คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สำนักงานพระคลังข้างที่

นิติบุคคลที่มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สำนักงานพระคลังข้างที่
Remove ads

สำนักงานพระคลังข้างที่ (อังกฤษ: Privy Purse Bureau; อักษรย่อ: PPB) เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ (ปัจจุบันคือพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2568)[3][4] โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ประกอบด้วยทรัพย์สินในพระองค์และทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์) ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย

ข้อมูลเบื้องต้น ภาพรวมหน่วยงาน, ก่อตั้ง ...

เดิมการดูแลทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้หน่วยงานชื่อ กรมพระคลังข้างที่ ต่อมาแปรสภาพเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ อยู่ภายใต้สำนักพระราชวัง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2478 โดยมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน[5] ส่วนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อื่นนั้นถูกแยกออกมาต่างหาก และเดิมดูแลโดยกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ก่อนจะมีการจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นดูแลทรัพย์ส่วนนี้แทน คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 โดยบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงบริหารและดูแลทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทั้งหมด (ซึ่งหมายถึงทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ที่รวมทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินเข้าไปด้วย)) ตามพระราชอัธยาศัย โดยสำนักงานฯ มีเพียงหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายเท่านั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 เปลี่ยนชื่อสำนักงานเป็น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์) ตามที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมายตามเดิม

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568 มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เปลี่ยนชื่อสำนักงานกลับไปเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ อีกครั้ง โดยยังมีหน้าที่ตามเดิม พร้อมทั้งรับโอนกิจการเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ของสำนักงานพระคลังข้างที่จากสำนักพระราชวังมารวมด้วย และได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการผลประโยชน์ของทรัพย์สินในพระองค์

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

กรมพระคลังข้างที่ และสำนักงานพระคลังข้างที่ (ครั้งที่ 1)

สำนักงานพระคลังข้างที่มีชื่อเริ่มแรกคือ กรมพระคลังข้างที่ ก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2433 มีฐานะเป็นกรมอิสระ ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ[6] ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยสุรินทร์ (หม่อมหลวงเจียม เทพหัสดิน) ข้าหลวงเดิมบุตรชายของพระยาราชภักดี (หม่อมราชวงศ์ช้าง เทพหัสดิน) และเป็นบิดาของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นเจ้ากรมพระคลังข้างที่และพระคลังสวนและตึกเรือนโรงของหลวง[7] ทรัพย์สินในส่วนนี้เติบโตขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของมณฑลกรุงเทพหลังการลงนามสนธิสัญญาเบาว์ริง กรมพระคลังข้างที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายพัฒนาเมืองของรัฐบาล และเข้าควบคุมที่ดินจนกลายเป็นผู้ถือครองที่ดินรายใหญ่สุดของประเทศ[8]:7–8 กรมพระคลังข้างที่ได้รับจัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดิน โดยบางปีสูงถึงร้อยละ 20 ของงบประมาณ[8]

ต่อมาหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 กรมพระคลังข้างที่ได้ถูกย้ายไปอยู่ในกระทรวงวัง (ต่อมาเป็นสำนักพระราชวัง) ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ถูกลดบทบาทมาเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ (ครั้งที่ 1)

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

Thumb
ตราประจำสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ตามกฎหมาย พ.ศ. 2479 – 2491

ต่อมามีการออก พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 เพื่อแยกบัญชี "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ออกจาก "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" โดยให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบและบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มิใช่เครื่องอุปโภคบริโภค โดยปรึกษาคณะกรรมการที่ปรึกษา ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เป็นประธานที่ปรึกษา และ 4 คนที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง รวมเป็น 5 คน และทรัพย์สินส่วนนี้ได้รับการยกเว้นภาษีอากร ส่วนทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และเครื่องอุปโภคบริโภค ยังคงอยู่ในการดูแลของสำนักพระราชวัง[9]

กฎหมายฉบับนี้มีการแก้ไขเป็นฉบับที่ 2 ในปี พ.ศ. 2484 เพื่อเพิ่มจำนวนให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษามากกว่า 4 คนได้ และมีการแก้ไขเป็นฉบับที่ 3 ในปี พ.ศ. 2491 โดยปรับให้พระมหากษัตริย์ทรงดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์ได้ตามพระราชอัธยาศัย รวมถึงกำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้น โดยให้แปรสภาพจากคณะกรรมการที่ปรึกษาข้างต้น ส่งผลให้ หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์พระองค์แรก และกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานขึ้น เรียกว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนกระทรวงการคลัง กฎหมายนี้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 ดังนั้นวันที่มีผลบังคับใช้คือเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 จึงเป็นวันก่อตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์[10]

ตามกฎหมาย พ.ศ. 2560

ต่อมาสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ... เพื่อบังคับใช้แทนพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้ง 3 ฉบับที่ถูกยกเลิกทั้งหมด โดยกฎหมายนี้ยุบทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินเข้ากับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, รวมทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไว้เป็น "ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์" ซึ่งได้ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงบริหารและดูแลได้ตามพระราชอัธยาศัย และการเสียหรือยกเว้นภาษีอากรจะขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเปลี่ยนที่มาของตำแหน่งประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จากเดิมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นโดยตำแหน่ง มาเป็นการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ทั้งหมด[11] โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม และมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้นคือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม[12]

สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (พ.ศ. 2561)

Thumb
ตราประจำสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการยกเลิกกฎหมายฉบับเดิม เข้ามาให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ซึ่งไม่ปรากฏในวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 71/2561 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 โดยมีสาระสำคัญคือการเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งปรับแก้ชื่อเรียกทรัพย์สินทั้งหมด คือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็น "ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์", ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็น "ทรัพย์สินในพระองค์" และ ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ เป็น "ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์"

ซึ่งที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากรับหลักการ จากนั้นได้ประชุมกรรมาธิการเต็มสภา ตามข้อเสนอของสมชาย แสวงการ เลขานุการวิป สนช. ซึ่งที่ประชุมมีมติอนุมัติรายมาตราในวาระที่ 2 และอนุมัติทั้งฉบับในวาระที่ 3[ต้องการอ้างอิง]

หลังจากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน โดยประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และมีผลบังคับใช้ในวันถัดมาคือเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน[13]

สำนักงานพระคลังข้างที่ (ครั้งที่ 2; พ.ศ. 2568)

ต่อมาในปี พ.ศ. 2568 คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 64 ได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ให้สภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 พิจารณา โดยมีสาระสำคัญคือ การเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์กลับไปเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ พร้อมทั้งรับโอนกิจการของสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง เข้ามาอยู่ภายใต้สำนักงานพระคลังข้างที่ที่เปลี่ยนชื่อมาจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ตามที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด[14]

โดยร่างกฎหมายฉบับนี้สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาในสมัยประชุมวิสามัญเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติในวาระที่ 1 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 451 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา จากนั้นจึงได้ลงมติในวาระที่ 2–3 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 454 เสียง และงดออกเสียงอีก 2 เสียง ก่อนจะส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป โดยก่อนการลงมติ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายเห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ แต่ไม่เห็นด้วยในการตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา[15]

จากนั้นในวันรุ่งขึ้นคือในวันที่ 29 พฤษภาคม ในการประชุมวุฒิสภาไทย ชุดที่ 13 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่ประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติในวาระที่ 1 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 157 เสียง และที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาในวาระที่ 2–3 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 164 เสียง[16]

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน โดยประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน และมีผลบังคับใช้ในวันถัดมาคือเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน[17] ดังนั้นในวันเดียวกัน พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ในฐานะเลขาธิการพระราชวัง จึงออกประกาศสำนักพระราชวังให้สำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง โอนกิจการที่เกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไปอยู่ภายใต้สำนักงานพระคลังข้างที่ โดยสำนักงานพระคลังข้างที่ สำนักพระราชวัง คงเหลือหน้าที่ดูแลกิจการและทรัพย์สินของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สำนักพระราชวัง โดยประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันถัดมาคือเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน[18] ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ มอบหมายให้สำนักงานพระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการผลประโยชน์ของทรัพย์สินในพระองค์แทนสถิตย์พงษ์ เพื่อให้สอดคล้องกับหน้าที่ของสำนักงานพระคลังข้างที่ตามกฎหมายฉบับใหม่ ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ สถิตย์พงษ์ยังคงมีอำนาจดูแลรักษาและจัดการผลประโยชน์ของทรัพย์สินในพระองค์ตามเดิมในฐานะผู้อำนวยการพระคลังข้างที่[19]

Remove ads

การบริหาร

สรุป
มุมมอง

ในปัจจุบันการบริหารสำนักงานพระคลังข้างที่เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561[13] ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2568 โดยมีคณะกรรมการพระคลังข้างที่ ซึ่งประกอบด้วย ประธานกรรมการ และกรรมการอื่นซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย และในจำนวนนี้จะทรงแต่งตั้งกรรมการคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ ทำหน้าที่เลขานุการเพิ่มเติมด้วย

  • 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560 — มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลอากาศโท ภักดี แสง-ชูโต เป็นกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพิ่มเติม [21]
  • 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560 — มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเรือเอก ปวิตร รุจิเทศ รองสมุหราชองครักษ์และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เป็นกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์[22]
  • 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 — เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็น คณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
  • วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 — มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ดังนี้
    • แต่งตั้งกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพิ่มเติม
    • ปรับเปลี่ยนคณะที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
      • พ้นจากตำแหน่ง
        • พลเอก จิระศักดิ์ วัฒนาวงศ์
        • นาย วิชา วรมาลี
        • นาย ณรงค์วิทย์ ฉัตรพัฒน์
        • นาย ยงยุทธ ยุทธวงศ์
        • นาง จีราวรรณ บุญเพิ่ม ที่ปรึกษา
      • แต่งตั้งใหม่
  • 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 — มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นรองผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์[25]
  • 22 มิถุนายน พ.ศ. 2568 — เปลี่ยนชื่อคณะกรรมการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น คณะกรรมการพระคลังข้างที่
Remove ads

ทรัพย์สิน

สรุป
มุมมอง

สำนักงานพระคลังข้างที่มีทรัพย์สินในความดูแลเป็นที่ดินกว่า 54 ตารางกิโลเมตรในกรุงเทพมหานคร และ 160 ตารางกิโลเมตรในจังหวัดอื่น ๆ โดยทำสัญญาให้เช่าแก่หน่วยงานราชการ องค์กรธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ปัจจุบันมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในความดูแลประมาณ 37,000 สัญญา ในจำนวนนี้มีการจัดประโยชน์หลายรูปแบบ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยหาประโยชน์พอยังชีพ ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และใช้เป็นที่ตั้งของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและสมาคม องค์กรที่ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ในเชิงธุรกิจ แยกเป็นที่ดินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 25,000 สัญญา และในส่วนภูมิภาค อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร จังหวัดลำปาง จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสงขลา จังหวัดนครปฐม จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี รวมประมาณ 12,000 สัญญา[26]

ข้อมูลล่าสุด ในปี พ.ศ. 2559 สำนักงานพระคลังข้างที่ หรือชื่อในขณะนั้นคือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถือครองที่ดินอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมพื้นที่ 41,000 ไร่ (65.6 ตร.กม. หรือ 16,210 เอเคอร์) ซึ่งเป็นที่ดิน 93% สำหรับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ชุมชน ตลาด ผู้เช่าอาคาร ที่ดินรายย่อย และมีพื้นที่ดินเชิงพาณิชย์คิดเป็น 7%[27] ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงโครงการใหญ่ในที่ดินบริเวณใจกลางกรุงเทพมหานคร ดังนี้

ข้อมูลเพิ่มเติม โครงการ, ที่ตั้งเดิม ...

สำนักงานพระคลังข้างที่ยังริเริ่มการพัฒนาชุมชนตั้งแต่สมัยที่ใช้ชื่อว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยริเริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2533 ต่อมาร่วมมือกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปัจจุบัน[28]

อนึ่ง ในช่วงที่พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 มีผลบังคับใช้อยู่ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินได้รับการยกเว้นภาษีอากร ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ไม่ได้รับการยกเว้น ตามความในมาตรา 8

สฤณี อาชวานันทกุล เขียนโดยอ้างอิงหนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work ว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะหุ้นและที่ดินมีมูลค่ากว่า 990,000 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2548[29]

พอพันธุ์ (2549) เขียนว่า ปัจจัยที่ทำให้สำนักงานพระคลังข้างที่เป็นกลุ่มทุนทรงอิทธิพลของประเทศ ได้แก่ การแก้ไขพระราชบัญญํติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์, ความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ และการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ[8]:17

บริษัทในเครือ

สำนักงานพระคลังข้างที่มีบริษัทในเครือ 2 แห่ง ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างๆ โดยชำระภาษีอากรเช่นเดียวกับบริษัททั่วไป ดังต่อไปนี้

  • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ทำหน้าที่บริหารการลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ๆ
  • บริษัท วังสินทรัพย์ จำกัด - ทำหน้าที่ดูแลการลงทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่

การลงทุนหลักทรัพย์

ในสมัยที่ใช้ชื่อว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สำนักงานฯ เคยลงทุนโดยการเข้าถือหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบางแห่ง ซึ่งต้องชำระภาษีอากรเช่นเดียวกับบริษัททั่วไป ข้อมูลเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดังต่อไปนี้

  • บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) - ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 98.54 จำนวน 49,272,239 หุ้น (ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551)
  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,200 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 474 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 30 จำนวน 360 ล้านหุ้น
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 1.6 จำนวน 19.22 ล้านหุ้น
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 33,944.38877 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 144 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 21.3 จำนวน 722.941958 ล้านหุ้น
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 2.43 จำนวน 82.3678 ล้านหุ้น
  • กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 58,080 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 12.2 บาท
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 0.86 จำนวน 50 ล้านหุ้น
  • บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 524.463106 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 9 บาท
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 0.61 จำนวน 3.1827 ล้านหุ้น

และยังมีการลงทุนในบริษัทดังต่อไปนี้

ผลการดำเนินงาน

ภายหลังจากมีสถานะเป็นนิติบุคคลในปี พ.ศ. 2491 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในขณะนั้นมีการบริหารงานเช่นเดียวกับองค์กรทั่วไป จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่สำนักงานฯ ถือหุ้นอยู่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงมีการปรับปรุงการบริหารงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และกิจการต่าง ๆ ที่ลงทุน เริ่มฟื้นตัวได้ในปี พ.ศ. 2546[ต้องการอ้างอิง] จึงทำให้สำนักงานฯ มีรายได้ในปีนั้นที่ประมาณ 3,800 ล้านบาท[ต้องการอ้างอิง]

จากการแถลงข่าวประจำปี พ.ศ. 2548 ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในขณะนั้น โดยจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานฯ แจ้งว่าในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานฯ มีรายได้ประมาณ 5 พันล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 90 เป็นรายได้จากเงินปันผลของหุ้นที่ลงทุนในปูนซิเมนต์ไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และเทเวศประกันภัย[ต้องการอ้างอิง] ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 8 หรือประมาณ 400 ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าเช่าที่ดินของสำนักงานฯ[ต้องการอ้างอิง]

การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์

ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2560 มีการปฏิรูปการดำเนินงานของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในขณะนั้น โดยมีการออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งสำนักงานได้ออกหนังสือชี้แจง โดยมีใจความสำคัญดังนี้[43]

  1. สำนักงานฯ มีภาระหน้าที่ถวายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในความดูแลแต่เดิม คืนให้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ในรูปแบบหุ้นของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ต้องเปลี่ยนเป็นพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล ตามตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งได้รวมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์แล้ว
  2. ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทั้งหมดตามข้อ 1. มีการเสียภาษีอากรทุกประเภทเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป
  3. การให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลทรงเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ เพื่อสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า
  4. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาลทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการมอบหมายข้าราชบริพารหรือผู้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทดูแลกิจการต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์

ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 มีเนื้อหาสอดคล้องกับหนังสือชี้แจงดังกล่าว และมีข้อเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม ดังนี้[13]

  1. เปลี่ยนชื่อ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" เป็น "ทรัพย์สินในพระองค์" และรวม "ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน" และ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491 เข้าเป็น "ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์"
  2. ในกรณีทั้งปวงเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ห้ามมิให้ระบุพระปรมาภิไธยหรือข้อความใด อันแสดงหรืออนุมานได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีหรือคู่ความ ให้ระบุเพียงชื่อผู้ได้รับการมอบหมายให้ดูแลทรัพย์สินดังกล่าว และในกรณีที่ทรงมอบหมายให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่มิใช่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการ ให้ต่อท้ายด้วยคำว่า "ผู้จัดการทรัพย์สินในพระองค์" หรือ "ผู้จัดการทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์" แล้วแต่กรณี สำหรับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีหน้าที่เป็นผู้จัดการ ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีหรือคู่ความ
  3. รายได้จากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นำไปจ่ายหรือลงทุนได้ ทั้งนี้ ตามที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายหรือใช้สอยได้ ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย
Remove ads

ข้อวิจารณ์

สรุป
มุมมอง

ในปี พ.ศ. 2553 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในขณะนั้นระบุในรายงานประจำปี ปฏิเสธข่าวของนิตยสารฟอบส์ที่ลงว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก โดยอธิบายว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของรัฐและของแผ่นดิน ซึ่งมีรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบ โดยสำนักงานฯ เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของแผ่นดิน มีนโยบายดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมโดยตลอด รัชกาลที่ 9 พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) นำที่ดินราวกึ่งหนึ่งที่มอบให้สำนักงานฯ ดูแลตั้งแต่ปี 2479 (44,000 กว่าไร่) จัดสรรให้ประชาชน ส่วนที่ดินที่เหลือก็ไม่ได้ใช้แสวงประโยชน์อย่างเอกชน แต่บริหารจัดการโดยมีนโยบายการพัฒนาระยะยาวเพื่อประโยชน์สังคมเป็นหลัก[44]

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เขียนในประชาไท ว่า ในทางปฏิบัติ รัฐบาลมิได้เป็นผู้รับผิดชอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทั้งไม่มีอำนาจควบคุม จัดการได้ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในในวงการธุรกิจ รัฐบาลและสำนักงานฯ การเขียนในรายงานประจำปี 2553 เป็นการบิดเบือนความจริง เพราะแย้งว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ในมือรัฐบาล สมศักดิ์เขียนต่อไปว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์จะทรงจำหน่ายใช้สอย "ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ" หมายรวมถึงว่า จะทรงจำหน่ายใช้สอยในกรณีที่จะตีความว่าเป็น "ส่วนพระองค์" ก็ได้[45]

สมศักดิ์เขียนว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความสถานะของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในขณะนั้นหลายครั้ง ดังนี้[45]

  1. สำนักงานฯ "ไม่อาจถือได้ว่าเป็นกิจการของรัฐ เพราะคำว่า “รัฐ” และคำว่า “พระมหากษัตริย์” มีความหมายแตกต่างกัน และตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 [แก้ไขเพิ่มเติม 2491] ก็มิได้มีบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นว่า รัฐได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์แต่ประการใด"
  2. คณะกรรมการกฤษฎีกาลงความเห็นตามเสียงข้างมากว่า กฎหมายจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ "ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดกำหนดให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ในขณะนั้น) เป็นส่วนราชการ” และ "การที่ทรงแต่งตั้งกรรมการ [ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์] ดังกล่าว เป็นพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ มิใช่รัฐบาลเป็นผู้เสนอแนะในการแต่งตั้งแต่ประการใด การที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการแต่งตั้งดังกล่าว ก็เป็นเพียงการปฏิบัติการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มิได้มีผลทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ”
  3. สำนักงานฯ มีฐานะเป็นเอกชน เพราะ "การดำเนินงานของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ในขณะนั้น) จึงมิได้อยู่ในการควบคุมหรือกำกับของรัฐบาล [...] มิได้อยู่ในการควบคุมหรือกำกับของรัฐบาล ที่จะจัดให้ดำเนินงานตามความประสงค์ของรัฐบาลได้ แต่การดำเนินธุรกิจของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นไปเพื่อจัดหา ผลประโยชน์แก่กองทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้จ่ายสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ [...] และเท่าที่เป็นมา การที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าถือหุ้นในบริษัทรัฐวิสาหกิจแห่งใด ก็ถือว่ามีฐานะอย่างเอกชน ไม่มีการนับส่วนที่มีหุ้นนั้นว่าเป็นของส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ"
  4. สำนักงานฯ "มิใช่หน่วยงานภาครัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือกำกับดูแลของรัฐบาล" จึงไม่มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือเทียบเท่า ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชอบในหนี้สินและภาระผูกพันของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์"
  5. สำนักงานฯ ถือได้ว่าเป็น "หน่วยงานของรัฐ" เพราะ "สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐด้วย"[46]

จากการตีความครั้งหลังสุดของคณะกรรมการกฤษฎีกา สมศักดิ์เขียนว่า หากสำนักงานฯ เป็นหน่วยงานของรัฐ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาย่อมมีอำนาจที่จะสอบสวนข้อเท็จจริงการดำเนินการได้ แต่ที่จริง คณะกรรมการกฤษฎีกายังย้ำอีกว่า "โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ที่เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยหรือ ที่ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตนั้น บุคคลใดไม่พึงดำเนินการสอบสวนให้เป็นที่กระทบกระเทือนต่อพระราชอำนาจดังกล่าว"[45][46]

สมศักดิ์จึงสรุปว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์กับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทบไม่ต่างกัน เพราะ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ไม่ว่าเป็นการกำหนด "รายจ่ายประจำ" หรือคณะกรรมการและสำนักงาน ก็ล้วนแต่ "อยู่ในการกำกับดูแลของพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย" ทั้งสิ้น[45]

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 มีข่าวกระทรวงการคลังยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะดำรงพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร) มีพระประสงค์ขอรับพระราชทานเงินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อพระราชทานให้ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี จำนวน 200 ล้านบาท[47]

บิลเลียนแนส์นิวส์ไวร์ (Billionaires NewsWire) ระบุว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยังลงทุนในบริษัทที่ไม่แสดงรายการต่อสาธารณะ เช่น เครือโรงแรมเยอรมัน เคมพินสกีอาเก (Kempinski AG) และบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)[48]

Remove ads

รายพระนามและชื่ออธิบดีกรมพระคลังข้างที่/ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่/ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

สรุป
มุมมอง

รายพระนามและชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพระคลังข้างที่, ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่, ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เท่าที่ปรากฏ

อธิบดีกรมพระคลังข้างที่

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับที่, ภาพ ...

ผู้อำนวยการสำนักงานพระคลังข้างที่/ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ (ครั้งที่ 1)

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับที่, ภาพ ...

ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์/ผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับที่, ภาพ ...

ผู้อำนวยการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับที่, ภาพ ...

ผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ (ครั้งที่ 2)

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับที่, ภาพ ...
Remove ads

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads