คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

พระเจ้าเหี้ยนเต้

จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น ค.ศ. 189 ถึง ค.ศ. 220 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระเจ้าเหี้ยนเต้
Remove ads

พระเจ้าเหี้ยนเต้[7] หรือ พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้[8] (2 เมษายน ค.ศ. 181 - 21 เมษายน ค.ศ. 234) มีพระนามในภาษาจีนกลางว่า ฮั่นเซี่ยนตี้ (จีน: 漢獻帝; พินอิน: Hàn Xiàn Dì) พระนามส่วนพระองค์ เล่าเหียบ หรือภาษาจีนกลางเรียกว่า หลิว เสีย (จีน: 劉協; พินอิน: Liú Xié) พระนามรอง ปั๋วเหอ (จีน: 伯和; พินอิน: Bóhé) เป็นจักรพรรดิลำดับที่ 14 และลำดับสุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของจีน ครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 189 จนกระทั่งสละราชบัลลังก์เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 220 ซึ่งเป็นผลทำให้ราชวงศ์ฮั่นสิ้นสุดด้วย[9][10] ในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียกพระเจ้าเหี้ยนเต้ในช่วงก่อนขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิว่า หองจูเหียบ[11] ในภาษาจีนกลางเรียกว่า หฺวางจื่อเสีย[12] (จีน: 皇子協; พินอิน: Huángzǐ Xié) มีความหมายว่า "ราชบุตรเหียบ (協 เสีย)"

ข้อมูลเบื้องต้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ (ฮั่นเซี่ยนตี้) 漢獻帝, จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น ...

หองจูเหียบเป็นพระโอรสของพระเจ้าเลนเต้ (漢靈帝 ฮั่นหลิงตี้) หรือเล่าเหี้ยน[13] (劉宏 หลิว หง) และเป็นพระอนุชาต่างมารดาของเล่าเปียน (劉辯 หลิว เปี้ยน) หรือหองจูเปียน[a] (皇子辯 หฺวางจื่อเปี้ยน) ซึ่งจักรพรรดิลำดับก่อนหน้าพระองค์

เมื่อ ค.ศ. 189 ขณะหองจูเหียบมีพระชนมายุ 8 พรรษา พระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิหลังขุนศึกตั๋งโต๊ะ (董卓 ต่ง จั๋ว) ผู้เข้ากุมอำนาจในราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นได้ปลดหองจูเปียนจากตำแหน่งจักรพรรดิและตั้งหองจูเหียบขึ้นครองราชย์แทน หองจูเหียบที่เพิ่งขึ้นครองราชย์หรือที่ในประวัติศาสตร์รู้จักในพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้ปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของตั๋งโต๊ะ เมื่อ ค.ศ. 190 เมื่อทัพพันธมิตรของเหล่าขุนศึกระดับภูมิภาคเริ่มเปิดศึกต่อต้านตั๋งโต๊ะโดยอ้างว่าเพื่อปลดปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้จากการควบคุมของตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะจึงออกคำสั่งให้ทำลายนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) และบังคับให้ย้ายนครหลวงพร้อมราษฎรไปยังเตียงอั๋น (長安 ฉางอาน) หลังตั๋งโต๊ะถูกลอบสังหารเมื่อ ค.ศ. 192 พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของลิฉุย (李傕 หลี่ เจฺว๋) และกุยกี (郭汜 กัว ซื่อ) อดีตผู้ใต้บังคับบัญชา 2 คนของตั๋งโต๊ะ เหล่าขุนศึกระดับภูมิภาคต่าง ๆ ต่างก็รับรองสิทธิธรรมของพระเจ้าเหี้ยนเต้อย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อช่วยเหลือพระองค์จากการเป็นองค์ประกัน

เมื่อ ค.ศ. 195 พระเจ้าเหี้ยนเต้สามารถเสด็จหนีจากเตียงอั๋นกลับไปซากนครลกเอี๋ยงในช่วงขัดแย้งถึงขั้นรบกันเองระหว่างลิฉุยและกุยกี พระองค์ทรงอยู่ในสภาวะที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือระหว่างประทับที่ลกเอี๋ยง อีกหนึ่งปีต่อมา ขุนศึกโจโฉ (曹操 เฉา เชา) นำทัพเข้าลกเอี๋ยงเพื่อรับพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่ภายใต้การอารักขา และทูลเชิญพระองค์ไปยังฮูโต๋ (許都 สฺวี่ตู) ซึ่งตั้งขึ้นเป็นนครหลวงแห่งใหม่ โจโฉนั้นแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เพียงในนาม แท้จริงแล้วโจโฉเป็นผู้นำราชสำนักโดยพฤตินัย โจโฉใช้พระเจ้าเหี้ยนเต้ในการเสริมสร้างความชอบธรรมให้ตัวโจโฉเองอย่างแยบยลในการโจมตีและกำจัดขุนศึกอริเพื่อรวบรวมจักรพวรรดิของราชวงศ์ฮั่นเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของราชสำนัก ความสำเร็จของโจโฉดูมีแนวโน้มจะเกิดเป็นจริง จนกระทั่งในฤดูหนาวของ ค.ศ. 208-209 เมื่อโจโฉพ่ายแพ้ในยุทธการที่เซ็กเพ็ก (赤壁 ชื่อปี้) ต่อซุนกวน (孫權 ซุน เฉฺวียน) และเล่าปี่ (劉備 หลิว เป้ย์) สองขุนศึกทางภาคใต้ ยุทธการนี้ปูทางไปสู่การกำเนิดของสามรัฐ (สามก๊ก) คือวุยก๊ก (魏國 เว่ย์กั๋ว) จ๊กก๊ก (蜀國 ฉู่กั๋ว) และง่อก๊ก (吳國 อู๋กั๋ว) ในเวลาต่อมา

ช่วงปลาย ค.ศ. 220 ไม่กี่เดือนหลังการเสียชีวิตของโจโฉ โจผี (曹丕 เฉา พี) บุตรชายและผู้สืบทอดอำนาจของโจโฉได้บังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้สละราชบัลลังก์ให้ตน จากนั้นโจผีจึงทรงก่อตั้งรัฐวุยก๊กโดยพระองค์เองเป็นจักรพรรดิ เหตุการณ์นี้ทำให้ราชวงศ์ฮั่นสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการและเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊กของจีน พระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ถูกปลดจากราชบัลลังก์ได้รับฐานันดรศักดิ์เป็น ซันเอียงก๋ง (山陽公 ชานหยางกง) จากโจผี ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสบายและได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ พระองค์ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 234 ราว 14 ปีหลังการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น

Remove ads

ภูมิหลังครอบครัว

สรุป
มุมมอง

หองจูเหียบหรือเล่าเหียบประสูติเมื่อ ค.ศ. 181 พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าเลนเต้ (漢靈帝 ฮั่นหลิงตี้) ที่ประสูติด้วยพระสนมอองบีหยิน (王美人 หวางเหม่ย์เหริน) หรือหวาง หรง (王榮)[b][15] ในช่วงที่อองบีหยินตั้งครรภ์ได้กินยาโดยมุ่งจะแท้งพระโอรส เพราะอองบีหยินกลัวโฮเฮา (何后 เหอโฮ่ว) ผู้เป็นจักรพรรดินีหรือฮองเฮา (皇后 หฺวางโฮ่ว) ของพระเจ้าเลนเต้ แต่การกินยาเพื่อจะแท้งพระโอรสนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ[16] ต่อมาไม่นานอองบีหยินก็ประสูติหองจูเหียบ โฮเฮาที่ริษยาอองบีหยินทรงวางยาพิษในอาหารของอองบีหยินจนอองบีหยินเสียชีวิต พระเจ้าเลนเต้กริ้วมากและต้องการจะปลดโฮเฮาออกจากตำแหน่ง แต่เหล่าขันทีทูลวิงวอนทำให้โฮเฮาไม่ถูกปลดจากตำแหน่ง[17] หองจูเหียบทรงได้รับการเลี้ยงดูจากตังไทฮอ (董太后 ต่งไท่โฮ่ว) ผู้เป็นพระมารดาของพระเจ้าเลนเต้ หองจูเหียบจึงทรงถูกกล่าวถึงในคำเรียกว่า "ต่งโหว" (董侯) มีความหมายว่า "เฮาผู้มีชื่อสกุลตัง (董 ต่ง)"[18] การที่หองจูเหียบทรงได้รับการดูแลจากตังไทฮอสืบเนื่องมาจากความเชื่อถือโชคลางของพระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทรงเคยสูญเสียพระโอรสหลายพระองค์ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ดังนั้นหองจูเหียบและหองจูเปียน (皇子辯 หฺวางจื่อเปี้ยน) หรือเล่าเปียน (劉辯 หลิว เปี้ยน) ผู้เป็นพระเชษฐาต่างมารดาจึงทรงถูกเรียกด้วยพระฉายาเช่นนี้ หองจูเปียนนั้นทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยนักพรตลัทธิเต๋าชื่อฉือ จื๋อเหมี่ยว (史子眇) จึงทรงถูกกล่าวถึงในคำเรียกว่า "ฉื่อโหว" (史侯) มีความหมายว่า "เฮาผู้มีชื่อสกุลฉื่อ (史)" หองจูเปียนเป็นพระโอรสของพระเจ้าเลนเต้ที่ประสูติกับโฮเฮาผู้เป็นจักรพรรดินีและมีพระชนมายุมากกว่าหองจูเหียบ แต่พระเจ้าเลนเต้ทรงเห็นว่าหองจูเปียนทรงมีพฤติกรรมที่ไม่เอาจริงเอาจังเพียงพอ จึงทรงพิจารณาจะตั้งหองจูเหียบเป็นรัชทายาท แต่พระองค์ทรงลังเลตัดสินพระทัยไม่ได้

ครั้งพระเจ้าเลนเต้สวรรคตเมื่อ ค.ศ. 189 เกียนสิด[c] (蹇碩 เจี่ยน ชั่ว) ขันทีผู้ทรงอิทธิพลที่พระเจ้าเลนเต้ทรงไว้วางพระทัยต้องการจะสังหารมหาขุนพลโฮจิ๋น (何進 เหอ จิ้น) ผู้เป็นพี่ชายของโฮเฮา แล้วจึงจะสถาปนาหองจูเหียบขึ้นครองบัลลังก์ เกียนสิดจึงจัดกำลังคนดักซุ่มในสถานที่ที่เกียนสิดนัดพบปะกับโฮจิ๋น แต่โฮจิ๋นล่วงรู้แผนการของเกียนสิดจึงชิงประกาศสถาปนาหองจูเปียนขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ภายหลังในปีเดียวกัน หองจูเปียนทรงแต่งตั้งหองจูเหียบให้มีฐานันศักดิ์เป็น "อ๋องแห่งปักไฮ" (渤海王 ปั๋วไห้หวาง) ภายหลังเปลี่ยนฐานันดรศักดิ์เป็น "ตันลิวอ๋อง" (陳留王 เฉินหลิวหวาง) หรือ "อ๋องแห่งตันลิว"

Remove ads

การขึ้นครองราชย์และการสิ้นอำนาจของราชวงศ์ฮั่น

สรุป
มุมมอง

การขึ้นสู่อำนาจของตั๋งโต๊ะ

หลังหองจูเปียนทรงขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ โฮจิ๋นก็กลายเป็นขุนนางที่มีอำนาจมากที่สุดในราชสำนัก โฮจิ๋นและอ้วนเสี้ยว (袁紹 ยฺเหวียน เช่า) ที่ปรึกษาร่วมกันวางแผนจะกำจัดกลุ่มขันที แต่ทั้งสองถูกโฮเฮายับยั้งไม่ให้ดำเนินการ ทั้งสองจึงวางแผนใหม่โดยลอบออกคำสั่งให้ขุนศึกจำนวหนึ่งให้ยกพลมายังนครหลวงลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) เพื่อบีบโฮเฮาให้ทรงยอมรับข้อเรียกร้องของพวกตน หนึ่งในขุนศึกเหล่านั้นคือตั๋งโต๊ะ (董卓 ต่ง จั๋ว) ผู้ที่มองว่านี่จะเป็นโอกาสในการเข้าควบคุมราชสำนัก

แผนการของโฮจิ๋นถูกเหล่าขันทีล่วงรู้ เหล่าขันทีจึงวางกำลังดักซุ่มและสังหารโฮจิ๋น หลังจากนั้นอ้วนเสี้ยวจึงนำกำลังพลของตนบุกเข้าพระราชวังและสังหารขันทีส่วนใหญ่ ขันทีที่เหลือจับจักรพรรดิหองจูเปียนและหองจูเหียบเป็นองค์ประกัน แต่ท้ายที่สุดขันทีเหล่านั้นก็ถูกบีบให้ฆ่าตัวตายเมื่อสถานการณ์พลิกผัน เมื่อตั๋งโต๊ะนำพลมาถึงลกเอี๋ยงเห็นว่าสถานการณ์เอื้ออำนวยให้ตน จึงบังคับจักรพรรดิหองจูเปียนให้สละราชบัลลังก์ให้กับหองจูเหียบ (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหองจูเหียบทรงได้รับการเลี้ยงดูจากตังไทฮอ ซึ่งแม้ว่าตังไทฮอจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติกับตั๋งโต๊ะแต่ก็เป็นที่เคารพนับถือของตั๋งโต๊ะ) หองจูเหียบขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิซึ่งเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ในพระนามว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ จากนั้นตั๋งโต๊ะจึงปลงพระชนม์โฮเฮาและอดีตจักรพรรดิหองจูเปียน แล้วเข้ากุมอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ

การบังคับย้ายนครหลวงไปทางตะวันตกและการเสียชีวิตของตั๋งโต๊ะ

Thumb
รถรบและทหารม้า รายละเอียดจากสุสานต๋าหู่ถิง (打虎亭漢墓 ต๋าหู่ถิงฮั่นมู่) ในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25–220) ตั้งอยู่ในนครเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน

ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 190 ข้าราชการท้องถิ่นจำนวนหนึ่งรวมตัวกันเป็นกองทัพพันธมิตรนำโดยอ้วนเสี้ยวเพื่อต่อต้านตั๋งโต๊ะ แม้ว่าข้าราชการเหล่านี้ยังคงหวาดกลัวแสนนานุภาพทางทหารของตั๋งโต๊ะและไม่ได้รุดหน้าไปยังลกเอี๋ยงโดยตรง แต่ตั๋งโต๊ะก็หวั่นเกรงกำลังทหารที่รวบรวมมาของทัพพันธมิตรเช่นกัน ตั๋งโต๊ะจึงตัดสินใจย้ายนครหลวงไปทางตะวันตกไปยังเตียงอั๋น (長安 ฉางอาน) นครหลวงเก่าของราชวงศ์ฮั่นซึ่งอยู่ใกล้กับฐานอำนาจของตั๋งโต๊ะในมณฑลเลียงจิ๋ว (涼州 เหลียงโจว; ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลกานซู่ในปัจจุบัน) มากกว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 190 ตั๋งโต๊ะบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เสด็จย้ายไปเตียงอั๋น แล้วตั๋งโต๊ะจึงให้จุดไฟเผาลกเอี๋ยงทำให้ลกเอี๋ยงเหลือเพียงซากปรักหักพัง

หลังทัพพันธมิตรสลายตัวลง ข้าราชการจำนวนหนึ่งนำโดยอ้องอุ้น (王允 หวาง ยฺหวิ่น) และลิโป้ (呂布 ลฺหวี่ ปู้) ลอบสังหารตั๋งโต๊ะเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 192 ในตอนแรกดูเหมือนระบบการปกครองของราชวงศ์ฮั่นอาจกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากอ้องอุ้นได้สร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรกับข้าราชการท้องถิ่นทีต่อต้านตั๋งโต๊ะ ซึ่งในช่วงเวลานั้นข้าราชการเหล่านี้กระทำตนเป็นดั่งขุนศึกท้องถิ่นมากขึ้น แต่อ้องอุ้นไม่สามารถสยบเหล่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของตั๋งโต๊ะได้ อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของตั๋งโต๊ะเหล่านี้ก่อการกำเริบขึ้นและสังหารอ้องอุ้นได้ในที่สุด

เสด็จกลับซากนครหลวงลกเอี๋ยง

Thumb
รายละเอียดของฉากงานเลี้ยงจากภาพจิตรกรรมฝาฝนังของสุสานต๋าหู่ถิง (打虎亭漢墓 ต๋าหู่ถิงฮั่นมู่) ของช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25–220) ตั้งอยู่ในนครเจิ้งโจว (鄭州) มณฑลเหอหนาน (河南) ประเทศจีน

เหล่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของตั๋งโต๊ะนำโดยลิฉุย (李傕 หลี่ เจฺว๋) และกุยกี (郭汜 กัว ซื่อ) เข้าควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้และราชสำนัก แต่ลิฉุยและกุยกีไม่มีความทะเยอทะยานที่จริงจัง ความไร้ความสามารถในการปกครองของทั้งสองทำให้เกิดการแตกแยกของจักรวรรดิฮั่นกลายเป็นเขตอำนาจของขุนศึกคนต่าง ๆ

เมื่อ ค.ศ. 195 ลิฉุยและกุยกีเกิดความขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง ลิฉุยจับพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นองค์ประกัน ส่วนกุยกีจับตัวเหล่าข้าราชการเป็นตัวประกัน ในระหว่างที่ทั้งสองทำศึกต่อกัน ต่อมาในปีเดียวกัน หลังการเจรจาประนีประนอมระหว่าางลิฉุยและกุยกี ทั้งสองตกลงที่จะให้ปล่อยให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จกลับลกเอี๋ยง แต่ทันทีที่พระเจ้าเหี้ยนเสด็จออกจากเตียงอั๋น ลิฉุยและกุยกีก็เสียใจกับการตัดสินใจของพวกตนและส่งกำลังทหารไล่ตามพระเจ้าเหี้ยนเต้ไป แม้ว่าทหารของลิฉุยและกุยกีจะไม่สามารถจับกุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ แต่ราชสำนักของพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตกอยู่ในสภาวะขัดสนและไม่สามารถป้องกันตนได้ เมื่อมาถึงลกเอี๋ยงก็ขาดแคลนกระทั่งปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ข้าราชการจำนวนมากอดอยากจนตาย ในช่วงเวลานั้น จอสิว (沮授 จฺวี่ โช่ว) นักยุทธศาสตร์ของอ้วนเสี้ยวเสนอให้อ้วนเสี้ยวไปรับพระเจ้าเหี้ยนเต้มาประทับในฐานอำนาจของอ้วนเสี้ยวในมณฑลกิจิ๋ว (冀州 จี้โจว) เพื่อที่อ้วนเสี้ยวจะได้ควบคุมราชสำนักแบบเบ็ดเสร็จ แต่นักยุทธศาสตร์คนอื่น ๆ คือกัวเต๋า (郭圖 กัว ถู) และอิเขง (淳于瓊 ฉุน-ยฺหวี ฉฺยง) คัดค้านข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่าหากกระทำเช่นนั้นอ้วนเสี้ยวก็ต้องยอมรับการติดสินพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ในเรื่องสำคัญ อ้วนเสี้ยวฟังคำของกัวเต๋าและอิเขง และไม่มีความคิดจะไปรับพระเจ้าเหี้ยนเต้อีก

การควบคุมอย่างเข้มงวดโดยโจโฉ

ขุนศึกโจโฉ (曹操 เฉา เชา) กระทำสิ่งที่อ้วนเสี้ยวไม่กระทำคือการไปรับพระเจ้าเหี้ยนเต้ ในช่วงเวลานั้นโจโฉมีฐานะเป็นขุนศึกระดับรอง มีตำแหน่งเป็นเจ้ามณฑลของมณฑลกุนจิ๋ว (兗州 เหยี่ยนโจว; ครอบคลุมพื้นที่ด้านตะวันตกของมณฑลชานตงและพื้นที่ด้านตะวันออกของมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ฮูโต๋ (許 สฺวี่ หรือ 許都 สฺวี่ตู; ปัจจุบันคือนครสฺวี่ชาง มณฑลเหอหนาน) โจโฉเล็งเห็นข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของการมีจักรพรรดิอยู่ภายใต้การควบคุมและคุ้มครองของตน ดังนั้นเมื่อ ค.ศ. 196 โจโฉจึงยกพลไปทางตะวันตกไปยังลกเอี๋ยง และหลังจากได้รับความเห็นชอบจากตังสิน (董承 ต่ง เฉิง) และเอียวฮอง (楊奉 หยาง เฟิ่ง) ขุนพลของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยโน้มน้าวทั้งสองเพื่อแสดงความจงรักภักดีของตนแล้ว โจโฉก็เข้าลกเอี๋ยงและได้ร่วมแบ่งปันอำนาจกับตังสินและเอียวฮองโดยหลักการ แต่ความเป็นจริงแล้วโจโฉได้กุมอำนาจบังคับบัญชาไว้โดยสมบูรณ์

สถานการณ์ของโจโฉนั้นแตกต่างกับของตั๋งโต๊ะ โจโฉรู้วิธีที่จะทำให้ขุนพลและขุนนางคนอื่น ๆ พึงพอใจ แม้ว่าโจโฉจะให้อำนาจแก่คนเหล่านี้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้มั่นใจได้ว่ายังคงได้รับเกียรติ จึงเกิดการต่อต้านเพียงเล็กน้อยในราชสำนัก จากนั้นโจโฉก็ย้ายนครหลวงไปยังฮูโต๋เพื่อทำให้การกุมอำนาจราชสำนักมั่นคงขึ้น และเมื่อเอียวฮองก่อการต่อต้านโจโฉ โจโฉก็เอาชนะเอียวฮองได้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 196 และสามารถย้ายนครหลวงได้สำเร็จ[20]

จากนั้นโจโฉจึงเริ่มออกพระราชโองการในพระนามของพระเจ้าเหี้ยนเต้ รวมถึงพระราชโองการที่มีถ้อยคำรุนแรงประณามอ้วนเสี้ยวที่ยึดครองมณฑลใกล้เคียงหลายมณฑล แม้ว่ายังคงมอบตำแหน่งมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) อันเป็นตำแหน่งทรงเกียรติระดับสูงให้อ้วนเสี้ยวด้วยก็ตาม โจโฉและพระเจ้าเหี้ยนเต้คงคววามสัมพันธ์ฉันมิตรแต่เพียงผิวเผิน และไม่อาจป้องกันการปะทะกันครั้งใหญ่ 2 ครั้งระหว่างโจโฉและข้าราชสำนักคนอื่น ๆ

Thumb
เหตุการณ์การจับกุมตังกุยหุยโดยที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งประทับนั่งอยู่ไม่อาจทรงช่วยเหลือได้ จากภาพวาดของนวนิยายสามก๊กที่ตีพิมพ์ในยุคราชวงศ์ชิง

ช่วงต้น ค.ศ. 199 ขณะที่โจโฉกำลังจะทำศึกครั้งใหญ่กับอ้วนเสี้ยว ตังสินอ้างว่าตนได้รับพระราชโองการลับจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ (ซึ่งซ่อนในรัดพระองค์พระราชทาน) แล้วสมคบคิดกับเล่าปี่ (劉備 หลิว เป้ย์), ตันอิบ (种輯 จ่ง จี๋) และจูฮก (王子服 หวาง จื่อฝู) คิดการจะลอบสังหารโจโฉ ช่วงปลาย ค.ศ. 199 เล่าปี่เริ่มก่อกบฏและรอคอยให้ตังสินก่อการในนครหลวง แต่เมื่อ ค.ศ. 200 แผนสมคบคิดของตังสินถูกเปิดโปง ตังสินพร้อมด้วยตันอิบและจูฮกจึงถูกสังหาร ภายหลังเล่าปี่พ่ายแพ้ต่อโจโฉแล้วจำต้องหนีไปยังอาณาเขตของอ้วนเสี้ยว บุตรสาวของตังสินคือตังกุยหุย (董貴人 ต่งกุ้ยเหริน) เป็นพระสนมของพระเจ้าเหี้ยนแต้และกำลังตั้งครรภ์ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพยายามตรัสร้องขอชีวิตให้ตังกุยหุย แต่โจโฉก็ยังสั่งประหารชีวิตตังกุยหุย[21]

ฮกเฮา (伏后 ฝูโฮ่ว) หรือฝู โช่ว (伏壽) จักรพรรดินีหรือฮองเฮา (皇后 หฺวางโฮ่ว) ของพระเจ้าเหี้ยนเต้กริ้วและหวาดกลัวต่อการเสียชีวิตของตังกุยหุย พระองค์จึงทรงพระราชหัตถเลขาไปถึงฮกอ้วน (伏完 ฝู หวาน) ผู้เป็นบิดาของพระองค์ ภายในพระราชหัตถเลขามีเนื้อความกล่าวหาว่าโจโฉเป็นคนโหดเหี้ยมและแฝงความนัยขอให้ฮกอ้วนเริ่มแผ่นสมคบคิดใหม่เพื่อโค่นล้มโจโฉ ฮกอ้วนหวาดกลัวโจโฉจึงไม่เคยลงมือกระทำตามพระราชหัตถเลขา พระราชหัตถเลขานี้ถูกโจโฉพบเมื่อ ค.ศ. 214 โจโฉโกรธมากและบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทรงปลดฮกเฮาจากตำแหน่งจักรพรรดินี พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงลังเล โจโฉจึงส่งทหารเข้าไปในพระราชวังเพื่อกดดันพระองค์ ฮกเฮาทรงซ่อนพระองค์ภายในกำแพงแต่ในที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกพบและถูกลากออกมา ขณะที่ฮกเฮาถูกนำตัวไป พระองค์ทูลขอพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทรงช่วยเหลือ แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสตอบได้เพียงว่าแม้ตัวพระองค์เองก็ไม่ทรงทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวพระองค์เอง ฮกเฮาถูกสำเร็จโทษพร้อมด้วยพระโอรส 2 พระองค์[d] และครอบครัวเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 215[e] จากนั้นในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 215[f] โจโฉบังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ทรงแต่งตั้งเฉา เจี๋ย (曹節) หรือภายหลังคือโจเฮา (曹后 เฉาโฮ่ว) บุตรสาวของโจโฉซึ่งเวลานั้นเป็นพระสนมให้ขึ้นเป็นจักรพรรดินีองค์ใหม่

Remove ads

สละราชสมบัติและถึงแก่พิราลัย

สรุป
มุมมอง

โจโฉเสียชีวิตในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 220 ต่อมาไม่นาน โจผี (曹丕 เฉา พี) บุตรชายและผู้สืบทอดของโจโฉได้บังคับพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้สละราชบัลลังก์ให้กับตน ถือเป็นการสิ้นสุดของราชวงศ์ฮั่น โจผีก่อตั้งรัฐใหม่ชื่อวุยก๊ก (魏國 เว่ยกั๋ว) พระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นซันเอียงก๋ง (山陽公 ชานหยางกง) และพระราชทานศักดินา 10,000 ครัวเรือน โดยมีจั๋วลู่เฉิง (浊鹿城) เป็นเมืองเอก อดีตพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมีฐานะเหนืออกว่าอ๋อง (王 หวาง) ไม่ต้องเรียกตนเองว่าเป็นขุนนางขณะที่ทูลกับจักรพรรดิแห่งวุยก๊ก และไม่ต้องคุกเข่าเมื่อรับพระราชโองการ[25] อดีตพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงแก่พิราลัยในเดือนเมษายน ค.ศ. 234 พระศพได้รับการฝังอย่างสมเกียรติในฐานะจักรพรรดิโดยใช้พิธีกรรมแบบราชวงศ์ฮั่น โจยอย (曹叡 เฉา รุ่ย) จักรพรรดิแห่งวุยก๊กในเวลานั้นได้ทรงเข้าร่วมการไว้ทุกข์ เนื่องจากรัชทายาทของพระเจ้าเหี้ยนเต้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว หลิว คาง (劉康) ผู้เป็นพระนัดดาจึงได้สืบทอดฐานันดรศักดิ์ซึ่งดำรงต่อมาอีก 73 ปีและมีผู้ดำรงฐานันดรศักดิ์อีก 2 คนคือหลิว จิ่น (劉瑾) และหลิว ชิว (劉秋) เชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้สิ้นสุดลงในยุคราชวงศ์จิ้น (晉) ในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ค.ศ. 307[g] เมื่อทัพกบฏนำโดยจี๋ ซาง (汲桑) และฉือ เล่อ (石勒) บุกปล้นเมืองเงียบกุ๋น (鄴城 เย่เฉิง)

ธรรมเนียมปฏิบัติที่จักรพรรดิพระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้กับจักรพรรดิองค์ก่อนที่ถูกแย่งชิงบัลลังก์มานั้น เป็นที่รู้จักในคำเรียกว่า "สองกษัตริย์สามเคารพ" (二王三恪 เอ้อร์หวางซานเค่อ)

ชื่อศักราช

พระมเหสีและพระบุตร

  • ฮกเฮา (伏后 ฝูโฮ่ว) หรือจักรพรรดินีแห่งตระกูลฮก (皇后 伏氏 หฺวางโฮ่ว ฝูชื่อ; สิ้นพระชนม์ ค.ศซ 215) ชื่อตัว โช่ว (壽)
    • หลิว เฝิง อ๋องแห่งลำหยง (南陽王 劉馮 'หนานหยางหวาง หลิว เฟิง; สิ้นพระชนม์ 9 สิงหาคม ค.ศ. 200{{efn|จือจื้อทงเจี้ยน (資治通鑑) ระบุว่าหลิว เฝิงสิ้นพระชนม์ในวันเหรินอู่ (壬午) ในเดิอน 7 ของศักราชเจี้ยนอัน (建安) ปีที่ 5 เทียบได้กับวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 200 ในปฏิทินเกรโกรี[26])
    • พระโอรสองค์อื่น 2 พระองค์ (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 215)
  • โจเฮา (曹后 เฉาโฮ่ว) หรือจักรพรรดินีเซี่ยนมู่แห่งตระกูลโจ (獻穆皇后 曹氏 เซี่ยนมู่หฺวางโฮ่ว เฉาชื่อ; ค.ศ. 197–260) ชื่อตัว เจี๋ย (節)
    • เจ้าหญิงฉางเล่อ (長樂公主 ฉางเล่อกงจู่) ชื่อตัว ม่าน ()
  • ตังกุยหุย หรือกุ้ยเหรินแห่งตระกูลตัง (董貴人 ต่งกุ้ยเหริน; เสียชีวิต ค.ศ. 200)
    • พระโอรสที่ยังไม่ประสูติ (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 200)
  • กุ้ยเหรินแห่งตระกูลโจ (曹貴人 เฉากุ้ยเหริน) ชื่อตัว เซี่ยน (憲)
  • กุ้ยเหรินแห่งตระกูลโจ (曹貴人 เฉากุ้ยเหริน) ชื่อตัว หฺวา (華)
  • กุ้ยเหรินแห่งตระกูลซง (宋貴人 ซ่งกุ้ยเหริน) ชื่อตัวโตว (都)
  • ไม่ทราบ
    • พระโอรสองค์โตไม่ทราบพระนาม
    • หลิว ซี อ๋องแห่งเจหิม (濟陰王 劉熙 จี้อินหวาง หลิว ซี)
    • หลิว อี้ อ๋องแห่งซันหยง/ซันเอี๋ยง (山陽王 劉懿 ชานหยางหวาง หลิว อี้)
    • หลิว เหมี่ยว อ๋องแห่งเจปัก 濟北王 劉貌 จี้เป่ย์หวาง หลิว เหมี่ยว)
    • หลิว ตุน อ๋องแห่งตองไฮ (東海王 劉敦 ตงไห่หวาง หลิว ตุน)
    • พระธิดาองค์อื่น 2 พระองค์ ทั้งสองพระองค์ทรงสมรากับโจผี (ค.ศ. 187–226)
Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. "หองจูเปียน" เป็นพระนามที่ปรากฏในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีความหมายว่า "ราชบุตรเปียน (辯 เปี้ยน)"
  2. ชื่อตัวของอองบีหยินปรากฏในโฮ่วฮั่นจี้ (後漢紀) โดยยฺเหวียน หง (袁宏) เล่มที่ 27[14]
  3. ในสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีการเรียกเกียนสิดด้วยชื่อ "เกนหวน" อีกชื่อ[19]
  4. พระโอรสหลิว เฝิง (劉馮) สิ้นพระชนม์ก่อนพระมารดาเมื่อวันเหรินอู่ (壬午) ในเดิอน 7 ของศักราชเจี้ยนอัน (建安) ปีที่ 5 เทียบได้กับวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 200 ในปฏิทินจูเลียส[22]
  5. บทพระราชประวัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าฮกเฮาถูกสำเร็จโทษในวันติงเหม่า (丁卯) ในเดือน 11 ของศักราชเจี้ยนอัน (建安) ปีที่ 19 เทียบได้กับวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 215 ในปฏิทินจูเลียส[23]
  6. บทพระราชประวัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ในโฮ่วฮั่นชูระบุว่าโจเฮาได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีในวันเจี๋ยจื่อ (甲子) ในเดือน 1 ของศักราชเจี้ยนอัน (建安) ปีที่ 20 เทียบได้กับวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 215 ในปฏิทินจูเลียส[24]
  7. จิ้นชู (晉書) เล่มที่ 5 ระบุว่าหลิว ชิวถูกสังหารในเดือน 5 ของศักราชหย่งเจีย (永嘉) ปีที่ 1 เดือนนี้เทียบได้กับช่วงเวลาระหว่างวันที่ 17 มิถุนายนถึง 16 กรกฎาคม ค.ศ. 307 ในปฏิทินจูเลียส
Remove ads

อ้างอิง

บรรณานุกรม

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads