดยทั้งจักรพรรดินีโชเก็งและจักรพรรดินีเทเมล้วนมาจากตระกูลฟูจิวาระทั้งสิ้น จักรพรรดินีนางาโกะเป็นพระอัครมเหสีที่สืบเชื้อสายมาจากราชสกุล โดยจักรพรรดินีที่มาจากเชื้อพระวงศ์ล่าสุดคือ เจ้าหญิงโยชิโกะ (ค.ศ. 1794-1820) ทรงเป็นจักรพรรดินีในจักรพรรดิโคกากุ จักรพรรดิพระองค์ที่ 119 จักรพรรดินีนางาโกะทรงประกอบพระราชกรณียกิจจำนวนมากทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และหลังสงคราม ทรงมีบทบาทสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังการพ่ายแพ้สงครามของญี่ปุ่น นำไปสู่การยึดครองญี่ปุ่นของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งบทบาทของพระราชวงศ์และเหล่าเจ้าราชสกุลต่างๆ ถูกถอดถอนออกจากพระอิสริยศักดิ์ให้เป็นสามัญชน เว้นแต่จักรพรรดิและจักรพรรดินียังทรงสามารถดำรงในฐานะประมุขต่อไปได้ ภาพลักษณ์ของราชวงศ์จึงถูกปรับให้ดูเรียบง่าย ทำให้ส่งผลต่อการส่งเสริมให้ราชวงศ์มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น และเป็นกำลังหลักในการต่อต้านขบวนการฝ่ายซ้ายของญี่ปุ่นช่วงสงครามเย็น จักรพรรดินีนางาโกะเสด็จเยือนพื้นที่ต่างๆ ของประเทศบ่อยครั้ง ด้วยทรงใกล้ชิดราษฎรทำให้ทรงได้รับความนิยมในหมู่ประชาชน
จักรพรรดินีนางาโกะทรงตกเป็นเรื่องอื้อฉาว เมื่อทรงต่อต้านกรณีที่มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ พระราชโอรสทรงตัดสินพระทัยที่จะหมั้นหมายกับมิจิโกะ โชดะ ซึ่งเป็นสามัญชน ในค.ศ. 1959 แม้ว่ากระแสความเปลี่ยนแปลงในราชสำนักครั้งนี้จะได้รับความนิยมจากประชาชน แต่จักรพรรดินีนางาโกะทรงสนับสนุนกลุ่มพลังฝ่ายขวาในการโจมตีมกุฎราชกุมารีมิจิโกะและครอบครัวโชดะ อีกทั้งจักรพรรดินีทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการที่ทรงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเหล่านางสนองพระโอษฐ์ ซึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาของราชสำนักโดยผ่านอิทธิพลของจักรพรรดินี เรื่องเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพระราชวงศ์มาอย่างยาวนาน
จักรพรรดินีนางาโกะทรงเป็นพระมเหสีพระองค์แรกที่ได้เสด็จเยือนต่างประเทศ ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต่อมาปลายสมัยโชวะ จักรพรรดินีทรงเริ่มประชวรด้วยภาวะสมองเสื่อม และในค.ศ. 1989 ทรงดำรงเป็นสมเด็จพระพันปีหลวง หลังการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิโชวะ พระนางสวรรคตในค.ศ. 2000 ด้วยพระโรคชรา สิริพระชนมายุ 97 พรษา เมื่อจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จสวรรคต พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดินีโคจุง ซึ่งมีความหมายว่า ความบริสุทธิ์หอมหวาน[2]
Remove ads
เชื้อสายและพระอิสริยยศ
สรุป
มุมมอง
พระนางเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ญี่ปุ่นซึ่งสืบเชื้อสายจากเจ้าคูนิ โนะ มิยะ และตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งจักรพรรดิโชวะขึ้นสืบราชสมบัติ พระอิสริยยศและสถานะของพระองค์คือ เจ้าหญิงนางาโกะ และตามกฎราชวงศ์ญี่ปุ่นจะทูลพระนางว่า "ไฮเนส" (เดนกะ)
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924 (ปีไทโชที่ 13) พระนางอภิเษกสมรสกับเจ้าชายผู้สำเร็จราชการฮิโรฮิโตะ ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิโชวะ[3] ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส 2 พระองค์และพระราชธิดา 5 พระองค์ ในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 จักรพรรดิไทโชเสด็จสวรรคต จักรพรรดิโชวะได้สืบราชบัลลังก์ พระนางจึงได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดินี
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1989 (ปีโชวะที่ 64) จักรพรรดิโชวะเสด็จสวรรคต มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ได้สืบราชบัลลังก์เป็น จักรพรรดิอากิฮิโตะ จักรพรรดิญี่ปุ่นพระองค์ที่ 125 และพระชายาของพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดินีมิจิโกะ จักรพรรดินีนางาโกะจึงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1996 (ปีเฮเซที่ 8) พระนางทรงมีพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงมีพระชนมพรรษายืนยาวกว่าจักรพรรดินีฟุจิวะระ โนะ ฮิโระโกะ พระมเหสีในจักรพรรดิโกะ-เรเซ ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าซึ่งมีพระชนมายุ 92 พรรษาตามการนับอายุแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น จักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวงจึงกลายเป็นสมาชิกราชวงศ์ที่ทรงพระชนมายุยาวนานที่สุด ถ้าไม่นับยุคสมัยเทพเจ้า
พระนางเสด็จสวรรคตในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (ปีเฮเซที่ 12) และทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศหลังสวรรคตว่า "จักรพรรดินีโคจุง"
ด้วยจักรพรรดิโชวะ พระราชสวามีของพระนาง เป็นจักรพรรดิผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ พระนางก็ทรงเป็นจักรพรรดินีญี่ปุ่นที่เคียงข้างราชบัลลังก์มาอย่างยาวนานที่สุดเช่นกัน (62 ปี 14 วัน) และทรงเป็นจักรพรรดินีที่ทรงมีพระชนมายุมากที่สุด (สวรรคตขณะ 97 พรรษา) หากไม่นับสมัยเทพเจ้า พระนางทรงเป็นจักรพรรดินีและมกุฎราชกุมารีพระองค์สุดท้ายที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อพระวงศ์[i]
เมื่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน พระองค์ที่ 126 ขึ้นสืบราชบัลลังก์ในปีค.ศ. 2019 (ปีเรวะที่ 1) จักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุงทรงกลายเป็นบรรพบุรุษร่วมกันใกล้สุดของเจ้าชายที่มีสิทธิสืบราชบัลลังก์ญี่ปุ่น 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ, เจ้าชายฮิซาฮิโตะแห่งอากิชิโนะและเจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะ
Remove ads
พระราชประวัติ
สรุป
มุมมอง
ขณะทรงพระเยาว์
เจ้าหญิงนางาโกะ ประสูติ ณ กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปีเมจิที่ 36 (ค.ศ.1903) เวลา 06.25 น. เป็นพระธิดาคนที่ 3 จาก 6 พระองค์ ในเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ กับ ท่านหญิงชิกาโกะ ชิมาซุ ท่านหญิงชิกาโกะเป็นธิดาในชิมาซุ ทาดาโยชิ (รุ่นที่ 2)[4][5] พระองค์มีพระเชษฐา 2 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์ และพระอนุชา 1 พระองค์ โดยในช่วงที่พระนางประสูติ เป็นช่วงที่วัฒนธรรมจากตะวันตกไหลบ่าเข้ามาในญี่ปุ่น เจ้าคูนิ พระบิดา ยังทรงเลี้ยงดูเจ้าหญิงนางาโกะตามจารีตดั้งเดิมมาโดยตลอด โดยพระบิดาของเจ้าหญิงนางาโกะ สืบเชื้อสายมาจากราชสกุลฟุชิมิ ซึ่งไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ (มีตระกูลย่อย ได้แก่ ตระกูลโคโนะเอะ, อิชิโจ, นิโจ, คะซะสึคะซะ และคุโจ) ส่วนพระมารดาสืบเชื้อสายมาจากไดเมียว ทำให้เจ้าหญิงนางาโกะ เป็นพระจักรพรรดินีพระองค์แรก ที่ไม่ได้มาจากตระกูลฟูจิวาระ[6]
เมื่อเจ้าหญิงนางาโกะประสูติ ตระกูลคูนิได้แสวงหาแม่นมจากกระทรวงพระราชสำนัก และผู้ว่าราชการของแต่ละจังหวัดได้แนะนำสตรีทั้งหมด 6 คน[7] ในที่สุดก็ได้เลือก มง เซกิเนะ (ขณะนั้นเธออายุได้ 20 ปี) ซึ่งเพิ่งสูญเสียบุตรในครรภ์ไป เธอจึงได้รับการคัดเลือกจากตระกูลเก่าแก่ของจังหวัดไซตามะ[7] มงได้ระลึกความทรงจำว่า เจ้าหญิงนางาโกะทรงโปรดการเสวยมากและมีพระพลานามัยแข็งแรงมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่งนั่นทำให้เจ้าหญิงชิกาโกะ พระชนนีของเจ้าหญิงประหลาดใจมาก[8] ตระกูลคูนิใช้ชีวิตเรียบง่าย และฉลองพระองค์ของเจ้าหญิงนางาโกะก็มาจากฝีมือการตัดเย็บของมง ซึ่งเธอก็ได้เย็บเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ขึ้นมาใหม่ด้วย[9] เจ้าหญิงนางาโกะทรงมีจิตใจดีแต่ก็แข็งแกร่ง เนื่องจากทรงเป็นพระเชษฐภคินีของพระขนิษฐาทั้งสองพระองค์ พระนางจึงดูแลพระขนิษฐาเป็นอย่างดี มีบันทึกว่า บางครั้งพระขนิษฐาสองพระองค์ (เจ้าหญิงโนบูโกะและเจ้าหญิงโทโมโกะ) มักจะเลียนแบบการกระทำของพระเชษฐภคินีเสมอ[10]
เข้ากากุชูอิน

ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1907 (ปีเมจิที่ 40) เจ้าหญิงนางาโกะทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนอนุบาลกากุชูอิน ซึ่งเป็นโรงเรียนของสตรีชั้นสูงของญี่ปุ่นในระดับนั้น ตามบันทึกความทรงจำของทากะ อาดาจิ[ii] บันทึกว่า ในโรงเรียนอนุบาล พระบรมวงศานุวงศ์จะเสวยพระกระยาหารเที่ยงแยกจากเด็กคนอื่นๆ รวมถึงมีการแยกเด็กชายและเด็กหญิง แต่ในตอนนั้น เจ้าหญิงนางาโกะและเจ้าหญิงโนบูโกะ พระขนิษฐา ได้ร่วมห้องเสวยกับเจ้าชายฮิโรฮิโตะ (ซึ่งต่อมาคือจักรพรรดิโชวะ) และเจ้าชายยาซูฮิโตะ (ซึ่งต่อมาคือ เจ้าชิชิบุ)[11] ยูกะ โนกูชิ ซึ่งเป็นอาจารย์โรงเรียน เห็นเหตุการณ์นี้ก็มีลางสังหรณ์ว่าเจ้าชายฮิโรฮิโตะและเจ้าหญิงนางาโกะอาจจะได้อภิเษกสมรสกันในอนาคต[12]
ใน ค.ศ. 1909 (ปีเมจิที่ 42) เจ้าหญิงได้เข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนสตรีกากุชูอิน ในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทรงอยู่ในชั้นเรียนและไม่เข้าใจความหมายของคำว่า กะละมัง สิ่งนี้ช่วยสอนให้พระนางเริ่มเรียนรู้วิธีการซักผ้าด้วยพระองค์เอง และเจ้าหญิงทรงร่วมซักผ้ากับเหล่าแม่บ้านด้วยกันเป็นระยะเวลาหลายปี[13]
ในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1912 (ปีเมจิที่ 45/ปีไทโชที่ 1) หลังการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิเมจิ พระราชอัยกาในพระราชสวามีในอนาคตของพระนาง เจ้าหญิงนางาโกะได้เสด็จเข้าพระราชวังหลวงพร้อมกับเจ้าหญิงชิกาโกะ พระชนนี และเจ้าชายคูนิโนะมิยะ พระชนก เพื่อแสดงความเคารพแก่จักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง ซึ่งตัวเจ้าหญิงทรงเป็นที่ดึงดูดความสนพระทัยของพระพันปีหลวง[14]
ในค.ศ. 1915 (ปีไทโชที่ 4) เจ้าหญิงทรงเข้าศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสตรีกากุชูอินตามคำแนะนำของจักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง ซึ่งพระนางเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1914 (ปีไทโชที่ 3) และในฤดูร้อนของปี 1915 เจ้าชายฮิโรฮิโตะทรงปีนภูเขาคามิในเมืองฮาโกเนะพร้อมด้วยพระสหายร่วมชั้นของพระองค์ เจ้าหญิงนางาโกะก็เป็นหนึ่งในกลุ่มสหายหลายคนที่ไปส่งเจ้าชายที่เรียวกังมิยาอูชิซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน[15]
ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 (ปีไทโชที่ 5) มีการจัดพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารของเจ้าชายฮิโรฮิโตะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจักรพรรดินีเทเม หรือ จักรพรรดินีซาดาโกะเสด็จเยือนโรงเรียนสตรีกากุชูอินอย่างไม่เป็นทางการเพื่อทรงทอดพระเนตรพฤติกรรมและเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมสำหรับมกุฎราชกุมาร[16] พระสหายร่วมชั้นของเจ้าหญิงจำได้ว่าแม้ว่าในหมู่เด็กหญิงวิ่งเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง แต่เจ้าหญิงนางาโกะก็ยังทรงประพฤติดี สงบ และคล่องแคล่ว[17] ในบรรดารุ่นพี่ของเจ้าหญิงนางาโกะได้แก่ เจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะ ซึ่งเป็นพระญาติ (ต่อมาเจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะ ได้รับการสถาปนาเป็น เจ้าหญิงบังจา มกุฎราชกุมารีแห่งเกาหลีจากการสมรสกับเจ้าชายอี อึน มกุฎราชกุมารเกาหลี ซึ่งทำให้ได้สัญชาติเกาหลี) และพระสหายร่วมชั้นของพระนาง คือ โทกิโกะ อิชิโจ (ซึ่งต่อมาคือ เจ้าหญิงฟูชิมิจากการเสกสมรสกับเจ้าชายฟูชิมิ ฮิโรโยชิจากตระกูลฟูชิมิ โนะ มิยะ) ตัวเลือกทั้งสามเป็นว่าที่พระคู่หมั้นของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ[18]
จักรพรรดินีเอโช พระพันปีหลวงมาจากตระกูลคูโจ จักรพรรดินีโชเก็งมาจากตระกูลอิชิโจ และจักรพรรดินีซาดาโกะ มาจากตระกูลคูโจ ดังนั้นโทกิโกะ อิชิโจจึงเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้ที่สุด[19] อย่างไรก็ตามมีความกังวลว่า เจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะมีพระชนมายุเท่ากันกับมกุฎราชกุมาร แต่มีปัญหาของตระกูลนาชิโมโตะที่มีบุตรยาก และพระบิดาของเจ้าหญิงมีอิทธิพลทางการเมืองไม่มากนัก ส่วนโทกิโกะ อิชิโจเป็นพระญาติฝ่ายจักรพรรดินีที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป ดังนั้นจึงมีการเลือกเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิเป็นว่าที่พระชายาในมกุฎราชกุมาร[19] ว่ากันว่ามกุฎราชมารฮิโระฮิโตะได้เสด็จประทับรถม้ามายังโรงเรียน ซึ่งในเวลานั้นเจ้าหญิงนางาโกะ ถือเป็นสตรีที่ถือว่ามีพระสิริโฉมพระองค์หนึ่ง แม้พระองค์จะสวมฉลองพระองค์เป็นกิโมโน และกระโปรงฮากามะ ซึ่งเป็นกระโปรงจับจีบแบบญี่ปุ่น รวบพระเกศาด้วยริบบิ้นสีขาว และถุงพระบาทสีดำ เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโระฮิโตะทอดพระเนตรเห็น และให้ความสนพระทัยเจ้าหญิงนางาโกะ[1] พระองค์ก็ตัดสินพระทัยที่จะเลือกมาเป็นพระคู่หมั้น[20]
การศึกษาของเจ้าหญิงและการเลื่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรส

ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1918 (ปีไทโชที่ 7) ไวเคานต์ฮาตาโนะ โนรินาโอะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก ได้แจ้งต่อเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระราชบิดาของเจ้าหญิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ที่ประจำอยู่ที่เมืองโทโยฮาชิ จังหวัดไอจิ ว่า เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ[21] เจ้าชายคูนิโยชิจึงรีบเสด็จกลับโตเกียว และไปยังพระราชวังในทันที จากนั้นทรงตอบรับการหมั้นระหว่างพระธิดาของพระองค์กับมกุฎราชกุมารต่อจักรพรรดิโยชิฮิโตะ (ไทโช) และจักรพรรดินีซาดาโกะ[21]
หลังจากข่าวนี้ถูกเปิดเผยในวันที่ 19 มกราคม มีการประกาศในช่วงเข้าแถวตอนเช้าของกากุชูอินว่าในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เจ้าหญิงต้องถอนออกจากการศึกษาเพราะต้องทรงหมั้น จากนั้นตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน เจ้าหญิงนางาโกะต้องได้รับการศึกษาอบรมในฐานะโคไตชิฮิ (มกุฎราชกุมารี) ในสถาบันการศึกษาที่จัดตั้งขึ้นภายในตำหนักของตระกูลคูนิ สถาบันการศึกษานี้ถูกเรียกว่า "โอฮานะโกเต็น" (วังดอกไม้) นอกเหนือจากพระขนิษฐาที่เข้าศึกษาด้วยแล้ว ยังมีพระสหายร่วมชั้นเรียนที่สนิท เช่น ซาดาโกะ ซาโต (บุตรสาวคนโตของทัตสึจิโร ซาโต ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของชิเงยูกิ คาโต) และโนบูโกะ ฮิรายามะ (บุตรสาวคนที่ห้าของชิเงโนบุ ฮิรายามะ) ทั้งหมดได้ร่วมศึกษาพร้อมกัน หลังจากจบหลักสูตรที่กากุชูอิน[22] ได้มีการวางแผนการศึกษาของเจ้าหญิงไว้ว่าจะใช้เวลาสองหรือสามปี ในสถาบันดังกล่าว เจ้าหญิงประทับอยู่กับหัวหน้าฝ่ายการศึกษา คิคุโนะ โกคัง และศึกษาในหลากหลายวิชาเช่น ด้านวิชาการ วัฒนธรรม เทนนิส และศิลปะการใช้ดาบนากินาตะ[23] นอกจากนี้เจ้าหญิงยังทรงเรียนเปียโนกับอายาโกะ โกเบ[24]
อาคารวังดอกไม้นั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเตรียมการศึกษาแก่มกุฎราชกุมารีโดยเฉพาะ ซึ่งต่อมามีการบริจาคอาคารให้แก่โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเขตสามแห่งจังหวัดโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงอาซาบุ โตเกียว (ปัจจุบันคือ ย่านอาซาบุ-จูบัง เขตมินาโตะ (โตเกียว))[25] เนื่องด้วยการปฏิรูปการศึกษาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเขตสาม จังหวัดโตเกียว จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนมัธยมศึกษาโคมาบะมหานครโตเกียว และย้ายไปตั้งในย่านโอฉาชิ, เขตเมงูโระ, โตเกียว วังดอกไม้ หรือ อาคารโอฮานะ จึงถูกย้ายมาที่ตั้งปัจจุบันและกำหนดไว้เป็น "หอพักเกียวโกะ"[25]
ในค.ศ. 1919 (ปีไทโชที่ 8) มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงเพิ่งทราบข่าวการหมั้นหมายของพระองค์[26] ในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเม พระราชทานทองข้อพระกรเพชรแก่เจ้าหญิงนางาโกะ ว่าที่พระชายาในอนาคตของพระราชโอรส ซึ่งเป็นทองข้อพระกรเดียวกันกับที่พระนางได้รับพระราชทานมาจากจักรพรรดินีโชเก็ง[27] ในวันที่ 4 พฤศจิกายน เจ้าชายและเจ้าหญิงคูนิ กราบทูลเชิญมกุฎราชกุมารเสด็จมายังตำหนักที่ประทับในย่านชิบูย่า เพื่อให้เจ้าหญิงนางาโกะเข้าเฝ้าฯ[28] อย่างไรก็ตามการดูตัวพระองค์ในครั้งนี้เป็นเพียงพิธีการเท่านั้นและทั้งสองพระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกันเลย[26]
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 (ปีไทโชที่ 10) มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จักรพรรดิโยชิฮิโตะที่ทรงพระประชวร ในปีเดียวกันนั้นเองได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก" ขึ้น เมื่อเก็นโร ยามางาตะ อาริโตโมะ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายกรัฐมนตรีสองสมัยในรัชกาลก่อน ออกมาบีบบังคับให้ตระกูลคูนิ โนะ มิยะถอนตัวออกจากการหมั้นหมายครั้งนี้ จอมพลชราอ้างถึงความเสี่ยงทางพันธุกรรมของเจ้าหญิงนางาโกะที่มีเชื้อสายเป็นโรคตาบอดสี ซึ่งสืบมาจากตระกูลชิมาซุ ซึ่งทำให้พระนางไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมารี รายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวมีการดำเนินการเป็นความลับขั้นสูงสุด แต่ก็มีความคาดเดาแพร่สะพัดออกมามากมาย และมีความเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นแผนการสมคบคิดของยามางาตะเพื่อรักษาอิทธิพลในราชสำนักของเขาให้ดำรงอยู่ต่อไป การดำเนินแผนการของยามางาตะครั้งนี้ กลับทำให้หลายคนแสดงความเห็นอกเห็นใจตระกูลคูนิมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายต่อต้านยามางาตะก่อตัวขึ้นออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยามางาตะพยายามที่จะควบคุมราชสำนัก[29] รวมถึงนายกรัฐมนตรี ฮาระ ทากาชิ ตลอดจนคณะรัฐมนตรีฮาระ ได้ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อกำจัดยามางาตะออกจากอำนาจ และในที่สุดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ กระทรวงพระราชสำนักได้ออกประกาศว่า "ประเด็นการสถาปนาเจ้าหญิงนางาโกะเป็นมกุฎราชกุมารี กระทรวงเราได้ยินข่าวลือต่างๆ มากมายหลากหลายทั่วโลก แต่การตัดสินใจดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง" และเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการแก้ไขวิกฤต (การห้ามเผยแพร่บทความต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ก็ถูกยกเลิกในวันต่อมาด้วย)
เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เจ้าชายคูนิโยชิทรงทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อจักรพรรดินีซาดาโกะ ว่า เจ้าหญิงไม่ทรงสามารถปฏิเสธการหมั้นหมายได้อาศัยตามประกาศของกระทรวงพระราชสำนัก ซึ่งเจ้าชายกดดันให้จักรพรรดินีต้องทรงตัดสินพระทัยดำเนินการโดยทันที[30] ตั้งแต่วันหมั้นจนถึงวันเกิดเหตุการณ์ มีบทความพร้อมพระฉายาลักษณ์ของเจ้าหญิงนางาโกะเพียง 5 บทความเท่านั้น[31] แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บทความหลายบทความได้ถูกตีพิมพ์ขึ้น เริ่มต้นด้วยนิตยสารภาษาอังกฤษ เดอะฟาร์อีสต์ ที่ให้ความสำคัญแก่เจ้าหญิงนางาโกะในฐานะหญิงสาวผู้ทรงธรรมจริยา (คุณสมบัติ) เพียบพร้อมที่จะสามารถเป็นมกุฎราชกุมารีและจักรพรรดินีในอนาคต[32] แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนใหญ่มาจากพระอาจารย์ส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงคือ คิคุโนะ โกคัง และผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพระราชวัง นาโอฮาชิโร คูริตะ และนอกเหนือจากบทความแล้วยังมีความเรียงและรูปถ่ายของเจ้าหญิงนางาโกะด้วย จึงเชื่อได้ว่า ตระกูลคูนิ โนะ มิยะพยายามเข้าครอบงำสื่อสิ่งพิมพ์[33]
นอกจากนี้จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเม ซึ่งควรที่จะทรงมีความประทับพระทัยที่ดีต่อเจ้าหญิงนางาโกะ พระนางกลับทรงลังเลที่จะเดินหน้าการหมั้นหมายครั้งนี้ เนื่องจากพระนางทรงพิโรธต่อเจ้าชายคูนิโยชิที่ไม่ทรงขออภัยพระนาง และทรงพิโรธพระสัสสุระในอนาคตของมกุฎราชกุมารที่สร้างความทะเยอทะยานทางการเมืองในเหตุการณ์นี้[34] หลังจากเจ้าชายได้รัฐบาลหนุนหลังไปพร้อมๆ กับการกำจัดยามางาตะออกจากอำนาจ
หลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย มกุฎราชกุมารได้เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก (การเสด็จประพาสยุโรปของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ) พระองค์ได้รับการต้อนรับจากราชวงศ์อังกฤษ และทรงได้รับอิทธิพลการสมรสแบบสามีภรรยาคนเดียว พระองค์ได้ทรงซื้อกระจกพระหัตถ์ทำจากเงินให้แก่สตรีพี่น้องคูนิ โนะ มิยะทั้งสามพระองค์ ระหว่างทรงเยี่ยมชมสินค้าที่ฝรั่งเศสอย่างลับๆ[35] ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1922 (ปีไทโชที่ 11) มกุฎราชกุมารทรงเรียกรัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก มากิโนะ โนบุอากิ ให้เข้าเฝ้าฯ เพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเดินทางไปกลับของเหล่านางสนองพระโอษฐ์ เพื่อควบคุมและรักษาความลับของราชวงศ์ในอนาคต[36]
|
เจ้าหญิงนางาโกะกับการเปิดพระองค์ต่อสื่อ
หลังจากการแทรกแซงของราชสำนักผ่านรัฐมนตรีมากิโนะ โนบุอากิ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก ตระกูลคูนิได้อนุญาตให้มีการฉายพระรูปเจ้าหญิงนางาโกะขณะเสด็จเยือนศาลเจ้าและสถานที่สักการบูชาอื่นๆ[37] โดยเฉพาะพระรูปในขณะที่ทรงเพลิดเพลินกับการขุดหาหอยแครงที่ชายหากมาคุฮาริ ซึ่งทรงฉลองพระองค์พับชายกิโมโนขึ้น เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ทำให้เกิดความฮือฮาในหมู่สาธารณชน[38] คูราโตมิ ยูซาบูโร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก และโทกูงาวะ โยริโนริ ประธานราชสำนัก แสดงความรู้สึกสับสนวุ่นวาย และไซอนจิ ฮาชิโร รองหัวหน้าฝ่ายพิธีการได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ภาพดังกล่าวนั้นอย่างรุนแรง[38]
ในวันที่ 20 มิถุนายน รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก มากิโนะ โนบุอากิ ได้ขอให้มกุฎราชกุมารทรงลงพระอภิไธยอนุญาตให้มีการอภิเษกสมรส และเป็นการลงพระปรมาภิไธยแทนสมเด็จพระจักรพรรดิไทโช พระราชชนก จึงเป็นผลให้ได้มีการพระบรมราชานุญาตอย่างเป็นทางการ[39][40] พระราชพิธีหมั้นถูกกำหนดขึ้นในวันที่ 28 กันยายน ปีเดียวกัน และพระราชพิธีอภิเษกสมรสมีกำหนดขึ้นในวันที่ 27 พฤศจิกายนของปีถัดไป คือ ค.ศ. 1923 (ปีไทโชที่ 12)[40]
เมื่อมีพระบรมราชานุมัติพระราชทานมา รัฐมนตรีมากิโนะได้กราบทูลขอให้เจ้าชายคูนิโยชิทรงละลดการฉายพระรูปเจ้าหญิงนางาโกะ หรือ การให้ลงพิมพ์ในบทความ[38] การเสด็จเยือนภูมิภาคโทโฮกุของเจ้าหญิงนางาโกะและตระกูลคูนิ โนะ มิยะถูกยกเลิกโดยเจ้าชายคูนิโยชิตามคำขอของมากิโนะ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกถ่ายภาพ[38] นอกจากนี้ระหว่างเดือนกันยายนของปีเดียวกัน และราวเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป หัวหน้ากิจการตระกูลโทกูงาวะ โยชิโอะ ซาคามากิและโยชิโนริ ฟูตาระได้สนับสนุนแผนการให้เจ้าหญิงนางาโกะเสด็จเยือนประเทศตะวันตก[38] แต่ในที่สุดแผนการดังกล่าวถูกยกเลิก เนื่องจากรัฐมนตรีมากิโนะคัดค้านอย่างหนัก และแม้แต่คูราโตมิก็มีความเห็นในเชิงลบเกี่ยวกับการที่เจ้าหญิงนางาโกะจะเสด็จประพาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ[41]
ในวันที่ 28 กันยายน พระราชพิธีหมั้นหมาย มีพิธีอุทิศตนต่อศาลเจ้าบรรพบุรุษจักรพรรดิคะชิโกโดโกโร ถวายเครื่องบูชาแก่ศาลเจ้าใหญ่ ศาลเจ้าอิเซะ สุสานจักรพรรดิจิมมุ และสุสานจักรพรรดิเมจิและจักรพรรดินีโชเก็ง มีการจัดพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และพิธีประทานดาบ[42] เวลา 8 นาฬิกา เคานท์โทกูงาวะ ซาโตทากะ สมุหพระราชวัง ได้เดินทางไปยังตำหนักคูนิ โนะ มิยะในฐานะผู้แทนพระราชพิธีหมั้นหมาย และในเวลา 13.30 นาฬิกา บารอน โคบายาคาวะ ชิโร รองสมุหพระราชวังได้ไปยังพระตำหนักเพื่อเป็นตัวแทนพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ[42] พิธีดังกล่าวถือเป็นการกำหนดหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1 ตามมาตรา 10 ของข้อบังคับว่าด้วยสถานะราชวงศ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการชุดนี้แล้ว การหมั้นหมายก็ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ[43]
หลังจากพระราชพิธีหมั้น ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1923 (ปีไทโชที่ 12) ตระกูลคูนิ โนะ มิยะได้เดินทางไปท่องเที่ยวรอบเกาะคีวชู เกาะชิโกกุและคันไซ เป็นเวลา 40 วัน ในภายหลังในคราวที่จักรพรรดินีนางาโกะทรงฉลองวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา พระนางทรงมีพระราชดำรัสกล่าวถึงการเสด็จประพาสครั้งนี้ เป็นความทรงจำอันน่ายินดีเรื่องแรกในพระชนม์ชีพของพระนางตลอดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา[44] ระหว่างการเสด็จญี่ปุ่นภาคตะวันตกนี้ เรื่องราวการเดินทาง พฤติกรรม และฉลองพระองค์ของเจ้าหญิงนางาโกะได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง[45] นอกจากนี้ตระกูลคูนิยังอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพได้อย่างอิสระ เป็นพระฉายาลักษณ์ที่มีชีวิตชีวาของเจ้าหญิงนางาโกะในแต่ละสถานที่ ซึ่งมีการเผยแพร่อย่างแพร่หลายในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รวมถึงโปสการ์ด และใน "รายงานภาพการเดินทางของเจ้าหญิงนางาโกะ"[46] เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับการต้อนรับจากผู้แทนของแต่ละสถานที่ โดยมีประชาชนมารวมตัวตลอดเส้นทางเมืองฟูกูโอกะจำนวนกว่า 100,000 คน และเมืองคูรูเมะจำนวนกว่า 150,000 คน โดยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด[47] ในช่วงเวลาดังกล่าวตรงกับช่วงที่ชนชั้นกลางใหม่เกิดขึ้น เจ้าหญิงนางาโกะจึงทรงได้รับความนิยมและทรงได้รับการพรรณนาจากสื่อว่าเป็น "หญิงสาวผู้โปรดกีฬาและดนตรี"[48] ทำให้ราชวงศ์ได้รับความนิยมในเรื่องที่เป็นทางโลกมากขึ้น[49] (แต่เดิมราชวงศ์ถูกมองว่าสูงส่งเทียบเคียงเทพเจ้ามาเสมอ) เมื่อได้รับความนิยมจากสังคมมากขึ้น ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ก็เปลี่ยนไป โดยเน้นที่รูปลักษณ์และแฟชั่นฉลองพระองค์ ส่งผลให้เชื้อพระวงศ์ได้ "กลายสภาพเหมือนเป็นดารา" และเจ้าหญิงนางาโกะทรงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเรื่องนี้[50]
ในฤดูร้อน เจ้าหญิงนางาโกะประทับอยู่ที่อาคาคูระ จังหวัดนีงาตะ เป็นวิลลาที่สร้างขึ้นโดยมาร์ควิส โมริทากะ โฮโซกาวะ เมื่อปีที่แล้ว[51] เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 ในวันที่ 1 กันยายน พระนางทรงรู้สึกโล่งพระทัยเมื่อมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ พระคู่หมั้นทรงปลอดภัย และเจ้าหญิงทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเย็บกิโมโนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้อีกด้วย[52] มกุฎราชกุมารได้เสด็จตรวจเยี่ยมภายในเมืองหลวง 2 ครั้งในเดือนนั้น ทรงตัดสินพระทัยที่จะเลื่อนพระราชพิธีอภิเษกสมรสออกไป[53][54]
นอกจากนี้ เกิดเหตุการณ์โทราโนมง วันที่ 27 ธันวาคม ของปีเดียวกัน ส่งผลให้ราชวงศ์ตกอยู่สถานการณ์ล่อแหลม เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์โดยไดสุเกะ นัมบะ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่น[55] โดยได้ยิงปืนเข้าใส่รถม้าพระที่นั่งของพระองค์ที่กำลังผ่านประตูโทราโนมง แต่โชคดีที่กระสุนไม่โดนองค์มกุฎราชกุมาร แต่ไปถูกสมุหราชวังได้รับบาดเจ็บ[56] นัมบะต้องการแก้แค้นให้สมาชิกฝ่ายซ้ายที่ถูกรัฐบาลสังหารหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1924 นายกรัฐมนตรี ยามาโมโตะ กนโนเฮียวเอะ แสดงความรับผิดชอบต่อการขาดการถวายความปลอดภัยให้พระราชวงศ์ทีดีพอ เขาจึงประกาศลาออกพร้อมคณะรัฐมนตรีทั้งคณะพร้อมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน[56]
มกุฎราชกุมารี
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1924 (ปีไทโชที่ 13) ก่อนการอภิเษกสมรส ได้มีการจัดตั้งระบบข้าราชการสตรีสำหรับสำนักงานมกุฎราชกุมารขึ้น โดยอนุญาตให้สตรีที่สมรสแล้วสามารถเดินทางมาทำงานเองได้ และมีการยกเลิกตำแหน่งที่เป็นทางการต่างๆ เช่น "เนียวโจ" (นางในพระราชวัง) และตำแหน่งสนมอื่นๆ ทั้งนี้เป็นแนวคิดของมกุฎราชกุมารซึ่งทรงยึดมั่นการมีคู่สมรสคนเดียว[57][58]
ในวันที่ 12 มกราคม มีการประกาศว่าพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม[59] และพิธีการยอมรับก็ถูกจัดขึ้นในวันเดียวกันด้วย[60]
ในวันที่ 25 มกราคม คืนก่อนพระราชพิธี ได้มีการจัดงานเลี้ยงอำลาที่พระตำหนักคูนิ โนะ มิยะ เจ้าหญิงนางาโกะทรงเล่นเปียโน ครอบครัวของพระนางและผู้ใกล้ชิด ได้ร่วมกันขับร้องเพลงโฮโตรุ โนะ ฮิคาริอย่างอบอุ่นเพื่อแสดงความยินดีกับพระนาง[61] ในวันอภิเษกสมรส เจ้าหญิงทรงตื่นบรรทมเวลา 03.00 น. และเสด็จเยือนศาลบรรพบุรุษในสวนตำหนักเวลา 04.00 น.[62] หลังจากทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นกิโมโน 12 ชั้น พระนางทรงได้รับการต้อนรับโดยไวเคานต์ อิริเอะ ทาเมโมริ สมุหราชวังสำนักมกุฎราชกุมาร [iii] และนำเจ้าหญิงเสด็จออกจากตำหนักคูนิ ผ่านเขตทาคากิโช, เขตมินามิ-อาโอยามะ, โอโมเตมาจิ-โดริ, อากาซากะ-มิตสึเกะ, นากาตะมาจิ-โดริ, ย่านคาซูมิงาเซกิ, ประตูซากูราดะ และอิวาอิดามาจิ-โดริ (ทั้งหมดเป็นชื่อสถานที่ในยุคสมัยนั้น) จากนั้นมาถึงประตูหลักของพระราชวังอิมพีเรียล[63]
พระราชพิธีนี้เกือบจะเหมือนกันกับคราวพระราชพิธีอภิเษกสมรสของจักรพรรดิไทโชและจักรพรรดินีเทเม ซึ่งถือเป็นพระราชพิธีแบบชินโตครั้งแรกในประวัติศาสตร์[57] ท่ามกลางการประดับไฟเฉลิมฉลองและเสียงโห่ร้องยินดี มีรายงานว่าเจ้าชายคูนิและพระชายาทรงทอดพระเนตรแสงไฟจากบริเวณอาคารหน้าพระราชวังโทงู (ตำหนักมกุฎราชกุมาร) ในย่านอากาซากะ โดยไม่ทรงได้เสด็จเข้าไปด้วย จากนั้นทั้งสองจึงเสด็จกลับ (ปัจจุบันคือพระตำหนักอากาซากะ)[64]
มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงเริ่มไว้พระมัสสุ (หนวด) หลังการอภิเษกสมรส[65] พระองค์ทรงเรียกเจ้าหญิงนางาโกะ พระชายาว่า "นากามิยะ" ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์เป็นไปได้ด้วยดีนับแต่นั้นมา และจากคำบอกเล่าของไอสึเกะ โอคาโมโตะ ซึ่งเป็นกรมวังสำนักมกูฎราชกุมารเวลานั้น ระบุว่า ทั้งสองพระองค์มักจะทรงเดินจับพระหัตถ์กันตลอด เมื่อคราวเป็นจักรพรรดินีแล้วมีเรื่องเล่าว่ากันว่าจักรพรรดินีโคจุงทรงมี "บุคลิกที่เป็นกันเอง อ่อนโยนและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย" และความสัมพันธ์ของพระนางกับจักรพรรดิโชวะนั้น "ดีมาก" และจักรพรรดินีโคจุงทรงเรียกจักรพรรดิว่า "โอกามิ" (お上) พระนางทรงเป็นพระมเหสีและแม่ที่ดีตามขนบธรรมเนียมโบราณที่ทรงเชื่อฟัง และ "พระสวามีต้องมาก่อน" และว่ากันว่า จักรพรรดิทรงเอาพระทัยใส่จักรพรรดินีอย่างมาก บุคคลใกล้ชิดจักรพรรดิได้บรรยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่มีการทะเลาะวิวาทตลอดพระชนม์ชีพสมรสของทั้งสองพระองค์ [66] แต่โทชิอากิ คาวาฮาระได้เขียนบทความหนึ่งลงนิตยสารบุงเกชุนจู (ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979) เรื่อง "การทะเลาะวิวาทในชีวิตสมรสของสมเด็จพระจักรพรรดิ" ซึ่งบรรยายถึงการทะเลาะวิวาทในชีวิตสมรสที่ผู้ทำงานในพระราชวังคนหนึ่งได้พบเห็นเพียงครั้งเดียว ตั้งแต่เดือนสิงหาคมของปีนั้น ทั้งสองพระองค์เสด็จไปฮันนีมูนตามแบบตะวันตกที่วิลล่าโอกิชิมะของเจ้าชายทากามัตสึ (ปัจจุบันคือ เทนเคียวคาคุ) ในเมืองอินาวาชิโระ จังหวัดฟูกูชิมะ[67] การปรากฏพระองค์ของมกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยถูกใช้เป็นภาพฉากหลังของกระทรวงศึกษาธิการในนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน[48]
ในเวลา 20.10 น. ของวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1925 (ปีไทโชที่ 14) มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาล เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ พระราชธิดาพระองค์แรก[68] และการประสูติเจ้าหญิงได้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เป็นเหตุการณ์ที่น่ายินดีท่ามกลางการฟื้นฟูประเทศหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต มีการเลือกแม่นม 3 คน เพื่ออภิบาลเจ้าหญิง[69] แต่มีการใช้แม่นมช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น และมกุฎราชกุมารีทรงให้นมแก่พระราชธิดาด้วยพระองค์เองเท่าที่จะทรงทำได้ จากบันทึกความทรงจำของแม่นม ระบุว่า พวกเธิถวายพระอภิบาลนมแก่เจ้าหญิงเทรุในเวลากลางคืน โดยมีพระพี่เลี้ยงตามมาด้วยในห้องของพระจักรพรรดิ มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงประทับรออยู่หลังฉากกั้นสีทอง[70] ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่แม่นมถวายงานแก่มกุฎราชกุมารีนางาโกะ พวกเธอได้เข้าเฝ้าฯ พระนางเป็นการส่วนพระองค์เพียงสามครั้งเท่านั้น[71] ในช่วงเวลาที่เจ้าหญิงเทรุประสูติ มีการรายงานเรื่องการตั้งครรภ์และการประสูติในพระราชวงศ์มากขึ้น และนับแต่นั้น มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงได้รับการพรรณนาภาพว่าทรงเป็น "มารดา" จากสื่อต่างๆ[72]
ความสัมพันธ์ของพระนางกับจักรพรรดินีเทเม พระราชชนนีในจักรพรรดิโชวะ ผู้ทรงปราดเปรียวและทรงปัญญานั้น ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากความแตกต่างทั้งบุคลิกภาพและภูมิหลังครอบครัวของทั้งสองพระองค์ (จักรพรรดินีเทเมนั้นทรงเป็นธิดาขุนนางตระกูลคูโจ แต่พระชนนีของพระนางนั้นเป็นภรรยาน้อย ในขณะที่จักรพรรดินีโคจุงทรงเป็นพระธิดาในราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ และเป็นสายเลือดของราชวงศ์) และมีการกล่าวว่า พระนางทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นพิเศษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระนางกับพระสัสสุในช่วงเริ่มต้นการอภิเษกสมรส หัวหน้านางสนองพระโอษฐ์และเหล่านางสนองพระโอษฐ์ได้ประสบกับการปะทะกันนี้ ไม่กี่เดือนก่อนการสวรรคตของจักรพรรดิไทโช เมื่อมกุฎราชกุมารีนางาโกะและมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะเสด็จพระดำเนินเยือนพระตำหนักฮายามะ ซึ่งเป็นสถานที่พักฟื้นของจักรพรรดิไทโช มกุฎราชกุมารีนางาโกะทรงประหม่าอย่างมากเมื่อประทับอยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีเทเม พระสัสสุ จนพระนางต้องทรงบีบผ้าขนหนูเย็นเพื่อคลายความประหม่า แต่ด้วยทรงสวมถุงพระหัตถ์และบีบผ้าเย็น (สมาชิกราชวงศ์ฝ่ายหญิงต้องสวมถุงพระหัตถ์เมื่อออกไปข้างนอก ทั้งในปัจจุบันและในอดีต) ทำให้ถุงพระหัตถ์ของพระนางเปียก จักรพรรดินีเทเมทรงสังเกตเห็นและตรัสว่า "เธอยังคงทำตัวน่าเกลียดเหมือนเดิม (ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม)" และมกุฎราชกุมารีทรงทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่สามารถตรัสตอบโต้อะไรได้ จักรพรรดินีเทเมทรงเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและแน่วแน่ แต่ถึงกระนั้นไม่เคยเห็นพระนางทรงดุด่าผู้ที่อยู่ภายใต้พระนาง และเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่านางสนองพระโอษฐ์ตระหนักว่า ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงเข้ากันได้ดีในฐานะแม่สามีและลูกสะใภ้เลย ในปีต่อมา ค.ศ. 1926 (ปีไทโชที่ 15) พระอาการประชวรของจักรพรรดิโยชิฮิโตะ หรือ จักรพรรดิไทโช ในขณะที่ทรงพักฟื้นที่อิมพีเรียลวิลลาฮายามะนั้นแย่ลง แม้ว่ามกุฎราชกุมารและมกุฎราชกุมารีจะเสด็จไปเข้าเฝ้าฯ ที่ฮายามะในวันที่ 13 ธันวาคม แต่พระอาการของจักรพรรดิยังคงรุนแรงมากจนไม่สามารถเสด็จกลับโตเกียวได้[73] ต่อมาในเวลา 01.25 น. ของวันที่ 25 ธันวาคม จักรพรรดิไทโชเสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมายุ 47 พรรษา
|
สมเด็จพระจักรพรรดินี

วันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1926 (ปีไทโชที่ 15) จักรพรรดิไทโช พระสัสสุระของมกุฎราชกุมารีนางาโกะ เสด็จสวรรคต และจักรพรรดินีซาดาโกะ พระสัสสุ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระพันปีหลวง และมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ พระองค์ที่ 124 แห่งญี่ปุ่น ในเวลา 03.15 น. มิชิซาเนะ คุโจ เจ้ากรมพิธีทางศาสนาได้ประกอบพิธีที่พระราชวังหลวงโตเกียว และพิธีไตรราชกกุธภัณฑ์ที่อิมพีเรียลวิลลาฮายามะ[74] มกุฎราชกุมารีนางาโกะ พระมเหสีในจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงกลายเป็น "จักรพรรดินีพระองค์แรกที่มาจากเชื้อพระวงศ์" นับตั้งแต่สมัยเจ้าหญิงโยชิโกะ (ค.ศ. 1794-1820) ทรงเป็นจักรพรรดินีในจักรพรรดิโคกากุ จักรพรรดิพระองค์ที่ 119
จักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งสมัยโชวะ ยังคงประทับอยู่ในพระราชวังอากาซากะ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ทรงคุ้นชินการดำรงพระชนม์แบบตะวันตก และจักรพรรดินีนางาโกะทรงพระครรภ์พระบุตรองค์ที่สอง[75]
ในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1927 (ปีโชวะที่ 2) พระนางทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สอง คือ เจ้าหญิงซาจิโกะ ฮิซะโนะมิยะ แต่เจ้าหญิงกลับสิ้นพระชนม์ด้วยภาวะพิษเหตุติดเชื้อในปีถัดมา ค.ศ. 1928 (ปีโชวะที่ 3) จักรพรรดินีทรงแต่งพระพักตร์พระศพเจ้าหญิงด้วยพระองค์เอง[76] และจักรพรรดิโชวะทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมห้าม โดยทรงร่วมพระราชพิธีพระศพของพระราชธิดาด้วย[77] ด้วยความโศกเศร้ายิ่งนี้ จักรพรรดินีทรงมีรับสั่งให้จัดทำตุ๊กตาที่มีขนาดพอๆ กับพระสรีระของเจ้าหญิงฮิซะเพื่อระลึกถึง[78]
ในวันที่ 28 กันยายน ปีเดียวกัน จักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับยังพระราชวังหลวง หลังจากทรงเสด็จฯ ไปพักฟื้นที่เมืองนาสุ[79] ทั้งสองพระองค์ทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมโดยทรงประทับในห้องบรรทมเดียวกัน[80]
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน พิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิญี่ปุ่นถูกจัดขึ้นที่พระราชวังหลวงเกียวโต หลังจากได้ทรงเสด็จประพาสจังหวัดเกียวโต, จังหวัดมิเอะและจังหวัดนาระในวโรกาสนี้ พระนางก็ไม่ได้เสด็จประพาสต่างจังหวัดอีกเลยเป็นเวลาหลายปี ยกเว้นในช่วงที่เสด็จไปประทับพักฟื้นที่อิมพีเรียลวิลลา[81]
ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1929 (ปีโชวะที่ 4) พระอาการของเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระบิดาของจักรพรรดินี ซึ่งทรงพักรักษาพระองค์อยู่ที่เมืองอาตามิ จังหวัดชิซูโอกะนั้น ย่ำแย่ลง จักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินขึ้นรถไฟธรรมดา แทนที่จะทรงประทับรถไฟหลวง เพื่อไปยังคฤหาสน์ของเจ้าชายคูนิที่อาตามิ และทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาจนพระองค์สิ้นพระชนม์ (เจ้าชายคูนิสิ้นพระชนม์ขณะพระชนมายุ 55 พรรษา)[82]
|
ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์

ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1929 (ปีโชวะที่ 4) จักรพรรดินีทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สาม คือ เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ ในขณะนั้นมีการประกาศผ่านทางวิทยุผิดพลาดว่า "เจ้าชายประสูติแล้ว" เมื่อมีการแก้ไขก็ได้สร้างความผิดหวังต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมาก[83][84] ในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1931 (ปีโชวะที่ 6) ทรงมีพระประสูติกาลพระราชธิดาองค์ที่สี่ คือ เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ
ในทางกลับกันเมื่อเจ้าชายยาซูฮิโตะ ชิจิบุโนะมิยะ พระราชอนุชาในจักรพรรดิ ทรงเสกสมรสกับเซ็ตสึโกะ มัตสึไดระ ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1928 (ปีโชวะที่ 3) จักรพรรดินีเทเม พระพันปีหลวง ทรงโปรดปรานพระราชโอรสองค์ที่สอง พระองค์นี้มากและทรงโปรดรวมถึงพระชายาของพระองค์ด้วย ก่อนที่เจ้าหญิงทากะจะทรงประสูติในปีถัดไป สมเด็จพระพันปีหลวงทรงพระราชทานของขวัญและทรงแต่งกลอนวากะเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบหนึ่งปีวันเสกสมรสของทั้งสองพระองค์ และทรงหวังว่าจะมีประสูติกาลพระโอรส[85]
ดังนั้นในช่วงต้นโชวะ จึงมีพระราชธิดาสี่พระองค์ประสูติในสายสันตติวงศ์ แต่ยังคงไม่มีพระราชโอรสที่มีสิทธิ์สืบราชบัลลังก์[iv] ทานากะ มิตสึอากิ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพระราชวัง พยายามเสนอรื้อฟื้นระบบพระสนม (การมีภรรยาหลายคน)[86] แต่จักรพรรดิโชวะทรงปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยทรงตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถ "ทำสิ่งที่ขัดต่อจริยธรรมของมนุษย์ได้" จึงมีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อให้เจ้าชายชิจิบุ ผู้ทรงมีความเฉลียวฉลาดและเป็นที่นิยมของประชาชน ขึ้นสืบราชบัลลังก์[87]
ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1930 (ปีโชวะที่ 5) สมาคมสตรีแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ถูกก่อตั้งขึ้น ฮารูโกะ ชิมาซุ[v] ซึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ในจักรพรรดินี ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสมาคม ฮารูโกะ ชิมาซุได้กำหนดให้วันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดินีโคจุงเป็นวันแม่แห่งชาติ[88]
เมื่อเจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ พระราชธิดาองค์ใหญ่ทรงเจริญพระชันษาถึงวัยศึกษาเล่าเรียนในค.ศ. 1932 (ปีโชวะที่ 7) จักรพรรดินีนางาโกะทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเจ้าชายโนบูฮิโตะ ทากามัตสึโนะมิยะ พระราชอนุชาในจักรพรรดิ และสมาชิกราชวงศ์องค์อื่นๆ ว่า เจ้าหญิงทรงมีพระอุปนิสัยเอาแต่ใจ[89] เพื่อเป็นการรอมชอมกันระหว่างจักรพรรดิและจักรพรรดินีกับพระญาติวงศ์ เจ้าหญิงเทรุจึงทรงถูกย้ายไปประทับที่หอพักคูเรทาเกะ และทรงได้รับการศึกษาโดยห่างไกลจากพระราชชนกและพระราชชนนี[90] หลังจากนั้นพระขนิษฐาทั้งสองของเจ้าหญิงก็ถูกย้ายเข้าหอพักทีละพระองค์ โดยถูกบังคับให้ย้ายออกจากวังของพระราชชนก หอพักคูเรทาเกะส่วนหนึ่งถูกย้ายไปยังสวนหลวงฟูคิอาเกะหลังสงคราม และปัจจุบันคือร้านน้ำชา "รินโช-เทอิ"
ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1933 (ปีโชวะที่ 8) มีการประกาศว่าจักรพรรดินีทรงพระครรภ์พระบุตรองค์ที่ห้า ในเวลา 11.00 น. ของวันเดียวกัน จักรพรรดิเสด็จเยือนพระราชวังโอมิยะและเสด็จเยือนสุสานจักรพรรดิไทโช ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ โดยแม้แต่พระพันปีหลวงไม่ทรงได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังสุสานนั้น[91] จากนั้นเวลา 6.39 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม จักรพรรดินีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาลพระบุตรองค์ที่ห้า และเป็นพระราชโอรสพระองค์แรก คือ เจ้าชายอากิฮิโตะ[92] ด้วยสาธารณชนเฝ้ารอมานานต่อการประสูติของ "มกุฎราชกุมาร"[vi] กระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นประกาศออกเพลง "เพลงเฉลิมฉลองวันประสูติของมกุฎราชกุมาร" ในเดือนถัดมา[93] ภาคเอกชนยังได้สร้างสรรค์เพลงเฉลิมพระเกียรติชื่อว่า "โคไตชิซามะโออุมาเระนัตตะ" (มกุฎราชกุมารประสูติแล้ว) (คำร้องโดยฮาคุชู คิตาฮาระ ทำนองโดยชินเป นากายามะ) และทั่วทั้งญี่ปุ่นเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง มีการตะโกนโห่ร้องสามครั้งหน้าพระราชวัง มีขบวนแห่ธง ขบวนโคมไฟ ขบวนดอกไม้และจักงานเฉลิมฉลอง[94]
ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 (ปีโชวะที่ 10) จักรพรรดินีนางาโกะทรงมีพระประสูติกาลเจ้าชายมาซาฮิโตะ โยชิโนะมิยะ เป็นพระราชโอรสองค์ที่สอง (พระบุตรองค์ที่หก) นอกเหนือจากนี้ด้วยพระราชวงศ์ญี่ปุ่นทรงได้รับการเทิดทูนดุจสถานะเทพเจ้า เจ้าชายอากิฮิโตะทรงได้รับการอภิบาลในพระราชวังโทงุตั้งแต่ค.ศ. 1937 (ปีโชวะที่ 12) แม้ว่าจักรพรรดิจะทรงเป็นพระราชชนกของเจ้าชาย แต่ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถพบกันได้เลย เว้นแต่วันหยุดสุดสัปดาห์จึงได้รับการอนุญาตจากฝ่ายราชพิธีให้ทรงพบกันได้ แม้แต่จักรพรรดินางาโกะทรงเตรียมเครื่องเสวยจากเต้าหู้ที่เจ้าชายทรงโปรดปราน แต่เจ้าชายกลับไม่เคยได้เสวยพระกระยาหารที่จักรพรรดินีทรงเตรียมไว้เลย ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1939 (ปีโชวะที่ 14) จักรพรรดินีทรงมีพระประสูติกาล เจ้าหญิงทากาโกะ ซูงาโนมิยะ พระราชธิดาองค์ที่ห้าและเป็นพระบุตรองค์เล็ก
|
จักรพรรดินีในช่วงสงคราม

จักรพรรดินีนางาโกะเสด็จเยือนศาลเจ้ายาซูกูนิในเดือนเมษายน ค.ศ. 1932, 1933 และ 1937 แต่หลังจากการปะทุของสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง พระนางก็ทรงเริ่มเสด็จเยือนศาลเจ้านี้ปีละสองครั้ง (หรือทรงสงบนิ่งที่พระราชวังหลวงโดยในขณะที่จักรพรรดิได้เสด็จพระราชดำเนินไปสักการะที่ศาลเจ้า)[95] พระนางยังเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เองในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1933 และมีนาคม ค.ศ. 1941[96]
นอกจากนี้ในฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูร้อน ค.ศ. 1938 จักรพรรดินีทรงส่งพระบรมวงศานุวงศ์และพระชายาไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน[97] การส่งเหล่าพระชายาในฐานะผู้แทนพระองค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ทำให้ภาพลักษณ์ "แม่แห่งชาติ" และ "แม่ผู้ทรงเมตตา" ของพระนางเผยแพร่ออกไป นอกจากนี้พระนางยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เองทั้งช่วงก่อนและช่วงระหว่างสงคราม และการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานที่ต่างๆ ในญี่ปุ่นก็ได้มีการรายงานข่าวทางภาพยนต์ข่าวในขณะนั้น[98] ในเวลานี้ สื่อต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และภาพยนต์ข่าว เริ่มขนานนามพระนางว่า "สมเด็จพระนางเจ้าพระมารดาแห่งแผ่นดิน"[99] เมื่อกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ชัยชนะและสามารถยึดครองอู่ฮั่นในวันที่ 27 ตุลาคม ปีเดียวกัน จักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุงได้ปรากฏพระองค์ที่สะพานนิจูบาชิในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงเคยทำมาก่อน[96]
ในค.ศ. 1940 (ปีโชวะที่ 15) ช่วงระหว่างสงคราม เจ้าฟูมิมาโระ โคโนเอะ นายกรัฐมนตรี ประกาศจัดพระราชพิธีระลึกเนื่องในโอกาสครบรอบ 2,600 ปี การสถาปนาประเทศ พระราชพิธีระลึกจัดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน และการเฉลิมฉลองจัดในวันที่ 11 พฤศจิกายน หน้าพระราชวังหลวง โดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธี แต่ในตอนกลางคืนของวันที่ 11 พฤศจิกายน จักรพรรดินีเสด็จฯ มายังหน้าสะพานนิจูบาชิ พร้อมพระราชบุตรทั้งสี่พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ, เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ, เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ และเจ้าชายมาซาฮิโตะ โยชิโนะมิยะ ทรงพยายามตอบสนองต่อเสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนในฐานะที่ทรงแยกออกมาจากการโห่ร้องต่อองค์จักรพรรดิและมกุฎราชกุมาร นอกจากนี้เพื่อแสดงภาพลักษณ์การโฆษณาชวนเชื่อของพระนางในฐานะ "พระมารดา" ของประชาชน (ในความเป็นจริง บริเวณนั้นมืดมาก และมีเพียงโคมไฟที่จักรพรรดินีและคนอื่นๆ ถือไว้เท่านั้น จึงมองเห็นพระองค์)[100] ในค.ศ. 1941 (ปีโชวะที่ 16) ตั้งแต่ 15-20 พฤษภาคม จักรพรรดินีเสด็จพระราชดำเนินเยือนด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จฯยังจังหวัดมิเอะ, จังหวัดนาระ และจังหวัดเกียวโต โดยนอกเหนือจากเสด็จฯ เยือนศาลเจ้าและสุสานจักรพรรดิแล้ว พระนางยังทรงเสด็จเยือนโรงพยาบาลกองทัพเกียวโต (ปัจจุบัน คือ ศูนย์การแพทย์เกียวโตแห่งองค์การโรงพยาบาลแห่งชาติ) และพระตำหนักชูกาคุอิน[101] เหตุการณ์หนึ่งที่โดดเด่นคือ พิธีถวายการต้อนรับพระนางในวันที่ 18 มีผู้คนมาเข้าเฝ้าฯ กว่า 30,000 คน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างองค์จักรพรรดิและประชาชน และภาพลักษณ์ที่แท้จริงของจักรพรรดินีได้ซ้อนภาพ "พระมารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง" ในตัวพระนาง[102]
วันที่ 8 ธันวาคม ปีเดียวกัน ญี่ปุ่นประกาศสงครามต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา ด้วยการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และการทัพมาลายา (จุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิก หรือ สงครามมหาเอเชียบูรพา) และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 (ปีโชวะที่ 17) อังกฤษสูญเสียสิงคโปร์ในยุทธการที่สิงคโปร์ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ได้มีการเฉลิมฉลองชัยชนะโดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พลเอกฮิเดกิ โทโจ จักรพรรดิทรงม้าหน้าสะพานนิจูบาชิ หลังจากนั้น จักรพรรดินีทรงปรากฏพระองค์บนสะพานพร้อมด้วยเจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ, เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ, เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ และเจ้าชายอากิฮิโตะ สึงุโนะมิยะ (มกุฎราชกุมาร) ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีจากประชาชนนับหมื่นคน[103]
ทุกปีในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดินี พระนางจะทรงเชิญยูกะ โนกูจิ ที่ปรึกษาของพระนางมายังพระราชวัง เพื่อทรงสนทนาอย่างเป็นกันเอง แต่ในค.ศ. 1942 จักรพรรดินีทรงขอให้โนกูจิ ซึ่งเป็นคริสเตียน มาบรรยายเรื่องศาสนาคริสต์ (เรื่อง พระคัมภีร์) เป็นครั้งแรก[104] การกระทำนี้ได้รับการสนับสนุนจากทาเคโกะ โฮชินะ นางสนองพระโอษฐ์ของพระนาง[vii] และมิกิโกะ อิจิชิ นางสนองพระโอษฐ์และเป็นต้นห้องของจักรพรรดินี ทาดาทากะ ฮิโรฮาตะ สมุหราชวังของจักรพรรดินีก็พยายามสนับสนุนเช่นกัน[105] ตั้งแต่เมษายน ค.ศ. 1942 จนถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1947 โนกูจิได้บรรยายให้พระนางฟังทั้งหมด 15 ครั้ง[106]
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 1943 พระนางยังทรงส่งเหล่าพระชายาไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อตรวจงานและรับรอง พระนางยังทรงเสด็จฯ ตรวจงานในกรุงโตเกียวด้วยพระนางเองในวันที่ 19 พฤษภาคม โดยทรงฉลองพระองค์เรียบง่าย และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนอย่างกระตือรือร้น[107] วันที่ 13 พฤษภาคม พระนางเพิ่งทรงได้รับการบรรยายครั้งที่สี่จากโนกูจิในรอบ 11 เดือน[108] มีการชี้ให้เห็นว่าแนวคิดของจักรพรรดินีทรงเปลี่ยนไปเนื่องจากอิทธิพลทางความคิดแบบคริสเตียน[109] ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พระนางทรงได้รับการบรรยายครั้งที่ห้า[108] ในวันที่ 21 มิถุนายน หลังจากพระนางเสด็จพระราชดำเนินเยือนสุสานหลวงมูซาชิ พระนางยังทรงตรวจเยี่ยมหมู่บ้านเกษตรกรรม หมู่บ้านนานาโอะ เขตมินามิทามะ, โตเกียว (ปัจจุบันคือ นครฮิโนะ) ด้วยทรงกระตือรือร้นอย่างมาก ซึ่งทรงได้รับการรายงานถึงอย่างกว้างขวางในสื่อ[110] ในขณะที่จักรพรรดิไม่ทรงเสด็จเยือนจังหวัดต่างๆ อีก แต่จักรพรรดินีและเหล่าพระชายาของเจ้าองค์อื่นๆ ทรงได้รับการพบเห็นจากประชาชนมากขึ้น และทรงเป็นแบบอย่างของความประหยัดมัธยัสถ์[111]
วันที่ 13 ตุลาคม ปีเดียวกัน เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ หรือ เจ้าหญิงเทรุ พระราชธิดาองค์แรกของจักรพรรดิและจักรพรรดินี เข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายโมริฮิโระแห่งฮิงาชิกูนิ (โอรสองค์ใหญ่ในเจ้าชายนารูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิโนะมิยะ) ในปีต่อมา ค.ศ. 1944 (ปีโชวะที่ 19) เจ้าชายและเจ้าหญิงอีก 5 พระองค์ได้อพยพออกจากโตเกียว (เด็กนักเรียนทั้งหมดอพยพออกไปด้วย) แต่จักรพรรดินีก็ยังทรงประทับร่วมกับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะในโตเกียว[viii] ในวันที่ 30 กันยายน ปีเดียวกัน มีการกำหนดฉลองพระองค์แบบราชสำนักขึ้นและจักรพรรดินีทรงฉลองพระองค์นี้เป็นเวลานานจนถึงหลังสงคราม วันที่ 23 ธันวาคม จักรพรรดินีทรงประทานบิสกิตแก่เด็กที่อพยพทั่วประเทศ เพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายเฉลิมพระชนมพรรษา 11 พรรษาของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ และยังทรงส่งบทกวีหลวงเพื่อเป็นกำลังใจแก่มกุฎราชกุมารด้วย[112]
ยังมีการกล่าวกันว่าในช่วงเวลานี้ จักรพรรดินีไม่ทรงได้รับอนุญาตให้โดยสารรถพระที่นั่งของจักรพรรดิอีกต่อไป เพราะพระนางถือเป็น "ข้ารับใช้ของจักรพรรดิ" ในช่วงเกิดทุพภิกขภัยระหว่างสงคราม การปันส่วนอาหารของราชวงศ์ก็เข้มงวดพอๆ กับประชาชนทั่วไป และเมื่อพระนางกับจักรพรรดิทรงร่วมเสวยพระกระยาหารร่วมกัน ทั้งสองพระองค์จะทรงเก็บอาหารไว้หนึ่งหรือสองจานเพื่อประทานแก่มหาดเล็ก หรือ นางสนองพระโอษฐ์เสมอ เมื่อใกล้สิ้นสุดสงคราม จักรพรรดินีทรงปลูกผักและเลี้ยงไก่ในสวนพระราชวังฟุกิอาเกะด้วยพระองค์เอง และหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่น พระนางทรงทำฟูกและกิโมโนให้แก่เหล่าผู้ถูกส่งตัวกลับมายังประเทศ[113]
10 มีนาคม ค.ศ. 1945 (ปีโชวะที่ 20) ระหว่างการทิ้งระเบิดโตเกียว เจ้าหญิงชิเงโกะ เทรุโนะมิยะ ซึ่งเสกสมรสเข้าราชสกุลฮิงาชิกูนิ ทรงมีพระประสูติกาล พระโอรสองค์แรก คือ เจ้าชายโนบูฮิโกะ ในหลุมหลบภัย ซึ่งเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในจักรพรรดิโชวะและจักรพรรดินีโคจุง วันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน จักรพรรดิทรงออกประกาศเกียวกูองโฮโซ หรือ การออกอากาศ "พระราชดำรัสว่าด้วยการสิ้นสุดสงครามมหาเอเชียบูรพา" โดยทางวิทยุกระจายเสียง ส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
การเปลี่ยนแปลงหลังสงครามและการปรากฏของกิโมโนในจักรพรรดินี

ในช่วงหลังสงครามเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร จักรพรรดินีจะทรงทำขนมโดนัทด้วยพระนางเองบางครั้ง ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 จักรพรรดินีทรงทำโดนัทเพื่อแจกจ่ายให้กับทหารในกองกำลังรักษาพระองค์ของจักรพรรดิในช่วงมื้อเย็น แป้งสาลีที่ทรงใช้ทำโดนัทเป็นของกำนัลจากจักรพรรดิผู่อี๋แห่งแมนจูกัว และน้ำมันคาเมลเลียที่ใช้ทอดก็สามารถกลั่นได้จากในพระราชวัง[114]
ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1945 เจ้าชายและเจ้าหญิงห้าพระองค์ซึ่งอพยพไปอยู่นอกเมืองหลวงได้เสด็จกลับมาโตเกียว มาประทับร่วมกัน[115] เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 จักรพรรดิฮิโรฮิโตะได้เสด็จประพาสหลายจังหวัดทั่วญี่ปุ่น ยกเว้น จังหวัดโอกินาวะ (ดูเพิ่ม การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรหลังสงครามของจักรพรรดิโชวะ) แต่จักรพรรดินีไม่ได้เสด็จด้วยในช่วงแรก[116] จักรพรรดินีทรงกลับมาเสด็จเยี่ยมราษฎรทั่วเมืองหลวงและชานเมืองอีกครั้ง[116] และในวันที่ 4 กันยายน พระนางทรงตามเสด็จพระราชสวามีไปในการเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด[117]
ในวันที่ 17 ตุลาคม ปีเดียวกัน เอลิซาเบธ เกรย์ ไวนิง ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระพี่เลี้ยงในองค์มกุฎราชกุมารได้เดินทางมาถึงญี่ปุ่น และเข้าเฝ้าฯ จักรพรรดิ จักรพรรดินี และมกุฎราชกุมารเป็นครั้งแรก[118] จักรพรรดินีทรงเริ่มเรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกกับนางไวนิง[119]
วันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1947 (ปีโชวะที่ 22) กฎราชวงศ์ (ฉบับปัจจุบัน) ได้ถูกประกาศใช้ และมีผลบังคับใช้วันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น วันที่ 14 ตุลาคม พระบรมวงศานุวงศ์ 51 พระองค์ จาก 11 ราชสกุล รวมทั้งราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ ทางฝ่ายจักรพรรดินี และราชสกุลฮิงาชิกูนิ โนะ มิยะ ทางฝ่ายพระสวามีของเจ้าหญิงเทรุ ถูกถอดออกจากอิสริยศักดิ์ให้เป็นสามัญชน (ถูกให้ออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์) ตามบทบัญญัติของกฎราชวงศ์
ภายหลังจากราชวงศ์ญี่ปุ่นถูกเปลี่ยนแปลงสถานะอย่างสิ้นเชิง การที่จักรพรรดินีจะเสด็จไปทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์ก็กลายเป็นเรื่องปกติ และพระนางก็ทรงเข้าร่วมพระกรณียกิจต่างๆ อย่างกระตือรือร้น ตามพระราชประสงค์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชสวามีของพระองค์ ซึ่งทรงแสวงหาวิธีสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับประชาชนอย่างแข็งขัน ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตั้งให้พระนางดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสภากาชาดญี่ปุ่นในค.ศ. 1947 (ปีโชวะที่ 22), ร่วมกับพระราชสวามีเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของพิธีรำลึกแห่งชาติสำหรับผู้เสียชีวิตจากสงคราม ตั้งแต่ค.ศ. 1952 (ปีโชวะที่ 27), ร่วมกับพระราชสวามีเป็นประธานพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 กรุงโตเกียว (ปีโชวะที่ 39), ร่วมกับพระราชสวามีเป็นประธานพิธีเปิดงานเอ๊กซ์โป 70 ค.ศ. 1970 (ปีโชวะที่ 45), ร่วมกับพระราชสวามีเป็นประธานพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูหนาว 1972 เมืองซัปโปโระ (ปีโชวะที่ 47) และร่วมกับพระราชสวามีเป็นประธานพิธีรำลึกการคืนโอกินาวะให้ญี่ปุ่น นอกจากนี้ พระนางยังทรงร่วมเสด็จกับจักรพรรดิในการเสด็จเยือนศาลเจ้ายาซูกูนิและศาลเจ้าโกโกกุเป็นประจำ
นอกจากนี้ในเรื่องการเสกสมรสของเหล่าพระราชธิดา พระนางทรงสนับสนุนการจับเลือกคู่สมรสให้เจ้าหญิงแต่ก็ตามที่เหล่าพระราชธิดาทรงปรารถนา ด้วยมีพระประสงค์ให้เหมือนกับกรณีของเจ้าหญิงเทรุ พระราชธิดาองค์ใหญ่ที่เสกสมรสไปแล้ว[120] เจ้าหญิงคาซูโกะ ทากะโนะมิยะ พระราชธิดาองค์ที่สาม ได้เสกสมรสกับโทชิมิจิ ทากัตสึกาซะ (บุตรชายคนโตของอดีตตระกูลดยุค) ในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1950 ในโอกาสนี้ จักรพรรดิ จักรพรรดินี และสมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จร่วมงานเลี้ยงฉลองพิธีสมรส
วันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1951 (ปีโชวะที่ 26) จักรพรรดินีซาดาโกะ พระพันปีหลวงเสด็จสวรรคต จักรพรรดินีทรงบรรยายถึงความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของพระนางไว้ใน “บันทึกแห่งความระลึกถึงพระราชชนนี”[121]
ในวันขึ้นปีใหม่ ค.ศ. 1952 พระบรมฉายาลักษณ์ของ "พระราชวงศ์" ภาพแรกได้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน[122] วันที่ 10 ตุลาคม เจ้าหญิงอัตสึโกะ โยริโนะมิยะ พระราชธิดาองค์ที่สี่ ได้เสกสมรสกับทากามาซะ อิเกดะ (บุตรชายคนโตของอดีตตระกูลมาร์ควิส)[ix] เมื่อทรงร่วมพิธีเสกสมรสของเจ้าหญิงอัตสึโกะ จักรพรรดินีทรงฉลองพระองค์กิโมโนในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก[123] กิโมโนที่ทรงสวมเป็นสีน้ำตาลทองมีลวดลายนกพิราบซึ่งพระนางทรงออกแบบเอง[124] หลังสงคราม ท่ามกลางกระแสข่าวว่าจักรพรรดิจะสละราชสมบัติ เพื่อทรงรับผิดชอบต่อสงคราม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้จักรพรรดินีเป็นสัญลักษณ์แห่งความใกล้ชิดราษฎร[125] จึงทำให้ช่วงเวลานี้ประชาชนจำนวนมากสวมกิโมโน และพระนางทรงได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากประชาชน ด้วยเหตุที่ว่า ทรง "เป็นเหมือนกับพวกเรา"[126] นอกจากนี้พระนางทรงเชี่ยวชาญในงานจิตรกรรมญี่ปุ่นเป็นพิเศษ และก่อนอภิเษกสมรส พระนางทรงศึกษางานจิตรกรรมแบบ ยามาโตะ-เอะ ภายใต้การฝึกสอนของทากาโทริ จาคุเซ และต่อมาทรงศึกษากับคาวาอิ เกียวคุโดและมาเอดะ เซซง ตั้งแต่ค.ศ. 1956 (ปีโชวะที่ 31) ผลงานของพระนางได้ถูกจัดแสดง ในนิทรรศการศิลปะของสำนักพระราชวังบ่อยครั้ง นามปากกาของพระนางคือ "โทเอ็น" และห้องโถงโทกะราคุโดในสวนด้านตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียลก็ตั้งชื่อตามนามปากกานี้
ในปีเดียวกัน จิโยะ ทานากะได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาฉลองพระองค์ในจักรพรรดินี[127] แม้ว่าฉลองพระองค์เครื่องแบบราชสำนักของจักรพรรดินีจะไม่ได้รับการตอบรับจากสาธารณชนมากนัก แต่พระนางก็ทรงเริ่มสวมฉลองพระองค์แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นแทน ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาทางการเงินของราชสำนัก จึงไม่สามารถหาฉลองพระองค์ที่มีดีไซน์ล้ำสมัย ดังเช่นที่ราชวงศ์อังกฤษสวมใส่[128] ภาพลักษณ์ของราชวงศ์จึงถูกปรับให้ดูเรียบง่ายเนื่องด้วยสภาวะทางการเงินดังกล่าว ทำให้ส่งผลต่อการส่งเสริมให้ราชวงศ์มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ในช่วงก่อนที่ญี่ปุ่นจะเกิดปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น[129] อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ของจักรพรรดินีในฐานะ "พระมารดาของบุตรเจ็ดคน" ค่อนข้างล้าสมัยไปแล้วในสมัยนั้น และพระนางไม่ทรงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างกระตือรือร้นดังในช่วงสงคราม จนกระทั่งเกิดกระแสมิจิบูมในเวลาต่อมา[130]
นอกจากนี้ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ได้มีการจัดพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ โดยเป็นงานเฉลิมฉลองของประเทศงานแรกนับตั้งแต่การฟื้นฟูเอกราชคืนให้แก่ญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก หลังจากการยึดครองญี่ปุ่นของผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร

ก่อนที่จักรพรรดินีจะทรงฉลองพระองค์แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น "การเสด็จออกมหาสมาคม" ได้มีการจัดขึ้นในวันปีใหม่ และ วันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1948 (ปีโชวะที่ 23) และหลังจากการฟื้นฟูอำนาจอธิปไตยแก่ญี่ปุ่น พิธีวันปีใหม่ถูกกำหนดให้เป็นรัฐพิธี ตั้งแต่ค.ศ. 1953 (ปีโชวะที่ 26) มีการประกาศว่าจักรพรรดิและจักรพรรดินีจะเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร[131] ดังนั้นตั้งแต่ ค.ศ. 1953 เป็นต้นมา จึงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ พร้อมการเผยแพร่ "พระบรมฉายาลักษณ์หมู่ของพระบรมวงศานุวงศ์" ในวโรกาสวันขึ้นปีใหม่ และการเสด็จออกมหาสมาคมต่อหน้าสาธารณชน ณ สีหบัญชรของพระราชวัง ทุกวันที่ 2 มกราคม เป็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสถาบันจักรพรรดิในสองพิธีการ[132] จักรพรรดินีทรงฉลองพระองค์ชุดประจำชาติญี่ปุ่นใน "การเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระราชวัง ครั้งแรก" เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1953 โดยพระนางได้แสดงนัยยะทางการเมืองด้วยทรง "เน้นย้ำความเป็นชาติและขนบธรรมเนียมประเพณี"[132] จะเห็นได้ชัดว่าสถาบันจักรพรรดิญี่ปุ่นกลายเป็นตัวแทนของชาตินิยมที่ฟื้นคืนหลังสงคราม แม้ว่าสหรัฐอเมริกาได้ขจัดแนวคิดลัทธิทหารญี่ปุ่นออกไปแล้ว แต่ชนชั้นนำของญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มมุ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันและชาตินิยมทางชาติพันธุ์
ค.ศ. 1954 จักรพรรดินีได้ทรงติดตามจักรพรรดิฮิโรฮิโตะในคราวการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรหลังสงครามไปยังฮกไกโด และทรงร่วมทอดพระเนตรการแข่งขันกรีฑาระดับชาติครั้งที่ 9 การเสด็จพระราชดำเนินเยือนที่ยาวนานตั้งแต่ 6 - 23 สิงหาคม แม้ว่าพระนางจะทรงมีพระพลานามัยไม่แข็งแรง แต่ก็ทรงติดตามเสด็จไปทั้งทางใต้ ตอนกลาง และทางตะวันออกของเกาะฮกไกโด ขณะเสด็จพระราชดำเนินกลับโตเกียว ทรงโดยสารด้วยเครื่องบินสายการบินเจแปนแอร์ไลน์จากท่าอากาศยานจิโตเซะไปยังท่าอากาศยานฮาเนดะ[133] เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงปรากฏพระองค์บนเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์พร้อมกัน
เดือนมกราคม ค.ศ. 1955 มีการตีพิมพ์ "ชูฟุโนะโตโมะ" (แปล:เพื่อนแม่บ้าน) เป็นนวนิยายรายตอนที่อิงเรื่องราวในชีวิตจริงของอิโตโกะ โคยามะ ได้มีบทที่มีชื่อว่า "จักรพรรดินี" ได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆ และมีตัวละครที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์อย่าง "โยชิ-ซามะ" และ "ฮิโรฮิโตะ-ซามะ" ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากผู้อ่าน[134] [x]
|
ความขัดแย้งเรื่อง การอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ และเครือข่ายสมเด็จพระจักรพรรดินี

เมื่อมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะทรงตัดสินพระทัยที่จะหมั้นหมายกับมิจิโกะ โชดะ ซึ่งเป็นสามัญชน (ในขณะนั้นถูกเรียกว่า การแต่งงานต่างฐานันดร) ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้จะหมั้นหมาย จักรพรรดินีทรงตรัสถึงความไม่พอพระทัยอย่างยิ่งกับเจ้าหญิงเซ็ตสึโกะแห่งชิจิบุ และเจ้าหญิงคิกูโกะแห่งทากามัตสึ โดยทรงตรัสว่า "มันเหลือจะทนแล้ว ที่มกุฎราชกุมารจะอภิเษกสมรสกับสามัญชน"[136] นอกจากนี้ พระนางทรงตรัสในทำนองเดียวกันให้เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์นี้ฟัง รวมถึงโนบูโกะ มัตสึไดระ[xi] ในฤดูร้อนปีนั้นด้วยที่ตำหนักของเจ้าชายชิจิบุในจังหวัดชิซูโอกะ[136] ดังนั้นการที่มกุฎราชกุมารจะอภิเษกสมรสกับนางสาวมิจิโกะ โชดะ จึงได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากเหล่าอดีตราชสกุลและขุนนาง[137]
แม้ว่าประชาชนจะยินดีกับการอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารกับสตรีสามัญชนผู้ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของคนธรรมดา แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความไม่ยอมรับจากเหล่าราชวงศ์และอดีตราชสกุลหลายคน และเหล่าเจ้านายกลุ่มนั้นมองว่าเป็นการอภิเษกสมรสที่ชั่วร้าย มีการบันทึกว่าแต่เดิมจักรพรรดินีและเหล่าเครือข่ายจักรพรรดินี ทรงวางตัว ฮัตสึโกะ คิตาชิราคาวะ ธิดาอดีตเจ้าชายนากาฮิสะ คิตาชิราคาวะกับซาจิโกะ โทกูงาวะ อดีตเจ้าหญิงคิตาชิราคาวะ ซึ่งฮัตสึโกะสนิทสนมกับมกุฎราชกุมารจึงเป็นที่สนใจจากสื่อ ฮัตสึโกะมาจากตระกูลอดีตราชสกุล และมารดาเป็นพระญาติกับเจ้าหญิงทากามัตสึ จึงเป็นที่สนใจว่าเป็นตัวเลือกว่าที่มกุฎราชกุมารี แต่เมื่อมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะทรงเลือกนางสาวโชดะ ทำให้ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าอดีตราชสกุลอย่างมาก แม้ว่าฮัตสึโกะเองไม่ได้สนใจที่จะเสกสมรสกับมกุฎราชกุมารและมีคนรักอยู่แล้ว[138]
ในเอกสารบันทึกประจำวันของซูเอมาสะ อิริเอะ สมุหพระราชวังในจักรพรรดิโชวะ ระบุว่า นางมัตสึไดระ นางสนองพระโอษฐ์ได้ร่วมมือกับเบียคุเรน ยานางิวาระ กวีหญิง และเครือข่ายจักรพรรดินีคนอื่นๆ พยายามปลุกระดมกองกำลังฝ่ายขวาจัด รวมตัวเพื่อกดดันให้ตระกูลโชดะยอมถอนตัวจากการอภิเษกสมรสครั้งนี้[139] อิตสึโกะ นาชิโมโตะ อดีตสมาชิกราชวงศ์และเป็นพระมาตุจฉาในเจ้าหญิงชิจิบุ ได้เขียนว่า “เช้านี้เป็นเช้าที่อากาศดีและอบอุ่น เช้านี้เต็มไปด้วยเรื่องตื่นเต้นจากการประกาศการหมั้นหมาย และฉันรู้สึกเคืองแค้น เศร้า และมีอารมณ์อื่นๆ เข้ามามากมาย ฉันคิดว่าญี่ปุ่นคงประสบเคราะห์กรรมเสียแล้ว” แต่อย่างไรก็ตามเพื่อที่ทำตามพระราชประสงค์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ อิตสึโกะจึงไม่วิพากษ์วิจารณ์อีก[140] มีการกล่าวว่า เหตุผลในการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพวกอดีตราชสกุลนั้น ไม่ใช่เพราะ “มีเจตนาเลือกปฏิบัติต่อสามัญชน” หากแต่เป็นความหวาดกลัวว่า "สตรีสามัญชนเติบโตขึ้นมาในโลกของสามัญชนได้แต่งงานเข้ามาในโลกพิเศษของราชวงศ์ จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นจักรพรรดินีได้"[141]
ในญี่ปุ่นยุคสงครามเย็น กลุ่มพลังฝ่ายขวากลับเป็นตัวตั้งตัวตีในการโจมตีมกุฎราชกุมารีมิจิโกะและครอบครัวโชดะ ซึ่งกลุ่มนั้นคือ สมาคมโทคิวาไก ซึ่งเป็นสมาคมศิษย์เก่าของนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนกากุชูอิน จักรพรรดินีนางาโกะทรงเป็นองค์ประธานสมาคมศิษย์เก่าโทคิวาไก ส่วนโนบูโกะ มัตสึไดระเป็นสภานายกและเป็นที่ปรึกษาด้านการศึกษาของมกุฎราชกุมาร กลุ่มโทคิวาไกและสมาชิกราชวงศ์อื่นๆ และอดีตขุนนางก็ได้แสดงความไม่พอใจ ประท้วงอย่างเปิดเผย อ้างตามบันทึกของอิริเอะ ซูเอมาสะ ซึ่งเป็นหัวหน้าสมุหพระราชวังในขณะนั้น[142][143] แต่เมื่อไม่สามารถขัดขวางได้ สมาคมโทคิวาไกจึงดำเนินการในเรื่องอื่น เมื่อสำนักพระราชวังต้องการคัดเลือกนางสนองพระโอษฐ์แก่มกุฎราชกุมารีพระองค์ใหม่ จึงปรึกษาสมาคมโทคิวาไก ดังนั้นโทคิวาไกได้คัดเลือกแต่สมาชิกในเชื้อพระวงศ์เท่านั้นให้เป็นนางสนองพระโอษฐ์[144] สาเหตุหนึ่งของการที่เครือข่ายจักรพรรดินีนางาโกะทำการโจมตีมิจิโกะ โชดะ คือ เธอไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากกากุชูอิน แต่มิจิโกะกลับสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนคาทอลิก (โรงเรียนมัธยมฟูตาบะ และโรงเรียนสตรีพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์) โดยทั้งมิจิโกะ ตลอดจนสมุหพระราชวังอย่าง อิริเอะ ซูเอมาสะ ล้วนเป็นคาทอลิก ซึ่งศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิกมีผู้นับถือในราชสำนักจำนวนมากหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จักรพรรดินีนางาโกะเองไม่ทรงแสดงท่าทีเคืองแค้นมิจิโกะอย่างเปิดเผยหลังพระราชพิธีอภิเษกสมรส แต่ได้มีรายงานข่าวที่แสดงให้เห็นว่า จักรพรรดินีทรงเมินเฉยต่อมกุฎราชกุมารีมิจิโกะ ในขณะที่มกุฎราชกุมารีทรงเข้าเฝ้าฯ ต้อนรับพระนางที่สนามบินฮานาดะ ในระหว่างที่จักรพรรดินีเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1975[145] และในปีค.ศ. 1969 มีรายงานว่ามกุฎราชกุมารีมิจิโกะทรงตรัสถามซูเอมาสะ อิริเอะ สมุหพระราชวัง ว่า "มีสิ่งใดในตัวดิฉันอีกหรือไม่ที่องค์จักรพรรดินีไม่ทรงโปรด นอกจากความจริงที่ว่าดิฉันนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ?"[146] อิริเอะได้นำเรื่องราวในวังมาเขียนในบันทึกประจำวันของเขา ซึ่งเห็นได้ว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อพระราชวงศ์มาอย่างยาวนาน
ในเดือนพฤจิกายน ค.ศ. 1960 ชิเงโกะ ฮิงาชิกูนิ อดีตเจ้าหญิงและพระราชธิดาองค์ใหญ่ในจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะ มีอาการประชวร พบว่าทรงเป็นโรคมะเร็งและลุกลามจนระยะสุดท้ายแล้ว เธอได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำนักพระราชวังในเดือนเมษายน ปีต่อมา ระหว่างการรักษาตัวครั้งสุดท้ายของเธอ จักรพรรดิและจักรพรรดินีเสด็จมาเยี่ยมเธอพร้อมกันถึง 28 ครั้ง และจักรพรรดินีเสด็จมาเยี่ยมเพียงพระองค์เดียวถึง 34 ครั้ง โดยทรงหลีกเลี่ยงจากความสนใจของสาธารณชนจึงเสด็จเป็นการส่วนพระองค์[147] แต่อย่างไรก็ตาม ชิเงโกะสิ้นพระชนม์ในเดือนกรกฎาคม ขณะมีอายุ 35 ปี ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีต่างทรงตกตะลึงและเสียพระทัยอย่างยิ่งต่อการสิ้นพระชนม์ของพระราชธิดาองค์ใหญ่ และจักรพรรดินีทรงสะอื้นไห้เสียงดังถึงนอกห้องผู้ป่วย มีรายงานว่า เมื่อพระอาการของชิเงโกะย่ำแย่ลง จักรพรรดินีทรงพยายามรักษาพระราชธิดาด้วยพระองค์เอง เช่น ใช้การรักษาไฟฟ้าบำบัด ทำให้ทรงเกิดความขัดแย้งกับแพทย์ประจำราชสำนัก[148]
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของชิเงโกะ จักรพรรดินีทรงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลครอบงำของนางสนองพระโอษฐ์ คือ โยชิโกะ อิมาชิโระ ซึ่งซูเอมาสะ อิริเอะ สมุหพระราชวังของจักรพรรดิโชวะเรียกท่านผู้หญิงอิมาชิโระว่า "นางแม่มด"[148] ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยเฉพาะช่วง ค.ศ. 1966 ถึง 1972 มีปัญหาในราชสำนักเกิดขึ้นบ่อยครั้งรอบตัวของอิมาชิโระ[149] อ้างตามบันทึกประจำวันของอิริเอะ ระบุว่า ท่านผู้หญิงอิมาชิโระมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับขบวนการศาสนาใหม่ และเธอได้สร้างความโกรธแค้นต่อผู้คนรอบข้างเนื่องจากพฤติกรรมและการพูดจาที่หยาบคายของเธอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่อิริเอะอธิบายในบันทึกว่า ทำไมถึงเรียกเธอว่า "นางแม่มด" ซึ่งอิริเอะไม่พอใจอิมาชิโระเป็นมาแต่แรก เพราะเขามองว่าเธอกำลังใช้อิทธิพลควบคุมจักรพรรดินี

ท่านผู้หญิงอิมาชิโระมีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาของราชสำนัก โดยผ่านจักรพรรดินี ซึ่งพิธีกรรมของราชสำนักนั้นถูกปรับปรุงให้มีความเรียบง่ายมากขึ้นเพื่อคำนึงถึงพระชนมพรรษาที่มากขึ้นของจักรพรรดิและจักรพรรดินี แต่อิมาชิโระเป็นคนกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติตามพิธีกรรมของราชสำนักอย่างเคร่งครัดตามธรรมเนียมโบราณ และจะดุด่าข้าราชสำนักที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างรุนแรง จักรพรรดินีนางาโกะทรงได้รับอิทธิพลจากความเข้มงวดของอิมาชิโระ และเริ่มคัดค้านการทำให้พิธีกรรมเรียบง่ายขึ้นจนถึงขั้นที่พระนางไม่ทรงคำนึงถึงพระพลานามัยของจักรพรรดิ จักรพรรดินีนางาโกะทรงขอร้องอย่างแข็งขันให้อิมาชิโระร่วมเดินทางกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีในการเสด็จเยือนยุโรปด้วย ซึ่งในบางจุดทำให้จักรพรรดิเลือกเสด็จเยือนเพียงลำพัง[149]
จักรพรรดินีนางาโกะทรงพยายามแต่งตั้งโยชิโกะ อิมาชิโระเป็นหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ ในค.ศ. 1967 แต่เจ้าชายโนบูฮิโตะ ทากามัตสึโนะมิยะ พระราชอนุชาในจักรพรรดิโชวะ และเจ้าหญิงคิกูโกะ พระชายา ทรงต่อต้านแผนการนี้ ทั้งสองพระองค์ทรงพยายามใช้อิทธิพลผลักดันให้โนบูโกะ มัตสึไดระ นางสนองพระโอษฐ์อาวุโส ผู้เคยช่วยเหลือจักรพรรดินีต่อต้านมกุฎราชกุมารีมิจิโกะ ขึ้นเป็นหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์แทน แต่จักรพรรดินีทรงไว้วางพระราชหฤทัยในตัวอิมาชิโระมากกว่า[149] สุดท้ายความขัดแย้งสิ้นสุดเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1969 ซาจิโกะ คิตาชิราคาวะ (อดีตนามสกุล โทกูงาวะ) ซึ่งอายุน้อยกว่าอิมาชิโระและมัตสึไดระ แต่เคยมีราชศักดิ์สูงกว่าและเป็นพระญาติในเจ้าหญิงคิกูโกะ พระชายาในเจ้าชายทากามัตสึ[xii] ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านางสนองพระโอษฐ์แทน[150] ซึ่งซูเอมาสะ อิริเอะ หัวหน้าสมุหพระราชวังสามารถกำจัดโยชิโกะ อิมาชิโระออกจากสำนักพระราชวังได้ ด้วยความเห็นชอบของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ในค.ศ. 1971 กล่าวกันว่าจักรพรรดินี "ไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะปลดเธอออกจนกระทั่งวาระสุดท้าย"
นอกจากนี้ จักรพรรดินีนางาโกะทรงมีภาวะซึมเศร้า หลังจากทรงสูญเสียนางสนองพระโอษฐ์ที่พระนางทรงไว้วางพระราชหฤทัยมากที่สุด และพระพลานามัยทางกายและพระหทัยของพระนางก็เริ่มเสื่อมถอยลงอย่างมากหลังจากนั้น[151] ในเวลาต่อมา นักข่าวประจำสำนักพระราชวัง โทชิอากิ คาวาฮาระ ได้กล่าวถึงการขับไล่ท่านผู้หญิงอิมาชิโระว่า ในบันทึกประจำวันของอิริเอะไม่มีตัวอย่างความผิดของท่านผู้หญิงอิมาชิโระเลยแม้แต่น้อย และเนื่องจากผู้คนเชื่อกันไปผิดๆ ว่า อิมาชิโระสนับสนุนให้จักรพรรดินีนับถือศาสนาใหม่ การขับไล่เธอออกไปจึงเป็นเพียง "การล่าแม่มดโดยแท้จริง ซึ่งเกิดจากความต้องการส่วนตัวของอิริเอะ หัวหน้าสมุหพระราชวังที่ต้องการจะขับไล่คนที่เขาไม่ชอบออกไปให้สิ้น"[152]
เสด็จเยือนต่างประเทศ 2 ครั้ง

จักรพรรดินีไม่ทรงเคยเสด็จนอกประเทศญี่ปุ่นและทรงปรารถนาอย่างแรงกล้าในการเสด็จเยือนต่างประเทศ เมื่อเจ้าหญิงคิกูโกะ พระชายาในเจ้าชายโนบูฮิโตะ ทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงติดต่อกับนายกรัฐมนตรี เอซากุ ซาโตผ่านทางอดีตนายกรัฐมนตรี ชิเงรุ โยชิดะ และจากนั้นเจ้าหญิงคิกูโกะทรงติดต่อกับสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียมผ่านทางเจ้าชายอัลแบร์ เจ้าชายแห่งลีแยฌ พระราชอนุชาในกษัตริย์เบลเยียมที่ได้เสด็จเยือนญี่ปุ่นขณะนั้น จึงเป็นผลให้การเสด็จเยือนราชอาณาจักรเบลเยียมอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น[153]
ตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงตุลาคม ค.ศ. 1971 จักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะจึงได้เสด็จเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ และเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศครั้งแรกของจักรพรรดินี หลังจากทรงแวะประทับที่รัฐอะแลสกา พระนางได้เสด็จเยือนเดนมาร์ก เบลเยียม ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนีตะวันตก ถึงแม้ว่า จักรพรรดินีจะทรงตามเสด็จจักรพรรดิโดยส่วนใหญ่ แต่ระหว่างที่ประทับในกรุงบรัสเซลส์ พระนางได้เสด็จพระราชดำเนินรอบกร็อง-ปลัสด้วยพระนางเอง โดยมีโยชิฮิโระ โทกูงาวะ รองสมุหพระราชวังเป็นผู้นำทาง[xiii][154] และทรงมีโอกาสได้ไปทอดพระเนตรรูปปั้นมันเนอเกินปิสแบบเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย (จักรพรรดิฮิโรฮิโตะไม่ได้เสด็จไปทอดพระเนตรครั้งนี้ เพราะทรงเคยทอดพระเนตรเมื่อคราวเสด็จเยือนเมื่อ 50 ปีก่อน)[155] ที่กร็อง-ปลัส พระนางทรงยืมเงินของโยชิฮิโระ โทกูงาวะ เพื่อซื้อตุ๊กตาลูกไม้ในราคา 95 ฟรังก์เบลเยียม (ประมาณ 630 เยน)[154] ต่อมาพระนางทรงตรัสกับผู้สื่อข่าวว่า “เรากำลังคิดว่าจะซื้อมันเป็นของที่ระลึกให้ลูกหลานหรือให้ตัวเราเองดี”[156] ในกรุงปารีส พระนางเสด็จกลับมาพบอดีตครูสอนภาษาฝรั่งเศสของพระนางอีกครั้ง และจากนั้นทั้งจักรพรรดินีและอดีตครูได้เสด็จไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิเป็นการส่วนพระองค์ที่ภัตตาคาร ซึ่งทรงร่วมเสวยแอ็สการ์โก[157]
ฉลองพระองค์ที่จักรพรรดินีทรงสวมในขณะเสด็จเยือนยุโรปปี 1971 และสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1975 ได้รับการออกแบบโดย ปีแยร์ บัลแม็ง ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส[158]
ในค.ศ. 1973 (ปีโชวะที่ 48) โนบูฮิโกะ ฮิงาชิกูนิ บุตรชายคนโตในโมริฮิโระ ฮิงาชิกูนิ กับ ชิเงโกะ ฮิงาชิกูนิ พระราชธิดาองค์ใหญ่ในจักรพรรดิ ได้มีบุตรชายคนแรกคือ มาซาฮิโกะ ฮิงาชิกูงิ ทำให้เป็นพระราชปนัดดาองค์แรกในจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและจักรพรรดินีนางาโกะ ในค.ศ. 1974 (ปีโชวะที่ 49) จักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงจัดพระราชพิธีวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส ปีที่ 50 และเมื่อคณะนักข่าวกราบทูลถามทั้งสองพระองค์ว่า "ความทรงจำที่พระองค์ทรงโปรดที่สุดคือเรื่องใด" ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีต่างก็ทรงกล่าวถึงการเสด็จเยือนยุโรปของทั้งสองพระองค์[159] ในปีถัดมา พระนางยังเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาพร้อมกับพระจักรพรรดิอีกด้วย ก่อนการเสด็จเยือนครั้งนี้ ได้มีการแถลงข่าวของจักรพรรดิอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประวัติศาสตร์
|
ปลายสมัยโชวะ

ในค.ศ. 1976 (ปีโชวะที่ 51) จักรพรรดินีทรงเข้าร่วมพิธี "การรำลึกการครองราชสมบัติครบ 50 ปีของสมเด็จพระจักรพรรดิ" ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้จัดถวาย แต่ในช่วงเวลานี้ พระชนมายุที่สูงขึ้นได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาพระวรกายและจิตใจเด่นชัดขึ้น ในฤดูร้อนปีต่อมา จักรพรรดินีทรงหกล้มที่พระตำหนักนาสุและกระดูกสันหลังส่วนเอวของพระนางหัก[160] ผู้ช่วยดูแลของพระนางได้ปกปิดข้อเท็จจริงนี้และทำให้การรักษาพระนางเป็นไปอย่างล่าช้า ส่งผลให้พระนางไม่สามารถฟื้นพระวรกายได้อย่างสมบูรณ์ หลังอุบัติเหตุครั้งนี้สัญญาณของพระชนมายุที่สูงขึ้นได้ปรากฏ เช่น ภาวะสมองเสื่อมปรากฏเด่นชัดมากขึ้น พระนางทรงใช้ไม้เท้าสำหรับพระดำเนินบ่อยขึ้น และจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงจับพระหัตถ์ของพระนางไว้ทุกครั้งเมื่อเสด็จพระดำเนิน ท่านผู้หญิงคิตาชิราคาวะ หัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ และคนอื่นๆ จะคอยช่วยเหลือพระนางเมื่อเสด็จงานพระราชพิธีต่างๆ
ในค.ศ. 1984 ทั้งสองพระองค์ได้จัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองราชาภิเษกสมรสครบรอบ 60 ปี และในฤดูร้อนของปีเดียวกัน ทั้งสองพระองค์เสด็จเยือนเทนเคียวคะคุ อีกครั้ง อันเป็นพระตำหนักเมื่อคราวอภิเษกสมรสใหม่ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งทะเลสาบอินาวาชิโระ จักรพรรดิทรงคำนึงถึงจักรพรรดินีเสมอ และเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1986 มีการเผยแพร่พระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสองพระองค์ทรงจับพระหัตถ์กันต่อสาธารณะ[161] "จักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงโปรดการพระดำเนินเล่นในพระราชวังหลวงและพระตำหนักในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ จักรพรรดิทรงโปรดต้นไม้ และจักรพรรดินีมักจะทรงอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ทรงสดับฟังในขณะพระดำเนินด้วยกัน" พระนางทรงมีพระกิจวัตรยามว่างมากมาย ได้แก่ อักษรวิจิตร, งานเย็บปักถักร้อย, นิฮงกะ (วาดภาพแบบญี่ปุ่น), ละครโน (คันเซ (สำนักละครโน)), การปลูกดอกกุหลาบ และทรงเปียโน มีเรื่องเล่าลือว่า เมื่อเสด็จพระราชดำเนินในสวนและมาถึงทางแยก จักรพรรดิจะทรงตรัสถามว่า "นากามิยะ เราจะไปทางไหน" และจักรพรรดินีจะทรงตรัสถามกลับว่า "แล้วพระองค์ทรงโปรดทางไหนมากกว่า" พระนางทรงโปรดการชมรายการโทรทัศน์ร่วมกับพระจักรพรรดิ ซึ่งจักรพรรดิทรงโปรดละครจากช่องเอ็นเอชเค ในทางกลับกัน ช่วงพระกระยาหารเช้าจักรพรรดินีทรงโปรดเสวยนาระซุเกะ (ผักดองนาระ) ดังนั้น "ผักดองของเมืองนาระมักถูกเสริฟพร้อมพระกระยาหารเช้าและมื้ออื่นๆ ในแต่ละวัน" (จักรพรรดิโชวะ พระสวามีของพระนาง ไม่ได้มีพระทัยชอบผักดองเป็นพิเศษ) จักรพรรดิทรงแถลงข่าวครั้งสุดท้ายในปีถัดมาเมื่อ 21 เมษายน ค.ศ. 1987 จักรพรรดิโชวะทรงมีพระราชดำรัสว่า "ข้าพเจ้าจะดำเนินไปพร้อมๆ กับจักรพรรดินีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"[162] ในเรื่องการปลูกดอกกุหลาบ จักรพรรดินีจะทรงหยิบกรรไกรมาตัดดอกกุหลาบด้วยพระองค์เอง สวนของพระราชวังหลวงถูกออกแบบมาเพื่อรักษาทัศนียภาพแบบที่ราบสูงมูซาชิโนะและปล่อยให้พืชเติบโตตามธรรมชาติ เว้นแต่บริเวณสวนดอกกุหลาบของจักรพรรดินีที่ซึ่งจักรพรรดิไม่ทรงจัดแจงบริเวณนั้นด้วยพระองค์เองได้
จักรพรรดิยังคงเข้าร่วมพระราชพิธีและพระราชกรณียกิจอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ แต่ไม่สามารถเข้าร่วมงานฉลองปีใหม่ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1986 และพระราชพิธีวันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิ วันที่ 29 เมษายน ได้ และไม่ทรงสามารถร่วมงาน "พิธีรำลึกการครองราชย์ครบ 60 ปี สมเด็จพระจักรพรรดิ" ที่รัฐบาลจัดขึ้นในปีเดียวกันอีกด้วย หลังจาก 30 กันยายนปีเดียวกัน พระองค์ก็ทรงยกเลิกการเสด็จพระดำเนินเล่นที่ทรงทำประจำ และทรงใช้รถเข็นพระที่นั่งบ่อยครั้ง และวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1987 จักรพรรดิทรงมีพระอาการพระหทัยวายเล็กน้อยขณะทรงกำลังฉายพระรูปเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ และตั้งแต่ปีนั้นมา พระองค์ไม่สามารถร่วมพระราชกรณียกิจหลายครั้ง
สมเด็จพระพันปีหลวง
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1989 จักรพรรดินีนางาโกะทรงกลายเป็นสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามี ก่อนที่จักรพรรดิจะสวรรคต จักรพรรดินีเสด็จไปทรงเยี่ยมพร้อมนางสนองพระโอษฐ์กลุ่มเล็กๆ รวมถึง ท่านผู้หญิงคิตาชิราคาวะ หัวหน้านางสนองพระโอษฐ์ และทรงใช้เวลาประทับร่วมกับพระราชสวามีอยู่เพียงลำพังช่วงหนึ่ง[163] หลังจากนั้น เวลา 06.33 น. พระนางได้เสด็จไปอยู่ร่วมกับจักรพรรดิในช่วงวาระสุดท้าย โดยมีมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ และพระราชบุตรทั้งห้าพระองค์ได้แก่ (คาซูโกะ ทากัตสึกาซะ, อัตสึโกะ อิเกดะ, เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนมิยะ และทากาโกะ ชิมาซุ) พระราชวังฟูกิอาเกะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชวังฟูกิอาเกะโนะมิยะ และยังคงเป็นที่ประทับของจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวงต่อไป[164]
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน (ปีเฮเซที่ 1) พระนางไม่ได้เสด็จร่วมพระราชพิธีพระบรมศพจักรพรรดิโชวะ ซึ่งถูกจัดขึ้นโดยคณะรัฐบาล (ประธานกรรมการจัดพระราชพิธีพระบรมศพคือ นายกรัฐมนตรี โนโบรุ ทาเกชิตะ) และเจ้าหญิงฮานาโกะ พระชายาในเจ้าชายมาซาฮิโตะทรงปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระพันปีหลวง นอกจากการสวรรคตของจักรพรรดิโชวะแล้ว ปีเดียวกันยังเกิดการสิ้นพระชนม์ของพระประยูรญาติหลายคน ได้แก่ คาซูโกะ ทากัตสึกาซะ อดีตเจ้าหญิงและพระราชธิดาองค์ที่สามในจักรพรรดิโชวะ (เสียชีวิต อายุ 59 ปี), โยชิมาโระ ยามาชินะ พระญาติของพระนาง (เสียชีวิต อายุ 88 ปี) และโทโมโกะ โอตานิ พระขนิษฐาในจักรพรรดินี (เสียชีวิต อายุ 83 ปี)
เมื่อเริ่มศักราชเฮเซ พระอาการสมองเสื่อมของพระนางรุนแรงยิ่งขึ้น และมีรายงานว่า "พระพันปีหลวงทรงมีพระอาการเช่นเดียวกับคนชราทั่วไป"[xiv] พระนางจึงไม่ทรงเสด็จออกจากพระตำหนักบ่อยนัก วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1996 (ปีเฮเซที่ 8) สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีพระชนมายุ 93 พรรษา ทรงมีพระชนมายุมากกว่า จักรพรรดินีฟุจิวะระ โนะ ฮิโระโกะ พระอัครมเหสีในจักรพรรดิโกะ-เรเซ ซึ่งสวรรคตขณะเป็นสมเด็จพระอัยยิกาเจ้าเมื่อพระชนมายุ 92 พรรษา ทำให้จักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวงเป็นจักรพรรดินีที่มีพระชนมายุยืนยาวมากกว่าจักรพรรดินีพระองค์ใดในประวัติศาสตร์ โดยไม่นับรวมสมัยเทพเจ้า และในปีเดียวกัน พระบรมฉายาลักษณ์ล่าสุดของพระนางถูกถ่ายเผยแพร่สาธารณชนในรอบระยะเวลา 9 ปี
สวรรคต

ค.ศ. 2000 (ปีเฮเซที่ 12) พระนางทรงมีพระอาการหายใจไม่สะดวกเป็นระยะ และสวรรคตเมื่อเวลา 16.46 น. ของวันที่ 16 มิถุนายน ณ พระราชวังหลวงโอมิยะ ด้วยภาวะการหายใจล้มเหลว และพระโรคชรา[2]พระนางทรงมีพระชนมายุ 97 พรรษา ทำให้พระนางทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี พระมเหสีอย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ (62 ปี 14 วัน) และทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินีที่ทรงมีพระชนมายุยืนยาวที่สุด หากไม่นับสมัยเทพเจ้า (97 ปี 102 วัน)[1]
ก่อนที่จะสวรรคต พระโอรสธิดาทั้งสี่พระองค์ (อัตสึโกะ อิเกดะ, สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ, เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะและทากาโกะ ชิมาซุ) และพระราชนัดดาได้ประทับอยู่ช่วงเวลาสุดท้ายด้วย จักรพรรดิทรงรีบเสด็จมายังพระราชวังโอมิยะหลังจากทรงเสร็จจากการปฏิบัติราชกิจ และสมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จสวรรคตหลังจากจักรพรรดิเสด็จมาถึงได้ 1 นาที[164]
เคนโซ คาโต หัวหน้าแพทย์หลวงประจำพระองค์สมเด็จพระพันปีหลวง ได้กล่าวว่า "พระอาการต่างๆ เกิดจากความชราภาพซึ่งทำให้แย่ลง และพระอาการโดยรวมของพระองค์ก็ทรุดลง ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเนื่องมาจากความชราภาพ (เนื่องจากต้องทรงใช้เครื่องออกซิเจนในการส่งอากาศหายใจ) เราต้องหลีกเลี่ยงที่จะใช้ยาซึ่งจะทำให้พระองค์ทรงทรมานยิ่งขึ้น โดยทางเราได้กราบทูลฯ แนวทางนี้ต่อฝ่าพระบาทแล้ว"[164]
วันที่ 10 กรกฎาคม พระนางทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศหลังสวรรคตเป็น "จักรพรรดินีโคจุง" (ตามพระบรมราชโองการในจักรพรรดิอากิฮิโตะ) พระนามว่า "โคจุง" มาจากบทกวีจีนโบราณชุด "ไคฟูโซ"[xv] ซึ่งมีข้อความว่า "ลูกท้อ" (ลูกพีช) ตามตราลัญจกรและพระอิสริยศักดิ์ของพระนาง "ดอกไม้เบ่งบานและสวนท้อที่หอมหวาน กอหญ้าเจริญเติบโตและพรมแห่งดอกกล้วยไม้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกใหม่" (อาเบะ โนะ ฮิโรนิวะ “งานเลี้ยงซามูไรคาสึงะ”) และ "ทะเลทั้งสี่นั้นไร้ซึ่งปัญหาใดๆ ภูมิภาคทั้งเก้านั้นบริสุทธิ์และผ่องแผ้ว" (ทะเลทั้งสี่นั้นสงบสุขและได้รับการปกครองอย่างดี และคุณธรรมอันบริสุทธิ์และร้อนแรงนั้นแพร่หลายไปทั่วโลก) (ยามาซากิ โนะ โอ “งานเลี้ยงซามูไร”) นี่เป็นครั้งแรกที่มีการตั้งพระนามหลังสวรรคตตามคำใน "หนังสือญี่ปุ่น"
วันที่ 16 ซึ่งพระนางสวรรคตนั้นเป็นวันศุกร์ ผู้คนต่างแสดงความเสียใจเหมือนคราวที่จักรพรรดิโชวะ พระราชสวามีของพระนางเสด็จสวรรคต แต่พวกเขาก็ยังใช้แนวทางที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น วันที่สวรรคตและวันต่อมา (วันเสาร์ที่ 17) สมาคมแข่งม้าแห่งประเทศญี่ปุ่นยกเลิกการแข่งขันทั้งหมดในวันที่ 17 และกำหนดการแข่งขันใหม่เป็นวันที่ 19 และงดการแสดงประโคมแตรในวันที่ 18 และ 19 (เช่นเดียวกับการแข่งขันสาธารณะอื่นๆ การแข่งขันเรืออามากาซากิก็ถูกยกเลิกในวันนั้นด้วย) การแข่งขันเบสบอลระหว่างฮันชินไทเกอร์สกับโยมิอุริไจแอนท์สที่โคชิเอ็งในวันต่อมาก็ถูกยกเลิกในตอนเช้า แต่ระบุสาเหตุว่าเนื่องด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย ไม่ใช่การสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง จึงได้มีการจัดการแข่งขันในวันต่อมา (วันอาทิตย์ที่ 18) นอกจากนี้ ป้ายนีออนของกูลิโกะ ในย่านโดทงโบริ เขตชูโอ นครโอซากะ จังหวัดโอซากะ ก็ไม่ได้เปิดไฟในวันเดียวกับที่พระพันปีหลวงสวรรคต และในวันรุ่งขึ้น มาสคอต "คูอิดาเระ ทาโร่" ก็สวมชุดสีดำทั้งชุด[165]
พระราชพิธีฝังพระบรมศพจัดขึ้นวันที่ 25 กรกฎาคม ปีเดียวกัน สุสานโทชิมาโอกะ โดยจักรพรรดิอากิฮิโตะ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ไว้ทุกข์ การแข่งขันออลสตาร์เบสบอลอาชีพ (จัดขึ้นที่สนามกีฬาเบสบอลจังหวัดนางาซากิ) ที่กำหนดไว้ในวันนั้นถูกเลื่อนออกไปเป็นวันถัดไป นอกจากนี้เทศกาลเทนจินในโอซากะยังจัดขึ้นในวันถัดไป คือวันที่ 26 ในปีเดียวกัน[2]
สารจากนายกรัฐมนตรี
หลังการสวรรคตของจักรพรรดินีโคจุง พระพันปีหลวง นายกรัฐมนตรี โยชิโร โมริพร้อมคณะรัฐมนตรีโมริที่ 1 ได้ออกแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าโศกอย่างหาที่สุดไม่ได้ เมื่อได้ทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวงในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้แต่คำนึงถึงความเสียพระราชหฤทัยอย่างใหญ่หลวงที่ทั้งสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ และพระญาติวงศ์ใกล้ชิดต้องรู้สึกอย่างแน่แท้
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระพันปีหลวงทรงดำรงพระชนม์เคียงข้างพระราชบัลลังก์แห่งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะตลอดยุคสมัยที่วุ่นวายโกลาหล แม้จะทรงดำรงในยุคสมัยที่สังคมเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายก็ตาม สมเด็จพระพันปีหลวงทรงอุทิศพระวรกายของพระองค์เองอย่างเต็มที่เพื่อดำเนินไปพร้อมกันกับสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะทั้งในชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนพระองค์ ปวงข้าพระพุทธเจ้า พสกนิกรรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และในขณะเดียวกันทรงเป็นกำลังใจแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงเป็นพระกำลังแก่สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะในด้านต่างๆ มากมาย อาทิเช่น การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ศิลปะ วัฒนธรรม การแพทย์ และสวัสดิการ ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเคารพและศรัทธาอย่างยิ่งต่อความอ่อนโยนและการแย้มสรวลอันอบอุ่นของพระองค์ที่ปรากฏชัดแจ้งแก่ผู้คน
หลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อย่างเรียบง่าย โดยทรงรำลึกถึงสมเด็จพระจักรพรรดิในพระบรมโกศ
การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวงเป็นความวิปโยคอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้ และข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งร่วมกับประชาชนชาวญี่ปุ่นทุกคน
— โยชิโร โมริ นายกรัฐมนตรี、16 มิถุนายน ค.ศ. 2000[166]。
พระราชสาสน์สมเด็จพระจักรพรรดิ
หลังการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ จักรพรรดิพระองค์ที่ 125 แห่งญี่ปุ่น ทรงมีคำสรรเสริญดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความอาลัยแก่ดวงพระวิญญาณแห่งสมเด็จพระพันปีหลวง พระบรมราชชนนีของข้าพระพุทธเจ้า
ภาพในอดีตและน้ำเสียงอันร่าเริงของพระองค์ท่านยังคงหวนกลับมาสู่ข้าพระพุทธเจ้าในทุกคืนวัน และความทรงจำถึงพระองค์นั้นยังคงมีอย่างไม่สิ้นสุด ความเศร้าโศกาอาดูรได้กดดันภายในของข้าพระพุทธเจ้ามากขึ้นทุกที
ปวงข้าพระพุทธเจ้าจะย้ายหีบพระบรมศพของพระองค์ท่านไปยังสุสานหลวง และปวงข้าพระพุทธเจ้าขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง
— สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ, 29 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (ปีเฮเซที่ 12) ในพิธีที่จัดขึ้นหนึ่งวันหลังการเคลื่อนย้ายพระบรมศพ
ด้วยความเคารพ อากิฮิโตะ
ถึงดวงพระวิญญาณแห่งองค์สมเด็จพระพันปีหลวง พระบรมราชชนนีผู้ล่วงลับของข้าพระพุทธเจ้า ภาพจำของพระองค์ท่านที่อบอุ่นและอ่อนหวานได้เป็นพระกำลังให้สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ
มาเป็นระยะเวลาหลายปี ยังคงตราตรึงในหัวใจของข้าพระพุทธเจ้าจนถึงตอนนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอสถาปนาพระนามหลังสวรรคตว่า สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง
— สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ, 10 กรกฎาคม ค.ศ. 2000 ในพระราชพิธีสถาปนาพระนามหลังสวรรคต
ด้วยความเคารพอย่างสูง ข้าพระพุทธเจ้า อากิฮิโตะ ขอถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อดวงพระวิญญาณแห่งสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง พระบรมราชชนนี
สิบเอ็ดปีผ่านไปนับตั้งแต่การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ และข้าพระพุทธเจ้าได้ใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดพระบรมราชชนนี ด้วยความหวังว่าพระองค์ท่านจะทรงประทับในพระราชวังฟูกิอาเกะโอมิยะอย่างเป็นสุขและยั่งยืนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ไร้ผลเพราะพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตไปเมื่อต้นฤดูร้อนนี้ บัดนี้ครบกำหนด 40 วันแล้ว นับแต่ปวงข้าพระพุทธเจ้าได้บรรจุพระบรมศพ ณ ห้องตั้งพระบรมศพ เพื่อรำลึกถึงเมื่อคราวยังทรงดำรงพระชนม์ชีพ บัดนี้ปวงข้าพระพุทธเจ้าได้ดำเนินขบวนพระบรมศพ และนำพระบรมศพไปประทับเคียงข้างพระราชสวามีของพระองค์ท่าน เมื่อหวนคิดถึงวันเวลาที่เคยอยู่ภายใต้พระเมตตากรุณาของพระองค์ท่าน ข้าพระพุทธเจ้าจึงรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างมากและความรู้สึกคิดถึงนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด นับเป็นความโศกเศร้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
— สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ, 29 มิถุนายน ค.ศ. 2000 (ปีเฮเซที่ 12) ในพระราชพิธีพระบรมศพ ณ ห้องตั้งพระบรมศพ
พระราชพิธีพระบรมศพ (ผู้ไว้อาลัยหลัก:สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ) จัดขั้นในวันที่ 25 กรกฎาคม ณ สุสานโทชิมาโอกะ, เขตบุงเกียว กรุงโตเกียว หีบพระบรมศพอยู่ที่สุสานหลวงมูซาชิ เขตนากาฟูสะโช เทศบาลนครฮาจิโอจิ มหานครโตเกียว
Remove ads
พระอิสริยยศ
- ค.ศ. 1903 - 1924 เจ้าหญิงนางาโกะ คูนิ (นางาโกะ โจ)
- ค.ศ. 1924 - 1926 เจ้าหญิงนางาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่น (โคไตชิ ชินโนฮิ)
- ค.ศ. 1926 - 1989 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ (โคโง)
- ค.ศ. 1989 - 2000 สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระพันปีหลวง (โคไตโง)
- (พระนามหลังการสวรรคต) สมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
ญี่ปุ่น
เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงคลรัตน์ (เครื่องราชอิสริยาภรณ์ซุยโฮ) ชั้น 1
เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นที่ 1 มงกุฎดอกพอโลเนีย
ต่างประเทศ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นประถมาภรณ์ (เบลเยียม)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา (เดนมาร์ก)
เครื่องอิสริยาภรณ์เกียรติคุณแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มหากางเขนวิเศษ ชั้นมหาปรมาภรณ์ (เยอรมนี)
เครื่องอิสริยาภรณ์ผู้ไถ่บาป ชั้นมหาปรมาภรณ์ (กรีซ)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันรุ่งโรจน์ยิ่งโอจาสวี ราชญาญ (ราชอาณาจักรเนปาล)
เครื่องอิสริยาภรณ์พระอาทิตย์แห่งเปรู ชั้นประถมาภรณ์ (เปรู) (1961)[167]
Dame Grand Cross of the เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิซเบลลาชาวคาทอลิก ชั้นประถมาภรณ์ (สเปน) [168]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟีม (สวีเดน)
- พ.ศ. 2474 –
เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายใน)[169]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งตองงา (ตองงา)
Remove ads
พระราชบุตร
Remove ads
พงศาวลี
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads